คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ปิศาจสงครามแห่งผาวีรบุรุษ
ปิศาจสงครามแห่งผาวีรบุรุษ
สองร้อยปีก่อนเทพสงคราม จิน คังยี่ ต้องลูกธนูเสียชีวิตที่ผาวีรบุรุษ ณ พรมแดนจินกับยี่ ดาบวิเศษของเทพสงครามถูกนักพรตเทพมังกรสวรรค์ปรมาจารย์ของซูซ่งฟงนำไปซ่อนไว้ในหุบเขาวีรบุรุษ
บัดนี้จักรพรรดิแห่งจิน มอบหมายภาระกิจให้ซูซ่งฟงตามหาดาบวิเศษที่หายสาบสูญไปจากมัชฌิมโลก เพื่อนำกลับสู่แคว้นจินอันเป็นเจ้าของดั้งเดิมของมัน
ซูซ่งฟงนักพรตหนุ่มจากดินแดนเสียดฟ้า ดินแดนที่เล่าขานว่าอยู่ใกล้สรวงสวรรค์ที่สุดบนพื้นพิภพและสหายวายุพิโรธ สุนัขป่าขนสีขาวนัยน์ตาสีแดง ออกเดินทางเข้าสู่พรมแดนของแคว้นยี่เพื่อทำการตามหาอาวุธวิเศษแห่งเทพสงครามคังยี่ ระหว่างทางทั้งสองจะได้พบเจอกับอุปสรรคนานับประการประหนึ่งว่าการเดินทางในครั้งนี้ก็คือการจารึกแสวงบุญของซูซ่งฟงและสหายนั่นเอง
คืนวันที่สามสิบสามของการเดินทาง ซูซ่งฟงและวายุพิโรธเดินทางมาถึงพรมแดนของแคว้นยี่ เบื้องหน้าของทั้งสองคือผาวีรบุรุษที่มีกลิ่นอายปิศาจเข้มข้นจนน่าขนหัวลุก ซูซ่งฟงร่ายมนตราเจ็ดพยางค์อัญเชิญเซียนผู้ดูแลหุบเขาออกมา แต่ทว่าไม่เป็นผล ที่นี่คงมีแต่ปิศาจเท่านั้นที่อาศัยอยู่ได้ ความเข้มข้นของความแค้น และกลิ่นอายของการฆ่าฟันและความตายแฝงอยู่ในทุกอณูอากาศของหุบเขา ทำให้ไม่มีเทพเซียนองค์ใดมาสถิตย์อยู่ ณ ที่นี้ได้
ซูซ่งฟงจึงนั่งลงวิปัสสนา แผ่กระแสจิตเพื่อตามหาวิญญาณหรือวัตถุทางวิญญาณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ เผื่อจะได้เบาะแสของดาบวิเศษที่ตนตามหาอยู่ เวลาผ่านไปเกือบชั่วยาม สิ่งต่างๆที่ซูซ่งฟงสัมผัสได้ก็คือวิญญาณของสัตว์ป่าธรรมดาเท่านั้น บรรยากาศแบบนี้ช่างเงียบสงัดจนน่าหวั่นใจ
พระจันทร์ขึ้นแล้ว ซูซ่งฟงก่อไฟย่างเนื้อกระต่ายป่าที่วายุพิโรธออกล่ามาเผื่อ กลิ่นของเนื้อย่างหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ ด้วยหูอันว่องไวของวายุพิโรธมันได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน เป็นเสียงย่ำเท้าเล็กๆที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งสองรู้ตัวแล้วว่ากำลังมีแขกมาเยือน...
