[Inazuma go] Books Between Us - [Inazuma go] Books Between Us นิยาย [Inazuma go] Books Between Us : Dek-D.com - Writer

    [Inazuma go] Books Between Us

    คุณเชื่อไหมว่าหนังสือเล่มหนึ่งทำให้เรารู้จักกัน [Matatagi x Minaho(C ver)]

    ผู้เข้าชมรวม

    1,303

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    1.3K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ส.ค. 57 / 21:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


     

    แต่งสนองตัวเอง เห็นpollมีคนอวยเราก็เอาวะ แต่งให้เสร็จแล้วลงแง่ม!!

    ลองอ่านแล้วคุณจะรักคู่นี้ไปกับเราคะ(แต่เรื่อง say it คู่นี้ไม่มุ้งมิ้งหรอกนะคะ orz…)













    โพล154278

     


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       




      Title : Books Between Us

      Paring : Mata x Mina(C ver)

      Note : แอบคุมคาแรกเตอร์ไม่อยู่คะ ฮา เรื่องนี้ มุ้งมิ้ง อบอุ่น เป็นฟิคfeel good ใครที่ไม่ชอบคู่นี้ลองอ่านก่อนก็ได้คะแต่ถ้าเกลียดคู่นี้ก็กดกากบาทด้านบนเลยคะ _////_

       

      ผมเจอเธอครั้งแรกในร้านขายหนังสือ

      เด็กสาวตัวเล็กส่วนสูงราว150 สวมชุดเครื่องแบบด้านนอกสีดำอมฟ้าด้านในเป็นเชิ้ตขาวผูกเนคไทตรงกลางอกพร้อมด้วยกระโปรงสั้นลายสก็อตสีแดง เธอมีโครงหน้าสวยหวานริมฝีปากบางเล็ก ดวงตากลมโตสีเขียวเข้ม และที่ดึงดูดสายตาที่สุดคงไม่พ้นผมซอยยาวประบ่าสีส้มโดดเด่น เพราะเกิดความสนใจจึงพยายามเข้าใกล้ แอบมองหนังสือที่เธอหยิบเลือกมันคือวรรณกรรมสืบสวนเจ้าของนามปากกาชื่อดังก้องญี่ปุ่น

      ผมเขยิบเข้าไปเล็กน้อยเพื่ออ่านชื่อเรื่อง พอดีกับเธอหันหน้าเข้าหา

      ใบหน้าของเราเกือบแนบชิดกัน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูลอยฟุ้ง ใกล้ชิดผิวเนียนใส เห็นขนตาแพรยาวแม้จะใกล้จนภาพหลายอย่างเบลอแต่ผมเห็นได้ชัดว่าดวงตาของเธอกำลังเบิกกว้าง

      พอตั้งสติได้ผมกับเธอเลิกลั่นผละจากกันทันที

      ขอโทษ...ขอโทษ.....

      “.ไม่....ไม่เป็นไรพูดตะกุกตะกักพรางสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหูของเธอกลายเป็นสีแดงระเรื่อจากเหตุการณ์เมื่อครู่

      เอ่อ ขอดูหนังสือเล่มนั้นหน่อย...ได้ไหม...ผมชี้ยังวรรณกรรมในมือเธอ เด็กคนนั้นก้มมองของในมือตนก่อนยื่นให้ผม

      ชอบอ่านนิยายหรอ?”ผมประมวลความคิด

      ก็ชอบ

      หลังได้ยินคำตอบเธอยิ้ม

      แล้วชอบแนวไหนละ?”

      “...พวกไลท์โนเวล แล้วก็แนวใช้ชีวิตทั่วไปละมั้ง

      เธอละเป็นเด็กผู้หญิงแท้ๆอ่านนิยายฆาตกรรมมันดีรึไงคิ้วเธอขมวดเข้าหากัน

      เป็นผู้หญิงแล้วไงละ? อ่านนิยายพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศสักหน่อย อีกอย่างนิยายของอาจารย์ท่านนี้มีคุณภาพออก ทั้งการเรียบเรียงเนื้อหา ภาษาสละสลวย ตัวละครยังมีมุมมองนุ่มลึกมีมิติด้วยคลับคล้ายว่าเธอจะเป็นแฟนคลับติดตามผลงานนักแต่งท่านนี้

      อือส่งเสียงขานรับเล็กน้อยให้รู้ว่าฟังเธออยู่ หลังอ่านเรื่องย่อหลังปกจบผมส่งคืนให้เธอ

      เวลากลับบ้านนายผ่านทางนี้สินะ?”เด็กคนนั้นถามเสียงใส

      ใช่....แล้วเธอจะถามผมทำไม

      เคยอ่านนิยายของอาจารย์ท่านนี้บ้างเปล่า?”

