คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ทาริกาจากแดนสรวง
ขณะที่นักพรตชราซูซ่งฟงกำลังง่วนอยู่กับการเขียนหนังสือ ศิษย์คนโตเฟิงเซวียก็เดินเข้ามาเคาะประตูหน้าห้อง
"ขออนุญาต ท่านอาจารย์!" เฟิงเซวียกล่าว
นักพรตชราวางพู่กันลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองศิษย์
"อาจารย์ ข้ามีข้อสงสัย" ศิษย์หนุ่มตั้งคำถาม
นักพรตชราลูบเคราสีขาวของเขาอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้ารับ
"อาจารย์ ท่านเคยให้คนออกตามหาบิดามารดาของศิษย์น้องเป๋ยเป่ยหรือไม่" คำถามของเฟิงเซวียทำให้ผู้เป็นอาจารย์นิ่งไปชั่วครู่ เขาเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง แล้วหวนระลึกถึงความหลัง
คืนหนึ่งในเหมันตฤดู พายุหิมะตกหนัก ข้ากำลังจัดเก็บตำรับตำราให้เข้าที่เข้าทาง กระแสลมกรรโชกแรง จนพัดเอาบานหน้าต่างเปิดออก เกล็ดหิมะเล็กๆลอยละลิ่วผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างออกนั้น
เสียงฝีเท้าม้ามากกว่าหนึ่งดังเข้ามาเรื่อยๆ ข้าจึงเดินไปเปิดประตูเพื่อออกมาสังเกตการณ์ เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเรื่อยๆ ข้าหันมองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจ เพราะทัศนียภาพเบื้องหน้าล้วนว่างเปล่า ปราศจากความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังร่วงพรูลงมาจากฟากฟ้า
ทันใดนั้นก็บังเกิดลำแสงสีทองเจิดจ้า ส่องผ่านกลุ่มเมฆลงมาจากเบื้องบน ข้าแหงนหน้าขึ้น แลเห็นอาชาสวรรค์สี่ตน พุ่งตัวออกมาจากเมฆเบื้องบน พร้อมกันนั้นก็ลากดึงเอาราชรถสีทองเจิดจ้าติดตามออกมา คันรถสลักไว้ด้วยลวดลายของก้อนเมฆ อีกทั้งยังประดับประดาไว้ด้วยเพชรนิลจินดาอันวิจิตร เกล็ดน้ำแข็งสีขาวสะท้อนรับเอาแสงของราชรถแห่งสวรรค์ มันเปล่งประกายออกระยิบระยับต้อนรับการมาถึงของขบวนเดินทางจากแดนสวรรค์ เทพธิดาสองตนเหาะเหินตามลงมาอย่างกระชั้นชิด
ขบวนราชรถสีทอง ร่อนลงจอดบนพื้นผิวอันขาวโพลน ที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ เทพธิดาผู้ติดตามขบวนทั้งสอง เดินอ้อมมาที่ด้านหน้าของราชรถส เมื่อประตูรถเปิดออก ก็แลเห็นเทพสตรีในชุดแพรไหมสีแดงชาด นางประทับอยู่ภายในรถ ท่าทางสง่างามและองอาจ ใบหน้าและผิวพรรณของเทพนารีงามผุดผ่องดังดรุณีแรกรุ่น ยากที่จะคาดคะเนชรรษาเป็นอย่างยิ่ง
ในอ้อมกอดของนางมีทารกแบเบาะกำลังร้องไห้จ้า ร่างของทารกถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าเนื้อหนาสีขาวบริสุทธิ์
"นิ่งเสีย...นิ่งเสีย...เด็กน้อย" เทพนารีส่งเสียงปลอบโยนทารกในอ้อมอกด้วยความเมตตา เมื่อได้ยินเสียงปลอบโยน ทารกน้อยก็เปิดเปลือกตาขึ้นมามองผู้อุ้ม แล้วนิ่ง
ครู่หนึ่งเทพนารีก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาข้า จากนั้นพระแม่ก็กวักมืออันเรียวงามเรียกให้ข้าเดินเข้าไป
"พระเทพมารดร" ข้าเอ่ย แล้วก้มศีรษะลงแสดงความเคารพ
กลิ่นบุพชาติหอมกำจาย สายลมอันหนาวยะเยือกแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น เทพนารีแย้มยิ้มแล้วก้าวลงจากราชรถสวรรค์
เทพมารดรอุ้มเด็กทารกในอ้อมกอดส่งต่อให้ข้า
"ทาริกาน้อยผู้นี้มีนามว่า เป๋ยเป่ย" เทพนารีกล่าว
ข้ารับทารกหญิงจากพระแม่มาอุ้มไว้แนบอก เด็กน้อยซุกใบหน้าเล็กๆของเธอไว้ในอ้อมกอดของข้าแล้วค่อยๆหลับตาลง
"ดูเถิดท่านนักพรต เป๋ยเป่ยยอมสงบนิ่งยามอยู่ในอ้อมกอดท่าน นับเป็นเรื่องที่ดี" เทพมารดรแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ
"ทารกน้อยผู้นี้..." ข้าเริ่มเอ่ยปากถาม
"เธอเป็นธิดาของนางฟ้าหวงยวี้ กับจอมปราชญ์ผิงเจี๋ย" พระแม่กล่าว
