ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าเงาดาว

    ลำดับตอนที่ #2 : ไฟรักไฟสงคราม (100/100)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 56


     

    ตอนที่ 2 ไฟรักไฟสงคราม

            เมื่อท้ายขบวนเสด็จผ่านช่องเขาเรียบร้อย อานนท์จึงเลื่อนตัวลงจากชะง่อนหิน พลางคลานไปตามทางแคบๆ เพื่อมองแสงไฟวอบแวบที่เห็นอยู่ลิบๆ บางอย่างเริ่มผิดปกติขึ้นมาอย่างเด่นชัด เพราะกลุ่มไฟที่เห็นคราแรกเริ่มมอดดับลงทีละดวงๆ อย่างรวดเร็ว

              “ท่านองครักษ์” นายทหารที่ติดตามคลานเข้ามากระซิบ

              “ข้าเห็นแล้ว ให้พลธนูอยู่ใต้ลม ทันทีที่ม้าศึกพ้นอาณาเขตหุบเขา ข้าจะจุดระเบิด”

              “ขอรับ”

              เมื่อทหารพร้อม อานนท์จึงคลานลงมาตามทางแคบๆ อย่างระมัดระวัง เขาเขย่งตัวกระโดดผ่านหลุมหินและทิ้งดินปืนให้ไล่ระดับลงไปตามช่องที่หมายตาไว้อย่างแม่นยำ จวบจนเสียงสัญญาณเรียกขานจึงรีบปีนกลับขึ้นไป

              “ท่าน” นายทหารประจำกายเพ่งมองด้วยความเจ็บแค้น แม้จะรู้แก่ใจว่าการศึกครั้งนี้ต้องรบทั้งเหนือและตะวันออก หากเมื่อนึกถึงสาเหตุแห่งการรบครั้งใด หัวใจก็ระรัวขึ้นมาราวกลองศึกเสียทุกครั้ง

              อานนท์ตบไหล่หนาหนักเต็มแรง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมดำแข็งกร้าวดุดัน  

              “จงเชื่อในหัวใจของเนปาลี เชื่อในองค์กษัตริย์กฤษณะ เชื่อในหัวหน้าราชองครักษ์ของเรา”

              “ป่านนี้ท่านอรชุนคงไปถึงเชิงเขาด้านทิศตะวันตกแล้ว”

              ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายและผู้ใต้บังคับบัญชาแลมองท้องฟ้าที่มีเพียงแสงดาวประดับด้วยความสงบนิ่ง แม้สิ่งที่อรชุนตัดสินใจจะเสี่ยงกับชีวิต หากก็ไม่มีทางใดที่จะทำให้คนเพียงไม่กี่พันชนะพลเรือนหมื่นได้ในชั่วเวลาเดียว การล่อหลวงและกลอุบายจึงต้องถูกนำมาใช้ทุกทางเพื่อรักษาชีวิต

              “ขอพรองค์รานีคุ้มครองอรชุนด้วยเทิด”

              ดวงดาวที่กำลังส่องประกายระยิบระยับคลับคล้ายคลับคลาตอบรับคำอธิษฐาน

              “อรชุนจะกลับมาพร้อมนักรบของเรา”

              น้ำเสียงที่เอ่ยขานเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาและความหวัง ทหารเอกแห่งเนปาลีค้อมคำนับให้แก่องค์รานีที่เสด็จแล้วสู่สรวงสวรรค์ จากนั้นจึงผละจากไปตามหน้าที่ อรชุนค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้แสงดาวแห่งความหวังและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วหล้าได้ฉายแสงแห่งความกล้าหาญให้แก่บุตรแห่งพื้นดินอันศักดิ์สิทธิ์

              ขอสวรรค์จงประทานความปลอดภัยแก่เหล่าข้าทาสเยี่ยงข้าพระพุทธเจ้าด้วยเทิด ขอแสงแห่งความดี จงชนะซึ่งศัตรูทั้งมวล

