คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : วาระสุดท้ายแห่งชัยชนะ ( 50/100)
ตอนที่ 6 วาระสุดท้ายแห่งชัยชนะ
ร่างสูงตระหง่านในชุดนักรบสีดำกระโดดลงจากม้าศึกพร้อมกับที่เหล่านักรบได้ชักม้ารอบวงสนทนาของผู้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ไว้ได้ในพริบตา อรชุนรับความเคารพจากน้องชายและผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะที่ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“องค์กฤษณะสิ้นแล้ว” อานนท์ถวายความเคารพพี่ชายและรายงานความเคลื่อนไหวอันสะท้านสะเทือนให้ทราบ ชายหนุ่มมองมือที่ปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วต้องสะกดคำอุทานไว้อย่างสุดกลั้น นั่นใบหน้าข้างซ้ายของอรชุน ทำไมเป็นเช่นนั้น
“พระองค์เสด็จไปพบองค์ราชินีเท่านั้นอานนท์ ขอบใจมากนาอูร์ที่ตัดสินใจส่งข่าวนี้ให้เราทราบ” ดวงตาสีน้ำตาลดั่งเยี่ยวเพ่งผ่านกำแพงเข้าไปยังเขตพระราชฐานด้วยหัวใจที่เหลือเพียงครึ่งดวง เขาทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์กษัตริย์ในคืนวันที่รอโจมตีหน่วยรบของชีวาราแค่ไม่กี่เพลาเท่านั้น ..ชายหนุ่มมองดวงตาอันเคียดแค้นของน้องชายและบอกเพียงว่า
“พี่ถูกธนู”
“ท่านอรชุน” นาอูร์ทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธที่ไหลเอ่อขึ้นมา ชายหนุ่มก้มศีรษะให้อีกครั้งในความเสียสละอันสูงสุดของผู้นำนักรบ แม้อรชุนจะไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ หากเลือดนักรบย่อมรู้ดีถึงความทรมานของธนูอาบยาพิษในสนามรบเป็นอย่างดี
“ชีวาราตกอยู่ภายใต้เงื้อมือขององค์ชายแห่งคีธาราหมดแล้ว ยากนักที่เมืองเล็กๆ เช่นนั้นจะต่อกรกับกองทัพกษัตริย์ แผลนี้คือแผลจากศรขององค์ชาย เป็นแผลแห่งเกียรติยศที่พี่จะไม่มีวันลืม” มือที่ยังพันไว้ด้วยผ้าหนาสีดำแตะที่ซีกแก้มคล้ายระลึกถึงความเจ็บปวดที่ฝังลึกลงในหัวใจ ดวงตาคมสีน้ำตาลเปล่งประกายวูบวาบเป็นเงาเมื่อกล่าวต่อไปว่า
“องค์ชายเสด็จอ้อมเขาสูงขึ้นทางเหนือเพื่อไม่ได้กองลาดตระเวนของเรามองเห็น มีการสร้างทางและอุโมงค์เพื่อส่งอาหารและเครื่องนุ่มห่มจากชีวาราออกไป องค์กษัตริย์และองค์ราชินีถูกกุมขัง องค์ชายแห่งคีธาราต้องการอภิเษกกับองค์นีรา”
“เป็นดังที่เราได้ข่าวจากชาวบ้าน” นาอูร์รำพึงกับตัวเอง ดวงตาดั่งนกเค้าแมวกวาดมองม้าศึกที่ยืนอารักขาไว้ด้วยสำนึกแห่งเลือดของข้าแผ่นดินเฉกเช่นเดียวกัน
