คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ลมหนาวพัดผ่าน ( 100/ 100 )
ตอนที่ 3 ลมหนาวพัดผ่าน
“เสด็จพ่อ!” สุรเสียงอ่อนระโหยตรัสขานผู้เป็นพระราชบิดา แล้วซบลงบนพระอุระด้วยแรงสะอื้นท้วมท้น หมอหลวงประจำราชสำนักเบือนหน้าหนีจากความสะเทือนใจ พลางถอยห่าง สองคืนมาแล้วที่ขบวนเสด็จกลับมาถึงพระราชวัง ทว่าอาการพระประชวรเนื่องจากธนูอาบยาพิษขององค์กษัตริย์ก็ยิ่งทรุดหนักมากยิ่งขึ้น
ขุนพลอัสนีเคยอ้อนวอนให้องค์กฤษณะรีบเสด็จกลับวังหลวงหลายครั้งหลายครา หากพระองค์ก็ทรงบ่ายเบี่ยงและขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหารของเนปาลีตลอดมา กระทั่งเจ็ดวันผ่านไปเมื่อท่านมีโอกาสเข้าไปถวายตรวจพระอาการอีกครั้งและเห็นบาดแผลจากพิษของธนูบนพระอุทรเริ่มดำคล้ำและขยายวงกว้าง อีกทั้งพระปรอทยังสูงจนน่ากลัว จึงอาศัยอำนาจของหมอหลวงสั่งการในฐานะระหว่างหมอและคนไข้ ห้ามออกรบใดๆ จนกว่าพระอาการจะทรงดีขึ้น ทว่าท่านก็คาดคะเนผิด เมื่อครั้งนี้สิ่งที่ต้องต่อสู้คือพิษของแมงมุมร้ายที่แทรกซึมเข้าสู่กระแสพระโลหิตแล้วทั่วร่าง
ขุนพลสุรสิงห์ปิดพระสูตรลงเบาๆ ด้วยความหนักใจ ดวงตาสีเทาเศร้าสลดไร้พลัง มือที่เคยฆ่าและรักษาผู้คนมานับร้อยนับพันสั่นเทา
“ท่านหมอหลวง” ขุนพลอัสนีแลผ่านพระสูตรสีทองเข้าไปภายในห้องบรรทมด้วยความรู้สึกหดหู่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ยิ่งเห็นองค์รัชทายาทกรรแสงเท่าใด หัวใจของผู้ที่เคยปกป้องก็ยิ่งเศร้าสลด จนมิอาจให้อภัยในความผิดของตนได้มากเท่านั้น
“ไปคุยกันในห้องข้าเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
ร่างสูงใหญ่อุดมด้วยพละกำลังของขุนพลอัสนีนิ่งสงบอยู่หน้าพระทวารครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค้อมศีรษะลง ก่อนจะตามหมอหลวงไปไม่ห่าง
“อานนท์ ลูกไปดูแลองค์หญิงหน่อยเถอะ อย่าให้ใครเข้าไปรบกวนพระองค์”
“ขอรับ”
“อารี ไปเชิญพ่อตาเจ้ามาที ข้ากับท่านหมอหลวงจะรอที่ห้องบุศราคัม”
นายทหารราชองครักษ์ต่างแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ ขุนพลอัสนีหันกลับไปมองเหล่านางสนมและทหารที่ผลัดเปลี่ยนเวรหน้าห้องบรรทมจนเรียบร้อย จากนั้นจึงตามผู้เป็นหมอหลวงไปยังห้องทำงานด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำเงินเข้มขลิบเงิน ประดับด้วยตราของขุนพลแห่งเปนาลีก้าวผ่านห้องแล้วห้องเล่าด้วยจิตใจอันสั่นคลอน อาการขององค์กษัตริย์ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แม้จะระดมทั้งหมอหลวงและพระโอสถทั่วทั้งแผ่นดินมารักษา ก็มิอาจต้านทานพิษแมงมุมที่ซึมเข้าสู่กระแสพระโลหิตได้