"เด็กน้อยปรากฏตัวเถิด พวกเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก" ซูซ่งฟงกล่าว
"ท่านนักพรต ข้าพเจ้ามาขอปันส่วนอาหารได้หรือไม่" เด็กผู้หญิงตัวเล็กค่อยเผยร่างออกมาจากหลังต้นไม้
"ทำไมจะไม่ได้เล่าหนูน้อย เรามีเนื้อกระต่ายย่างอยู่เหลือเฟือ" ซูซ่งฟงกล่าวแล้วใช้มีดสั้นเฉือนเนื้อกระต่ายที่สุกดีแล้วมอบให้เด็กหญิง
"ข้าชื่อซูซ่งฟงและนี่สหายข้า...วายุพิโรธ" นักพรตหนุ่มแนะนำตัว
"เหมยหลิง...ข้าชื่อเหมยหลิง" เด็กหญิงกล่าว
"เหม่ยหลิง เพราะเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ในป่านี้เพียงลำพัง" ซูซ่งฟงถาม
เหมยหลิงลังเลชั่วครู่ ก่อนตอบว่า "พ่อของข้าพเจ้าเป็นนักล่าขุมทรัพย์ชาวจินที่มาตามหาดาบเทพสงครามของคังยี่"
เมื่อซูซ่งฟงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายหากมีคนไปปลดผนึกของดาบเทพสงครามออกก่อนตน
"แล้วบิดาของเจ้าก็ได้พบดาบเล่มนั้น...เขาได้เป็นผู้ถือครองมัน"
สีหน้าเหมยหลิงบ่งบอกถึงความหนักใจ เด็กหญิงกล่าวว่า"ท่านนักพรตท่านเชื่อหรือไม่ว่าดาบอาถรรพ์เล่มนั้นกลับเข้าครอบครองร่างของบิดาข้า เขากลายเป็นปิศาจออกล่าสังหารคนที่ผ่านเข้ามาในป่าแห่งนี้คนแล้วคนเล่า"
ซูซ่งฟงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า "อย่ากังวลไปเด็กน้อย ข้าจะหาทางช่วยพ่อของเจ้าเอง"
"โฮ่ง!"วายุพิโรธเห่า ซูซ่งฟงได้ยินเสียงเท้าม้าขับควบใกล้เข้ามาทุกทีๆ
"ปิศาจสงครามกำลังมาทางนี้!" เหม่ยหลิงแตกตื่นร้องขึ้น ร่างเล็กๆขยับตัวไปซ่อนหลังนักพรตหนุ่ม
พลันปรากฏเงาร่างหนาทึบของคนกลุ่มหนึ่ง เสียงโห่ร้องของทหารปิศาจดังขึ้น พวกมันเงื้อดาบวิ่งเข้าหาซูซ่งฟง ซูซ่งฟ่งขว้างเม็ดประคำสายฟ้าใส่ปิศาจทหารแล้วพ่นลูกไฟใส่อีกคำรบหนึ่ง พวกทหารปิศาจถูกไฟโลกันต์ทำลายไปเป็นจำนวนมาก
"เหม่ยหลิงจงรีบหนีไปพร้อมกับวายุพิโรธ ข้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะปิศาจสงครามได้" ซูซ่งฟงนึกกังวลต่อความปลอดภัยของเด็กหญิง
แต่ขณะนั้นเอง...
"เหมยหลิงจงมาหาพ่อโดยเร็ว" ร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะสีเงินกล่าว
"อย่าไปเหมยหลิง! นั่นไม่ใช่พ่อของเจ้า มันเป็นปิศาจสงคราม คืนนี้เป็นฤกษ์อสูรมันจะสังเวยชีวิตเจ้าเพื่อแลกกับการดำรงอยู่ของมัน จงรีบหนีไปเหมยหลิง" ซูซ่งฟงทักท้วงเมื่อเด็กหญิงมีทีท่าลังเลจะก้าวไปตามเสียงเรียกนั้น
เทพสงครามสวมเกราะสีเงินค่อยๆก้าวลงจากม้าแล้วเดินเข้าหาซูซ่งฟง ซูซ่งฟงพ่นลูกไฟใส่ปิศาจสงครามแต่ไม่เป็นผล มันใช้ดาบวิเศษปัดลูกไฟของซูซ่งฟงออกไปอย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตาเดียวกันนั้น ปิศาจสงครามใช้ดาบวิเศษกระหน่ำแทงปราดตรงเข้ามา ซูซ่งฟงรีบชักกระบี่ออกปัดป้องเป็นพัลวัน ปิศาจสงครามเดินหน้ารุกเข้าหาซูซ่งฟงอย่างต่อเนื่อง ซูซ่งฟงก็ได้แต่ตั้งรับกับถอยร่นไปทีละก้าวสองก้าว
"เปรี้ยง!"
