ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chinese Fantasy Story 1.5(ตำนานเซียนเมฆา)

    ลำดับตอนที่ #11 : พักฟื้น

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 55


    พักฟื้น

                  ข้าค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นรอบกาย ที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เย็นยะเยือก ข้ามองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้

    "ท่านอารู้สึกตัวแล้วหรือ" นั่นคือคำพูดแรกที่ข้าได้ยินจากปากของนาง

    "ข้าชื่อเป๋ยเป่ย อาจารย์มอบหมายให้ข้ามาดูแลท่าน บาดแผลไฟลวกของท่านสาหัสมาก คงต้องอยู่ในถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้สักหลายเดือน" นางบอก

                  ที่นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเสียดฟ้า และเด็กสาวคนนี้ก็คงเป็นศิษย์ของซูซ่งฟง ทำไมซูซ่งฟงจึงนำตัวข้ากลับมารักษา ทั้งๆที่ข้าคิดร้ายต่อเขา

    ซูซ่งฟงเจ้าคิดว่ารักษาข้าแล้วข้าจะซึ้งในบุญคุณของเจ้างั้นหรือ คอยดูเถอะไว้หายดีเมื่อไหร่ข้าจะขอล้างอายกับเจ้าอีกที!

                  แผล ไฟลวกนั้นทำให้ข้าขยับไปไหนไม่ได้จึงต้องนอนนิ่งๆอยู่บนเตียงในถ้ำน้ำแข็งที่น่าเบื่อแห่งนี้ ในทุกๆเช้าจะมีคนมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ข้า ข้าจำได้ว่ามันคือศิษย์ของซูซ่งฟงผู้ใช้พลังน้ำแข็ง ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นนั่นเอง

                  "ท่านอา นี่คือโอสถสมานแผลที่ทำจากดอกหัวใจภูผา นับว่าเป็นยอดโอสถวิเศษของที่นี่ ใช้ทาแผลไฟลวกของท่านได้ผลชะงัดนัก และด้วยความเย็นของถ้ำน้ำแข็งนี้จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนของบาดแผลท่านได้เป็นอย่างดี อาจารย์สั่งว่าหากท่านต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็ขอให้บอกกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจัดหาให้ตามสมควร" เจ้าหนุ่มที่ใช้พลังน้ำแข็งกล่าว

                  วันหนึ่งเป๋ยเป่ยนำยาเข้ามาให้ข้าดื่ม ประโยคแรกที่ข้าพูดกับนางก็คือ

    "ข้าคือคนที่คิดร้ายต่ออาจารย์เจ้า พวกเจ้าดูแลรักษาข้าเช่นนี้เพื่อเหตุใด พวกเจ้าไม่คิดแค้นข้าเลยหรือ"

                  "อาจารย์บอกว่าพลังแห่งความมืดทำให้ท่านโกรธแค้นเขา ถ้าจะแค้นก็ขอให้แค้นต่อพลังอันชั่วร้ายนั่น" เด็กหญิงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

                  "ท่านอาคงมีเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัสอยู่เป็นทุนเดิม พลังอำนาจอันชั่วร้ายนั่นจึงถือโอกาสครอบงำจิตใจของท่าน"

    แล้วเป๋ยเป่ยก็ค่อยๆพยุงตัวของข้าให้ลุกขึ้นนั่ง

                "ต้นกำเนิดของพลังเวทย์ฝ่ายมืดนั้นได้มาจากการทำสัญญากับจ้าวปิศาจ โดยมันจะมอบพลังให้แก่เรา และส่งเสริมให้เราใช้พลังแห่งความชั่วร้ายบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผนึกของประตูนรกที่พวกซูซ่งฟงทำไว้เสื่อมโดยเร็ว และเมื่อผนึกคลายออก พวกมันก็จะออกมารุกรานโลกและสวรรค์อีก" ข้าเล่าความเป็นไปของพลังฝ่ายมืดให้นางฟัง

               "มิน่าเล่า พวกนักพรตฝ่ายธรรมะต้องไล่ล่าท่าน"

               "พวกมันแค่ต้องการชื่อเสียง หาได้มีคุณธรรมโดยแท้จริง"

               "เหตุไฉนจึงเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังล่ะท่านอา" เป๋ยเป่ยถาม

               "ตั้งแต่เสียแม่ไป..."