“รอท่านโหรสักหน่อยเถอะ ข้าให้อารีไปเรียนแล้ว”
ขุนพลอัสนีนั่งลงที่ม้ายาว ปลดหมวกสักหลาดที่สวมประจำกายวางไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ในขณะที่หมอหลวงก็ยกกาน้ำชาเข้ามารับแขกด้วยตนเอง
“จิบชาร้อนๆ สักหน่อยก็ดี เส้นเลือดท่านจะได้ขยายพอจะรับฟังข้า”
ขุนพลผู้ที่ตรากตรำงานรบมาทั้งชีวิตชะงักมือที่จับถ้วยกระเบื้องเคลือบ แต่แล้วเมื่อสบตาอีกฝ่าย ก็ถอนใจ พลางยกชาขึ้นจิบ เอ่ยว่า
“ข้ารู้” เอ่ยเบาๆ หากเสียงฝีเท้าที่ก้าวตามเข้ามาก็ทำให้หมอหลวงรีบยกมือห้าม ก่อนที่จะถูกตำหนิว่า
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน แต่ท่านอัสนีอยากให้ท่านรับรู้ด้วย”
ผู้ที่เข้ามาใหม่คือบุรุษร่างสูงใหญ่บึกบึนไม่แพ้ท่านขุนพลนักรบ ทว่าเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลเข้ม ประดับสายสะพายไหล่สีแดงด้วยเหรียญแห่งดวงดาวครบทั้งสิบสองนักษัตร หมวกสักหลาดสีดำประดับด้วยขนนกยูงสีเขียวมรกตงดงาม
“ข้าขอโทษพวกท่านด้วยเถอะ ชาดามารีกำลังใกล้คลอด ถ้าข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนนาง นางก็จะคอยแต่อารีสามีของนาง ซึ่งถ้าให้แลก ท่านก็คงเข้าใจว่าอารี ยังทำงานได้มากกว่าข้า” ขุนพลชเยนทร์โหรหลวงประจำราชสำนักออกตัวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรื่องมันมากเหลือเกิน” ท่านสุรสิงห์รินชาอีกถ้วยให้โหรหลวง แม้จะอายุมากกว่าทุกคน หากท่านก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องอาวุโส ยังคงทำหน้าที่เจ้าของห้องบริการแขกด้วยความสงบนิ่ง
“ชากับนมแพะนี่เข้ากันเหลือเกิน จิบที่ไหนรสชาติก็ไม่เหมือนของท่าน”
“ข้าปั้นน้ำผึ้งไว้เป็นก้อนๆ พอชงชาเสร็จก็ทิ้งลงไปแช่ไว้ รอให้มีกลิ่นถึงยกมาเสิร์ฟ ท่านอัสนีไม่ชอบนมแพะ แต่ท่านชอบข้ารู้”
“บริการดีอย่างนี้ แต่ไม่ยอมมีเมียเป็นตัวตน” โหรหลวงที่มีภรรยาทุกราศีเย้า พลางวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลงบนโต๊ะหินอ่อน
“ข้าไม่อยากทะเลาะกับใคร” ผู้ที่อาวุโสสูงสุดเอ่ย เลื่อนขนมสำหรับชาไว้เคียงข้าง แม้จะไม่ถูกคอกับโหรหลวงผู้เช้าชู้ แต่เมื่ออีกฝ่ายมีภาระต้องดูแลบุตรสาวใกล้คลอด วิสัยหมอจึงอดถามไม่ได้ว่า
“อีกกี่คืน ชาดามารีถึงจะคลอด”
“หมอบอกอีกไม่เกินเจ็ดวัน ข้าจะมาตามท่านไปดูก็เกรงใจ ตอนนี้นางบวมไปหมดทั้งตัว ข้ากลัวว่านางจะคลอดลำบาก”