              ชายหนุ่มวางมือที่หัวใจและพร้อมน้อมคำนับให้แก่เบื้องบน เมื่อลืมตาขึ้นครั้งนี้ หัวใจและร่างกายกลับดุจได้พลังวิเศษที่พร้อมจะทำลายปีศาจร้ายให้ย่อยยับ ดวงตาที่เคยสดใสอยู่เป็นนิจแข็งกร้าวดุดัน กรามบดแน่นด้วยแรงแค้นในหัวใจ องค์หญิงผู้เล่อโฉมแห่งชีวารา องค์หญิงแพศยาที่หาญกล้ามาต่อกรกับเนปาลี นางจะต้องย่อยยับอับสูญไปพร้อมกับความชั่วช้าที่นางได้กระทำ

              บุตรแห่งแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงข้า ขอสัญญาด้วยชีวิต


          
    แสงดาวนำทางที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า เป็นดั่งเข็มทิศนำทางให้ขบวนเสด็จเคลื่อนออกจากช่องเขาทมิฬได้อย่างปลอดภัย กระแสลมเย็นผสมกลิ่นอับลอยต่ำอยู่ท่ามกลางหุบเขา ไอเย็นระลอกแล้วระลอกเล่า ช่วยขับขานเสียงหวีดหวิวแห่งรัตติกาลให้มืดครึ้มวังเวงอย่างน่าพิศวง

            เสียงหินกระทบเกือกม้า เสียงรองเท้าที่ย่ำไปบนพื้นขรุขระ สะท้อนเป็นจังหวะขึ้นลง กฤษณารั้งเชือกให้ม้าทรงหยุด พลางสงบอยู่เช่นนั้นชั่วครู่..เสียงใดหนอที่โหยหวนมาท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บเช่นนี้ เสียงใดหนอที่สะอึกสะอื้นคร่ำครวญดังจะขาดใจ

              “องค์หญิง” อารีชักม้าขึ้นขนาบข้าง ในขณะที่เสียงเดินของทหารยังดำเนินเป็นจังหวะต่อไป ดวงตาดำดุจเหล็กกล้าเฝ้ามองไปรอบกายอย่างระแวดระวัง ถึงแม้ขบวนเสด็จจะล่วงเลยจากช่องเขาทมิฬมาแล้วชั่วสองยาม ทว่าความปลอดภัยในขบวนเสด็จก็ยังมิอาจวางใจ

              “เสียงหมาป่า” พระสุรเสียงแผ่วเบา นิลคู่สวยแข็งกล้าแลไปรอบๆ ทั่วเขาหินที่โอบล้อม แม้เสียงที่ได้ยินจะแผ่วพลิ้วเพียงบางเบา ทว่าเมื่อพิจารณาภูผาสูงชั้นที่ทอดยาวเป็นคู่ขนานก็พึงตระหนักถึงระยะทางและจำนวนมัจจุราชแห่งราตรีกาลนั้นได้ดี

              อารีนิ่งฟังและสะกดลมหายใจอยู่พักใหญ่ องครักษ์หนุ่มจึงขอร้องแกมสั่งว่า

              “เชิญองค์หญิงเสด็จไปกับขบวนเสียบัดนี้ กระหม่อมจะนำทหารวิ่งขึ้นเชิงเขา”

              “ไม่! อานนท์กับนาอูร์จะจุดระเบิดในไม่ช้า ถ้าท่านขึ้นไปก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง” ใบหน้าภายใต้ผืนผ้าสีดำสนิทจับจ้ององครักษ์ประจำกาย อีกมือกระชับธนูและดาบเตรียมพร้อม

              “ข้าจะลอดช่องเขาฝั่งตะวันออกขึ้นไป”

              “กระหม่อมไม่มีวันยอม”

              “เราไม่มีทางเลือก ถ้าไม่กำจัดหมาป่า เราก็ผ่านไปไม่ได้ ถ้าไม่ระเบิดหินปิดช่องนั้นทหารของชีวาราตามเราทันแน่”

              “หมาป่าเป็นร้อย มันกำลังหิว”