เสียงโลหะกระทบกันสนั่น ซูซ่งฟงชูกระบี่ขึ้นรับการฟันจู่โจมของคังยี่ ดาบวิเศษที่แข็งแกร่งกว่าหักกระบี่เงินของซูซ่งฟงออกเป็นสองชิ้น ทำให้ซูซ่งฟงต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงฝ่ายเดียว ซูซ่งฟงรีบกระโดดถอยมาตั้งหลัก นักพรตหนุ่มคิดในใจว่าเขาต้องงัดไม้ตายก้นหีบมาใช้เสียแล้ว
เขาท่องมนตราเก้าพยางค์แล้วกล่าว"อัญเชิญ! กระบี่เทพสายฟ้า!"
กล่าวจบแล้วจึงชูมือขวาขึ้นไปบนฟ้า ฉับพลันก็มีลำแสงสายฟ้าพุ่งตัวแหวกอากาศมาที่มือของนักพรตหนุ่ม ปรากฏเป็นกระบี่สีเงินเปล่งประกายเจิดจ้าท่ามกลางความมืด คมกระบี่สะท้อนแสงจันทร์ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก
"เฮอะ ไม่เลว เทพวุธงั้นหรือ" ปิศาจสงครามแสยะยิ้ม
ซูซ่งฟงใช้กระบี่เทพสายฟ้าจู่โจมใส่เทพสงคราม เมื่อดาบเทพสงครามปะทะกับกระบี่เทพสายฟ้าก็เกิดประกายไฟวูบวาบไปมา การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ซูซ่งฟงแทงกระบี่ถี่ยิบดุจห่าพิรุณเข้าใส่จุดตายของปิศาจ ปิศาจสงครามเองเกรงว่าร่างเนื้อจะได้รับบาดเจ็บจึงต้งกระโดดถอยออกมาตั้งหลักเพื่อหลบให้พ้นระยะการโจมตีของกระบี่เทพสายฟ้า ปิศาจนักรบกำดาบแน่นแล้วฟันแหวกอากาศเป็นคลื่นกระแทกระลอกใหญ่เข้าใส่ซูซ่งฟง นักพรตหนุ่มรีบกระโดดลอยตัวขึ้นหลบพลังคลื่นกระแทก จังหวะเดียวกันนั้นปิศาจสงครามก็กระโดดเอาไหล่เข้ากระแทกร่างซูซ่งฟง นักพรตหนุ่มเจ็บจนกระอักโลหิตคำโตออกมา ร่างของซูซ่งฟงลอยไปกระแทกต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปสองวา ซูซ่งฟงล้มพับอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ พยุงร่างของตนขึ้น เขารวบรวมสติตั้งท่าเตรียมโจมตีอีกครั้ง
ปิศาจสงครามหัวเราะฮึ แล้วเดินหน้าเงื้อดาบเข้าฟันซ้ำ ซูซ่งฟงยกกระบี่ขึ้นตั้งรับอีก ปิศาจสงครามรัวดาบฟันใส่อย่างไม่ยั้งสุดที่ซูซ่งฟงจะทานไหว เขาค่อยๆทรุดตัวลงเรื่อยๆ วายุพิโรธเห็นท่าไม่ดีจึงรีบกระโดดเข้างับแขนของปิศาจสงคราม สุนัขป่าขนสีขาวเหวี่ยงตัวไปมาหมายให้คู่ต่อสู้ปล่อยอาวุธให้หลุดจากมือ แต่ไม่เป็นผล ปิศาจสงครามเหวี่ยงตัวสุนัขป่าไปกระแทกกับต้นไม้ด้านข้างอย่างแรง ด้วยความเจ็บปวดวายุพิโรธจำต้องคลายคมเขี้ยวของมันออกจากแขนของปิศาจนักรบ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากข้อมือของปิศาจสงคราม มันส่งเสียงไม่พอใจแล้วหันมาทางเหมยหลิง
"ลูกน้อย ถึงเวลาที่เจ้าต้องพลีเลือดเนื้อเพื่อผู้เป็นพ่อเสียแล้ว แผลพ่อสาหัสขนาดนี้เจ้ายังทนนิ่งดูดายอยู่ได้หรือ" ปิศาจสงครามกล่าว
"ปล่อยเด็กไปซะ" ซูซ่งฟงตะโกนก้อง เขาลุกขึ้นยืนถือกระบี่ในท่าพร้อมโจมตีอีก