“หมอประจำบ้านท่านมีถึงสี่คน ถ้าไม่มีเมียมากก็คงไม่กระไรนัก” เหน็บตามความเคยชิน หากผู้ที่มีวาจาเป็นเอกและเสน่ห์ท่วมท้นมาตั้งแต่ยังหนุ่มไม่เคยใส่ใจ ตอบว่า
“ตอนนี้เมียข้าเหลือแค่สอง ท่านอย่าอิจฉาข้าหน่อยเลยท่านสุรสิงห์” ผู้ที่มีเมียมากเย้าเบาๆ แต่แล้วก็ขัดขึ้นก่อนถูกตำหนิว่า “เรียกข้ามานี่ คงมีข้อปรึกษาเรื่องพระอาการกระมัง”
“ท่านว่าอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เข้ามาถึงวัง ได้ตรวจดวงชะตาบ้านเมืองแล้วหรือยัง”
ขุนพลอัสนีทอดน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่น มองตรงที่โหรหลวงประจำราชสำนัก
“ข้าก็ปรึกษาพวกท่านตั้งแต่ทรงจะออกรบแล้วว่า ให้ห้ามพระองค์” ท่านชเยนทร์ท้าวถึงความหลังครั้งก่อนที่องค์กษัตริย์ตัดสินใจจะออกสู้ศึก ครั้งนั้นท่านทั้งห้าม ทั้งอ้อนวอน หากเหล่าขุนศึกทั้งหลายก็ไม่ฟังเลยสักคน
“ก็ตั้งแต่ท่านมีเมียทุกนักษัตร ความแม่นยำของท่านมันลดลงจนพวกข้าไม่อยากจะเชื่อนะซิ” ท่านสุรสิงห์เปรยคล้ายโยนความผิดให้แก่ตัณหาของโหรหลวงผู้มากเสน่ห์ เพราะตั้งแต่หนุ่มมาแล้วที่โหรหลวงผู้มีตาดั่งทิพย์อาศัยวิชาและวาจาอันหอมหวานหลอกล่อหญิงงามทั่วทุกหมู่บ้านมาเป็นภรรยา และก็ใช้เวลาที่ผ่านมาไปกับครอบครัวและเมียสาวจนใครๆ ก็ไม่อาจเชื่อในน้ำคำที่ทำนายได้อีกต่อไป
“ข้าบอกพวกท่านตั้งแต่หนุ่มแล้วว่า ดวงชะตาข้าเป็นเช่นนี้ อย่าทวนความหลังเลย วันนี้ข้าจะกลับมาทำหน้าที่โหรหลวงให้ดีที่สุด”
“ท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลย ไม่ใช่ความผิดท่านโหรหลวงหรอก ข้าต่างหากที่คุ้มกันพระองค์ไม่ดีเอง”
“ท่านอัสนีอย่าโทษตัวเองเลย ชะตาเมืองเป็นเยี่ยงนี้ ชะตาขององค์กษัตริย์ก็ถูกลิขิตไว้แล้ว”
“ที่ข้าเชิญท่านอัสนีมา ก็เพราะมีเรื่องอยากปรึกษา แต่ท่านมาด้วยก็ดี จะได้ตรวจดูอะไรๆ เสียให้รอบคอบ”
“ท่านหมายความว่ายังไง” โหรผู้มีภรรยาทุกย่อมหญ้าเหลือบมองหมอหลวงคู่อริ
“อรชุนยังไม่กลับ ข้ายังไม่มั่นใจว่าทหารของเราจะตัดกองกำลังของชีวาราได้กี่มากน้อย อีกทั้งหุบเขามรณะก็ไกลแสนไกลจากเมืองหลวงนัก อรชุนยังหนุ่มแน่นก็จริง แต่เส้นทางที่ต้องรอนแรมนั้นมันทรมานเหลือเกิน”
“ท่านสบายใจเถอะ อรชุนไม่เป็นอันตรายหรอก ลูกท่านทั้งสองคนมีชะตาชีวิตที่ส่องประกายเหมือนดาวเหนือ เขาต้องเป็นผู้นำทางให้แก่บ้านเมือง” ผู้ที่กลับมาทำนายดวงชะตาอีกครั้งพยักหน้าให้สหาย และเบือนหน้าถามคู่อริว่า
