ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้ฟ้าเงาดาว

    ลำดับตอนที่ #5 : ประตูเมือง ( 100 100 )

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 56





      ตอนที่ 5 ประตูเมือง



            บรรยากาศพระราชฐานชั้นนอกยังคงมีทหารประจำการและนางข้าหลวงทำงานตามปกติ ไม่มีข่าวระแคะระคายเหตุการณ์ภายในแม้แต่น้อย ร่างเล็กในชุดกระโปรงสีดำประดับปีกแมลงและลูกปัดถือถังน้ำเข้าไปในส่วนซักล้าง เทน้ำทิ้งแล้วคว่ำไว้ด้านนอก จากนั้นจึงนั่งลงใต้ร่มไม้ด้วยท่าทางเป็นกังวล มือน้อยๆ เท้าคางดวงตาเหม่อลอยมองท้องฟ้าที่มืดมิดอย่างไร้ความหวัง

              เธอสงสารองค์หญิงเหลือเกินที่ต้องมาเสียพระบิดาไปในตอนนี้ บ้านเมืองก็กำลังลุกเป็นไฟ ศัตรูก็เข้าโจมตีทั้งสองด้านจนทหารและประชาชนไม่มีเวลาพักผ่อน ขนาดเธอเป็นเพียงนางข้าหลวงยังงานหนักถึงเพียงนี้ แล้วราชองครักษ์และเหล่าทหารที่ต้องออกรบแรมเดือนนั่นเล่าจะเหนื่อยล้าสักแค่ไหน

              หนึ่งปีแล้วซินะที่เธอได้มีโอกาสเข้ามาถวายตัวเป็นนางข้าหลวงในวัง หนึ่งปีที่ทำให้เธอทั้งดีใจและเศร้าใจจนบอกไม่ถูก ถ้าเย็นวันนั้นท่านราชองครักษ์จะไม่พาม้าผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ของเธอ ป่านนี้เธอก็คงถูกพ่อยกให้แก่ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านไปแล้ว อันที่จริงการเป็นลูกสะใภ้ผู้นำหมู่บ้านก็คงจะมีอนาคตสุขสบายไม่น้อย แต่เธอไม่เคยคิดจะแต่งงานเลย นอกจากอยากออกไปศึกษาร่ำเรียนวิชาให้มากกว่าที่แม่เฒ่าพ่อเฒ่าคอยสั่งสอน

               เธออยากออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาเพื่อจะได้มีโอกาสพาพ่อแม่และน้องอีกสองคนไปค้าขายยังเมืองใหญ่ แม้ชีวิตความเป็นอยู่จะไม่ได้ลำบาก แต่การที่ต้องตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเจอแต่สิ่งเดิมๆ ก็ทำให้หัวใจเธอห่อเหี่ยวจนไม่อาจยินยอมให้พ่อบังคับได้อีกต่อไป

              คืนนั้น คืนที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดพิธีต้อนรับราชองครักษ์จากวังหลวง เป็นเสมือนคืนที่เปลี่ยนชีวิตเธอ หลังจากทานอาหารค่ำ ชมระบำรอบกองไฟ ท่านอรชุนก็ได้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของคนในหมู่บ้านและจัดการให้หมอและทหารในขบวนช่วยเป็นธุระต่างๆ ให้ และเมื่อถึงเวลาของเธอ เธอก็บอกท่านราชองครักษ์ไปด้วยความมั่นใจในปัญหาว่าถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับลูกชายหัวหน้าหมู่บ้าน แม้ทุกคนที่ได้ยินจะมองเธอเหมือนตัวประหลาด ทว่ารุ่งเช้าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...ทหารม้าที่เธอเห็นในคืนนั้นมาเคาะประตูเรียกเธอแต่เช้า พร้อมกับบอกว่าถ้าอยากเข้าวังก็ให้เตรียมตัว

              ณ เวลานั้นเธอไม่เคยหวังอะไรนอกจากหนีไปให้พ้นจากการถูกบังคับ จึงจัดเก็บข้าวของใส่ถุงย่ามและลาพ่อแม่กับน้องแล้วขึ้นม้าไปกับทหารในขบวนด้วยความเด็ดเดี่ยว