"รับมือ" ซูซ่งฟงทะยานร่างเข้าใส่ปิศาจสงคราม แทงกระบี่ด้วยความรุนแรงและเฉียบคมขึ้น ท่าร่างรวดเร็วขึ้น ความรู้สึกที่ต้องปกป้องชีวิตของเด็กน้อยสร้างแรงฮึดให้กับซูซ่งฟงเป็นอย่างมาก จังหวะการโจมตีของซูซ่งฟงสลับไปมา เดี๋ยวฟันซ้าย เดี๋ยวขวา เดี๋ยวแทง เขากำลังก้าวเท้ารุกเข้าใส่ปิศาจสงครามอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็มีบางสิ่งทำให้รู้สึกแปลกไป ยิ่งซูซ่งฟงโหมโจมตีมากขึ้น พลังปิศาจกลับยิ่งพลุ่งพล่าน ปิศาจสงครามกำลังดูดกลืนเพลิงโทสะของซูซ่งฟงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง ดาบปิศาจกำลังสำแดงอานุภาพ การเคลื่อนไหวของซูซ่งฟงถูกพลังบางอย่างหน่วงให้ช้าลงเรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำก็ไม่ผิด กลับกัน ปิศาจสงครามก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ โจมตีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกระบี่เทพสายฟ้าก็ถูกปัดให้หลุดจากมือซูซ่งฟง
ปิศาจคังยี่หัวเราะแล้วกล่าวว่า"นักพรตผู้นี้มีอำนาจเซียนอยู่ไม่น้อย หากได้ดูดกลืนปราณของมันข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเป็นแน่"
"ท่านพ่อ ข้าอยู่ตรงนี้ท่านต้องการเครื่องสังเวยมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงไปสนใจนักพรตคนนั้น" เหม่ยหลิงกล่าว
"ไม่ต้องห่วง เหมยหลิง เจ้าคือรายต่อไป" ปิศาจสงครามกล่าวแล้วแสยะยิ้ม
ปิศาจสงครามใช้มือซ้ายจับคอซูซ่งฟงเพื่อดูดกลืนปราณของซูซ่งฟง แต่ใครจะรู้ว่าอำนาจเซียนของซูซ่งฟงซึ่งปะปนไปกับพลังปราณนั้นทำให้พอายปิศาจในตัวคังยี่ลดลง ซูซ่งฟงรู้สึกดังนั้นจึงเร่งถ่ายพลังปราณเข้าสู่ตัวมันอย่างรวดเร็วจนมันไม่สามารถครอบครองร่างบิดาของเหม่ยหลิงไว้ได้อีกต่อไป ปิศาจสงครามจึงรีบถอดร่างออกจากร่างของบิดาเหมยหลิงเพราะกลัววิญญาณจะแตกสลายด้วยอำนาจเซียน
ดวงวิญญาณปิศาจสงครามรีบปรากฏเงาร่างแล้วกล่าวกับซูซ่งฟงว่า
"ตัวข้าคังยี่ขออภัยที่ล่วงเกินท่านนักพรต เพราะข้าหวงแหนในอาวุธวิเศษจึงลงมือต่อทุกผู้ที่คิดจะเข้ามาแย่งชิงมันไป ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันผู้ไม่ประสงค์ดีหมายรุกรานการดำรงคงอยู่ของดินแดนยี่ที่ข้าอุตสาห์บุกเบิกมาด้วยมือของข้าเอง ท่านนักพรตได้โปรดให้ให้อภัยต่อข้าด้วยเถิด"
ซูซ่งฟงทรุดตัวลง เขารู้สึกได้ว่าความกระหายสงครามของปิศาจคังยี่ได้สงบลงแล้วจงกล่าวออกไปว่า"เพราะเช่นนี้เองมหาบพิตร จึงยังไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรม"
"ได้โปรดรับฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้าด้วยเถิดท่านนักพรต"ปิศาจคังยี่กล่าว