              “มันหิวเราก็หาอะไรให้มันกินซะซิ” เนตรดั่งนิลวับวาวในความมืด “ห้ามขัดคำสั่งข้า”

              “องค์หญิง” องครักษ์หนุ่มได้แต่ขบกรามแน่น

              “เจ้าห่วงข้า ข้ารู้ แต่ข้าห่วงเสด็จพ่อ เราต้องถึงวังให้เร็วที่สุด” สุรเสียงเด็ดเดี่ยว มั่นคง “ถ้าใครรู้ว่าข้าออกจากขบวน เจ้าจะถูกตัดหัวเป็นคนแรก อย่าลืมอารี เมียเจ้าพึ่งท้อง”

              “กระหม่อมต้องรายงานท่านนายพล” เมื่อมิอาจห้าม สิ่งที่กระทำได้คงมีเพียงเท่านี้

              “คงรู้นะว่าต้องรายการตอนไหน” สุรเสียงห้วนกร้าวตวัดสูง  

              หัตเรียวยาวภายใต้ถุงมือเนื้อหนารั้งเชือกเบาๆ แตะที่คอม้าทรงคู่ศึก แล้วค่อยๆ เบี่ยงตัวจากขบวนเสด็จทีละน้อยๆ เมื่อระยะทางค่อยๆ ห่างออกไป พระหัตทั้งสองข้างก็กระตุกเชือกสุดแรง เร่งเร้าที่สีข้าง และทะยานสู่ช่องเขาภายใต้เงาหมอกแห่งมฤตยูโดยมิหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆ  

     

                         เบื้องหน้ามืดมนด้วยไอหมอกหนา เสียงลมตัดผ่านที่เล็ดลอดเข้ามาทำให้กลิ่นสาบของมัจจุราชยิ่งรุนแรงมากขึ้น ร่างบนม้าทรงทะยานฝ่าความมืดไปตามช่องเขาแคบๆ ไต่เนินเขาขึ้นไปด้วยฝีมือการบังคับอันเชี่ยวชาญและภาพเบื้องหน้าก็คือมัจจุราชกลุ่มใหญ่ที่กำลังโหยหวนเฝ้ารอคอยเวลาหาอาหาร

              ดวงเนตรดั่งนิลแลไกลสุดสายตา ปล่อยให้หัวใจได้ลิ้มลองอิสรภาพชั่วครู่ จากนั้นจึงวางธนูไปที่ลูกตาเล็กๆ ที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ ทันทีที่ศรแห่งวิญญาณปักลง หัตเรียวยาวก็คว้าเหยื่อขึ้นมาได้อย่างว่องไว

              กฤษณากลับลงมาเหนือทิศทางลมโปรยกลิ่นเลือดให้มัจจุราชได้ตื่นจากอาการหลับใหล และทันทีที่เสียงร้องหยุดชะงักกระต่ายขาวตัวน้อยก็ถูกทิ้งลงกลางคัน จากนั้นม้าทรงศึกก็ออกเร่งความเร็วสุดฝีเท้า

              กลิ่นเหยื่ออันโอชะที่ลอยวนไปตามกระแสลมเสมือนเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้เหล่ามัจจุราชออกตามล่าอย่างไม่ย่อท้อ องค์หญิงรัชทายาทแห่งเนปาลี ผู้ที่ถูกฝึกการรบมาแล้วทั้งในน้ำและบนบกโน้มตัวกับม้าคู่ใจ พุ่งทะยานสู่จุดหมายด้วยหัวใจอันมุ่งมั่น เมื่อเห็นกลุ่มข้าศึกที่ฝ่าเข้ามา ม้าฝีเท้าจัดจึงแหวกรัตติกาลขึ้นสู่เขาสูงอย่างชาญฉลาด

              “องค์หญิง” อานนท์ยกมือห้ามเหล่าทหารทันทีเมื่อเห็นม้าศึกคุ้นตาทะยานตรงมาเร็วปานลูกธนู หัวใจของราชองครักษ์หนุ่มสูบฉีดเลือดไปทั่วร่าง