      ไม่ ไม่เคยอ่าน

      รอตรงนี้ก่อนนะเธอส่งกำชับหยิบหนังสือไปยังเคาน์เตอร์ ส่วนผมก็ได้แต่มองตามด้วยความงุนงงแม้เธอจะเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักแต่นิสัยแปลกๆแบบนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะคบค้าสมาคมเท่าไร

      ไอ้ที่บอกให้รอนะผมไม่คิดจะทำอยู่แล้ว

      แต่ผมต้องการหนังสือเล่มหนึ่งฉะนั้นจึงต้องวนเวียนในร้านอย่างไม่เต็มใจนัก สิ่งที่ผมต้องการคือไลท์โนเวลเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่พิมพ์ออกมาค่อนข้างนานจึงหายากเป็นพิเศษ ถามว่าทำไมผมพึ่งสนใจไลท์โนเวลเรื่องนี้คงเพราะอนิเมะฤดูกาลใหม่ไม่มีอะไรน่าสนใจจึงไปค้นเรื่องเก่าๆ ที่ดูไม่จบ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กมัธยมปลายผู้ยึดมั่นในโลกสีเทา ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องที่ทำให้เปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ จนเกิดสถานการณ์หนึ่งทำให้เขาต้องผันตัวเป็นนักสืบเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชั้นตามหาความจริงเมื่อราว30ปีก่อน

      สำหรับอนิเมะผมดูจบไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้โครงเรื่อง มุมมอง ความคิดจะมาจากฉบับนิยายแต่คนที่ผ่านการอ่านไลท์ โนเวลอย่างโชกโชนเช่นผมย่อมรู้ดีว่า จะมีส่วนแตกต่างและส่วนใหญ่การอ่านฉบับนิยายจะทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้ผมตามหาหนังสือเล่มนั้น

       ในที่สุดสิ่งที่ผมต้องการก็ปรากฏอยู่ด้านหน้า

      ผมนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อลดความปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อส่วนล่าง

      พลิกดูไปมา2-3ครั้ง ตรวจให้แน่ใจว่าไร้รอยขีดข่วน มุมหนังสือไม่มีรอยยับ และแน่ใจว่าเลือกเล่มไม่ผิดหน้าปกคือเด็กสาวผมยาวสีดำขลิบดวงตากลมโตสีม่วงอมแดง ชุดนักเรียนกะลาสีแขนขาวสีขาวสะอาดถือสมุดชมรมเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว โอเครับรองเล่มนี้ไร้ตำหนิ

      “หืม นายชอบนิยายแบบนี้หรอ”พอหันกลับตามเสียงเรียก เด็กคนนั้นกำลังจ้องผมจากด้านหลัง

      “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”พูดอย่างรำคาญ

      “เรื่องนี้เป็นอนิเมะด้วยใช่มะ ถึงจะไม่ค่อยได้ดูแต่ชอบดีไซน์ตัวละครมากเลยละ”เธอหัวเราะพรางนั่งกอดเข่าลงข้างผม

      “แล้วก็นี้ คืนวันศุกร์หน้านะ”พูดจบก็ยัดถุงพลาสติกขนาดเล็กบนมือผม จากสัมผัสมันเป็นของแข็งทรงสี่เหลี่ยมไม่ต้องเดาก็รู้ทันทีว่าของด้านในคือหนังสือ

      “ให้ทำไม?”ผมไม่เข้าใจกับการกระทำของเธอ

      “นายไม่เคยอ่านก็ลองอ่านสะสิ”

      “ฉันกับเธอรู้จักกันตอนไหนถึงมาให้นิยายกันเนี้ย”

      “รู้จักกันเมื่อ7นาทีก่อน อีกอย่างนิยายของอาจารย์ท่านนี้สนุกจริงๆนะ”นอกจากน้ำเสียงตื่นเต้นดวงตาสีเขียวมรกตยังเปล่งประกายคาดหวังจนผมเลือกปฏิเสธไม่ได้

      “เรียกว่ารู้จักได้ยังไง ชื่อเธอฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”เด็กคนนั้นเอานิ้วชี้มาจรดริมฝีปากเหมือนทำท่าครุ่นคิด

      “ลืมบอกจริงๆด้วยแฮะ”จากนั้นก็หัวเราะแผ่วเบาราวกำลังเขินอาย

      “มินาโฮะ คาซุมิ”

      มันเป็นมารยาทเมื่อมีใครบอกชื่อแล้วต้องแนะนำตัวกลับ แม้จะไม่เต็มใจ

      “มาทาทากิ ฮายาโตะ”

      “อื้อ”เธอขานรับสดใส จากนั้นมินาโฮะลุกขึ้นยืน

      “ไปละ เจอกันวันศุกร์หน้านะ”ผมกำลังจะเรียกเธอให้หันกลับมาแต่ร่างเล็กๆนั้นวิ่งตรงยังด้านหน้าไม่สนใจคำเรียกของผมแม้แต่น้อย

      ได้แต่เกาหัวด้วยความงุนงง มองถุงพลาสติกในมือตัวเอง สรุปแล้วผมสมควรอ่านไอ้นี้สินะ.....