ซูซ่งฟงตั้งสติแล้วทรุดตัวลงนั่งเพื่อดูดกลืนพลังแห่งเต๋าที่มีอยู่รอบบริเวณแล้วกล่าวว่า "เชิญกล่าวมาเถิดพระราชาคังยี่"
"เพราะกรรมหนักที่คร่าชีวิตคนไปเป็นจำนวนมาก ปรมาจารย์เทพมังกรสวรรค์จึงได้ผนึกวิญญาณข้าไว้กับดาบเทพสงครามแล้วบอกกับข้า ว่าวันหนึ่งจะมีผู้วิเศษผ่านมาปลดปล่อย วิญญาณข้า ให้ไปผุดไปเกิดได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านอาจเป็นผู้มาปลดปล่อยวิญญาณข้าก็เป็นได้ ท่านนักพรตอำนาจเซียนที่อยู่ในตัวท่านนั้นทำให้ข้าได้สติ ขอได้โปรดช่วยเหลือข้าสักครั้ง" คังยี่ก้มศีรษะคำนับซูซ่งฟง
"แล้วสิ่งใดที่ท่านยังเป็นกังวลอยู่หรือพระราชา"ซูซ่งฟงถาม
"ดาบเทพสงครามเป็นอาวุธมีอาถรรพ์ ผู้สร้าง สร้างมันขึ้นด้วยปมความแค้นที่มีต่อศัตรู ปรมาจารย์เทพมังกรสวรรค์เล็งเห็นว่าอนุภาพของดาบนี้เป็นอันตรายต่อผู้คนจึงได้ผนึกมันไว้กับวิญญาณของข้า ณ ผาวีรบุรุษ โดยหวังว่ามิให้ผู้ใดมาพบเห็น แต่แล้วนักล่าสมบัติพ่อลูกกลับได้ลายแทงสุสานของข้าพเจ้าจากคนเมืองยี่ พวกเขาบังเอิญเข้ามาทำลายผนึกมนตรานั้น วิญญาณของข้าจึงกลายเป็นอิสระอยู่ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยอายปิศาจแห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถควบคุมความโกรธแค้นต่อผู้ละโมภที่หวังจะมาชิงดาบวิเศษได้ จึงออกล่าสังหารพวกมันจนหมดสิ้น สร้างบาปกรรมไม่หยุดหย่อน ด้วยห่วงที่ว่าหากดาบตกไปอยู่ในมือชาวจินจะนำภัยมาสู่แคว้นยี่ ที่ข้าพเจ้าเพียรบุกเบิกมา" คังยี่กล่าว
"เพราะยึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง จิตจึงได้ห่วงพะวงเป็นเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดจีรังหรอกพระราชา มีรุ่งเรืองก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา" ซูซ่งฟงกล่าวตอบ
"แต่ปรมาจารย์เทพมังกรสวรรค์ ได้พยากรณ์อนาคตว่าในอีกหลายร้อยปีให้หลังจะมีผู้มีวาสนามาปลดปล่อยวิญญาณข้าซึ่ง ท่านนักพรตก็มาจริงๆ ดังนี้แล้วข้าพเจ้าอยากให้ท่านนักพรตช่วยทำนายอนาคตของแคว้นยี่อีกสักครั้งหนึ่ง" คังยี่กล่าวขอร้อง
"ถ้าเช่นนั้นเราจะลองดู" แล้วซูซ่งฟงก็หายใจเข้าและค่อยๆหลับตาเข้าสู่สมาธิ ดวงจิตของซูซ่งฟงก็หมุนวนเป็นหยินและหยาง นักพรตหนุ่มนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วกล่าวกับคังยี่ว่า
