ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าเงาดาว

    ลำดับตอนที่ #1 : หิมะสีเลือด ( 100/ 100 )

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 56


     
                                                                           ใต้ฟ้าเงาดาว

           ชีพนี้พลีแล้วเพื่อแผ่นดิน   ลมหายใจสุดท้ายสละแล้วเพื่อดวงแก้วแห่งรักนิรันดร์

     


    ตอนที่ 1 หิมะสีเลือด


                   เสียงลมหวีดหวิวผ่านหุบเขาสูงชันในเงามืดไหลทวนต่ำปะทะกับพื้นราบตามเชิงเขา ความมืดและความหนาวเหน็บที่สอดแทรกอยู่ทุกอณูของอากาศ ทำให้พระพักตร์เนียนสวยที่ถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าสีดำหนาเริ่มรู้สึกพระวรกาย แพขนพระเนตรยาวงอนงามขยับเปิดขึ้นอย่างช้าๆ พระนาสิกโด่งสวยได้รูปค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ขยับพระเนตรอยู่ชั่วครู่เพื่อ ให้คุ้นกับความมืด    

    ดวงเนตรกลมโตดุจดั่งนิลทอดมองกระโจมหนังแพะขนาดใหญ่ด้วยประกายตาว่างเปล่า แม้ความสุขสบายที่ได้รับนั้นจะเพียงชั่วหนึ่งยามเดียว ทว่าก็ทำให้พละกำลังของพระองค์ฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว พระหัตเรียวยาวภายใต้ถุงมือหนังสีน้ำตาลตวัดผ้าห่มหนาออกจากตัว แล้วจึงคว้าดาบที่วางแนบพระวรกายอยู่ตลอดเวลา

     ลุกขึ้นจากพระที่ พลางใช้ปลายดาบแหวกม่านกระโจม ทำให้แสงไฟนวลสะท้อนผ่านเข้ามาในความมืด เปลือกพระเนตรอ่อนนุ่มกระพริบถี่ปรับการมองเห็นอยู่ครู่ จากนั้นพระวรองค์สูงโปร่งในฉลองพระองค์สีดำจึงย่างพระบาทออกจากที่พัก

    ทหารองครักษ์ที่ยืนนิ่งอยู่หน้ากระโจมโค้งคำนับ แล้วกลับไปอยู่ในท่าพร้อมรบ นิ่ง เงียบ ลึกลับ เสมือนแม้นเพียงหินผาที่รังสรรค์ขึ้นจากพระหัตแห่งองค์ราชัน 

    ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทมึนสองร่างที่กำลังจดจ่ออยู่กับดวงไฟกลางหิมะน้อมศีรษะลงทันที เมื่อพระวรองค์ในฉลองสีดำประทับยืนตรงหน้า แสงไฟดวงน้อยทอดผ่านส่องให้เห็นเรือนร่างที่ทัดเทียมกับบุรุษเพศ สง่างาม องอาจดูเป็นเงาน่ากลัว ทำให้หลายครั้งหลายครา เมื่อพรางตัวอยู่ในชุดนักรบ ข้าศึกต่างก็คิดว่าร่างที่กวัดแกว่งดาบอยู่ท่ามกลางสนามรบราวกับชายชาตรีนั้นคือหนึ่งทหารเอกแห่งเนปาลีนคร

    “องค์หญิงน่าจะทรงบรรทมต่ออีกสักนิด” องครักษ์หนุ่มแหงนมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดมิด พลางแววตาห่วงใยเทิดทูนก็แลมองแค่ปลายพระบาทที่ประทับนิ่ง

    “เรานอนมากพอแล้วอารี ท่านกับนาร์อูก็สมควรพักผ่อนบ้าง เราจะอยู่เวรต่อเอง” ตวัดดาบแนบพระวรกาย ก่อนจะทรุดตัวลงกับแท่นไม้ที่มีผ้าสีแดงปูทับอยู่ ดวงเนตรดำลึกฉายแววแกร่งกล้าเกินสตรี ทว่าก็เปี่ยมล้นไปด้วยความห่วงใยอ่อนหวาน

    “คงไม่ได้กระหม่อม ท่านราชองครักษ์สั่งนักหนาให้ทรงอารักขาองค์หญิงมิให้คลาดสายตา”

