ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าเงาดาว

    ลำดับตอนที่ #4 : ผู้พิทักษ์ (100/ 100)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 56


     



    ตอนที่ 4 ผู้พิทักษ์



            สองคืนแล้วที่องค์กฤษณะได้รับคำชี้แนะจากขุนพลอาวุโสให้ทรงเกลี่ยกล่อมองค์หญิงรัชทายาท สองคืนแล้วที่ทรงไตร่ตรองและพิจารณาถึงกลอุบายที่จะล่อหลอกให้กฤษณายอมเดินตามเส้นทางที่วางไว้ ความจริงนั้นพระองค์เองก็รู้ในพระทัยดีว่าพระราชธิดาสนิทเสน่หาแก่สองพี่น้องตระกูลนักรบมากมายแค่ไหน หากเรื่องที่จะทรงเกลี่ยกล่อมนั้นก็สุดจะคาดเดาน้ำพระทัยระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง

              พระเนตรสีน้ำตาลอบอุ่นทอดมองร่างที่ซุกหลับอยู่กับพระที่ แล้วเอื้อมหัตถ์แตะที่เรือนพระเกศาด้วยความสงสาร ตั้งแต่องค์รานีทรงเสด็จเฝ้าองค์อินทร์บนสรวงสวรรค์ พระองค์ก็ทรงฟูมฟักสายโลหิตแห่งรักมาเพียงลำพัง ครั้นเจริญชันษาก็ทรงฝึกสอนยุทธวิธีทุกอย่างเยี่ยงกษัตริย์ด้วยความใส่พระทัย

              อรชุนและอานนท์คือบุตรชายของขุนพลอัสนีที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลองค์รัชทายาทมาตั้งแต่ครั้งมีพระสูติกาล และแม้นทั้งสองจะมีราชการหนักหนาเพียงใด หากเมื่อถึงคราที่ต้องเล่นกับ น้องน้อย พี่ชายทั้งสองก็จะให้ความดูแลเป็นอย่างดี

              ทว่าอรชุนที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำแห่งกองทัพแทนบิดานั้น แข็งแกร่ง เยือกเย็นเป็นผู้นำเกินกว่าที่จะเล่นหรือหยอกล้อกับน้องน้อยเช่นพี่ชายทั่วไป ต่างจากอานนท์ที่แม้ยามที่ต้องออกไปร่ำเรียนยังต่างเมืองหรือตรวจราชการยังแดนไกล ราชองครักษ์หนุ่มผู้นี้ก็จะมีของกำนัลมาฝากน้องสาวเสมอ

              กฤษณาเอ๋ย..เจ้าคือแก้วมณีของพ่อและแม่..คือสายโลหิตแห่งรักที่แม่เจ้าให้ไว้ต่างใจแด่พ่อเจ้า มาบัดนี้ก็ถึงเวลาที่พ่อจะต้องออกเดินทางไปพบแม่เจ้าแล้ว ลูกเอ๋ย..ลูกหญิงองค์น้อยของพ่อ พ่อรักเจ้า รักดั่งชีวิตของพ่อที่พร้อมจะสละเพื่อเจ้าและแผ่นดินของเรา

               กฤษณาน้อย เพลานี้ สิ่งใดก็ตามที่พ่อจะมอบให้นั้น ก็คือสิ่งที่พ่อได้ไตร่ตรอง พิจาณา และมองถึงกาลภายหน้าแล้วว่า ผู้ใดที่จะดูแลและคุ้มครองเจ้าสืบต่อจากพ่อได้

              องค์กฤษณะเบือนพระพักตร์จากพระเกศานุ่มสลวยเพ่งมองที่ลวดลายแห่งการสู้รบบนเพดานพลางถอนพระทัย พระอัสสุชลที่เอ่อล้นไหล่ปริ่ม หัตถ์หยาบกระด้างยังคงลูบไล้พระเกศานุ่มดั่งจารึกทั้งความรัก ความถวิลหา อาวรณ์ในรักที่มีอย่างสุดซึ้ง ใกล้แล้ว ใกล้แล้วซิหนอ เพลาที่ต้องเสด็จเฝ้าพระองค์อินทร์