              ท่านอรชุนช่างหล่อเหลา องอาจและกล้าหาญยิ่งนัก เธอไม่เคยเห็นพ่อและหัวหน้าหมู่บ้านยอมให้ใครเลยในชีวิต นอกจากท่านอรชุน และแม้ในขบวนม้าจะมีเธอเป็นหญิงเพียงลำพัง หากเธอก็ได้รับการดูแลและคุ้มครองดุจคนสำคัญคนหนึ่ง และเมื่อถึงวังหลวง ชีวิตของเด็กสาวชาวเขาเช่นเธอก็เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน องค์หญิงเอ็นดูเมตตาเธอ และสั่งสอนเธอดั่งที่ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่า

              “มินตรา องค์หญิงเอ็นดูเจ้ามาก จงดูแลองค์หญิงอย่าให้ขาดตกบกพร่องตอบแทนพระคุณที่พระองค์ทรงเมตตา”

              คำสอนและถ้อยคำเตือนสติหลายต่อหลายครั้งของนางข้าหลวงรุ่นพี่ทำให้เธอปรนนิบัติองค์หญิงเสมอเหมือนเจ้าชีวิตตลอดมา ทว่าเวลานี้เธอกลับไม่สามารถใช้ความรักความภักดีที่มี อ้อนวอนให้องค์หญิงยอมเสวยพระกระยาหารได้เลยแม้แต่นิดเดียว เฮ้อ ทำยังไงองค์หญิงถึงจะยอมเสวยนะ ทำยังไงดี

              นางข้าหลวงวัยกำดัดถอนหายใจซ้ำๆ เมื่อความคิดวนเวียนถึงองค์หญิงอันเป็นที่รัก

              “ทำไมยังไม่เข้าไปดูแลองค์หญิง เจ้าทำความสะอาดเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงห้าวทุ้มดังอยู่ทางเบื้องหลังมินตราหันขวับ พลันดวงตาเล็กๆ ที่มีรอยชื้นจากหยดน้ำตาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ

              “ข้า ข้าพึ่งถูห้องบรรทมเสร็จ ก็เลยนั่งพักเจ้าค่ะ” น้ำเสียงตระหนก และก้าวเข้าไปหาราชองครักษ์ด้วยท่าทางหวั่นเกรง ร่างเล็กๆ ของมินตรายืนตัวสั่นงันงกและคอยเหลือบมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอไม่ค่อยชอบท่านนาอูร์เท่าใดเลยเพราะเจ้าระเบียบเคร่งครัดเสียเหลือเกิน ผิดนิด ผิดหน่อยก็ดุ

              “ท่านนาอูร์มาตามข้าเองเลยหรือเจ้าคะ ให้ทหารมาตามก็ได้เจ้าค่ะ”

              นาอูร์มองหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วยดวงตาดุจเหยี่ยวภูเขาที่ลาดตระเวนได้แม้ในรัตติกาล ชายหนุ่มได้รับคำสั่งจากอานนท์ให้จับตาดูผู้ต้องสงสัยไม่ให้คลาดสายตา และเขาก็จำเป็นต้องติดตามนางข้าหลวงคนนี้แทบทุกลมหายใจ การศึกที่ท่านอรชุนกำลังเผชิญและถ้อยความที่เคยปรึกษาหารือมาแต่ก่อน ทำให้ต้องรีบไขข้อสงสัยต่างๆ ในเร็ววัน ชายหนุ่มเพ่ง มองร่างกะทัดรัดที่ยืนตัวสั่นคล้ายถูกนักล้วงความลับฝีมือฉกาจจ้องหน้า  

              “เจ้าละทิ้งหน้าที่ ทำไมไม่ดูแลองค์หญิง”

              “ข้าพึ่งถูห้องพระบรรทมเสร็จ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ข้าวก็ยังไม่ต้องถึงท้อง แล้วองค์หญิงก็ไม่ยอมเสวยด้วยข้า..ข้าก็เลย ก็เลย” ก้มหน้างุด ยิ้มแหย