       

       

      หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงเหตุการณ์ได้ดีอย่างที่เด็กคนนั้นบอก การผูกเนื้อเรื่องมีกุญแจสู่การไขปริศนากระจายอยู่ทุกบท  ภาษาบรรยายใช้ศัพท์ธรรมดาแต่อ่านแล้วลื่นไหล พอกล่าวถึงช่วงเวลาเจ็บปวดยังมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร บางครั้งก็มีศัพท์ประหลาดระหว่างบทสนทนาของตัวเอก มีความคิดว่ามันแปลกไปไม่สมควรใช้คำแบบนี้แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ใครจะคิดกันละว่าใช้คำพ้องเสียงในการทิ้งปริศนา

      พออ่านขั้นตอนแก้คดีจบ ไม่นึกเลยว่าฟิสิกที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่มัธยมต้นจะสามารถฆ่าคนได้ เพียงแค่คำนวณทิศทาง แรงเหวี่ยง สถานที่ในการลงมือ รอคอยเวลาเหมาะสม เรียบร้อยคุณกลายเป็นฆาตกรเต็มตัว

      ผมปิดนิยายเล่มใหม่เอี่ยม พยายามให้สะทกสะเทือนน้อยที่สุดเพราะผมไม่ใช่เจ้าของหนังสือเล่มนี้  เวลาเพื่อนยืมนิยายไปแล้วทำยับกลับมาไม่มีใครหรอกที่ไม่หัวเสีย บางทีคุณอาจคุ้นเคยประโยค “ของรักของข้า” ในภาพยนตร์คลาสสิคที่มีตัวประหลาดไล่ล่าตามแหวนไปสุดขอบจักรวาล ฉะนั้นยามใดที่คนอื่นให้ยืมนิยายจงเก็บรักษาให้เหมือนของรักของตน  เขาอาจโกรธเกลียดคุณ จ้องติดตามรอเวลาแก้แค้นพร้อมบอกว่า “เจ้าทำร้ายของรักของข้า”

      วนเวียนถึงวันศุกร์ครั้งใหม่ เมื่อมีนัดยามโรงเรียนเลิกจึงตรงดิ่งยังร้านหนังสือ ดูรายชื่อสิ่งของเข้าใหม่เมื่อไม่มีของที่ต้องการจึงหยุดเดินอยู่บริเวณหน้าร้าน หยิบนิยายสืบสวนเล่มนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

      ผมอ่านนิยายเล่มนี้เป็นรอบที่4 เก็บเกี่ยวรายละเอียดทำความเข้าใจตัวละคร วิเคราะห์เหตุการณ์ตามตัวเอก..ไม่ว่าจะอ่านครั้งที่เท่าไหร่ พลิกอ่านเนื้อเรื่องมากแค่ไหน ยิ่งรู้สึกอยากรู้มากกว่านี้ อยากเข้าใจมากกว่านี้ อยากอ่านต่อมากกว่านี้ โดยรวมเป็นเรื่องที่อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ

       

      “ไง ติดใจมั้ยละ?”เสียงใครบางคนทักขึ้นมาทำให้ผมที่อ่านปกหลังหนังสืออยู่สะดุ้งเฮือก ครั้งนี้มินาโฮะรวบผมยาวประบ่าสีส้มของเธอเป็นหางม้าสั้นๆ

      “ก็สนุกดี”ผมส่งนิยายคืนให้เจ้าของ หลังจากมองสันขอบตรวจดูปกเล็กน้อย เธอเก็บมันเข้ากระเป๋านักเรียน

      “อันนี้ เอามาให้ใหม่”ว่าแล้วเธอยื่นหนังสืออีกเล่มมา คราวนี้ไม่ใช่นิยายสอบสวนแต่เป็นไลท์ โนเวลเรื่องใหม่ที่ผมยังไม่ทันได้ซื้อ

      “เกรงใจจังแหะ เธออ่านรึยังเนี้ย?”สภาพของมันเหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาเลยสักนิด

      “อ่านแล้ว ไม่งั้นฉันไม่ใส่ปกไว้หรอก”ที่มันดูใหม่คงเพราะมินาโฮะใส่ปกใสไว้ด้วยกระมั้ง พลิกหนังสือไปมาเพื่อตรวจสอบเล็กน้อย จากนั้นก็นึกได้ว่ามีบางอย่างที่อยากให้เธอ