              “ไม่เกินเจ็ดทิวา เกล้ากระหม่อม” น้ำเสียงที่แม้จะกลั้นสะอื้นไว้เพียงใด หากดวงตาของขุนพลทั้งสองที่แลสบมาก็แดงก่ำดั่งเลือดแห่งเนปาลีที่ไหลหลั่งไปทั่วทุกหัวระแหง

              แม้จะทรงทราบพระองค์ถึงเพลาที่จะต้องเริ่มถอยทัพ ทว่าการศึกที่คาราคาซังก็ยังรบกวนเกินกว่าจะถอยทัพกลับมารักษาพระองค์ ดังเช่นคนเห็นแก่ตัว ในเมื่อทหารยังรบ สองมือยังกวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องแผ่นดินได้ แล้วพระองค์จะนำความเจ็บป่วยเพียงน้อยนั้นมาเป็นข้ออ้างได้เช่นไร พระองค์คือหนึ่งลมหายใจ ทหารแห่งเนปาลีก็เช่นกัน

              กษัตริย์ซึ่งไร้เกียรติแห่งกษัตริย์ ก็ดุจพญาอินทรีย์ไร้ปีกโผบิน มีชีวิตอยู่ก็ด้อยค่าเกินกว่าจะหายใจ

               องค์กฤษณะลืมพระเนตรอีกครั้งด้วยวาระการส่งมอบครั้งสุดท้ายแห่งหน้าที่ อีกไม่นานพระองค์ต้องเสด็จขึ้นขบวนม้าสวรรค์ไปเฝ้าองค์อินทร์เช่นเดียวกับองค์รานี หน้าที่ครั้งสุดท้ายแห่งการเป็นพระราชบิดา หน้าที่ครั้งสุดท้ายแห่งการเป็นองค์เหนือหัวแห่งผืนดินอันศักดิ์สิทธิ์ของเนปาลีกำลังจะเริ่มต้น

              หัตถ์ใหญ่กระด้างแตะเบาๆ ที่นวลปรางค์อ่อนนุ่ม ตัดพระทัยละวางทุกอย่างแล้วตรัสว่า

              “กฤษณา ตื่นเทิดลูกรัก”

              พระสุรเสียงเบาแหบเครือ ทว่าทรงพลังดุจเทพไท้ที่ปกป้องรักษาเปิดพระทวารต้อนรับคำขอของพระองค์แล้ว ณ. บัดนี้ องค์กฤษณะแย้มพระโอษฐ์ แตะที่พระนลาฏนวลเนียนของดวงแก้วมณีล้ำค่า

              “เสด็จพ่อ”

              “ลูกรัก”

              องค์หญิงรัชทายาทยกพระหัตถ์กระด้างขึ้นแตะที่พระพักตร์ พลางพระอัสสุชลก็หลั่งรินด้วยความดีพระทัย

              “ลูก..ลูกกลัวเหลือเกินเพคะ กลัวเหลือเกิน”

              “มีสิ่งใดที่เจ้ากลัวหรือลูกรัก” แม้นสุรเสียงแหบเครือจะแผ่วเบาเพียงไร หากความอาวรณ์รักในสายพระโลหิตก็ส่งผ่านประกายเนตรสีน้ำตาลอยู่ทุกเพลานาที องค์กฤษณะทรงกรีดที่เปลือกเนตรอ่อนนุ่มสีนิล แตะพระอัสสุชลที่ละโหยไห้ทิ้งและแย้มพระโอษฐ์

              “กฤษณา นามของเจ้าคือนามของพ่อ”

              “เพคะ” แตะพระโอษฐ์ที่อุ้งหัตถ์ใหญ่ ทอดมองดวงเนตรสีน้ำตาลที่แลมาทั้งพระอัสสุชลไหลปริ่ม

              “เสด็จแม่ของเจ้า เคยขอร้องพ่อว่า อยากให้เจ้าเติบโตขึ้นเป็นนักรบเช่นเดียวกับพ่อ อยากให้เจ้ามีความอ่อนโยนเสมอเหมือนพระมารดาที่ต้องดูแลปวงประชาของเรา แม้นแม่เจ้าจะทรงอยู่แต่ในพระราชวัง ทว่าความเชี่ยวชาญในสรรพวิชาช่างมากมายยิ่งนัก มากมายกระทั่งพ่อต้องแต่งตั้งแม่เจ้าให้เป็นที่ปรึกษาประจำตัวพ่อ”