    ข้าไม่อาจจะบอกความรู้สึกของข้ากับนางได้ว่าข้าไม่เป็นตัวของตัวเอง ข้าเกลียดและชิงชังโลกใบนี้เพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของข้าอีกแล้ว

                 "ท่านอา เป๋ยเป่ยก็กำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เล็กไฉนเลยจะไม่เข้าใจท่าน"

                 "แล้วเจ้าไม่กลัวข้าคิดร้ายต่อซูซ่งฟงอีกหรือ" ข้าถามนางตรงๆ

                 "ท่านอาจารย์เป็นคนดวงแข็งเขาน่าจะมีอายุยืนยาว" เป๋ยเป่ยตอบ

                  ข้าหัวเราะ "เด็กน้อยเจ้าไม่กลัวข้าแม้แต่นิดเดียว"

                 "ท่านเป็นคนจริง ข้าไม่พบความเท็จในคำพูดของท่าน" เป๋ยเป่ยทำหน้าตาขึงขัง

                 "เจ้าอ่านใจคนได้หรือไง เด็กน้อย...พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ล้วนแปลกแยกจากคนทั่วไป พวกเจ้านั้นน่าเลื่อมใส"

                 "ท่านอาเองก็จะน่าเลื่อมใส หากท่านละความอาฆาตพยาบาทได้"

                 "ดูข้าสิเป๋ยเป่ย บัดนี้ข้าแลดูอัปลักษณ์เช่นนี้แล้ว ไฉนเลยสังคมจะต้อนรับข้า"

                 "ไม่ต้องห่วงท่านอา ที่นี่มียอดโอสถและหมอเทวดา บาดแผลท่านต้องหายดี ท่านอาจารย์ให้คนไปตามท่านหมอหวู่มาแล้ว" เป๋ยเป่ยยิ้ม รอยยิ้มของนางช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนทารก มองแล้วไร้ซึ่งอคติและความจงเกลียดจงชังต่อผู้ใด

                 น่าอิจฉาซูซ่งฟงเขามีศิษย์ที่ดี และมีเพื่อนผู้ทรงคุณธรรม

                 "หากท่านมัวแต่คิดอิจฉา ไม่คิดก่อกุศลกรรม ผู้ใดจะยอมรับนับถือท่าน"เป๋ยเป่ยกล่าวราวกับว่านางอ่านความคิดข้าทะลุปรุโปร่ง

                 "เงินที่ได้รับบริจาคมานั้น ข้านำไปบริจาคให้โรงทานในหมู่บ้าน หาได้ยักยอกเอาไปใช้ส่วนตัวแต่ประการใด"

                 "ท่านอามิได้โกหก ท่านอาจารย์ของข้าคิดถูก เขาศรัทธาในตัวท่าน ข้าเองก็เช่นกัน"

                  "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้โกหก" ข้าถามนางตรงๆ

                  "สำหรับข้ามันเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้ข้าลำบากใจ" นางตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

                 "ท่านอา ทานยาค่ะ" เป๋ยเป่ยค่อยๆป้อนยาแก้อาการเจ็บปวดให้กับข้า

    ไม่นานนักหวูฮุ่ยเหลียงก็เดินทางมาถึง เขาตรวจบาดแผลของข้าอย่างระมัดระวังแล้วเขียนเทียบยาส่งให้เป๋ยเป่ย

    "อาจารย์เจ้าไปไหนหรือ" หมอหวู่ถามถึงซูซ่งฟง

    "เขากำลังหาวิธีนำพลังแห่งความมืดออกจากตัวท่านนักพรตอู๋" เจ้าหนุ่มที่ใช้พลังน้ำแข็งเดินเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหารและคัมภีร์อีกหนึ่งม้วน

    "คัมภีร์ นี้คือตำราที่ปรมาจารย์ของสำนักเราเขียนเอาไว้เป็นวิธีขจัดพลังอันชั่ว ร้ายออกจากตัวท่าน ท่านอาจารย์คัดลอกมาให้ท่าน" มันกล่าวแล้วยื่นม้วนตำรามาให้ข้า

    ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้ามากมายเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนข้าเองที่มองคนเหล่านี้ผิดไป

    "อาจารย์บอกว่าให้ท่านตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป พวกเราจะไม่ก้าวก่ายวิถีทางของท่าน"

                  นี่ข้าต้องเป็นหนี้ชีวิตซูซ่งฟงหรือนี่...