“อ้าว มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ท่านสุรสิงห์”
“อาการขององค์กฤษณะคงไม่พ้นเจ็ดราตรี”
ขุนพลทั้งสองถอนหายใจ พลางเงียบ แม้จะพอคาดเดาได้ ทว่าเมื่อได้ฟังความจริงจากน้ำคำผู้เป็นหมอหลวง ใจที่นิ่งสงบก็อดสั่นคลอนเสียมิได้
“ข้าไม่อยากให้ข่าวของพระองค์เล็ดลอดออกไปสู่ภายนอก การศึกครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น ถ้ามีข่าวของพระองค์ส่งไปถึงพระเนตรพระกรรณขององค์ชายแห่งคีธารา ข้ามั่นใจว่า ทั้งคีธาราและชีวารี คงบุกเข้ามาเผาเราทั้งเป็น”
“การทุกอย่างเราจะทำกันเพียงพระราชวังฝ่ายในเท่านั้น”
“ท่านอัสนี” โหรหลวงเปรยเบาๆ แตะที่ไหล่หนาแข็งแกร่งที่สะท้อนขึ้นลงด้วยแรงดันจากภายในใจ ปลอบว่า “ไม่ใช่ความผิดของท่าน”
“จริงอย่างที่ชเยนทร์บอก ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย และข้ามีเรื่องอยากรบกวนท่าน”
“แม้แต่ชีวิตข้าก็ถวายแด่เนปาลีได้ จงบอกมาเถอะท่านสุรสิงห์”
“เมื่อองค์กฤษณะเสด็จสวรรคต ข้า..” หมอหลวงผู้ทรงใกล้ชิดและถวายการรักษาพระราชวงศ์มาตลอดก้มหน้าลง...ปิดตาเพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะสบดวงตาสีเทาอันกล้าแกร่งด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน กล่าวว่า
“ข้าอยากให้องค์หญิงทรงอภิเษกกับ..กับท่านอรชุน”
“องค์หญิงเพียงยี่สิบชันษาเท่านั้น”
“ท่านอัสนี” โหรหลวงแตะที่ไหล่เพื่อนร่วมเรียนอีกครั้ง เสริมด้วยท่าทางนิ่งสงบว่า “องค์หญิงทรงเจริญชันษามากแล้ว ที่ท่านสุรสิงห์เรียกท่านมาก็แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่องค์หญิง”
“อรชุนยังไม่มีคู่หมั้น ทั้งวันทั้งคืนลูกข้ามีแต่รบกับรบ อานนท์เสียอีกยังมีทีท่าจะดูแลปกป้ององค์หญิงได้มากกว่าทำไมท่านถึงเลือกอรชุน”
“ท่านเป็นขุนศึกมานาน ท่านรู้ดีเกินกว่าจะถามข้า ทันที่ที่องค์กฤษณะสิ้น องค์รัชทายาทต้องทรงอภิเษกและต้องทรงมีรัชทายาทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเราจะทำได้”
“ท่านใช้คำว่าเราอย่างนั้นหรือ” ท่านชเยนทร์เอนพนักพิง รู้สึกว่าการเป็นโหรหลวงจะด้อยค่าเสียเหลือเกินเมื่ออยู่ตรงหน้าหมอหลวงผู้อาวุโส
“ไหนท่านรับรองว่าดูแม่น ทำไมไม่ลองทำนายดูเล่าว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป”
“เอาละๆ ท่านทั้งสองอย่าพึ่งทะเลาะกันเลย” ขุนพลอัสนียกมือห้าม ใบหน้าเข้มบึกบึนที่แม้จะนานแค่ไหนก็ยังทิ้งร่องรอยความองอาจไว้ไม่เสื่อมคลายเริ่มมีริ้วรอยหนักใจ