      “จริงๆแล้วฉันก็....”ผมควานหาสิ่งที่ต้องการในกระเป๋าสะพายสีน้ำเงินพอสัมผัสลักษณะคุ้นเคยจึงหยิบออกมาให้เด็กคนนั้น

      “เรื่องที่นายดูเมื่อวันศุกร์นี้”เธอรับมันไป ก่อนเธอจะเปิดดูลักษณะด้านในผมยื่นมือไปห้ามไว้ก่อน

      “ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบ คือ.....”พยายามคิดหาสาเหตุที่เธอสมควรอ่าน

      “เนื้อเรื่องเนี้ยบมีเหตุมีผล ภาษาอ่านเข้าใจง่าย บทบรรยายก็ดูดี...”เสียงใสขัดขึ้นก่อนผมจะพูดจบ

      “อื้อ งั้นกลับไปบ้านแล้วฉันจะอ่านนะ”มินาโฮะยิ้ม เก็บหนังสือเข้ากระเป๋า

       “มาทาทากิคุง ปกติกลับทางรถไฟฟ้ารึเปล่า”

      “ก็กลับได้นะ”ถึงส่วนใหญ่จะขึ้นรถประจำทางกลับมากกว่าก็เถอะ

      “มีร้านขนมใกล้ๆสถานีรถไฟฟ้า โปรโมชั่นไปเป็นคู่ได้ส่วนลด20%”ผมพอเดาเรื่องออกแล้วว่ามินาโฮะต้องการสื่ออะไร

      “เธอชวนผู้ชายที่รู้จักกันไม่ถึง10ครั้งไปด้วยกันสองต่อสองเนี้ยนะ?”

      “เทนงาวาระเป็นโรงเรียนเอกชนเลิกช้าฉันก็ต้องรีบมาเพราะกลัวนายรอนาย ไม่งั้นคงได้กินเค้กกับเพื่อนแล้วละ”สรุปคือผมเป็นสาเหตุให้เธอไม่ได้กินขนมกับเพื่อนสินะ

      “ร้านนี้มิลค์ที(milk tea)อร่อยมากเลยนะ”เธอยังพยายามชักชวนต่อ

      “มันเหมาะไหมละ พาผู้ชายที่ไม่สนิทไปเป็นเพื่อนเนี้ย”

      “แล้วนายคิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนกล้าทำอะไรฉันรึไง”แค่นิสัยเธอก็กินขาดไม่กล้ายุ่งแล้ว ต่อให้เปิดโอกาสเต็มที่ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากได้ยัยนี้เป็นแฟน

      ผลสุดท้ายผมมายืนอยู่หน้าร้านทันสมัยใกล้รถไฟฟ้า

      ป้ายด้านบนเขียนชื่อร้านด้วยฟอนต์ตัวกลมสีสดใส ประดับตกแต่งเป็นโทนสีพาสเทล กระจกใสทำให้มองเห็นภายในร้านโต๊ะ เก้าอี้ และชุดพนักงานส่วนใหญ่เป็นสีขาวดูสะอาดตา แทรกด้วยสีเขียวของใบไม้ผมคิดว่ามันเป็นพวกเฟิร์นละมั้ง...และคงเป็นของปลอมด้วย

      เด็กสาวด้านข้างเปิดประตูกระทบกระดิ่งส่งเสียงกังวานใส พนักงานกล่าวต้อนรับด้วยความเป็นมิตร หญิงสาวในชุดเมดยาวคลุมขาดูมีอายุมากที่สุดเดินนำเรายังโต๊ะที่นั่ง ส่งเมนูให้พวกเราอย่างสุภาพเรียบร้อย

      “มาทาทากิคุงกินอะไรมั้ย?”มินาโฮะถามผม

      “ไม่ละ ฉันไม่ชอบของหวาน”เธอยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง  ดวงตากลมมรกตไร้แววไร้ซึ่งชีวิตชีวาราวกับไม่ใช่คนที่พูดคุยกับผมเมื่อครู่

      “มิลค์ที2กับสโคนคะ”หลังจากเธอวิเคราะห์เสร็จส่งเมนูกลับให้พนักงาน หญิงสาวจดรายงานเมื่อครู่ลงกระดาษ ทวนอีกหนว่ารายงานที่ส่งมีเพียงนี้พอได้คำกำชับเธอเดินออกอย่างนอบน้อม

      “เธอจะดื่มชา2ถ้วยหรอ?”