              “หมาป่า” นายทหารประจำกองครางเสียงเบาหวิวเมื่อเห็นมัจจุราชสีเทาฝ่าความมืดเข้ามาอย่างดุร้าย

              “ปลดธนูลง” คำสั่งแผ่วเบา หากทหารทั้งสิบที่ตั้งรบก็ได้ยินกันถ้วนหน้า ร่างสูงองอาจในชุดนักรบเพ่งมองโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความเย็นยะเยือก เมื่อเสียงกรีดร้องโหยหวนสะท้านทั่วหุบเขา และเหล่ามัจจุราชไล่ต้อนกองพลแออัดเข้ามาในช่องทางที่วางไว้ ปลายดาบสีเงินก็ชี้ตรงไปที่ดวงดาว ทันใดนั้นกัมปนาทที่รอดับวิญญาณก็เปิดประตูรับดวงจิตเข้าสู่อ้อมกอดแห่งรัตติกาลอย่างเต็มใจ

              อานนท์กระโจนขึ้นม้าและควบลิ่วสู่เชิงเขาพร้อมกับกองกำลังย่อยๆ ครบทุกนาย ทิ้งเสียงโหยหวนเพราะความเจ็บปวดและวิญญาณที่พรากจากร่างไว้เพียงเบื้องหลัง เขาสะบัดผ้าสีทองขึ้นเหนือศีรษะในขณะที่เร่งฝีเท้าตามม้าตัวต้นเหตุไปอย่างไม่ลดละ

              แม้จะรู้ว่าสิ่งที่กฤษณาตัดสินใจทำก็เพื่อรักษาขบวนเสด็จให้รอดพ้นจากมัจจุราชสีเทา ทว่าการตัดสินใจด้วยตัวเองเพียงลำพังขององค์รัชทายาทก็ทำให้เขาร้อนใจเกินกว่าจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป เมื่อครั้งยังเด็ก เขาและอรชุนเคยต้องออกฝึกท่ามกลางหิมะอย่างทรมาน พบเจอและต้องหลบหนีฝูงหมาป่ามานับครั้งไม่ถ้วน คำสอนที่ท่านนายพลอัสนีพร่ำบอกเสมอก็คือ หนี..หนีจากฝูงสัตว์ร้ายไร้ความปราณีเหล่านี้เสีย แต่กระไรครั้งนี้พ่อของเขาจึงปล่อยกฤษณาให้ออกมาท้าทายเพียงลำพัง กฤษณายังอ่อนวัยเกินกว่าที่จะทำเยี่ยงนี้ แม้จะเก่งกล้าสักแค่ไหน หากการหลบหลีกจากหมาป่าสีเทา ไม่ใช่ข้อที่ท่านขุนพลทั้งหลายพร่ำสอนหรอกหรือ

              ทันทีที่ม้าทะยานเข้าสู่ท้ายขบวนเสด็จเขาก็กระโดดเข้าจับเรียวหัตของน้องสาวผู้ดื้อรั้นไว้ได้ทันเวลา

              “อานนท์ปล่อยเรานะ!” พักตร์งามที่ปิดบังไว้ด้วยผ้าสีดำสะบัด ฝืนแรงไว้ไม่ยอมให้บีบบังคับ

              “กฤษณา นี่เจ้าหนีไปใช่ไหม” ดวงตาสีดำที่เคยหยอกล้อระยิบระยับขุ่นเคืองขึ้นด้วยอารมณ์ รอบข้างที่เขากำลังต่อว่าองค์รัชทายาทอยู่ขณะนี้คือกองกำลังทหารด้านท้ายขบวนที่เคลื่อนไปโดยไม่มีการหยุดพัก

              นาอูร์กระโดดจากหลังม้าตามมาติดๆ แตะที่บ่าของผู้อ่อนวัยกว่า

              “อานนท์ ปล่อยองค์หญิงก่อน”