“อรชุนเป็นขุนศึกเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ ลูกข้าไม่มีความอ่อนโยนเลย ข้ากลัว กลัวว่า”
“ท่านเชื่อข้าเถอะ อรชุนเท่านั้นที่จะปกป้ององค์หญิงได้ เราต้องการรัชยาทองค์ต่อไปที่เพียบพร้อมแข็งแกร่งเช่นอรชุน”
“อรชุนกระด้างเกินไปสำหรับองค์หญิง ท่านไม่เปลี่ยนใจหรือท่านสุรสิงห์”
“ชะตาฟ้ากำหนด...อย่างไรเสียอรชุนก็ต้องดูแลองค์หญิงกระทั่งลมหายใจสุดท้าย” โหรหลวงที่ทายไม่แม่นในระยะหลังเสริม ก่อนบอกชะตาของบุตรชายอีกคนของเพื่อนร่วมรุ่นว่า “อานนท์ก็มีหญิงที่ต้องปกป้อง เขาทั้งสองพี่น้องมีหน้าที่ ถ้าไม่เชื่อข้า ก็ขอให้เอาประโยชน์ของแผ่นดินเถอะ”
“แล้วใครจะกล่อมองค์หญิง” กล่อมอรชุนก็ยากแล้ว แต่การกล่อมองค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ท่านก็รู้องค์หญิงมีใจให้อรชุน” หมอหลวงผู้อาวุโสที่สุดเอ่ยเบาๆ ถอนหายใจคล้ายจะแก่ไปอีกสิบปีก่อนบอก
“มีผู้เดียวที่จะทำให้องค์หญิงทรงทำทุกอย่างโดยเต็มใจ” จิบน้ำชาอีกครั้ง คล้ายอยากจะขอเวลานั้นให้ขุนศึกอีกสองท่านได้ระลึกถึงผู้มีอิทธิพลสูงสุดกับองค์รัชทายาท
“องค์กฤษณะ” ขุนพลอัศนีเอ่ยเบาๆ คลายเป็นหวัด ทั้งหน้าที่และราชบัลลังก์เสมือนตกอยู่ในมือจนหนักอึ้งทั้งสองบ่า
“ใช่! ก่อนที่พระองค์จะสติเลอะเลือน ข้าต้องทูลเสียก่อนที่จะสายเกินไป”
“ข้าหวังว่าอรชุนจะมาทันเวลา ก่อนที่องค์กฤษณะจะออกเดินทาง”
“พระองค์จะรออรชุนเชื่อข้า” ท่านชเยนทร์เอ่ยอย่างมั่นใจ และเมื่อดวงตาสองคู่แลมอง โหรหลวงที่ห่างหายความแม่นยำไปนานก็ยกมุมปากขึ้น รับว่า “ก็ท่านสุรสิงห์บอก เราต้องช่วยกัน ข้าก็ต้องช่วยให้กำลังใจท่านก่อนเป็นอันดับแรก...ถูกไหม”
หมอหลวงคู่อริยกชาขึ้นจิบ เบือนหน้าหนีโหรเมียสิบสองราศี ขณะผู้มีหน้าที่กล่อมว่าที่พระสวามี ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหนักใจ
“องค์หญิง” อานนท์ปลุกภวังค์องค์รัชทายาทผู้เปรียบเสมือนน้องสาวด้วยความสงสารสุดหัวใจ ตั้งแต่เช้ากระทั่งเพลานี้ องค์หญิงของเขาก็ยังทรงไม่เสวยสิ่งใดนอกจากนั่งกุมพระหัตของพระราชบิดา ชายหนุ่มแตะที่พระอังสาแล้วบีบเบาๆ เอ่ยว่า
“องค์หญิงน้อยของพี่” น้ำคำที่เรียกขานเสมือนวันวานที่ต้องรองรับน้ำตาของผู้เป็นน้องสาวมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ กฤษณาเบือนพระพักตร์ที่เปรอะเปื้อนมาที่เจ้าของอุ้งมืออบอุ่น พลางโผเข้ากอดรัดราวจะสิ้นลม
“อานนท์ เสด็จพ่อ”