      “นายโง่หรือเปล่า ฉันสั่งให้นาย”นอกจากคำตอบยังโดนว่ากลับมาอีก

      “ฉันไม่ชอบของหวาน”

      “พอได้กินสักครั้งแล้วนายจะติดใจ”ว่าจบเธอหยิบสมุดมีเส้นพร้อมกล่องอุปกรณ์การเรียนขนาดเล็ก ใช้ดินสอขีดเขียนบางสิ่งต่อในบรรทัดว่างเปล่าด้านล่าง

      เสียงรบกวนรอบข้าง ทั้งจากสถานีรถไฟฟ้า จากผู้คนในร้านทำลายสมาธิมินาโฮะไม่ได้แม้แต่น้อย เธอยังคงเขียนบางสิ่งในสมุดมีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อยยามเธอหยุดเคลื่อนไหวแท่งดินสอเพื่ออ่านทวนบางสิ่งบนสมุด ผมหันหน้าหนีไม่ยอมมองเด็กคนนั้นอีก ทำไมกันผมถึงจ้องมองเธอตลอดเวลา....ยอมรับว่าผมสนใจเธอจากลักษณะภายนอก ถึงใบหน้าจะดูซีดไร้ชีวิตชีวาไปหน่อยแต่กลับดูน่ารักสมวัยมากกว่าพวกแต่งหน้ามาเรียน ทรงผมไม่ได้จัดแต่งดูดีแค่รวบหลวมๆสะดวกต่อการทำกิจกรรม แต่หลังจากได้พูดคุย ผมยิ่งสนใจเธอมากขึ้นไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด

      “นี้ๆ อย่าพึ่งนอนสิ”สัมผัสเบาๆเขย่าลำตัวผมไปมา จนทำให้ผมเหลือบมองว่าเกิดอะไรขึ้น

      “ดื่มชากัน”ผมหางม้าสีส้มสะบัดเอียงตามแรง เธอยกแก้วประดับลวดลายสวยขึ้นจรดริมฝีปาก เด็กผู้หญิงไม่ว่านิสัยยังไงก็ชอบของหวานสินะ

      ผมไม่ชอบดื่มชาจึงไม่รู้รสชาติมาตรฐานว่าแต่ละชนิดควรมีรสเช่นไร สำหรับมิลค์ทีถ้วยนี้แค่หยิบขึ้นมากลิ่นหอมน่ารับประทานลอยฟุ้งเตะจมูก ยิ่งสูดดมยิ่งเหมือนเชิญชวนให้ลิ้มลองเครื่องดื่มสีน้ำตาลหวาน สัมผัสแรกยามน้ำชาไหลผ่านลิ้นยังลำคอคือรสหวานละมุน ผ่านไปสักครู่รสชาติหอมหวานยังติดอยู่ปลายลิ้นและประสาทรับรู้

      “อร่อยใช่มั้ย”เธอพูดอย่างมีชัย ซึ่งผมยอมรับความพ่ายแพ้ครับเป็นรสชาติที่กินครั้งเดียวแล้วลืมไม่ลง

      “กินกับสโคนยิ่งอร่อยเลยนะ”เธอปาดแยมข้างเคียงบนขนมหวานรูปลักษณ์เหมือนเอแคลร์ ครั้งนี้ผมน้อมรับด้วยความยินดี สโคนเป็นขนมที่ถูกคิดค้นคู่กับการดื่มชา กัดเข้าไปคำแรกรู้สึกถึงความแข็งกรุบกรอบ เนื้อด้านในค่อนข้างร่วนและนุ่มฟู เพียงจิบชาเข้าอีกหน่อย รสหวานผสมผสานกับความมัน กลิ่นหอมละมุน เพิ่มรสชาติที่ยังหวานติดปลายลิ้น

      “ไม่ชอบของหวานเลยเนอะ”

      “ยุ่ง”

                      ชุนกับยูตะน้องชายของผมขึ้นมัธยมต้นทั้งคู่แล้ว พอทำอาหารเป็นบ้าง ฉะนั้นการกลับบ้านช้าจึงไม่เป็นปัญหาอะไรนัก  นานครั้งเที่ยวเล่นบ้างคงไม่มีใครว่าอะไร ผมหารเงินกับมินาโฮะเรื่องเงินค่าของหวานเมื่อครู่ถึงราคาไม่ได้สูงอย่างที่คาดแต่ให้คนพึ่งรู้จักเลี้ยงมันก็ไม่ใช่เรื่องดี

      หลักจากนั่งรถไฟฟ้าไป3สถานีเด็กสาวกล่าวคำอำลากับผม กว่าจะได้คุยกันอีกทีคงเป็นสัปดาห์หน้าสินะ...