    เมื่อได้รับคำตอบ พระเนตรคมสวยจึงนิ่งสงบอยู่ครู่ ตรัสว่า

    “แล้วใครอยู่กับเสด็จพ่อ” 

    “ราชองครักษ์ทรงถวายงานด้วยตัวเองกระหม่อม”

    น้ำเสียงอ่อนน้อมดุจที่เคยใช้ปกป้ององค์หญิงตัวน้อยเสมอมา อารีและนาร์อูคือหนึ่งในราชองครักษ์หนุ่มมือดีที่ถวายงานมาตั้งแต่องค์หญิงยังทรงพระเยาว์ ทั้งสองแลมองมณีแก้วดวงน้อยแห่งเนปาลีที่เจริญชันษาขึ้นมาด้วยดวงใจฮึกเหิม ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ดวงแก้วแห่งแผ่นดินก็ทรงเจริญเติบโต งดงามสมดั่งที่ปวงประชาเฝ้ารอ พระองค์หญิงที่งดงามดั่งเทพธิดา แข็งแกร่งดุจหินผา คมกริบดุจเพชรน้ำงาม เฉกเช่นสายเลือดแห่งขัตติยะนารีขององค์กษัตราธิราช 

    “เราจะไปดูหน่อย” เมื่อทรงเห็นว่าราชองครักษ์หนุ่มขยับตาม ก็รับสั่งทันควันว่า ”เราขอไปคนเดียว”

    วรองค์สูงโปร่งในฉลองนักรบสีดำสนิทเสด็จผ่านทหารยามตามหน้ากระโจมไปเพียงไม่นาน ก็แลเห็นราชองครักษ์หนุ่มกำลังนั่งตรวจธนูอยู่ข้างกองไฟ หากยังไม่ทันเสด็จถึง ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวก็จับจ้องมาอย่างไม่เกรงพระทัย มือขวาเก็บธนูเข้าที่ พร้อมขยับกริชประจำตัว

    “องค์หญิงไม่สมควรเสด็จตามลำพัง”

    เมื่อวรองค์งดงามประทับนิ่งข้างกองไฟ พร้อมกับการถอยห่างออกไปขององครักษ์อื่น เสียงกล่าวตำหนิก็ดังขึ้นทันที

    “ถ้าการที่เดินมาแค่กระโจมสิบหลังจะทำให้ข้าศึกจู่โจมเราได้ ท่านสมควรตัดคอทหารของท่านไม่ใช่ตำหนิเรา”

    กระแทกพระวรกายอย่างไม่พอพระทัย ทว่าเรือนร่างสูงใหญ่ยังคงนิ่งสงบ มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลคมดั่งเหยี่ยวเท่านั้นที่ตวัดมอง ราชองค์รักหนุ่มสูดลมหายใจยาวผ่อนลึก เบนสายตาไปที่เปลวไฟ และเริ่มบอกความผิดของผู้มาใหม่ว่า

    “ทหารมีหน้าที่ปกป้ององค์หญิงรัชทายาทและพระราชาตามกฎมณเฑียรบาล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ทหารในเวรยามนั้นจะถูกตัดหัวทันทีโดยไม่มีการไต่สวน องค์หญิงคงไม่อยากให้นักรบฝีมือดีต้องเสียไปในเวลาศึกเช่นนี้กระมัง”     

    “บางทีถ้าเราถูกทำร้ายตอนนี้คงดี เพราะคนที่จะโดนตัดหัวโดยไม่ต้องไต่สวนก็คือท่าน!!

    “ถ้าเป็นความผิดของกระหม่อม”

    ร่างสูงในชุดสีดำบึกบึนค้อมรับ พร้อมกับลุกขึ้นยืน มือหนาคว้าวรองค์ที่ยังคงนิ่งเงียบไว้เหมือนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ดวงเนตรดำลึกมองอุ้งมือที่เกาะเกี่ยวอย่างไม่พอพระทัย ทว่าอีกฝ่ายก็มิยอมผ่อนแรงแต่ประการใด