              “ท่านกับอารีย์ตามใจกฤษณาพอๆ กัน นี่ถ้าอรชุนรู้เข้าจะโดนลงโทษกันหมด” ต่อว่าผู้คุ้มครองทั้งสองแล้วก็หันมาไล่เรียงตัวการแห่งความดื้อรั้นว่า “ที่หยุดรอพี่เพราะจะให้ปิดอรชุนใช่ไหม..ครั้งนี้พี่ไม่ยอมเจ้าหรอกนะ”

              “ถ้าข้าไม่ทำขบวนเสด็จจะผ่านไปได้อย่างไร ถ้าพ้นเชิงเขาตรงนี้ไป เราก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน แล้วเจ้าจะให้ข้ารอให้กองกำลังที่เหลือของเนปาลีถูกมันขย้ำหรือไง!

              “แต่ไม่ใช่แบบนี้! เจ้าจะเอาเหตุผลเช่นนี้มาอ้างไม่ได้! หมาป่าสีเทานับร้อยอยู่เบื้องหลัง ส่วนเบื้องหน้าคือกองทัพของชีวารา ชีวิตเจ้าสำคัญต่อแผ่นดินมากกว่าที่จะเอาไปแลกกับสัตว์นรกเช่นพวกมัน..กฤษณา”

              เนตรสีนิลขุ่นวาบ สะบัดท่อนพระกร และสาวพระบาทหนีผู้ที่เป็นเสมือนดั่งพี่ชาย

              “ชีวิตข้าสำคัญ แล้วชีวิตเสด็จพ่อไม่สำคัญต่อข้าหรือไง!

              นาอูร์สบตาราชองครักษ์หนุ่มด้วยความเข้าใจ เขาและอารีย์เป็นขุนศึกที่พิทักษ์ปกป้ององค์ราชินีตั้งแต่องค์หญิงตัวน้อยยังไม่ทรงลืมตาดูโลก รู้และเข้าใจความดื้อรั้นที่ผสมผสานอยู่ในสายเลือดนั้นได้ดี แต่อรชุนและอานนท์คือราชองครักษ์ที่ทั้งเล่นและสั่งสอนองค์หญิงมาด้วยกัน ความรักความห่วงใยที่มีย่อมไม่ต่างจากพี่ชายที่ต้องรั้งน้องสาวไว้ด้วยชีวิตตนเอง

              “องค์หญิง...กระหม่อมเข้าพระทัยว่าองค์หญิงทรงห่วงพระบิดา” นาอูร์เริ่มด้วยถ้อยคำทะนุถนอมพลางมอง วรองค์โปร่งระหงสลับกับราชองครักษ์หนุ่ม เสริมว่า

              “หากสิ่งที่ทรงตัดสินพระทัยนั้น อาจนำความสูญเสียมาให้แก่พระบิดาขององค์หญิงเช่นกัน”

              “เรา..นาอูร์อย่าบอกอรชุนนะ” พักตร์งามหันกลับ ย่างพระบาทเข้ามาร้องขอด้วยพระองค์เอง

              “เรื่องนี้ต้องเรียนท่านหัวหน้าราชองครักษ์กระหม่อม” น้ำเสียงเด็ดขาด ขณะที่อานนท์ก็พลันสงสารคนที่ต้องถูกลงโทษ รู้ดีว่าผู้ใดที่ขัดคำสั่งอรชุนขณะที่อยู่ในกองทัพ คนผู้นั้นจะได้รับบทเรียนแสนสาหัสเพียงใด

              “อรชุนไม่มีสิทธิ์ลงโทษเราอีกแล้ว เราโตแล้ว โตพอที่จะคุมกองทัพได้แล้ว” เมื่อไม่ได้ดังหวัง สุรเสียงก็สะบัดกร้าวอย่างทันท่วงที