                  "ซูซ่งฟงแม้เหี้ยมหาญแต่ก็ไม่ชอบการต่อสู้ เขาไม่กระหายในชัยชนะเหนือผู้ใด" หมอหวู่กล่าวขึ้น

                  "พวกเจ้าทำเหมือนว่ารู้ดีในความทุกข์ของข้าทุกอย่าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเชื่อใจพวกเจ้า พวกเจ้าน่าจะปล่อยให้ข้าตายไปซะ" ข้าตวาดพวกเขาอย่างหัวเสีย

                  หมอหวู่พาเหล่าศิษย์ของดินแดนเสียดฟ้าออกไปจากห้อง

    "ตอนนี้พวกเราต้องให้เวลาเขาในการคิดทบทวนเรื่องของตัวเองอย่างเงียบๆ พวกเราไม่ควรรบกวน"

                 "ท่านอา โปรดรักษาตัว" เป๋ยเป่ยกล่าวทิ้งท้ายออกมาจากด้านนอก

                  อา...ท่านแม่นอกจากท่านแล้ว ยังมีคนที่หวังดีต่อข้าพเจ้าอีกหรือนี่

    สองเดือนผ่านไป บาดแผลของข้าเริ่มหายดีแล้ว ข้าจึงค่อยๆเดินออกมาดูทิวทัศน์นอกถ้ำน้ำแข็ง ร่างกายของข้าค่อยๆขยับได้ตามปกติ ต้องขอบคุณหวู่ฮุ่ยเหลียง เฟิงเซวีย และเป๋ยเป่ยที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี

    ข้าได้ยินเสียงคนกวัดแกว่งกระบี่อยู่ไม่ไกลจากปากถ้ำ มันเป็นเสียงกระบี่แหวกอากาศที่ได้จังหวะเฉียบคมและทรงพลังจนน่าขนลุก หรือว่าซูซ่งฟงกำลังออกมาซ้อมกระบี่ในเวลานี้ คิดแล้วข้าจึงเดินไปหลบหลังหินก้อนใหญ่แล้วแอบดูคนผู้นั้นอยู่ห่างๆ ข้าตั้งใจฟังเสียงกระบี่อย่างเงียบๆ แต่ในใจก็คิดว่ายอดฝีมือผู้นี้ไม่น่าจะใช่ซูซ่งฟง เพราะเพลงกระบี่ของซูซ่งฟงนั้นยังไม่เฉียบคมเท่านี้ ข้าเคยประมือกับเขามาข้าย่อมรู้ดี

    ใครกันนะที่กำลังฝึกซ้อมกระบี่อยู่ ข้าจึงค่อยๆชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้ว่ายอดฝีมือผู้นี้เป็นใคร

    "เป๋ย เป่ย" ข้าอุทานเมื่อเห็นเต็มสองตา

    นางกำลังฝึกกระบี่อย่างขะมักเขม้นที่ปากถ้ำ คมกระบี่พลิกพลิ้วไปมา สอดคล้องกับท่วงท่าที่งดงามและทรงพลัง เหมือนพลังแห่งธรรมชาติคอยเกื้อหนุนนางอยู่ตลอดเวลา สายลมที่พัดเปลี่ยนทิศทางเมื่อกระบี่ถูกฟันออก ละอองหิมะที่พลิ้วไหวไปกับสายลมนั้นล้วนสอดคล้องกับเพลงกระบี่ของนาง ไม่นึกเลยว่าเด็กสาวอายุเพียงเท่านี้กลับแตกฉานในวิชากระบี่ขั้นสูงเช่นนี้ได้ ข้ารู้สึกเพลิดเพลินเหมือนได้ดูการร่ายรำของนางฟ้าท่ามกลางละอองหิมะที่โปรยปราย นางเหลือบมองข้าเล็กน้อยแล้วจึงจบกระบวนท่า

    ข้าจึงรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำแต่ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของนางตามหลังมา "ท่านอา เพลงกระบี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง"

    "เป็นเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยม" ข้าตอบ

    "ท่านอา ท่านสอนคาถาอัญเชิญให้ข้าได้หรือไม่" นางวิ่งตามเข้ามาแล้วถามข้าอย่างตรงไปตรงมา

    "ไม่ได้ คาถาอัญเชิญปิศาจไม่เหมาะกับเจ้า และอีกอย่างข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า" ข้าปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน

    "ทั้งท่านและท่านอาจารย์ก็เหมือนกัน ไม่ยอมสอนคาถาอัญเชิญให้ข้า" เป๋ยเป่ยกล่าวตัดพ้อ

    "ซูซ่งฟงคงจะสอนให้เจ้าแน่ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้...แล้วทำไมเจ้าถึงอยากเรียนคาถาอัญเชิญนัก เป๋ยเป่ย"

    "ข้าอยากออกไปท่องโลกเร็วๆ" นางตอบ

    "เป๋ยเป่ย แม้เจ้ามีฝีมือสูงส่งแต่ยังด้อยประสบการณ์ คนชั่วอาจหลอกใช้เจ้าไปเป็นเครื่องมือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ก็ชักจูงเจ้าไปในทางที่ผิด.....เหมือนสิ่งที่ข้าเคยกระทำ"

                  "แต่ข้ามีพรจากสวรรค์ ไม่มีใครโกหกข้าได้"

                  "ความประมาทจะทำให้เจ้าพลาดพลั้ง จงอย่าได้มั่นใจในตนเองเกินไป"ข้ากล่าว

                  "ท่านพูดเหมือนท่านอาจารย์เลย" นางยิ้ม

                  ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วกล่าวว่า "ช่างเถอะ ข้าเบื่อแล้วขอตัวเข้าไปข้างใน"

                  "คารวะท่านอา ขอบคุณที่ชี้แนะ" เป๋ยเป่ยกล่าว

    หากข้าเองมีลูกศิษย์สักคนก็คงดีไม่น้อย มันคงช่วยคลายเหงาให้ข้าได้บ้าง...

    หนึ่งเดือนต่อมา บาดแผลข้าหายสนิทแล้วแต่มันก็ทิ้งรอยแผลเป็นอันอัปลักษณ์ไว้ทั่วร่างกายของข้า ในที่สุดหมอหวู่ก็บอกว่าร่างกายของข้าแข็งแรงพอที่จะออกไปสัมผัสอากาศภายนอกได้แล้ว เป๋ยเป่ยจึงอาสานำข้าไปชมธรรมชาติโดยรอบ หิมะบนภูเขากำลังละลาย ฤดูหนาวกำลังจะผ่านไปเข้าสู่ฤดูใบไม่ผลิ ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงดงามดุจแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน

            เป๋ยเป่ยเคยบอกว่า ข้าเหมือนประตูที่เปิดสู่โลกภายนอกของนาง เพราะนางได้ฟังเรื่องราวของโลกภายนอกจากข้าบ่อยๆ และสำหรับข้าแล้วนางเองก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของนักพรตอสูรผู้นี้เช่นกัน นางมีไหวพริบที่ดีและนางยังมีศรัทธาที่ไม่งมงายเหมือนคนทั่วไป

                  แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่เป๋ยเป่ยไม่อยู่ ซูซ่งฟงและเฟิงเซวียก็มาพบข้า

    "ท่านอู๋ ท่านจะทำอย่างไรต่อไป" ซูซ่งฟงถามข้า แต่ข้ายังคงนิ่งเงียบ

    "ท่านอู๋...ท่านจะอยู่ที่นี่ต่อไป หรือท่านจะไปจากที่นี่ก็ได้ แต่หากท่านจะไป...." 

                "ท่านไม่ต้องพูด ข้าเข้าใจ ท่านจะให้ข้าละทิ้งพลังอันชั่วร้ายนี้ให้ได้เสียก่อน"

    ซูซ่งฟงพยักหน้า

    "ท่านจะว่าอย่างไร หากข้าจากไปโดยไม่ละทิ้งพลังอันชั่วร้ายนี้" ข้าจ้องตาซูซ่งฟง

    "ถ้าเช่นนั้นเราก็เป็นศัตรูกัน อู๋จีซี"

     "เจ้าฉลาดนักที่ให้เป๋ยเป่ยมาดูแลข้า" ข้ากล่าว

    "ข้าหวังว่าเป๋ยเป่ยจะทำให้เจ้ากลับใจได้ แต่เจ้าก็ไม่คิดจะละทิ้งหนทางอันชั่วร้ายนั้น"

    "ข้าจะควบคุมมันให้ได้ด้วยตนเอง เพราะพวกเจ้าไม่มีสิทธิที่จะมาบังคับข้า"

     ซูซ่งฟงถอนหายใจ

    "ถ้าเช่นนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์เรามาตัดสินกัน"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×