    “กระหม่อมจะเดินไปส่งที่กระโจม และหวังว่าจะไม่ทรงเสด็จกลับมาอีกจนกว่าท้องฟ้าจะเป็นสีทอง” ถุงมืออุ่นแตะที่ข้อพระกร หากถูกสะบัดออกอย่างไม่ใยดี

    “ไม่ต้องมาแตะต้องตัวเรา”

    ราชองค์รักษ์หนุ่มโค้งศีรษะให้อีกครั้ง ก่อนจะลากวรองค์สูงโปร่งฝ่าทหารองครักษ์กลับทางเดิน แม้จะถูกตะปบที่ข้อมือหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงไม่ใยดี มุ่งสู่กระโจมที่พักขององค์รัชทายาทอย่างแน่วแน่

    “อรชุน ปล่อยเรานะ!” พระสุรเสียงสะบัด จับจ้องใบหน้าครึ้มหนวดเคราด้วยความดื้อดึง

     ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบทอดมองดวงเนตรดั่งนิลภายใต้เงามืดชั่วขณะ จากนั้นจึงปล่อยข้อพระกรแต่โดยดี ทว่าเมื่อเป็นอิสระพระวรกายงามระหงกลับก้าวย่างกลับทางเดิม...ใบหน้าขาวได้รูปเริ่มมีสีจัด ริมฝีปากสีแดงสดดั่งสตรีเม้มสนิท ย่างไม่กี่ก้าวก็รั้งวงองค์โปร่งบางไว้ทั้งทัน ตะคอกด้วยน้ำเสียงเข้มห้วนตะคอกชิดพระพักตร์ว่า

    “กระหม่อมเป็นราชองครักษ์ ในเวลานี้องค์หญิงต้องเชื่อฟังกระหม่อม!

                 พระหัตเรียวภายใต้ถุงมือหนังผลักร่างหนาให้ออกห่าง เสด็จกลับไปยังกระโจมขององค์พระราชาตามที่ตั้งพระทัยไว้แต่แรก เสียงฝีเท้าเดินตาม ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวด้วยความโกรธตามติดอยู่เหนือพระเกศา ข้อพระกรถูกรั้งไว้อีกครั้งด้วยแรงมหาศาล น้ำเสียงที่เอ่ยเหมือนดังวันที่เคยประดาบกันมาแต่ครั้งยังเยาว์

              “กฤษณา ถ้าเจ้าไม่เชื่อพี่ เราจะต้องตายกันทั้งแผ่นดิน”

              “ทำไมข้าต้องเชื่อท่าน”

              ดวงเนตรดำสวยเรืองรองด้วยเพลิงอารมณ์ ทว่ามือแข็งภายใต้หนังแกะนุ่มกระชับเรียวพระกรแน่นหนา แววตาคมดั่งเหยี่ยวพยายามสะกดกลั้นโทสะที่ลุกเพลิง 

              “ในฐานะหัวหน้าราชองครักษ์ เจ้าต้องเชื่อข้าองค์หญิงกฤษณา” 

              น้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน แรงกดหนักจากอุ้งมือพร้อมดวงตาแข็งคมลึกที่ทอดมอง ทำให้วรองค์เพรียวบางสะบัดหลุดจากการเกาะกุม กระชากผ้าที่ปิดบังพระพักตร์ทิ้ง ประทับนิ่ง ปล่อยให้แสงไฟสีส้มนวลได้ส่องสว่างความงดงามที่เล่อค่าให้ประจักษ์

              ดวงไฟที่แปลบปลาบอยู่ท่ามกลางไอหนาวฉายแสงให้พอมองเห็นดวงตาของกันและกัน ไอเย็นที่พัดผ่านระหว่างดวงตาคมสองคู่ ยะเยือกนิ่ง เนิ่นนาน กระทั่งดวงตาคมลึกแข็งกร้าวเป็นฝ่ายเบือนหนี แล้วเดินห่าง ทิ้งให้วรองค์งดงามยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางเงามืดแต่เพียงผู้เดียว พระพักตร์งามแลตามร่างสูง โอษฐ์บางเม้มแน่นสนิทด้วยความน้อยพระทัย 

              “องค์หญิง”