      ถึงบ้านยังไม่ทันพูดว่า “กลับมาแล้ว”เปิดประตูพบกับร่างน้องชายทั้งสองยืนยิ้มมีเล่ห์นัย ผมรู้สึกถึงรัศมีอันตรายจึงเดินพรวดขึ้นห้องแม้น้องคนโตจะส่งเสียงหยอกล้อว่ากลับช้าเพราะมีแฟนใช่ไหม ผมเลือกไม่ตอบ ไม่สนใจปิดประตูห้องทันที บ้านหลังนี้ไม่มีผู้ใหญ่ดูแลเรา3พี่น้องจึงสนิทกันเหมือนเพื่อน ถึงบางทีชุนกับยูตะจะไม่ให้ความเคารพพี่โตเลยก็ตาม คุณแม่เราเสียชีวิตตั้งแต่ผมอยู่มัธยมต้นด้วยโรคร้าย คุณพ่อนานๆทีถึงกลับบ้านเพราะท่านติดทำราชการในต่างเมือง  ผมหยิบรูปถ่ายครอบครัวบนโต๊ะขึ้นมา ความทรงจำอบอุ่นกำลังไหลเวียนภายในห้วงคำนึงผมอีกครั้ง คุณแม่เป็นคนอารมณ์ดี รอยยิ้มท่านเปล่งประกายราวพระอาทิตย์ งดงามคล้ายนางสวรรค์ อ่อนโยนเฉกเช่นหยาดน้ำ  ท่านชอบอ่านหนังสือ รอบรู้เรื่องราวมากมาย

      เหมือนกับเด็กคนนั้น

      คนที่มีผมสีส้ม ดวงตาสีมรกตคาดเดาอารมณ์ได้ยาก ผมเขียนบางสิ่งใส่กระดาษให้เธอในหนังสือ พอจินตนาการว่าได้คำตอบที่ต้องการก็หุบยิ้มไม่อยู่ แต่ก็ต้องหยุดลงกะทันหันเมื่อคิดได้

      ผมแค่รู้สึกสนใจเธอ....แค่นั้นใช่ไหม

       

                      วันศุกร์วนมาอีกครั้ง ตลอดสัปดาห์ผมคิดถึงแต่เรื่องเด็กที่ชื่อ มินาโฮะ นิยายที่เธอให้มาถึงกับอ่านไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ปกติผมสามารถอ่านหนังสือได้แม้แต่ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ครั้งนี้เธอยืนรอผมอยู่ก่อนแล้ว สิ่งผิดแปลกอย่างแรกที่ผมรับรู้คือทรงผมเธอแปลกไป

                      “ตัดผมหรอ”เธอสะดุ้งเล็กน้อยพรางจับปลายผมสีส้มของตน

                      “อือ...แต่ร้านตัดสั้นไปหน่อยดูแย่ใช่ไหมละ”เสียงของเธอยังราบเรียบเหมือนปกติ

                      “ก็น่ารักดี ไม่ได้เลวร้าย”เหมือนเธอจะยิ้มดีใจอยู่แว่บหนึ่ง

                      “จริงหรอ...เพื่อนฉันบอกว่ามันไม่ดูดีเท่าทรงเก่า”ผมเห็นด้วยกับเพื่อนเธอว่าผมยาวประบ่าดูดีกว่า

                      “ตอนผมยาวก็สวย แต่ทรงนี้น่ารัก”การชมเด็กผู้หญิงตรงๆทำให้ทั้งใบหน้าเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

                      “เอ่อ...คืน”มินาโฮะกลบเกลื่อนด้วยการยื่นหนังสือเล่มบางมาให้ หลังจากผมรับมันเสร็จเธอแทบจะวิ่งออกไปทันที เดี๋ยวสิ ครั้งนี้ยังไม่ได้คุยเลย แล้วนิยายที่ผมเอามาแลกกับเธออ่านละ

                      ผมถอนหายใจเพราะคิดว่าเธอคงไม่วิ่งกลับมา ขณะกำลังเก็บนิยายที่ได้รับคืนก็พลันนึกได้ว่าตัวเองเขียนข้อความใส่ไว้ พึ่งรู้สึกว่าหนังสือของตัวเองแปลกไปสาเหตุจากปกใสไม่ทราบที่มา มินาโฮะคงเอาใส่ให้ตอนเธอยืมไปอ่าน พลิกมาหน้าแรกกระดาษสมุดของผมแทรกอยู่ตรงสันปก

      โค้ดเนมไลน์เขียนไว้บนกระดาษแผ่นนั้นพร้อมตัวการ์ตูนลายแรคคูนจากหนังฮีโร่ เธอเขียนสิ่งที่ผมอยากได้มาจริงๆด้วยยืนยันว่าผมมีโอกาสคุยกับเธอทุกวันแล้วสินะ