"ผิงเจี๋ย ปราชญ์มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ในการเลี้ยงผึ้งผู้นั้น" ข้ากล่าวเพื่อขอคำยืนยัน
"มิผิด ท่านซู ทาริกาผู้นี้ เป็นบุตรีของทั้งสอง มารดาเป็นนางฟ้า บิดาเป็นมนุษย์ สายโลหิตในกายนางครึ่งหนึ่งในกายนาง กอปรด้วยโลหิตของเทพสวรรค์" พระแม่ยกแขนเสื้อขึ้นปัดเกล็ดหิมะที่ตกต้องใบหน้าของทารกน้อย
"เทวากับมนุษย์มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผิดกฏสวรรค์" ข้ากล่าวออกด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนก
"ท่านซู ระวังนางจะตื่น" พระแม่กล่าวเตือน ที่ข้าส่งเสียงดัง
ข้ามองลงมายังเด็กน้อยแล้วทอดถอนลมหายใจ
"จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็เป็นต้นเหตุของปัญหาอันน่าปวดหัวนี้" เทพนารีเม้มริมฝีปากเข้า
"เพราะข้าส่งหวงยวี้ไปขอปันน้ำผึ้งจากผิงเจี๋ยบ่อยครั้ง จนเป็นเหตุให้เขาทั้งสองผูกสัมพันธ์ชิดใกล้กัน" เทพมารดรถอนลมหายใจ
"เมื่อจ้าวสวรรค์ทราบเรื่องก็พิโรธมาก ยืนกรานว่าจะต้องแยกคู่รักออกจากกัน หวงยวี้ถูกห้ามลงจากสวรรค์นานถึงสองร้อยปี เมื่อผิงเจี๋ยได้ทราบข่าวก็ล้มป่วยลงจนมิอาจทำงานได้ น้ำผึ้งของผิงเจี๋ยนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการปรุงโอสถสวรรค์ หากสิ้นผิงเจี๋ยไป ใครเล่าจะคอยผลิตน้ำผึ้งให้กับข้า" เทพมาดรทอดถอนหายใจอีกครา
"ท่านซู ข้าอยากให้ท่านส่งลูกศิษย์ ไปฝึกศาสตร์แห่งการเลี้ยงผึ้งจากผิงเจี๋ย" เทพนารีกล่าว
"แล้วผิงเจี๋ยจะยอมสอนวิชาให้กับเราหรือ" ข้ากล่าวด้วยความกังวลใจ
"ในทีแรกผิงเจี๋ยเองก็ไม่ยินยอม แต่จ้าวสวรรค์ใจหิน เขาบอกว่าจะส่งดวงจิตของทาริกาน้อยให้ไปจุติใหม่หากผิงเจี๋ยไม่มีผู้สืบทอดงาน นั่นทำให้ผิงเจี๋ยใจสลาย จอมปราชญ์ไม่มีทางเลือก"
"ชะตาของเด็กน้อย น่าเศร้ายิ่งนัก" ข้าเอ่ย
"ลูกศิษย์ของข้า คนโตมีนามว่า เฟิงเซวีย(ผึ้งหิมะ) และ ว่านหลี่(หมื่นลี้) พวกเรายินดีที่จะปฏิบัติตามคำร้องขอของพระแม่"
"ว่าแต่ว่า ข้าน้อยควรจะส่งผู้ใดไป"
"เฟิงเซวียนั้นขยันขันแข็ง ว่านหลี่นั้นมีปฏิพานไหวพริบ ทั้งสองมีคุณสมบัติที่ดี" ข้ากล่าว
"ขอให้ส่งไปทั้งสองคนเถิด ให้พวกเขาช่วยกันจดจำเคล็ดวิชาทั้งหมดไว้ให้ได้ ส่วนทารกหญิงผู้นี้ ข้าจำต้องฝากนางไว้แก่ท่านจะได้หรือไม่" พระแม่เอ่ย
"ขอโทษจริงๆ ที่ต้องให้ท่านมารับภาระอันหนักหน่วงเช่นนี้"
"มิได้ มิได้ ในสำนักมีแม่บ้านลูกอ่อน ทารกน้อยจะได้ไม่ต้องอด และข้าจะคอยอบรมสั่งสอนนางเป็นอย่างดี"
เทพนารีแย้มยิ้มอย่งพึงพอใจ "ได้ฟังท่านรับปากเช่นนี้แล้ว ข้าและพ่อแม่ของนางคงจะวางใจได้ ขอบใจท่านมาก ท่านซู"
เทพนารีโค้งคำนับเพื่อขอลา นางเดินกลับไปขึ้นราชรถ เทพธิดาผู้ติดตามทั้งสองปิดบานประตูลง แล้วหันมาคำนับลา จากนั้นก็ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า
เหล่าอาชาสวรรค์ขยับออกตัว เหินทะยานขึ้นติดตามเทพธิดาทั้งสองไป เพียงครู่หนึ่งขบวนเดินทางก็หายลับไปในม่านเมฆ แสงสว่างเจิดจ้าค่อยๆเจือจางลง หลงเหลือไว้เพียงข้าและทาริกาน้อย
"แม่หนู เจ้าชื่อเป๋ยเป่ยสินะ อาจารย์จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี อาจารย์สัญญา"
และแล้วการระลึกถึงความหลังก็ขาดห้วง เมื่อเฟิงเซวียร้องเรียก
"เฟิงเซวีย จงปล่อยวางภาระนี้ลงแก่อาจารย์เพียงผู้เดียวเถิด เวลานี้จงทุ่มเทกับการศึกษาร่ำเรียนให้มาก วันหนึ่งเมื่อเจ้าสำเร็จการศึกษา จะได้คอยปกป้องศิษย์น้องได้"
"ครับ อาจารย์ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวนะครับ" เฟิงเซวียกล่าวรับคำแล้วอำลา
ทาริกาผิดอันใด โชคชะตาจึงเป็นเช่นนี้
ด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ทาริกาน้อยซุกตัวใต้ผ้าห่ม
อ้อมแขนของอาจารย์อบอุ่นเยี่ยงบิดา
ความคิดเห็น