              น้ำเสียงห้าวแจ่มใสเบื้องหลังทำให้พักตร์งามหันกลับ ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่คือองครักษ์เรือนร่างสูง ใบหน้าคมเข้มคล้ายคลึงกับผู้ที่พึ่งจากไป ทว่านัยน์ตาคมกลับมีชีวิตชีวาอยู่เป็นนิจ

              “เสด็จกลับดีกว่า กระหม่อมไม่อยากโดนดุ”

              “เราเดินมาแค่นี้เองนะอานนท์ ทำไมคิดว่าจะมีอันตราย เจ้าคอยเฝ้าหน้ากระโจมเสด็จพ่อก็พอแล้วไม่ต้องตามเราไปทุกที่หรอก”

              “อรชุนคงไม่ปล่อยกระหม่อมแน่ ถ้าทำตามพระประสงค์”

              “เราจะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ จะตามเราไปหรือจะยืนอยู่ตรงนี้”

              ไม่รอให้องครักษ์หนุ่มตอบรับ วรองค์สูงโปร่งก็เดินลับหายไปในเงามืด อานนท์ผ่อนลมหายใจยาว จากนั้นจึงรีบสาวเท้าตาม แม้จะหนักใจแต่ความที่ดูแลกันมาตั้งแต่เยาว์วัยก็ทำให้ต้องยอมลงให้ ทั้งในฐานะของทหารองค์รักษ์และพี่ชายที่ต้องคอยตามพระทัยเรื่อยมา

              กระโจมที่ประทับขององค์กษัตริย์บัดนี้สว่างไสวด้วยแสงจากกองไฟที่เรียงรายอยู่โดยรอบ องครักษ์สองนายเฝ้าหน้ากระโจมยืนนิ่ง ส่วนราชองครักษ์หนุ่มกำลังสนทนากับนายทหารอีกสามคนด้วยท่าทางเคร่งเครียด ทว่าเมื่อเห็นวรองค์ระหงเสด็จใกล้ ทุกนายก็พร้อมลุกขึ้นโค้งคำนับ

              “เราจะขอเยี่ยมเสด็จพ่อ ไม่ทราบท่านทั้งหลายจะอนุญาตหรือไม่”

              พระสุรเสียงเข้มจัด ประชดประชัน ดวงเนตรดั่งนิลเพ่งมองวงหน้าได้รูปไร้อารมณ์แล้วเมินหนี...นายทหารใหญ่ทั้งสามค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ สบตากันด้วยท่าทางหนักใจ หันมองผู้เป็นหัวหน้าราชองค์รักษ์ ทว่าผู้ที่มีสิทธิ์ในความปลอดภัยแห่งองค์กษัตริย์ยังคงนิ่งเฉย ต่างคนก็ต่างกระอักกระอ่วน ไม่แม้จะเอื้อนเอ่ยคำใด กระทั่งสุรเสียงหนัก เข้มจัด ดังลอดผ่านกระโจมเบาๆ มาว่า

              “ปล่อยกฤษณาเข้ามาเถอะ อรชุน”

              “เสด็จพ่อ!

              ริมโอษฐ์แดงสดเอื้อนเอ่ยด้วยความดีพระทัย เสด็จเข้าสู่กระโจมที่ประทับของพระราชบิดาด้วยความเร่งรีบ โดยมิอาจแลเห็นดวงตาอีกสี่คู่ที่ละโหยห้อยแก่พระสุรเสียงของทั้งสองพระองค์แม้แต่น้อย

                          

                “อรชุน” ผู้ที่เอ่ยขานคือท่านนายพลร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบสีดำทะมึน ใบหน้าเคร่งเครียดละม้ายคล้ายคลึงกับผู้ที่กำลังนิ่งฟังดุจรูปปั้น

              “ลูกจะต้องพาองค์กษัตริย์และองค์หญิงกลับพระนครคืนนี้”

              “เราไม่มีเวลาแล้วอรชุน” อีกหนึ่งนายพลที่แฝงด้วยตำแหน่งแพทย์ประจำพระองค์เร่งเร้า

              “ไปเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป” นายพลที่ถือตำแหน่งที่ปรึกษาและโหรหลวงพยายามเกลี่ยกล่อม