      พวกเรายังคงทำอย่างเดิมเจอกันทุกวันศุกร์แลกหนังสือกันอ่าน บางครั้งก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันบางหนก็นั่งเล่นตรงสวนสาธารณะ นอกเหนือวันศุกร์ผมยังทักเธอในไลน์ทุกวันช่วงที่พวกเราคุยกันนานที่สุดคือราว1ทุ่มถึง3ทุ่ม แลกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดคุยเรื่องราวต่างๆ จากคนไม่รู้จักแปรเปลี่ยนเป็นความสนิทสนมอย่างไม่รู้ตัว ทุกวันดำเนินเรื่อยไปเวลาผมมีแข่งขันกรีฑาเธอมักมายืนในจุดผู้ชมหลังจบการแข่งขันเธอจะเข้ามาหาผมพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เยี่ยมมาก”

      งานวัฒนธรรมโรงเรียนเทนงาวาระเธอเชิญให้ผมไปดูเ ห้องมินาโฮะแสดงละครโครงเรื่องมาจากนิยายเล่มแรกที่เธอให้ผมอ่านแม้เธอไม่ได้รับบทแสดงเพราะทำงานอยู่ด้านหลัง แต่ทั้งบทพูด การตัดฉาก การดำเนินเรื่องตัดและดัดแปลงอย่างลงตัว คนเขียนบทคงไม่ใช่ใครนอกจากเธอ

      ครั้งแรกที่เธอชักชวนผมไปดูหนังย้อนยุคเรื่องหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าเธอนิยามมันว่าอะไรแต่ผมคิดว่ามันเหมือนการเดท เธอได้ตั๋วหนังมาฟรีเพราะเป็นผลงานนิยายของคุณแม่ซึ่งนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ รอบพิเศษคุณแม่ของเธอไม่ว่างจึงชวนผมแทน ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่ตัวสำรองแต่ก็อดมีความสุขไม่ได้เธอยังมองเห็นว่าผมสำคัญอยู่

      เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นทุกช่วงเวลา ทำให้ความผูกพันที่ผมมีเริ่มเกินคำว่าเพื่อน ความสนใจที่มีเป็นทุนเดิมยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อได้รู้จัก เพียงแต่ต้องปกปิดไว้

      เวลาเวียนวนเกือบครบหนึ่งปี ไม่รู้เธอจำได้หรือเปล่าว่าวันเสาร์ที่กำลังมาถึงเราจะรู้จักกันครบ365วัน ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเธอ

                      “พรุ่งนี้ว่างมั้ย?”ยามนี้เวลาเกือบสี่ทุ่มผมก็ไม่คิดว่าเธอจะตอบทันทีทันใด

                      ว่างนะ จะชวนไปไหนหรอ  เธอส่งข้อความกลับพร้อมสติ๊กเกอร์ตัวหนึ่ง

                      “ไปดูหนังกัน”เมื่อ2เดือนที่แล้ว เธอบอกว่าอยากดูภาพยนตร์อนิเมชั่นตะวันตกเรื่องหนึ่ง

                      เอาสิ เรื่องอะไร? แล้วไปกี่โมงดี?? ข้อความตอบกลับทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา

                      “เรื่องที่เธออยากดูนั้นละ เจอกันประมาณเที่ยงละกัน”

                      โอเค เจอกัน >< เธอส่งข้อความอีกครั้งพร้อมอิโมค่อน ผมถอนหายใจโล่งอกหันไปยิ้มให้กับรูปภาพครอบครัว

      เอาละ

      วันรุ่งขึ้นผมจะสารภาพความในใจแล้วนะ คุณแม่เอาใจช่วยผมด้วยนะครับ!

       

       

       

       

      - -ของแถม- -

      ภาพยนตร์อนิเมชั่นจบได้ซึ้งกินใจเหมือนเรื่องก่อน การ์ตูนเพลงค่ายนี้ไม่ได้เน้นความรักของเจ้าหญิงเจ้าชายอีกแล้วสินะ

      “ฉันอยากได้หุ่นยนต์แบบเจ้าบอลลูนสักตัวจัง คงสนุกน่าดูเลย”เด็กสาวด้านหน้าไม่ได้มีส่วนสูงเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วแม้เธอจะเข้าชั้นมัธยมปลายปี2ก็ตาม วันนี้เธอแต่งตัวธรรมดาไม่ได้หรูหราเสื้อคอกลมลายน่ารัก กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ทรงผมที่เคยสั้นจนรวบไม่ได้ยามนี้ถักเปียตะขาบหลวมๆขนาบข้างศีรษะทำให้เธอดูเด็กขึ้นราว2-3ปี