              “ถือโอกาสหนีงาน”

              “เปล่านะเจ้าคะ” ปฏิเสธพัลวัน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาที่แลมองดั่งเธอคือตัวรำคาญ มินตราก็จำต้องก้มหน้า เม้มปาก บีบมือแน่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกต่อไป

              “ไปทำธุระของเจ้าให้เสร็จแล้วรีบเข้าไปดูแลองค์หญิง ถ้าเจ้ารักสนุกเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านของเจ้า ก็จงเก็บของกลับบ้านเสีย แต่ถ้าเจ้าอยากเป็นนางข้าหลวงต่อไปก็จงรู้จักหน้าที่ของเจ้าให้ดี”

              “ข้าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่นะเจ้าคะ องค์หญิงอนุญาตให้ข้ามาพัก” เถียงแบบไม่ยอมใคร กลัวก็กลัวอยู่หรอก แต่มาต่อว่าเยี่ยงนี้ ใครจะยอม

              “องค์หญิงให้เจ้าพัก แล้วหน้าที่เจ้าต้องพักหรือ”

              “ข้าไม่ใช่รูปปั้นเหมือนท่านนิจะได้เหนื่อยไม่เป็น” เถียงข้างๆ คูๆ

              นาอูร์กราดมองร่างเล็กๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเมินหนี บอกกล่าวสั้นๆ แต่ทำให้คนฟังสะดุ้งว่า

              “ถ้าเจ้าทำหน้าที่บกพร่อง ข้าก็จะพิจารณาเจ้าให้ลงไปช่วยงานในครัวทหาร”

              “ท่านมีสิทธิ์อะไร! คนที่มีสิทธิ์ปลดข้าคือองค์หญิงกับทานอรชุนนะ ไม่ใช่ท่าน!” แหวเสียงดัง หน้าแดง แทบเต้นเป็นเจ้าเข้าเมื่อได้ฟังว่าจะถูกลดตำแหน่งไปเป็นแม่ครัวทหาร ฮึ! ถือดียังไงมาปลดเธอ ครัวทหารโหดพอๆ กับเขาเลย ใครจะอยากลงไป แค่หายใจยังต้องรอคำสั่งเลย

              “เจ้าไม่ได้มีสิทธิ์มาเป็นนางข้าหลวงประจำตัวองค์หญิงตั้งแต่ทีแรกแล้วมินตรา เจ้าได้ขึ้นมาฝึกเป็นนางข้าหลวงก็เพราะท่านอรชุน และได้เข้ารับใช้องค์หญิงก็เพราะเจ้าไม่เคยขัดใจองค์หญิงต่างหาก แท้จริงแล้วถ้าให้คัดเลือกตามความสามารถหรือต้นตระกูล เจ้าไม่มีสิทธิ์มาฝึกเป็นนางข้าหลวงด้วยซ้ำ”

              “ท่านดูถูกข้าทำไม! พ่อข้าเป็นช่างไม้ แม่ค้าเป็นช่างทอผ้า ปู่ย่าตายายข้าก็เป็นช่าง ท่านเอาอะไรมาวัดว่าข้าไม่เหมาะสม หรือเพราะว่าข้ามาจากหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาเท่านั้น ท่านถึงดูแคลนข้านัก!

              “ไม่มีใครดูแคลนเจ้าหรอก แต่ที่เจ้ากำลังทำขณะนี้ทำให้ข้าดูแคลนเจ้านัก”

              ชายหนุ่มหันหลังและเดินกลับทางเดิมด้วยสายตาเสมือนเหยี่ยวเห็นเหยื่ออันไร้ค่า มีผลให้นางข้าหลวงที่พึ่งเข้ามาฝึกได้ไม่นานแต่ได้สิทธิ์เข้ามาปรนนิบัติองค์หญิงเลือดขึ้นหน้า คว้าก้อนหินที่อยู่บนพื้น เล็งที่ศีรษะใหญ่ แล้วขว้างสุดแรง หนอยแหนะ ดูถูกใครก็ได้นะ แต่ไม่ใช่มินตราคนนี้! เอาให้หัวแตกเลย เจ้าราชองครักษ์ขี้เก๊ก!