              ราชองครักษ์หนุ่มมองไปที่กระโจมแลกลับมามองที่ที่ปรึกษาทั้งสามและน้องชาย พลางกระชับคันธนูในมือแน่น แม้จะพยายามเท่าใด ทว่าทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ข้าศึกเริ่มตีล้อม เสบียงกรังเริ่มหดหาย

              “เราจะแยกเป็นสี่กอง” ในที่สุดเสียงเข้มจัดก็ตัดสินทุกอย่าง “อานนท์ไปกับนาอูร์ ทหารอีกสามสิบ แยกกันขึ้นยอดเขา ฝังระเบิด รอจังหวะให้ขบวนใหญ่เคลื่อนผ่าน เมื่อศัตรูเข้ามาสุดให้ปิดช่องนั้นเสีย”

              “ครับ” อานนทร์รับคำและออกปฏิบัติการดั่งที่ผู้เป็นพี่ชายตัดใจโดยไม่รั้งรอ เพียงชั่วครู่แสงไฟก็ค่อยๆ มอดลง กระโจมที่พักและทหารเริ่มเคลื่อนตัวอย่างเงียบกริบ

              “ท่านลุง” เบือนหน้าไปที่แพทย์หลวง “ท่านจงนำองค์กษัตริย์และองค์หญิงพร้อมทหารอีกหนึ่งร้อยข้ามช่องเขาไปเสียบัดนี้”

              ท่านนายพลที่เป็นแพทย์ประจำพระองค์ผละห่างพร้อมกับเปิดเข้าไปในกระโจม เสียงสอบถาม เสียงฮึดฮัดดังลอดออกมา ทว่าท้ายสุดวรองค์โปร่งระหงก็ก้าวออกมาพร้อมกับตวัดปลายดาบเก็บเชือกที่ร้อยรัดอยู่ทุกมุมอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่เทียมม้าก็เยาะย่างเข้ามาเตรียมพร้อม

              “ท่านพ่อ ท่านลุง จงแบ่งทหารอีกหนึ่งร้อยคุ้มกัน ท้ายหัวขบวน”

              “แล้วเจ้าเล่าอรชุน” ท่านนายพลเบือนหน้ามองบุตรชายด้วยความหวั่นวิตก ตำแหน่งและหน้าที่แห่งหัวหน้าราชองครักษ์ทำให้ท่านตระหนักถึงจิตใจของผู้เป็นลูกดี

              “ข้าจะวิ่งม้าไปทางแม่น้ำ เลียบฝั่งลงไปทางเขตแดนทางทิศตะวันตก”

              “แต่นั่นมัน” ท่านนายพลท้วงติงได้เพียงเท่านั้น ไหล่หนาก็ถูกตะปบด้วยแรงจากโหรหลวง “ทำตามที่อรชุนสั่งเทิด เราไม่มีเวลา กว่าขบวนเสด็จจะได้แสงพระอาทิตย์ ก็ต้องอีกสามคืน”

              “รักษาตัวด้วยอรชุน”

              ดวงตาทั้งสองคู่ที่ละม้ายคล้ายคลึงสบกันด้วยประกายแน่วแน่ ผู้เป็นบุตรโค้งศีรษะรับ ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ จากนั้นขบวนคุ้มกันก็ตีแผ่ออกเป็นสองขบวน ห้อมล้อมองค์กษัตริย์ไว้ทั้งเหนือใต้อย่างพร้อมเพรียง

              “ท่านอรชุน”

              “อารี ท่านจงคุ้มครององค์หญิงให้ดี”

              “แต่ท่าน” ทั้งสีหน้า แววตา บ่งบอกความหนักใจ “ท่าน”

              “มันเป็นทางเดียวที่เราจะตั้งรับได้ทัน ขบวนเสด็จต้องพ้นหุบเขาภายในดาวประกายพรึกส่อง”

              “ข้าจะรอท่านที่ประตูเมือง”

              “ตกลง”

              องครักษ์หนุ่มรั้งเชือกม้าและกระโดดขึ้นพร้อมกับทหารประจำกาย จากนั้นก็ปรับขบวน คุ้มกันองค์รัชทายาทอย่างแน่นหนา..อรชุนปิดผ้าคลุมหน้าแล้วกระชับดาบในมือ คันธนูที่แข็งแกร่งยังคงพร้อมอยู่กับแผ่นหลัง ก้าวผ่านความมืดเข้าไปที่ม้าทรงที่คุ้นตา แตะที่เชือกนั้น พลางสั่ง