              “เสด็จแม่..ทรงเป็นองค์หญิงที่แข็งแกร่งยิ่งนัก” แม้นไม่เคยสัมผัสอ้อมกอดพระมารดา ทว่าพระบรมสาทิสลักษณ์ในห้องพระบรรทมก็ทำให้พระองค์ซาบซึ้งในความเข้มแข็งจากประกายเนตรอ่อนโยนคู่นั้นได้ดี

              ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ คราใดที่ต้องออกชั้นเรียนร่วมกับข้าราชบริพาร พระองค์ก็ต้องเข้าเฝ้าและทูลขอพรจากองค์พระมารดาเสมอ ดวงเนตรดั่งนิลที่ทอดมานั้นช่างอ่อนโยนละมุนละไมยิ่งนัก พระโอษฐ์ที่แย้มอยู่เป็นนิจ และกิริยาที่ทรงประทับบนพระเก้าอี้ ก็ทรงสง่างามยิ่งนัก แม้นเสด็จพ่อจะไม่ประทานเล่า หากทุกครั้งเมื่อมีโอกาส แม่นมที่ทรงดูแลก็จะถ่ายทอดความงามแห่งองค์รานีให้พระองค์ได้ฟังอยู่เสมอ

              “แม่ของเจ้าคือดวงจันทร์ที่ส่องแสงนำทางให้แก่พ่อ..กฤษณา” เนตรสีน้ำตาลขององค์กฤษณะเครือคลอด้วยความระลึกถึงองค์รานี พระพักตร์คล้ำจากพิษแมงมุมร้ายมีประกายขึ้นมาชั่วขณะ

              “ครั้งแรกที่พ่อพบแม่เจ้าที่ธารน้ำมรกตนั้น แม่เจ้าเกลียดพ่อนักที่พาม้าวิ่งลงธารจนทำสายน้ำขุ่นตะกอน ครั้งนั้น แม่เจ้าหนีไปเล่นน้ำกับนางข้าหลวง ไม่มีราชองครักษ์สักนายเดียว พ่อไม่เคยรู้ว่ามีใครแอบมาเล่นน้ำที่ด้านหลังหมู่บ้านที่ออกตรวจราชการ ไม่รู้กระทั่งว่า แม่เจ้าคือใคร”

              “เสด็จแม่เกลียดเสด็จพ่อมากหรือเพคะ”

              “เกลียด..เพราะพ่อทำให้ความสำราญแม่เขาหายไปกับสายน้ำ แม่เจ้าไม่ได้ต่อว่าพ่อหรอก เพียงแต่มองพ่อเท่านั้นกฤษณา ดวงตาของแม่เจ้า ดวงตาอ่อนหวานที่พ่อหลงใหลนั้น มองเหมือนพ่อไร้ซึ่งความเป็นชายชาตินักรบ แม่เจ้าทรงนิ่งยิ่งนัก..กฤษณา”

              “เสด็จแม่เป็นพระราชธิดาของเจ้าเมืองนี่เพคะย่อมแตกต่างจากชาวบ้านสามัญทั่วไป” แม้นจะเคยได้ฟังเรื่องราวความรักระหว่างพระองค์ทั้งสองมานักต่อนัก หากถ้อยความนั้นไม่เคยออกจากโอษฐ์พระบิดาแม้แต่ครั้งเดียว และพระองค์เองก็ทรงเกรงจะรบกวนพระทัยจนไม่กล้าเอ่ยถามถึงความหลัง

              “ใช่..พ่อไปตรวจราชงานที่หัวเมืองนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเลยที่พ่อจะพบแม่ของเจ้า” ทรงแย้มโอษฐ์เมื่อระลึกถึงความรักครั้งก่อน “แม่ของเจ้าร้ายนัก เพราะรู้แก่ใจว่าสักวันก็ต้องเข้ามาถวายตัวเป็นนางข้าหลวงในวัง เสด็จย่าเสด็จปู่ของเจ้าก็ไม่เคยบอกพ่อสักครั้ง พ่อเองก็รับรู้เพียงว่าสักวันต้องอภิเษก แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าต้องอภิเษกกับหญิงใด ไม่ระแคะระคายสักครั้งว่าทำไม เสด็จปู่ต้องมีรับสั่งให้พ่อไปตรวจที่เมืองของแม่เจ้าบ่อยครั้งกว่าที่อื่น”