                        
    เสี้ยววินาทีที่ก้อนหินทะยานสู่เป้าหมาย นาอูร์ก็ตวัดดาบรับน้ำหนักมฤตยูลูกเขื่องไว้ได้อย่างทันท่วงที ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบและยืนมองผู้ประทุษร้ายด้วยสายตาดุดัน

              เสียงโลหะปะทะกับก้อนหินบาดแหลมเข้าไปในความรู้สึกของเด็กสาวจนสะท้านเยือก มินตราค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละนิดทีละนิด แล้วจึงออกวิ่งสุดฝีเท้า

              “หยุดเดี๋ยวนี้!

              เสียงคำรามก้องคล้ายสัญญาณปลดปล่อยให้สองเท้าของนางข้าหลวงเผ่นหนีไม่คิดชีวิต มินตราสาวเท้าฝ่าความมืดลัดเลาะลงไปตามบันไดหินอย่างรวดเร็ว เธอไม่ยอมหันกลับได้แต่วิ่ง วิ่งและวิ่ง พลางมองหาที่หลบซ่อนอย่างลนลาน เจ้าองครักษ์ขี้เก๊ก! ใครจะคิดว่าเขาจะใช้ดาบปัดหินเธอได้ว่องไวปานนั้น ตายแน่คราวนี้ โอ้ย หลบที่ไหนดีนะ

              เด็กสาวหันซ้ายแลขวาก็พบแต่กำแพงหิน จึงหันกลับหวังมองศัตรู ทว่ายังไม่ทันร้องร่างสูงใหญ่ก็กางปีกโผนลงมาจากกำแพงด้านบนเหมือนค้างคาว และก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว ก็ต้องดิ้นกระแด่วๆ ราวแพะถูกเชือดอยู่บนบ่าของเขา

              “ปล่อยข้านะ!” พยายามทุบหลังไหล่ศัตรูทั้งที่เวียนหัวจนตาลาย

              นาอูร์เขย่านางข้าหลวงตัวดีจนได้ที่ จึงประคองร่างเล็กๆ ลงพิงไว้กับกำแพง มองศีรษะที่เอนไปเอียงมาคล้ายตัวตลกด้วยความอดทน ตัวเล็กนิดเดียว แต่ไวยังกับกระรอก ให้ตายเถอะ เขาไม่เคยเสียศักดิ์ศรีเท่านี้มาก่อนเลย

              มินตรากุมคอคล้ายจะอาเจียนแล้วไออีกสองสามครั้งจึงได้สติพอที่จะลืมตาดูศัตรู เด็กสาวปาดน้ำตาทิ้งเร็วๆ ด้วยอาการโกรธกรุ่น พยายามพิงกำแพงลุกขึ้นเผชิญหน้ากับผู้ร้ายในคราบนักรบ

              “คราวหน้าคราวหลัง ถ้าคิดทำร้ายราชองครักษ์อีกเจ้าจะถูกตัดหัว”

              “ก็เจ้าดูถูกข้า! ข้าจะฟ้อง ฟ้อง” ฟ้องใครดีละตอนนี้ องค์หญิงก็กำลังเสียพระทัย ท่านอรชุนก็ยังไม่กลับมา วงหน้าเล็กๆ ครุ่นคิด พลางเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่าเป็นรองทุกประตู

              “กลับ!

              สั่งเสียงเฉียบขาด และเดินนำตัวการลงบันได ขณะที่เจ้าของก้อนหินมฤตยูกระแทกเท้าทั้งแลบลิ้นปลิ้นตาสาปแช่งตามหลัง จึงไม่ทันเห็นร่างสูงใหญ่ที่หยุดยืนอยู่มุมบันไดหิน ส่งผลให้ร่างเล็กๆ กระแทกเข้ากับแผ่นหลังแข็งแกร่งจนหน้าหงาย ทว่าไม่ทันร้องอุ้งมือใหญ่ก็ปิดปากเธอแน่น พร้อมกับเสียงกระซิบอันผ่าวร้อนริมใบหูว่า

              “เงียบ”