              “จงทำตามกฎของนักรบ”

              “เสด็จพ่อทรงเจ็บหนัก แต่เจ้ากลับ” พระสุรเสียงทั้งเจ็บแค้นและกล่าวหา ดวงเนตรสีนิลเจ็บช้ำทอดมองดวงตาดุจเหยี่ยวด้วยแรงสะอื้นในพระทัย

              “ข้าเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ มีอำนาจและขอบเขต”

              “แต่เจ้า เจ้าไม่ห้ามเสด็จพ่อ”

              “กฤษณา” ดวงตาดุจเหยี่ยวแลสบ รั้งเชือกนั้นเพียงเบาๆ ม้าที่กระวนกระวายก็กลับนิ่งสงบ ย้ำหน้าที่แห่งองค์รัชทายาทว่า

              “แผ่นดินนี้มีพระองค์กฤษณะเป็นผู้คุ้มครอง ตราบใดที่ลมหายใจยังอยู่พระองค์จะยังทรงปกป้องไพร่ฟ้าของพระองค์ตราบชีวิตจะหาไม่ วันใดที่เจ้าขึ้นครองราชย์ วันนั้นเจ้าจะรู้ว่า ข้าก็มิอาจห้ามความรักและหน้าที่ของกษัตริย์ที่มีต่อแผ่นดิน”

              “เสด็จพ่อ จะทรงมีลมหายใจเพื่อคุ้มครองประชาชนของพระองค์” สุรเสียงคล้ายย้ำเตือนพระองค์เอง

              “จงทำหน้าที่ของนักรบและองค์รัชทายาทให้สมบูรณ์”

              ชายหนุ่มปล่อยเชือกที่รั้งไว้ และโค้งศีรษะให้แก่ขบวนเสด็จ รอคอยให้ม้าตัวสุดท้ายลับสายตา จากนั้นจึงหันกลับมายังหน่วยรบที่เหลือเพียงยี่สิบนาย ตวัดปลายดาบปิดมอดกองไฟนั้นจนหมดสิ้น ก่อนจะขึ้นม้า พร้อมกับตะเบ่งไปข้างหน้าสุดฝีเท้า  

               ไกลแสนไกลจากศูนย์กลางของหัวใจ ยะเยือกเย็นท่ามกลางเกล็ดไอที่เหน็บหนาว ทว่าหน่วยรบและม้าฝีเท้าจัดก็ยังกระโจนสู่ห้วงมัจจุราชโดยมิหวั่นเกรง

              ป่าเริ่มทึบ เกล็ดหิมะเริ่มเบาบาง ไอเย็นเริ่มอุ่นขึ้น ชายหนุ่มหยุดม้าลง พลางมองกระต่ายที่กระโจนเข้ามาในทางวิ่ง สัญชาตญาณทำให้โบกมือแหวกเป็นลูกธนู ทว่าไม่ทันลมหายใจ เสียงหวีดหวิวแปลกประหลาดก็เสียดแทรกความเงียบพุ่งเข้ามาดั่งสายฟ้า มือที่ระวังภัยอยู่เป็นนิจ จึงตวัดคันธนูขึ้นเบี่ยงรับอย่างรวดเร็ว กระโดดลงจากม้า กลิ้งลงกับพรมสีขาวและวิ่งฝ่าเนินเขาขึ้นไปพร้อมกับกริชประจำตัว

              เสียงธนูแหวกอากาศหวีดหวิวห้อยระโหย หยาดหยดสีแดงเริ่มแผ่กระจายบนเกล็ดหิมะทีละน้อยๆ ทว่ามือที่มั่นคงก็ยังคงฝังร่างของศัตรูลงในพื้นพสุธา ทีละร่าง ๆ ตราบสีแห่งวิญญาณค่อยๆ ระอุร้อนฝากทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวและไอหนาวที่พัดโชยมาเพียงแผ่วเบา

     

    ปอลอ@ ....ใต้ฟ้าเงาดาว....

              มาแล้ว มาแล้ว มาแล้วจ้า

     

    สลาลิน 

    28 มกราคม 2556    

             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×