              “เสด็จแม่คงหนีเสด็จพ่อ”

              “ใช่แม่เจ้าเกลียดพ่อ เกลียดเพราะไม่อยากเป็นราชินี แม่เจ้าอยากเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญ อยากลงเล่นน้ำในลำธารที่ไหนก็ได้ อยากเดินที่ไหนก็ได้โดยไม่มีข้าหลวงหรือทหารคอยตามให้เอิกเกริก”

              “แล้วเสด็จพ่อทำอย่างไรเพคะ เสด็จแม่ถึงทรงยอมอภิเษก”

              “ครั้งยังหนุ่มพ่อก็หุนหัน ใจร้อนดั่งไฟ ไม่เคยนึกถึงแม่เจ้า เมื่อให้ราชองครักษ์สืบและรู้ว่าแม่เจ้าคือใคร พ่อก็ขอให้เสด็จปู่มีพระบรมราชโองการให้แม่เจ้าเข้าถวายตัว หลังจากนั้นเจ้าคงเดาออกว่าแม่เจ้าจะทำเช่นไร”

              “เสด็จแม่ทรงเกลียดเสด็จพ่อใช่ไหมเพคะ”

              “ใช่ เกลียดจนแม่เจ้าไม่นึกถึงใครเลยนอกจากพ่อ” แย้มพระโอษฐ์และแตะที่ดวงเนตรดั่งนิลขององค์รัชทายาท ..เนตรที่เสมอเหมือนเนตรขององค์รานี “แต่นาน นานเหลือเกินกว่าแม่เจ้าจะใจอ่อนกับพ่อ”

              “เสด็จแม่ทรงองค์เล็กนิดเดียว ทำไมพระทัยแข็งนักเล่าเพคะ”

              “ก็แม่เจ้าเกลียดพ่อตั้งแต่แรกพบนี่ลูก ยิ่งถูกบังคับให้เข้ามาถวายตัว ก็ยิ่งเกลียดพ่อทบเท่าทวีคูณ แต่แม่ของเจ้าก็ใจแข็งกับพ่อคนเดียว พ่อถึงสบายใจว่าอย่างน้อยทุกลมหายใจเข้าออกของแม่เจ้าก็ยังมีพ่ออยู่”

              “เสด็จพ่อยอมให้เสด็จแม่เกลียดหรือเพคะ”

              “ยอมซิลูก ในความรักของมนุษย์ เรามักจะยอมทุกอย่างเพียงเพื่อจะได้แลเห็นคนที่เรารักอยู่เสมอ แม่เจ้ายิ่งเกลียดเท่าใดก็ต้องระลึกถึงพ่อมากเท่านั้น จากวันเป็นปี และอีกหลายปีกว่าที่แม่เจ้าจะมอบความรักให้แก่พ่อ และสิ่งที่พ่อเฝ้ารอคอยก็งดงามสูงค่ายิ่งนัก แม่เจ้าเป็นทุกอย่างในชีวิตพ่อ วันที่แม่เจ้าเดินทางไปเฝ้าพระองค์อินทร์ พ่อไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป แต่เจ้ากฤษณา..เพราะเจ้า..เพราะลูกคือลมหายใจที่แม่มอบไว้เพื่อต่อชีวิตให้แก่พ่อ”

              “ลูก..ลูก”

              “กฤษณา..ลูกรักของพ่อ เจ้าต้องเข้มแข็ง ต้องแกร่งดังเลือดกษัตริย์ที่หล่อหลอมอยู่ในตัวเจ้า เป็นดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านที่ใดก็ต้องนำความชุ่มฉ่ำไปที่นั้น จงให้สายน้ำทิพย์สายนี้เป็นดั่งวิญญาณที่จะหล่อรวมแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ให้กลับคืนมาสงบสุขอีกครั้ง”

              “ลูก..ลูกจะทำตามที่เสด็จพ่อรับสั่งเพคะ”

              “กฤษณา..อีกไม่นานพ่อจะตามเสด็จไปพบแม่เจ้า”