“พี่รู้” ไม่มีราชองรักษ์หรือทหารศึกผู้ปกป้อง มีเพียงพี่ชายคนหนึ่งที่ต้องคอยโอบอุ้มน้องสาวเท่านั้น ชายหนุ่มโอบรัดวรองค์ที่ทรงกรรแสงอยู่กับอก มือหยาบกร้านแตะที่พระนลาฏเบาๆ รั้งวรองค์สูงโปร่งขึ้น แล้วค่อยๆ จูงหัตเรียวไปที่พระทวาร ปลอบน้องน้อยว่า
“เสวยสักนิดก่อนเถอะ ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปอีก พี่กับท่านพ่อจะทำเช่นไร”
“อานนท์ ข้า..เป็นเพราะข้าดื้อรั้นออกไปรบกับท่าน เสด็จพ่อจึงทรงตามข้าออกไป”
“อย่าโทษตัวเองเลยกฤษณา ไปกับพี่ก่อน สักครู่ท่านพ่อกับท่านหมอหลวงจะเข้ามาดูพระอาการ”
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับอารีที่ยังคุ้มกันที่ส่วนพระองค์อย่างแน่นหนา จากนั้นจึงเลี่ยงออกทางระเบียงด้านหลังแล้วส่งองค์รัชทายาทเข้าห้องส่วนพระองค์
“มินตรา เจ้าบอกแม่ครัวให้ปรุงซุปร้อนๆ ทีเถอะ แล้วอย่าเถลไถล รีบกลับมารับใช้องค์หญิง”
“เจ้าค่ะ ท่านราชองครักษ์” นางสนมวัยกำดัดที่พึ่งเข้ามารับใช้คลานออกจากห้องส่วนพระองค์จากนั้นก็วิ่งลงไปที่หลังครัวโดยเร็ว มองเห็นเพียงกระโปรงสีดำประดับหินสีและปีกแมลงระยิบระยับ
อานนท์เบือนหน้าจากเด็กอีกคน เพื่อจับเด็กอีกคนนั่งกับพระที่ เขารินพระสุคนธารสร้อนๆ ส่งให้และรอกระทั่งหมดถ้วยจึงเอ่ยว่า
“องค์กฤษณะจะทรงปลอดภัยภายใต้แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเนปาลี เชื่อพี่..เจ้าต้องเสวยแล้วนอนพัก พรุ่งนี้ท่านพ่อกับท่านหมอหลวงจะทรงจัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อย เจ้าต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้เหมือนวันที่เราออกรบด้วยกัน”
“อรชุนทำไมยังไม่กลับมา” หัตเรียวยาวซับพระพักตร์นวลที่แดงก่ำเพราะกรรแสงมาตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง ดวงเนตรบวมช้ำอ้อนวอนด้วยอยากรู้คำตอบที่รอคอย อรชุนทำไมยังไม่เดินทางมาถึง เขาเป็นอันตรายหรือบาดเจ็บเช่นใดหนอ ป่านนี้แล้ว สองวันแล้วที่ถึงเมืองหลวง แต่ข่าวคราวของอรชุนยังไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว
“อรชุนกับเหล่านักรบต้องอ้อมหุบเขามรณะอีกสามวันกว่าจะเข้าสู่แนวเขาระหว่างชายแดน รอสักนิดเถอะ เชื่อข้า อรชุนไม่มีวันทิ้งพวกเรา”
“ข้า..ข้ารู้แต่เจ้าซีซาร์น่าจะบินมาแจ้งเราบ้าง” ซีซาร์ก็คือเหยี่ยวประจำกายที่อรชุนใช้สื่อสารกับพระราชวังยามที่ต้องเดินทางไกล เจ้าเหยี่ยวเพศผู้อายุเยาว์ตัวนี้พึ่งได้รับการฝึกรบมาเพียงสามปีเท่านั้น แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดและครูฝึกที่เชี่ยวชาญก็ทำให้เจ้าซีซาร์ได้ติดยศเท่าราชองค์รักษ์ที่เข้ามาฝึกพร้อมกันอย่างเท่าเทียม