“นีรา” ริมฝีปากบางเฉียบแสยะยิ้มคล้ายสมเพช ภาพขัตติยนารีแห่งเมืองเล็กๆ ผุดขึ้นในความทรงจำ อานนท์จำและระลึกได้ว่า องค์หญิงผู้นั้นงดงามและเต็มไปด้วยจริตมารยาอันหาสตรีใดเสมอเหมือน นางผู้ที่ใช้สมองอันชาญฉลาดต่อรองผลประโยชน์ไว้ให้แก่ชาวเมืองได้อย่างที่ใครไม่อาจคาดเดา องค์นีรา ขัตติยนารีราชแห่งกษัตริย์ชีวาราผู้อ่อนแอ
“ตอนนี้พระนางอายุยี่สิบสี่ชันษา เหมาะแล้วที่จะทำการอภิเษกสมรส เมื่อองค์ชายทุติยะยื่นข้อเสนออันน่าอภิรมย์ให้มีหรือที่นางจะรั้งรอ”
“จริงอยู่ที่นางอยากปลดแอกชีวาราออกจากความคุ้มครองของเรา แต่นางฉลาดเกินกว่าจะยอมอภิเษกกับองค์ทุติยะ” อรชุนเตือนสติน้องชายให้ย้อนรำลึกถึงอัจฉริยะขององค์หญิงผู้งดงาม
“องค์ทุติยะไม่ได้มีรูปโฉมอันหล่อเหลาไว้หลอกหล่ออิสตรีเท่านั้นหรอกท่านอานนท์ เราอันเป็นชายก็ทราบดีว่ารัชทายาทแห่งคีธาราโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้ใด อันที่จริงชื่อเสียงทางด้านนี้จะไม่เล็ดลอดไปถึงพระเนตรพระกรรณองค์นีราคงหามีไม่”
“เรื่องเกลือเป็นหนอน พี่จะสืบหาอย่างไร ส่วนข้าทำได้เพียงให้นาอูร์ติดตามผู้ต้องสงสัยเท่านั้น ยิ่งองค์กฤษณะสิ้น สถานการณ์ทุกอย่างยิ่งบีบคั้นเรา ข้ากังวล ถ้าข่าวรั่ว ทหารจะเสียกำลังใจ”
“ทหารทุกคนต้องรับความจริง แต่ความจริงนี้จะอยู่เพียงแค่พวกเราชายชาติทหารเท่านั้น ถ้าทุกคนสิ้นหวังเพียงเพราะองค์กฤษณะเสด็จเข้าเฝ้าองค์เทพแล้วละก็ เราจะมีชีวิตเป็นเยี่ยงทหารด้วยเหตุอันใด ในการศึกถ้าไม่ใช่เรา ก็ต้องศัตรู ชีวิตของเรา เราก็รัก แผ่นดินเรา เราก็หวงแหน ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องผืนดินแห่งชีวิตนี้ต่อไป เรียนท่านพ่อให้เรียกทหารเข้ากอง และบอกให้พวกเขารู้ว่าเราจะเดินทางไหน อย่ายึดคำโกหกเป็นนิจ เจ้าจะไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นชาย” ดวงตาแห่งนักรบที่ตวัดมองผู้เป็นน้องร่วมอุทรทั้งกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว
“นาอูร์ คืนนี้เราจะตระเวนรอบพระราชวัง ก่อนฟ้าสางเราจะเข้าทางประตูเมือง เจ้าคงรู้นะว่าจะต้องทำเช่นไร”
“ท่านเจ็บหนัก กองทัพของเราอ่อนล้า” ย้ำความหมายที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องการสื่อสาร
“หลังจากถวายพระศพ ทุกคนจะออกไล่ล่าศัตรูด้วยพละกำลังดุจสุริยฉาย ข้าหวังว่าข่าวนี้คงจะพอให้องค์ชายผู้โหดเหี้ยมหลงลำพองได้ชั่วระยะ และมีเวลาให้เราถวายพระศพได้อย่างสมพระเกียรติ”