              “ไม่!” แม้นทรงทราบทุกขณะจิต หากเมื่อทรงต้องเผชิญความจริง พระองค์ก็มิอาจต้านทานกระแสแห่งความโทมทัสได้อีกต่อไป พักตร์งดงามซบลงกับพระหัตถ์หยาบกระด้าง พระอัสสุชลไหลอาบ พระอังสาสะท้านหวั่นไหว

              “ลูกรัก” พระเนตรสีน้ำตาลทอดมองพระเกศาที่ซุกอยู่กับพระหัตถ์คล้ายพระทัยจะหลุดลอย “กฤษณาของพ่อ.. ถ้าพ่อจะเสด็จไป ก็เพื่อไปดูแลแม่เจ้า”

              “ละ..แล้วลูกจะอยู่กับใครเพคะ ลูกยังต้องการเสด็จพ่อ”

              “กฤษณา..ลูกมีใจแก่อรชุนมากน้อยสักแค่ไหน”

              “เสด็จพ่อ!” พักตร์งามที่แดงเห่อ ผละจากพระหัตถ์หยาบกระด้างด้วยคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นคือความจริง “เสด็จพ่อตรัสถามลูกทำไมหรือเพคะ”

              “กฤษณา ลูกจะอภิเษกกับอรชุนได้หรือไม่”

              ดวงเนตรสีนิลแดงช้ำหลุบต่ำ มองแค่พระหัตถ์ของพระราชบิดา อภิเษกกระนั้นหรือ..อภิเษกกับอรชุนผู้ที่ไม่เคยมีสายตาไว้เพื่อพระองค์กระนั้นหรือ

              “ลูก”

              “สายโลหิตของกษัตริย์ ย่อมซื่อสัตย์และเข้มแข็ง” พระเนตรสีน้ำตาลอบอุ่นทอดมองด้วยเลือดแห่งกษัตริย์ผู้เสียสละ แย้มพระโอษฐ์และบีบหัตถ์นุ่มเบาๆ

              “ลูก..ลูกมีใจเพคะ ตะ..แต่อรชุนเห็นลูกเป็นเพียงเด็กๆ เหมือนนางข้าหลวงฝึกหัดเท่านั้นเพคะ”

              องค์กฤษณะแย้มพระโอษฐ์ กอบกุมหัตถ์อ่อนนุ่มไว้ แล้วรั้งเบาๆ วรองค์โปร่งระหงก็แนบลงกับพระอุระ

              “ปีนี้เจ้ายี่สิบชันษาเท่านั้นกฤษณา มากกว่ามินตราข้าหลวงคนใหม่ของเจ้าเพียงสองปี แต่อรชุนเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ เป็นผู้ปกครอง เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าอรชุนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เจ้ายังไม่รู้ว่าจะจับดาบยังไง จะจับธนูยังไง จะล่ากระต่ายป่ายังไง”

              “ลูก..ลูกกลัวอรชุนจะเกลียดลูก”

              “อันชายชาตินักรบ มิมีเกลียดหรือรักใดเท่ารักแผ่นดิน กฤษณาลูกคือสายโลหิตแห่งพระมารดาที่เสมอมีพระทัยดุจสายน้ำ มีพระบิดาด้วยโลหิตแห่งนักรบ พ่อเกิดมาพร้อมหน้าที่ และลูกก็เช่นกัน อรชุนคือบุรุษชาตินักรบ ลูกจะชนะหัวใจนักรบได้ด้วยเลือดเนื้อแห่งเกียรติยศและศักดิศรีเท่านั้น”

              “ถ้าวันหนึ่งอรชุน” พระองค์กลัว กลัวเหลือเกินกับดวงตาดุจเหยี่ยวคู่นั้น กลัวว่าสักวันดวงตาคู่นั้นจะมีเพื่อหญิงอื่นไม่ใช่แผ่นดิน

              “แม้บุรุษจะแข็งแกร่งดุจหินผา หากมีเพียงสายน้ำเท่านั้นที่สามารถจะกัดกร่อนได้ ลูกเป็นหญิง เป็นดั่งสายน้ำทิพย์ที่ชโลมหัวใจของปวงประชา อรชุนเป็นนักรบและลูกเป็นหัวใจของนักรบ”

              “เสด็จพ่อ”