      “นี้มินาโฮะ....”ผมตัดใจแล้วว่าจะสารภาพความในใจ เพราะฉะนั้นใจเย็น เรียบเรียงคำพูดให้ดี

      “ในโลกนี้ใครคือฮีโร่ของเธอหรอ”เชื่อมโยงกับเรื่องที่ดูไปเมื่อครู่

      “ก็ต้องคุณพ่อสิ แม้ท่านจะเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็กแต่ท่านยืนอยู่ข้างความยุติธรรม เชื่อมั่นในสิ่งที่เรียกว่าสันติ”เธอหลับตาลงเหมือนระลึกความหลัง

      “งั้นหรอ.....”ผมเริ่มหมดเรื่องคุย ในหัวพยายามหาคำต่อใจความสมบูรณ์และเชื่อมโยงยังเรื่องที่ต้องการสารภาพ

      “ฮีโร่สำหรับฉันคงเป็นคุณแม่ คนที่คอยเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก ทุกการกระทำ ทุกสิ่งรวมถึงรอยยิ้มของท่านยังอยู่ในใจฉันเสมอไม่เคยเลือนหรือหายไป”

      “รักคุณแม่จังเลยนะ”เธอยิ้มให้ ผมขานรับในลำคอเวลาเคลื่อนผ่านไปชั่วครู่ก่อนที่จะทำลายความเงียบด้วยประโยคหนึ่ง

      “เมื่อวานทานอะไรไป”เริ่มทำตามเพลงหนึ่งที่เคยฟัง

      “เอ๋ อะไรนะ..อืมม โซบะละมั้ง....”เธอทำท่าประจำยามครุ่มคิด

      “คิดอะไรอยู่หรอ”

      “อยากได้น้องชายแบบพระเอกจังเลยนะ”

      “คิดถึงฉันบ้างรึเปล่า?”เมื่อได้ยินคำถามเธอหันมาจ้องผมทันที

      “หมายความตามอย่างที่ฉันคิดรึเปล่า?”ผมอยู่กับเธอมานานจนพอเดาออกแล้วว่าเธอกำลังคิดอย่างไร

      “ตามนั้นละ”ดวงตามรกตกระพริบปริบๆ ไม่มีเสียงเล็ดลอดจากเธอมีเพียงแค่ใบหน้าแดงก่ำ ปกติเด็กสาวมักไล่ตามความคิดผมทันบางครั้งก็มองการณ์ไกลกว่าผมจินตนาการ แต่ตอนนี้เธอดูเป็นเด็กสาวใสซื่อธรรมดาเป็นปฏิกิริยาตอนทำอะไรไม่ถูก มองแล้วลักษณะแบบนี้ก็น่ารักดี

      “คิดถึงฉันบ้างมั้ย?”ถามย้ำอีกรอบพรางยื่นหน้าเข้าไปใกล้

      “เดี๋ยว เดี๋ยว ฉันไม่เคยมีแฟน แล้วไม่รู้ด้วยว่าเวลามีความรักเป็นยังไง”ผมหลุดหัวเราะ นิสัยประหลาดแบบนี้ไม่แปลกหรอกที่อายุ17แล้วยังไม่มีแฟน

       

       

      “ไม่ต้องรู้หรอกว่าความรักเป็นยังไง แค่รู้ว่าอยู่กับฉันแล้วมีความสุขก็พอ”

       

       

       

       

      Talk
      เราแต่งอะไรน้ำเน่าแบบนี้ได้ด้วย//จุดพลุฉลอง
      แทบไม่เชื่อเลยคะว่ามีคนอวยคู่นี้ เราเลยแต่งสนองสะเลย นี้มันฟิคแซะเรื่องอื่นชัดๆตั้งแต่เพลง นิยาย ยันหนัง  555
      ใครติดตาม
      say it รอต่อไปค่า สักพักเดี๋ยวอัพต่อ ><
      ฟิค(เกือบ)สด มีเวลาแล้วจะแก้ไขคำผิดนะคะ

      Update

      แก้คำผิดเรียบร้อยคะ รายนามสิ่งที่โดนแซะไป
      1.คินดะอิจิ (นิยายที่มินาโฮะให้ทักกี้อ่าน)                           2.เฮียวกะ(อนิเมะ+ไลท์โนเวล ทักกี้ให้มินาโฮะอ่าน)
      3.
      Lord Of The Ring (ของรักของข้า)                                   4. Guardians Of The Galaxy(การ์ตูนลายแรคคูน)
      5.
      Big Hero 6 (ทักกี้กับมินาโฮะดูหนัง)                                 6.Ai Kotoba(เพลงที่ทักกี้นึกถึง)

      อยากแซะเยอะกว่านี้อีกนะ แต่นึกไม่ออกแล้ว ฟฟฟฟ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×