              “องค์หญิงเพียงยี่สิบชันษาเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์จะคุมกองทัพหรือขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ท่านอรชุนต้องวิ่งม้าพร้อมหน่วยรบขึ้นทิศตะวันตกเพื่อตัดกำลังที่จะเข้าเสริมชีวาราด้วยทหารเพียงยี่สิบนายเท่านั้น โดยเหลือกองกำลังทั้งหมดไว้คุ้มกันขบวนเสด็จและองค์หญิง กระหม่อมและอานนท์เพียงรอจังหวะที่จะเด็ดหัวแม่ทัพด้วยธนูไฟและฝังเหล่าทหารไว้ในหุบเขา อย่างไรเสีย ขบวนเสด็จก็ต้องปลอดภัย แต่ท่านอรชุนกับหน่วยรบฝีมือดีของเรานั้นกระหม่อมยังไม่ทราบว่าจะเหลือกลับมากี่คน องค์หญิงก็ทรงทราบว่าถ้าเราปิดช่องเขานี้แล้ว อรชุนไม่สามารถย้อนกลับมาทางนี้ได้อีก นอกจากพาม้าวิ่งขึ้นหุบเขามรณะเพื่อจะกลับเนปาลี องค์หญิง” น้ำเสียงห้าวขาดเป็นห้วงๆ และสะบัดหนักด้วยความในใจอันหนักหน่วง

              “แม้นหมาป่าสีเทาจะโหยหวนรออยู่เบื้องหน้า แต่ทันใดที่กัมปนาทจากหุบเขานี้สะเทือน เจ้ามัจจุราชเหล่านั้นก็จะต้องกระเจิงเข้าป่าลึกโดยที่เราไม่ต้องเสียแม้แต่ชีวิตเดียว เพียงแค่ชั่วหนึ่งยามเท่านั้น องค์หญิงรอไม่ได้หรือกระหม่อม”

              “นาอูร์” สุรเสียงแผ่วเบาสำนึกผิด เนตรดั่งนิลหลุบต่ำ แม้นอยากจะขอร้องให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพียงไร หากความผิดที่ริอ่านสำแดงฝีมือโดยขาดการไตร่ตรองก็ทรงทำให้ร้อนพระทัยเกินจะดื้อรั้นต่อไป

              “เราเพียงอยากฝึกกองรบได้เหมือนอานนท์หรือท่านเท่านั้น อรชุนไม่เคยวางใจให้เรานำกองรบสักครั้งเดียว แล้วต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าข้าศึกล้อมเรา..เราจะต่อสู้ได้เช่นไร ความผิดครั้งนี้ข้ายอมรับ แต่ที่ยอมรับไม่ใช่กลัวอรชุนหรอก นะ ข้ายอมรับเพราะไม่อยากให้อารีเดือดร้อน ชาดามารีกำลังท้อง ข้าไม่อยากให้นางกับลูกที่จะเกิดมาร้องไห้เพราะข้า”

              เนตรเงาดำตวัดผ่านใบหน้าของราชองครักษ์ทั้งสอง ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าและพาเจ้าพาหนะคู่กายเข้าร่วมขบวนเสด็จเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

              นาอูร์สบดวงตาขององครักษ์หนุ่มที่เฝ้าปกป้องดูแลองค์หญิงรัชทายาทมายาวนานด้วยประกายตาระยิบระยับ

              “องค์หญิงยังเด็กนัก เจ้าก็รู้ว่าไม้แข็งใช้ไม่ได้กับพระองค์”

              อานนท์ถอนหายใจยาว เปรยอย่างหนักอกว่า

              “พวกเราใจอ่อน แต่ไม่ใช่อรชุนนาอูร์”

              “นั่นสุดแล้วแต่ท่านหัวหน้าราชองครักษ์เถอะ ยังไงเราก็ไม่อยากให้องค์หญิงต้องลงแช่ธารน้ำแข็งอยู่ดี”

              นาอูร์กระตุ้นม้าตามไปไม่ห่างๆ ได้แต่ส่งคำอธิษฐานให้อรชุนเมตตาความผิดครั้งนี้ขององค์หญิงอยู่ภายในใจ ถ้าแม้นจะลงโทษก็ขอเพียงทำงานในครัวหรือคอกม้าด้วยเทิด อย่าต้องให้ลงแช่ธารน้ำแข็งเหมือนเหล่าทหารที่ฝืนคำสั่งอีกเลย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×