ม้ารอบตัวเริ่มชักแถว ขณะเดียวกันอรชุนก็นำทัพแยกออกเป็นสองสายเพื่อลาดตระเวนรอบเขตพระราชวัง ชายหนุ่มทำสัญญาณมือขึ้นเหนือศีรษะจากนั้นจึงหายเข้าไปในเงามืดโดยไร้เงาแห่งการมาใดๆ
“เราจะประวิงเวลาได้นานเท่าใด นาอูร์”
“อย่างน้อยภายในเจ็ดวัน ข่าวสวรรคตต้องถึงองค์ทุติยะ” ทหารคู่ใจของหัวหน้าราชองครักษ์รายงาน นั้นยิ่งทำให้รองราชองครักษ์หนักใจ
“แล้วทำไม เราต้องรอให้ข่าวองค์กฤษณะสิ้นถึงหูศัตรู” ดวงตาอันกล้าแกร่งเปล่งประกาย เบือนหน้ามองผู้ที่ต้องรับคำสั่งทุกอย่าง แล้วบอกว่า
“อย่างไร อรชุนก็ต้องอภิเษกกับกฤษณา เราจะให้ท่านพ่อบอกข่าวนี้แก่ทหาร” ราชองครักษ์หนุ่ม แสยะยิ้ม เมื่อหาทางแก้ไขได้ “เราไม่ใช่คนดีหรือทหารที่ซื่อสัตย์อย่างอรชุนหรอกนาอูร์ ท่านไม่ต้องมองเราเหมือนตัวประหลาด”
“ข้าเปล่า เพียงแต่กำลังคิดว่า ท่านกลัวศัตรูรู้ หรือกลัวองค์นีราอภิเษกกับองค์ทุติยะกันแน่” ดวงตาดั่งนกเค้าแมววาบเรืองรอง หากรองราชองครักษ์ขึงตาดุ ปัดว่า
“นางควรอภิเษกนั้นถูกแล้ว หญิงเช่นนั้นก็เหมาะควรแก่ชายเช่นทุติยะเป็นอย่างยิ่ง เวลาลงมือตัดพระเศียรเราจะได้ไม่ต้องกังวลว่านางเป็นหญิง...สวามีเลวๆ ของนาง จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น”
“พระนางเพียงแค่จะอภิเษก ยังไม่ได้อภิเษกนะท่าน”
“ทุติยะไม่วางนางไว้บนหอคอยหรอก นาอูร์”
“ข้าไม่อยากออกความคิดเท่าไหร่ แต่ก็อดไม่ได้ตามประสา องค์ทุติยะออกศึกกับเราครั้งนี้คงหวังชัยชนะเป็นแน่แท้ และคงได้เตรียมเสบียงกรังและทางหนีทีไล่ไว้อย่างพร้อมสรรพ ถ้ารวมเมืองเกษตรกรรมเล็กๆ อย่างชีวาราไว้ได้แล้วละก้อ ทางเราคงจะต้องทลายภูเขาน้ำแข็งเพื่อหาทางออกสู่โลกภายนอกเป็นแน่แท้”
“บุรุษที่รบด้วยมารยา ย่อมไม่ใช่บุรุษที่แท้จริง เราไม่มีวันยอมแพ้หรอกนาอูร์ ต่อให้แผ่นดินกลบหน้า เราก็จะรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้ลูกหลานของเรา” ชายหนุ่มตวัดผ้าคลุมหน้าแล้วไต่เชือกขึ้นไปยังกำแพงเมืองโดยไม่ทันได้ยินคำรำพันของราชองครักษ์หนุ่มว่า
“จะโกรธอะไรนักหนานะท่าน พอเวลาเจอหน้าก็ทำเหมือนจะกัดจะฆ่า องค์นีราคงตรองไม่ตกเหมือนกันว่าจะยอมอภิเษกกับใครดี ระหว่างม้าป่าคะนองศึก กับหมาป่าผู้หิวโหย”
บ่นตามลมไปแล้ว นาอูร์จึงตัดสินใจไต่เชือกตามขึ้นไป โดยไม่รั้งรอ เขาเห็นภาพความยุ่งเหยิงของศึกครั้งนี้ชัดจนต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ไม่แน่ใจว่าจะเข้าข้างใครระหว่างองค์หญิงผู้ชาญฉลาดกับรองราชองครักษ์เจ้าเล่ห์
ส่งสาร
หายไปนานกลับมาเขียนก็ประดักประเดิด ลักลั่นไงไม่รู้
ความคิดเห็น