     

             เงาตะคุ่มๆ ที่เดินแกมวิ่งอยู่ยังอีกฝั่งของกำแพงเมืองทำให้ดวงตาของราชองครักษ์หนุ่มเขม็งเกลียวด้วยความสงสัย ประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตกถูกปิดมาเนิ่นนานตั้งแต่เขายังเป็นเพียงทหารฝึกหัด นานเสียจนทุกคนในเนปาลีมั่นใจว่าจะไม่มีใครเข้าออก เพราะประตูเมืองแห่งนี้ก็เหมือนดั่งประตูส่งวิญญาณของเหล่าทหารเพื่อเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์หลังความตาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปองค์กฤษณะเห็นว่าชีวิตของทหารทุกนายล้วนมีบุญคุณต่อแผ่นดิน พระองค์จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนสถานที่ฝังศพของเหล่าทหารกล้าเป็นเชิงเขาภายใต้หุบเขากษัตริย์ สถานที่เดียวกันกับองค์กษัตริย์ของเนปาลี และสั่งปิดประตูทางด้านทิศตะวันตกเป็นการถาวร ดังนั้นประตูเมืองจึงมีเพียงแห่งเดียวคือทางด้านทิศตะวันออกเท่านั้น แล้วที่เขาเห็นนั่นละคืออะไร

              “หะ หายใจไม่ออก” มินตราพยายามใช้นิ้วเล็กๆ สอดเข้าไปในอุ้งมือใหญ่และบอกให้ราชองครักษ์ขี้เก๊กถึงอันตรายของเธอเสียก่อนที่จะกลายเป็นศพโดยไม่ได้สั่งลา เด็กสาวแหงนมองผู้ชายร่างสูงตัวเท่ายักษ์ที่ถลาลงมาขย้ำแล้ว รีบเบือนหน้าหนี เธอเกือบคอหักเพราะมือของเขา คนบ้าอะไรก็ไม่รู้มือแข็งยังกับเหล็ก อยู่ๆ ก็วิ่งมาปิดหน้าปิดปากคนอื่น จบหลักสูตรราชองครักษ์ระดับสูงมาได้ยังไง น่าจะจับเขี่ยนเสียให้เข็ด ข้อหาทำร้ายนางข้าหลวงคนสนิทขององค์หญิง

              นาอูร์ค่อยๆ คลายมือออกด้วยท่าทางสงบ ทว่ายังคงมองร่างที่หายเข้าไปในพระราชฐานชั้นในจนลับตา

              “ทำอะไรของท่าน ข้าเกือบตายเพราะมือของท่านแล้วนะ!” มือใหญ่ยังกับอะไรดี ปิดหน้าปิดตาเธอจนหายใจไม่ออก

              “เราอยู่เหนือลม”

              “เหนือลม แล้วทำไม?” คุยด้วยแล้วยังเก๊ก มองอะไรก็ไม่รู้ มืดก็มืดไม่เห็นอะไรสักอย่าง เด็กสาวพยายามเขย่งตัวขึ้นมองบ้าง หากความสูงที่แม่ให้มาเพียงน้อยนิดจึงทำได้เพียงกระโดดมอง ทว่าก็เห็นเพียงแสงไฟลิบๆ รอบกำแพงเมือง

              นาอูร์มองดวงตาเล็กๆ ที่แวบขึ้นอย่างหาเรื่องแล้วเมินหนี ก้าวยาวๆ ลงบันไดหินไปด้วยฝีเท้าเงียบกริบ มินตรามองตามหลังพลางขมวดคิ้ว กลอกนัยน์ตาไปมาและคาดเดาอารมณ์ของราชองครักษ์หนุ่มสุดความสามารถ หากคิดจนหัวหมุน ก็หาคำตอบไม่ได้ จึงสาปแช่งคนที่เกือบทำให้กลายเป็นศพอย่างหงุดหงิด พลางถลาตามหลังนกเค้าแมวยักษ์ที่เดินลงบันไดไปด้วยความหมั่นไส้

             