              องค์กฤษณะโน้มพระโอษฐ์แตะที่พระเกศาบนพระอุระพลางพระอัสสุชลไหลหลั่งริน

              “กฤษณาเมื่อพ่อเสด็จเข้าเฝ้าพระองค์อินทร์ ลูกจงเข้าพิธีอภิเษกกับอรชุนเสีย หัวใจนักรบ ชาติหน่อเนื้อกษัตริย์ต้องก่อกำเนิดจากสายน้ำทิพย์และภูผา ถ้าเป็นชายขอให้เข้มแข็งกล้าหาญดั่งอรชุน ถ้าแม้นเป็นหญิงขอให้งดงามดั่งกฤษณาของพ่อ”

              “เสด็จพ่อ” สุรเสียงสั่นเครือเรียกขาน แม้นถ้อยความจะไหลหลั่งเข้าสู่หัวใจ ทว่าพระพักตร์เขียวคล้ำที่แย้มพระโอษฐ์อยู่นั้นก็ทรงเตือนอยู่ทุกเพลานาที องค์กฤษณากรรแสงคล้ายดวงใจจะหลุดลอย เมื่อพระเนตรสีน้ำตาลอบอุ่นเริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้า แม้นจะทรงเรียกขาน หากวรกายที่นิ่งสงบก็ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ

              “เสด็จพ่อ! อานนท์! หมอหลวง! หมอหลวง!

              สุรเสียงแผดก้อง พระหัตถ์เรียวกระตุกท่อนกระกรดั่งกระชาก หากเมื่อหมอหลวงเข้ามารับเสด็จ พระองค์ก็ทรุดวรกายลงข้างพระที่ เมื่อสายน้ำแห่งรักที่คอยพร่ำสอนได้เสด็จแล้วสู่สวรรคาลัย


                
     

              “องค์หญิง” อานนท์รับวรองค์ที่สิ้นพระสติลงในอ้อมแขนได้ทันเวลา ขณะที่บิดาและหมอหลวงก็เข้ามาดูพระอาการขององค์กษัตริย์อย่างร้อนรน

              “พาน้องไปที่ห้องทรงพระอักษรก่อนเถอะ พ่อกับหมอหลวงจะจัดการทางนี้เอง”

              อานนท์ช้อนวรองค์ระหงตรงไปยังห้องที่อยู่ติดกัน สั่งทหารให้เรียกนางข้าหลวงประจำพระองค์เข้ามาดูพระอาการ และรอไม่นานเสียงวิ่งกระหืดกระหอบของเด็กสาวก็ถลาเข้ามาพร้อมใบหน้าตื่นตระหนก

              “มินตราดูแลองค์หญิงให้ดี ข้าจะไปจัดการธุระ”

              “เจ้าค่ะ ท่านราชองครักษ์” เสียงเล็กๆ ตอบรับและรีบเข้าไปดูแลเจ้าชีวิตอย่างรวดเร็ว

              อานนท์กลับเข้ามาในห้องพระบรรทม ขณะที่ราชองครักษ์และโหรหลวงก็มาพร้อมกันแล้ว ณ. แท่นพระที่.. ใบหน้าของเหล่าขุนพลทั้งสามที่เป็นดั่งสามทหารเสือคอยดูแลราชการบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณสงบนิ่ง ราวซึมซับคำสั่งที่ยังคั่งค้างอยู่ไปสานต่อให้เสร็จสิ้น

              “ท่านราชองครักษ์ มีสารจากท่านอรชุนขอรับ” นาอูร์ถวายความเคารพองค์กฤษณะและกระซิบบอก เขาพึ่งได้รับสารจากเจ้าซีซาร์มาสดๆ ร้อนๆ และกำลังจะเข้ามารายงานข่าวแท้ๆ หากเสียงพระกรรเสียงและความชุลมุนหน้าห้องพระบรรทมก็ทำให้ต้องหยุดเรื่องราวร้อนใจไว้เพียงเท่านั้น

              อานนท์สบตาองครักษ์หนุ่มผู้พี่และเหมือนทั้งสองจะรับทราบถึงความนัยที่แฝงอยู่ในดวงตาของกันและกัน ราชองค์หนุ่มเข้าไปกระซิบบอกผู้เป็นบิดาสองสามประโยค เมื่อฝ่ายในรับทราบ เขาและนาอูร์จึงถอยกลับออกมาและเลี้ยวเข้าไปในห้องโถงที่องค์กฤษณะใช้ว่าราชการกับขุนพลฝ่ายใน