“มันไม่ห่างอรชุนหรอก ยิ่งต้องเดินทางรอนแรมท่ามกลางอันตรายเช่นนั้น เจ้าซีซาร์จะต้องตรวจยามให้อรชุนตามหน้าที่ของมัน ถ้าถึงชายแดนเมื่อไหร่ ข้ามั่นใจ เจ้าซีซาร์จะต้องส่งข่าวนายของมันมาอย่างแน่นอน”
องค์หญิงรัชทายามก้มพระพักตร์และปัดพระอัสสุชลทิ้งเสมือนวันที่ต้องรอพี่ชายทั้งสองกลับจากสนามซ้อมรบ ...อรชุน เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา ข้าอยาก..อยากให้ท่านอยู่ตรงนี้ อยู่กับข้าในห้องห้องนี้
อานนท์กุมหัตเรียวไว้แล้วปลอบโยนเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินกลับเข้ามา เขาจึงจับวรองค์ระหงนั่งประจำโต๊ะเสวย สั่งนางสนมประจำพระองค์ว่า
“มินตรา คืนนี้เจ้าจงมานอนที่นี่ ห้ามออกไปเล่นหรือเที่ยวไหนอีก ถ้าข้ารู้ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านนอก”
“เจ้าค่ะ ท่านราชองครักษ์”
นางสนมที่พึ่งเข้ามาถวายงานได้ไม่นาน แต่ถูกพระทัยองค์หญิงรัชทายาทน้อมรับ แม้จะถูกคัดค้านจากข้าราชบริพารว่านางสนมคนใหม่ยังไม่รู้งาน ทว่ากฤษณาก็ไม่ยินยอมรับใครเข้ามาดูแลอีก กระทั่งอำมาตย์เสนาและแม่นมได้แต่ท้อใจ
“เสวยอะไรบ้าง ถ้าเจ้าซีซาร์ส่งข่าวมา พี่จะบอกเจ้าเป็นคนแรก”
อานนท์ค้อมศีรษะให้แก่องค์รัชทายาทด้วยกิริยาของราชองครักษ์ และถอยออกมา แต่ก่อนจะปิดพระทวาร ก็ยังได้ยินเสียงแจ้วๆ ของนางสนมหลอกล้อองค์หญิงวัยไม่ต่างกันนักว่า
“องค์หญิงเสวยหน่อยนะเจ้าคะ หม่อมฉันชิมแล้วรสชาติเยี่ยมกว่าเมื่อวานอีกเจ้าค่ะ แม่ครัวบอกว่าเห็ดพวกนี้ ท่านอรชุนเก็บมาตากเองเชียวนะเจ้าคะ เสวยหน่อยนะเจ้าคะ รับรองไม่มียาพิษ”
“งั้นเจ้าแบ่งไปครึ่งหนึ่ง ข้าคงทานไม่หมด” สุรเสียงแผ่วบาเอ่ยอนุญาต
“แหม..” น้ำเสียงเก้อเขิน เอียงอาย หากสุดท้ายก็ตอบรับด้วยดวงตาเป็นกระกายว่า “เจ้าค่ะ”
อานนท์ปิดพระทวารเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม สั่งทหารองครักษ์ทั้งสองให้ดูแลและตรวจตราอย่างแน่นหนา ก่อนตรงไปที่ห้องบรรทมขององค์กษัตริย์อย่างเร่งรีบ ทว่าแค่ย่างถึงพระสูตร เขาก็ต้องยืนแข็งอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อสุรเสียงแหบเครือตรัสออกมาอย่างชัดถ้อยความว่า
“เราอยากให้อรชุนอภิเษกกับกฤษณาตามที่ท่านชี้แนะ ไปจัดการเถอะสุรสิงห์ อัสนี จัดการทุกอย่างแทนข้าที”
ปอลอ@ วันนี้ไม่มีแดดเลย พระเจ้าหนอ ครึมทั้งวัน
ความคิดเห็น