"เดิมท่านก็เป็นคนเชื้อสายจินเป็นเลือดขัตติยะ แต่เนื่องจากปัญหาภายในวังหลวงทำให้ท่านต้องออกจากจินมาบุกเบิกยี่จนรุ่งเรือง กระนั้นลูกหลานยี่ก็ยังมีความแค้นต่อชาวจินมาโดยตลอด จะเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างจินกับยี่ ทำให้เกิดความบาดหมางในยี่อย่างรุนแรง จนกระทั่งราชินีแห่งยี่ปลิดชีวิตตนเอง แคว้นยี่จะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของผู้นำที่หาใช่สายเลือดของท่าน" ซูซงฟ่งถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวต่อ
"แต่สายเลือดกษัตริย์ผู้เดินทางมาจากแคว้นจิน ผู้มีชะตาชีวิตเช่นเดียวกับท่าน เลือดกษัตริย์ผู้ถูกผลักไสจะมาเป็นผู้ครอบครองดาบวิเศษเล่มนี้ต่อจากท่าน เขาผู้นั้นเองเป็นผู้ปลดปล่อยและพิทักษ์สันติสุขอย่างแท้จริง"
แม้ชีวิตแห่งราชานั้นดับสิ้น แต่ก็ยังมีห่วงต่อแผ่นดินและผู้สืบสายเลือด คังยี่จึงกล่าวขอคำชี้นำจากนักพรตหนุ่ม "ท่านนักพรต แล้วข้าพเจ้าควรทำอย่างไรดี"
"ท่านยอมเป็นทวารบาลหรือไม่พระราชา" ซูซ่งฟงถามเบิกทาง
เขามองอดีตราชาคังยี่ที่นิ่งงันอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อ "ข้าพเจ้าจะสร้างศาลไว้ในที่นี้ สำหรับเก็บดาบเทพสงคราม โดยขอให้ท่านจงปกปักษ์รักษามันไว้รอจนกว่าผู้ถูกเลือกจะเดินทางมาถึง มีข้อแม้...ท่านห้ามแตะต้องดาบวิเศษแม้แต่ปลายนิ้ว และท่านต้องให้สัญญากับข้าว่าจะไม่ฆ่าคนอีกตลอดไป"
"ถึงตอนนั้นวิญญาณของข้าคงจะได้สงบสุขอย่างแท้จริงสินะ" คังยี่รำพึง
"หรืออีกวิธี ท่านจงละทิ้งภาระทางโลกลงเสียจะได้ไปสู่สุขคติแล้วข้าพเจ้าจะหาทางทำลายดาบนี้เสีย" ซูซ่งฟงกางคัมภีร์นรกออกพร้อมเสนอแนวทางหลุดพ้นให้อีกทาง
"ท่านนักพรตข้าพเจ้าไม่มีวันไปสู่สุขคติได้หากแผ่นดินยี่ไม่สงบ" ความกังวลของพระราชาดูท่าจะยังไม่หมดสิ้น
"ถ้าเช่นนั้นข้าจะแยกผนึกวิญญาณท่านออกจากดาบ แล้วข้าจะสร้างศาลให้เสร็จโดยเร็ว" ซูซ่งฟงตอบแล้วเก็บม้วนคัมภีร์นรก
"พวกเราจะช่วยด้วย" เหม่ยหลิงและบิดาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
"ขอบใจท่านทั้งสองมาก" คังยี่กล่าว
"พระราชา อนาคตนั้นยาวไกล และเอาแน่นอนไม่ได้เหตุใดท่านจึงยึดติดอยู่กับมัน"ซูซ่งฟงหมายเปลี่ยนใจคังยี่
"ข้าไม่อยากให้ดาบเทพสงครามนี้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ชั่วร้าย...และตอนนี้ยังไม่มีสิ่งบ่งบอกและยืนยันได้ว่าท่านจะทำลายดาบเทพสงครามเล่มนี้ได้" คังยี่ตอบ
"มีเหตุผล...ท่านกล่าวได้ดี" ซูซ่งฟงขานรับ
"แล้วอาจารย์จะกลับไปมือเปล่างั้นหรือ" เหมยหลิงถามขึ้น
"จะให้อาจารย์เอาตัวรอดคนเดียวโดยชิงเอาดาบกลับไปแบบนั้นไม่ถูกต้อง อาจารย์จะไปกราบทูลฮ่องเต้ตรงๆว่า ดาบมีอาถรรพ์มิควรอยู่ในแคว้นจิน" ซูซ่งฟงตอบเด็กหญิง
"จงจำไว้นะเหมยหลิงอย่าบอกให้ใครรู้ ว่าศาลแห่งนี้อยู่ที่ไหน" นักพรตหนุ่มกำชับแน่นหนัก
ความคิดเห็น