              “อรชุนเป็นยังไง”

              “เรามีหนอนบ่อนไส้” นาอูร์ส่งแผ่นหนังเล็กๆ ที่จารึกด้วยเลือดให้แก่รองหัวหน้าราชองครักษ์ ดวงตาสีดำเรียวยาวมองรอบโถงกว้างที่ต้องใช้ว่าราชการอย่างพินิจพิเคราะห์ ดังจะหารอยรั่วของข่าวที่ทำให้ข้าศึกโจมตีได้ทุกครั้ง ศึกครั้งนี้กินระยะเวลามาแล้วกว่าสี่เดือน หากชีวาราก็ไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลังลงแม้แต่น้อย ดักซ่อนตีทัพของเนปาลีจนแตกพ่ายหลายครั้ง กระทั่งกองทัพที่เคยทรงพลังต้องถอยกลับมารักษาตัว

              “อรชุนเชือดคอฝ่ายในชีวารามาแน่ถึงได้มั่นใจเช่นนี้”

              “ถ้าซีซาร์มาส่งข่าวเรา อีกสามราตรี อรชุนก็คงมาถึงประตูเมือง”

              “ศึกครั้งนี้ชีวาราแข็งเมืองกับเราโดยไม่กลัวจะเสียเลือดเนื้อ กัดกร่อนเราทุกวิถีทางอย่างไม่เกรงกลัว”

              “ท่านอานนท์ ข้ามีเรื่องอยากจะเรียนท่านอีกสักเรื่อง” มือขวาหัวหน้าราชองครักษ์ถอนใจยาว สบดวงตาแน่วแน่สีน้ำตาลนิ่ง

              “ว่ามาเถอะนาอูร์”

              “การที่ชีวาราส่งออกกำลังมาต่อกรกับเราทั้งที่ยอมเป็นเมืองขึ้นมาเนิ่นนาน ทำให้ท่านอรชุนสงสัย”

              “กษัตริย์แห่งชีวารางี่เง่าเองเจ้าก็รู้”

              “ตอนนี้สินค้าที่เราจะส่งไปยังเมืองไกล ถูกคีธาราสกัดไว้หมด” นาอูร์สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แวววาวขึ้นดั่งทหารที่รบด้วยกันมานาน บอกกล่าวความลับที่คีธารากำลังทำว่า

              “องค์ชายแห่งคีธารากำลังทำให้ ชีวารากับเนปาลีผิดใจกัน แล้วเมื่อไหร่ที่สองเราย่อยยับ น้ำมัน เพชร เครื่องหอม ของเราก็จะตกไปอยู่ในเงื้อมือของพระองค์ ส่วนชีวาราก็เป็นเหมือนครัวคอยหุงหาอาหารให้”

              “อรชุนบอกเจ้า”

              “ท่านหัวหน้าราชองครักษ์เปรยกับข้าครั้งเมื่อไปดูลาดเลาให้พลธนู ตอนนั้นท่านอรชุนเพียงสงสัยว่าเหตุใดคนอ่อนแอไร้การศึกมาเนิ่นนานถึงหาญกล้ามาต่อกรกับเรา อีกทั้งยุทธวิธีการรบก็บอกชัดว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี”

              “กษัตริย์แห่งชีวาราอ่อนแอนักนาอูร์”

              “ข้อนั้นท่านอรชุนทราบดีจึงให้ข้าลอบเข้าไปหาข่าวกับชาวบ้าน”

              “ข่าว? นี่เจ้ากับอรชุนลอบเข้าไปถึงในหมู่บ้านชีวารา” รองราชองครักษ์หนุ่มแทบอยากจะทำร้ายผู้ที่กำลังรายงานตรงหน้า ช่างบ้าบิ่นกันดีเหลือเกินหัวหน้ากับลูกน้องคู่นี้

              “ประชาชนของชีวาราคือจักรสำคัญที่ทำให้ทั้งเมืองอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ คนเหล่านั้นซื่อเกินจะคิดก่อกบฏ และเพราะพระบรมราชโองการของกษัตริย์ที่ทำให้ชาวบ้านช่วยเป็นกำลังสำคัญในการหนุนหนำ หากท่านก็ทราบดี ชีวารานั้นเป็นเมืองขึ้นของเรา ทุกอย่างต้องส่งบรรณาการถึงเรา แม้แต่คีธาราเองก็ต้องนำเข้าเสบียงผ่านเรา”

              “นี่เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้านาอูร์”

              “องค์ชายแห่งคีธาราจะอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาแห่งชีวาราในเร็ววัน เพื่อผนึกสองเมืองขึ้นให้แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับเนปาลี”

              “อภิเษก?