              อานนท์ทอดแขนลงตามแรงของเจ้าเหยี่ยวภูเขาที่ถลาเข้ามาเกาะเหมือนทุกครั้งที่ต้องรับข่าวสารจากพี่ชาย เขาแก้เชือกที่ข้อเท้าออก แล้วนำเจ้าซีซาร์หนุ่มไปเกาะยังขอนไม้ประจำตำแหน่ง คืนนี้เป็นคืนที่สองแล้วที่องค์กฤษณะจากไป ทุกคนในพระราชฐานชั้นในยังคงทำหน้าที่เป็นปกติ โดยไม่มีสิ่งใดระแคะระคายออกไปภายนอก จะมีก็เพียงแต่กฤษณาเท่านั้นที่ยังมีอาการเศร้าโศกและไม่อาจเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เขาและขุนพลทั้งสามจึงเห็นพ้องต้องกันว่า คงต้องกักบริเวณองค์หญิงเสียก่อนที่จะแสดงพิรุธให้คนอื่นล่วงรู้ มิเช่นนั้นข่าวที่องค์กษัตริย์แห่งเนปาลีสิ้นพระชนม์คงไปถึงพระเนตรพระกรรณราชโอรสแห่งคีธาราในเร็ววันเป็นแน่แท้ และแผนการรบทุกอย่างที่วางไว้ก็คงพังทลายลงในพริบตา

              แสงไฟนวลจากตะเกียงทำให้ข้อความที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาทีละน้อยๆ...อรชุนจะถึงประตูเมืองคืนนี้และที่สำคัญพี่ชายของเขาจะเข้ามาทางด้านทิศตะวันตก ตะวันตกกระนั้นหรือ? หัวคิ้วเข้มขมวดปมแน่นคล้ายถูกบีบ อานนท์มองข้อความบนหนังสัตว์และความมืดที่ปกคลุมทั่วราตรีกาลอย่างหนักใจ

              ทำไมอรชุนถึงเลือกที่จะเปิดประตูที่ไม่เคยใช้งาน? ทำไมพี่ชายเขาต้องใช้ประตูแห่งความตายนี้เป็นหนทางกลับเข้ามาในพระราชฐานชั้นใน พระราชฐานชั้นใน? เอ๊ะ หรือว่า

              ชายหนุ่มปล่อยข้อความให้ตะเกียงลามเลียจนหมดสิ้น จึงปล่อยเจ้าเหยี่ยวภูเขาออกทางหน้าต่าง เปลี่ยนชุดให้รัดกุมแล้วจึงกระโดดตามเจ้าซีซาร์หนุ่มออกไปโดยไม่ระแคะระคายทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่แม้แต่น้อย เมื่อมาถึงห้องของราชองค์รักษ์ร่วมคำสาบานเขาก็เพียงโผล่หน้าเข้าไป บอกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะว่า

              “นาอูร์”

              ราชองครักษ์หนุ่มที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมอันน่าหวาดเสียวของรองราชองครักษ์ละสายตาจากตำรา พลางมองชุดสีดำรัดกุมด้วยอาการสงสัย

              “ตามข้ามา” บอกข่าวเรียบร้อย อานนท์ก็ไม่รอช้าผลุบจากช่องหน้าต่างโหนตัวลงไปยังพื้นเบื้องล่างทำให้ผู้ที่ได้รับคำสั่งต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและกระโดดตามลงไปอย่างไร้ข้อกังขา เมื่อมาถึงพื้นชายหนุ่มก็ยังไม่มีโอกาสไขข้อสงสัยเพราะร่างในชุดดำนั้นวิ่งฝ่าความมืดลัดเลาะกำแพงเมืองเร็วราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ

              เส้นทางจากพระราชฐานชั้นในจะมีกำแพงหินล้อมไว้ถึงสามชั้น ชั้นในสุดคือที่ประทับขององค์กษัตริย์และพระราชวงศ์ ชั้นที่สองจะเป็นส่วนของขุนพลและราชองค์รักษ์ ส่วนชั้นที่สามจะเป็นที่อาศัยของนางข้าหลวงและทหารฝ่ายในซึ่งจะมีอาณาเขตชัดเจนและเวรยามแน่นหนา