              “งานภายในเช่นเดียวกับที่เรากำลังจะทำ”

              “ไอ้กษัตริย์หน้าโง่ ไม่รู้หรือไงว่าคีธารามันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงแค่ไหน”

              “อานนท์ ท่านอรชุนลอบขึ้นทางทิศตะวันตกครั้งนี้มิใช่เพียงจะตัดกองกำลังเสริมชีวาราเท่านั้น ยังต้องผ่านหุบเขามรณะขึ้นไปดูต้นน้ำที่ไหลสู่ชีวาราและเนปาลี”

              “หมายความว่า?

              “ท่านอรชุนจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ตราบใดที่หัวใจของชีวาราคือเกษตรกรรม พวกเขาต้องการสายน้ำจากหุบเขามรณะ ถ้าชีวารายังไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร กองกำลังส่วนหนึ่งของเราจะลอบขึ้นไปสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำ ข่าวนี้ยังเป็นความลับระหว่างข้าและท่านอรชุน ไม่เคยแพร่งพรายที่ไหนมาก่อน ท่านอรชุนถึงกล้าที่จะวิ่งม้าขึ้นไปดูกระแสน้ำ แต่ข่าวอื่นที่เราวางแผนในพระราชวังกลับรั่วไหลออกไปสู่ภายนอก กระทั่งเราต้องถอยทัพ”

              “นี่ใช่ไหมที่ซีซาร์นำข่าวมาบอกเรา”

              “ใช่ เกลือเป็นหนอน และหนอนตัวนั้นต้องเข้าออกพระราชฐานชั้นในได้โดยไม่มีข้อสงสัย”

              “อย่างนี้เอง อรชุนถึงเปลี่ยนแผนรบวันต่อวัน”

              “ท่านอรชุนเพียงอยากทดสอบว่า หนอนตัวนั้นไปกับกองทัพหรือเพียงซ่อนอยู่ภายในพระราชวัง”

              “ท่านคิดว่า?” อานนท์ค่อยๆ ปล่อยให้ไฟจากตะเกียงลามเลียเศษหนังสีเลือดให้มอดไหม้ หัวคิ้วหนาเป็นปื้นขมวดย่น ครู่เดียวจึงถามซ้ำว่า “มีใครเข้ามาในโถงนี้ได้บ้างนอกจากราชองครักษ์”

              นาอูร์สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มครู่เดียว ก็ตอบเบาๆ ว่า

              “นางข้าหลวงแห่งพระราชฐานชั้นใน!

     

    ปอลอ@  ขอต้อนรับคุณ Tawan ค่ะ เงียบเหงาหน่อยน้า คล้ายป่าช้าเข้าไปทุกที แต่ไม่ต้องกลัวผี เพราะบีบีเขียนจนจบจ้า

              คุณน้อยหน่าคะ ตอนนี้ที่สระบุรี ร้อนไหมเอ่ย? ขับรถผ่านแถวนั้นทีไร นึกถึงคุณน้อยหน่าทุกที แต่สระบุรีมีปั้มใหญ่ๆ ไว้พักรถน้อยเนาะ แต่มีที่พัก ก่อนจะเลี้ยวทางลัดลพบุรีที่จะเข้า กทม ตรงนั้นใหญ่หน่อย แต่บีบีไม่ค่อยได้แวะตรงนั้นเท่าไหร่ ขับเลยเข้าปั้ม ปตท. ที่อยู่เยื้องไปอีก 5 กิโล ขนมอร่อยดีจ๊ะ

              ที่สระบุรี บีบีโดนจับความเร็วบ่อยมาก ตอนนี้ขับรถช้าเพราะ ตำรวจ ที่ด่านสระบุรี นี่แหละ คอยเตือนความจำ

              

           

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×