              นาอูร์แฝงตัวไปตามต้นไม้ที่เรียงรายอยู่รอบพระราชฐานแล้วไต่ขึ้นด้านบน ก่อนจะโยนตัวเข้าเกาะกับกำแพงหินไว้ได้อย่างแม่นยำ ชายหนุ่มทะยานตามร่างที่มุ่งไปในทิศทางที่บังเอิญได้สำรวจมาไม่นานด้วยอาการพิศวง ก่อนจะค่อยๆ ไต่เชือกลงไปตามกำแพงอย่างเงียบกริบ

              “ปกติท่านเร็วกว่านี้..นาอูร์” น้ำเสียงเย้า หากดวงตายังคงมองฝ่าความมืดคล้ายกำลังเสาะหาแสงเทียนจากราตรีกาล

              “ถ้าแจ้งกันก่อน ข้าอาจจะเร็วกว่านี้ เวลาที่ช้าคือความผิดของท่าน..อานนท์” ชายหนุ่มปลดเชือกเก็บและมองความมืดรอบตัวด้วยอาการเฉยเมย แม้ไม่กระจ่างในภารกิจ ทว่าความเชื่อใจในกันและกันก็ทำให้เขาสูดอากาศนอกกำแพงเมืองเข้าเต็มปอดได้เป็นครั้งแรก

              “อรชุนสั่งให้เรามารอ” บอกเหตุที่ทำให้ต้องเสี่ยงตายออกมา

              “ประตูผีนี้หรือ” เลิกคิ้วสูง แต่ยังคงรักษาสีหน้าไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

              “ยังไม่เคยเห็นผีสักตัว”

              “คืนที่องค์กฤษณะสิ้น ข้าตามนางข้าหลวงมินตรามาทางนี้และบังเอิญเห็นคน ข้าคิดว่าคนนะ วิ่งจากประตูนี้ตรงเข้าสู่เขตพระราชฐาน”

              “อรชุนคงรู้ระแคะระคายมานาน แต่ยังจับตัวไม่ได้”

              “หนอนตัวนี้เป็นหญิง”

              “ท่านมั่นใจได้ยังไง” หันมองพลางสบดวงตาดั่งนกเค้าแมวอย่างรอคอย

              “ท่าทางการวิ่ง ผู้ชายเราไม่วิ่งอย่างที่นางวิ่งเป็นอันขาด”

              “แต่เราก็ทิ้งมินตราไปไม่ได้ นางยังอยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัย จนกว่าเราจะจับตัวไส้ศึกได้”

              “ท่านอรชุนเข้าประตูด้านนี้ถือว่าแปลกมาก แต่ที่น่าสงสัยมากกว่าก็คือ ทำไมเจ้าซีซาร์บินมาส่งข่าวท่านเวลากลางคืน”

              “แสดงว่าอรชุนตัดสินใจเดี๋ยวนั้น” ผู้เป็นน้องคาดเดา

              “เพื่ออะไร”

              “ป้องกันไส้ศึกรู้ตัว และข้าคิดว่าทหารจะเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน โดยไร้ร่องรอย”

              “หลอกไส้ศึกให้คิดว่า กองกำลังสำคัญของเรายังอยู่นอกเมือง”

              “อรชุนน่าจะคิดอย่างนั้น ข้าคิดนะ แต่จะจริงหรือเปล่า เจ้าคงต้องถามพี่ชายข้า”

              ชายหนุ่มยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าเขาเองก็เดาความคิดพี่ชายไม่ถูกเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ออกรบ อรชุนมักจะมีแผนไว้ตลบหลังข้าศึกเสมอ และครั้งนี้พี่ชายเขากำลังหาหนอนบ่อนไส้ ซึ่งเขาเองก็ได้แต่สงสัยแต่ยังจับหนอนตัวนั้นไม่ได้สักที



    ส่งสาร

              เอนา  เอนา  เอนา ปะราตี  สายตาน่าจะดีขึ้นค่ะ พรุ่งนี้วันมาฆบูชา ไปทำบุญกันนะคะ

    สลาลิน         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×