คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อารัมภบท 0.2
ยามซวี*
'หากท่านพี่ไม่ไปกับข้า ข้าก็จะไปคนเดียว!'
ประโยคนั้นของหยินฮ่าวอวี่หลอกหลอนเสี่ยวจิ่ว ตั้งแต่ที่เจ้าของประโยคนั้นเดินออกจากเรือนนอนของเขาไป เขาได้แต่นั่งคิดนอนคิดว่าจะเอาอย่างไรดีหากว่าเจ้าเด็กแสบนั่นทำขึ้นมาจริงๆ ละก็..
"เอาอย่างไรดีนะ เฮ้อ"
ร่างงดงามคิดพลางเดินวนเวียนในห้อง จนเสี่ยวถิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ชักจะเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ เสียแล้ว
"เสี่ยวถิงเจ้าว่าข้าควรไปกับหยินฮ่าวอวี่ดีหรือไม่"
เด็กสาวที่ถูกถามคำถามขึ้นก็ทำหน้างุนงง เพราะก่อนหน้านี้นางมัวแต่ไปหาขนมมาให้คุณหนูหยินฮ่าวอวี่แต่เมื่อมาถึงเรือนของคุณหนูเกาชิงเฉิน คุณหนูหยินฮ่าวอวี่ก็ไปเสียแล้วจึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองสนทนาเรื่องอะไรกัน
เสี่ยวจิ่วเห็นเสี่ยวถิงทำหน้างุนงงส่งกลับมาให้ตนเองก็จนใจ เพราะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเสี่ยวถิงเองก็ไม่อยู่ด้วยเสี่ยวจิ่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนบอกเสี่ยวถิงว่าตนจะเข้านอนแล้ว
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม* ก็มีร่างนุ่มนิ่มสองร่างมายื่นทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หลังจวน เพราะค่อนข้างดึกแล้วจึงไม่ค่อยมีคนผ่านมาที่หลังจวนเสียเท่าไหร่
"เร็วๆ สิพี่เสี่ยวจิ่ว เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้า"
ร่างนุ่มนิ่มร่างที่หนึ่งพูดพร้อมชะเง้อคอมองดูลาดเลา ให้ร่างนุ่มนิ่มร่างที่สองปีนขึ้นบนกำแพงจวน
"อย่าเร่งข้าสิ ถ้าข้าตกลงไปขาหักขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า"
เสี่ยวจิ่วกล่าวเมื่อขึ้นมานั่งบนกำแพงจวนได้แล้ว
"เจ้าก็รีบขึ้นมาเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันการ"
เสี่ยวจิ่วว่าพลางเตรียมตัวข้ามไปอีกฝั่งเมื่อเห็นหยินฮ่าวอวี่กำลังปีนขึ้นกำแพงจวนมาแล้ว หลังจากทั้งสองหลบหนีออกมาจากจวนสำเร็จทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปที่ถนนฝั่งเหนือ เพราะนัดพบสหายไว้โดยทั้งสองตกลงกันว่าจะกลับบ้านก่อนยามจื่อ*
งานเทศกาลโคมไฟ
แสงสีสันจากโคมไฟมากมายส่องสว่างจนเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิดเพี้ยน สองข้างทางก็แน่นขนัดไปด้วยร้านค้ามากมายอีกทั้งยังมีการแสดงต่างๆ จนคนมุงดูเต็มถนนไปเสียหมด ทุกอย่างล้วนน่าสนุกสนานยิ่งนัก
ใบหน้าผู้คนในงานต่างยิ้มเริงร่าอย่างมีความสุขไม่ว่าจะเด็ก สตรีและคนชราผิดกับชายหนุ่มรูปงามตรงนี้ยิ่งนัก แม้ใบหน้าจะงดงามราวเทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
แต่กลับเฉยชาราวเหมันต์ฤดูดวงตางดงามสุกใสฉายแววรำคาญใจจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
"มาแล้วหรือท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยว่เหมย"
เป็นเสียงทุ้มนุ่มละมุนของชายหนุ่มรูปงามอีกคนที่กำลังเดินมาทางชายรูปงามแต่แสนเย็นชาคนนี้ ชายหนุ่มรูปงามที่ว่าแม้ไม่งดงามเท่าคุณชายเย็นชาท่านนี้ แต่ก็นับว่ารูปงามไม่เป็นรองชายใดในแคว้น
รูปร่างสูงโปร่งดวงหน้างดงามราวหยกสลักที่พระเจ้าบรรจงแกะสลักเองกับมือ และท่าทางที่อบอุ่นเป็นมิตรนั้นต่างทำให้สาวงามทั้งหลายที่เดินผ่านจำต้องเหลียวมอง จนคอแทบเคล็ดเลยก็ว่าได้
"อย่าพูดมากโจวเคออวี่"
ชื่อเสียงเรียงนามของชายรูปงามจิตใจดีตรงหน้า ถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
โจวเคออวี่หรือหวงไท่จื่อ* แห่งแคว้นเยว่เหมย ถูกเอ่ยออกมาห้วนๆ ทั้งยังแฝงอารมณ์หงุดหงิดเสียด้วย หากเป็นบุคคลอื่นคงต้องโทษประหารไปแล้ว แต่ไม่ใช่คนตรงหน้านี้แน่นอน
"เรียกชื่อข้าเสียเต็มยศเชียวนะ หลิวอวี่"
คนที่ถูกเรียกด้วยชื่อเต็มยศเช่นกันไม่กล่าวอะไร ทั้งยังเดินหนีไปเสียดื้อๆ อีกหลิวอวี่หรือแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยว่เหมย บุคคลผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 'โฉมสะคราญไร้พ่าย'
แม้รูปร่างหน้าตาจะงดงามดั่งเทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ในเรื่องกลยุทธ์และการศึกนั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครทัดเทียมรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่มีการเดินหมากที่ผิดพลาดแม้แต่น้อยทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดเดาของท่านแม่ทัพทั้งสิ้น
เมื่อครั้งรับตำแหน่งแม่ทัพใหม่ๆ ก็ล้วนทำศึกจากทั่วสารทิศมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ศึกที่เป็นที่กล่าวขานและเลื่องชื่อมากที่สุดนั้น เห็นทีจะเป็นศึกแรกของท่านแม่ทัพกับแคว้นเปี่ยนรื่อกระมั้ง
แต่ถึงกระนั้นด้วยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเห็นบุคคลที่สมบูรณ์พร้อมมากเกินไป ก็ย่อมก่อข่าวลือต่างๆ นานาทั้งดีและไม่ดีขึ้น ในส่วนของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นล้วนเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี
ทั้งเรื่องที่ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นเป็นอิสตรีหาใช่บุรุษไม่ ทั้งเรื่องที่กล่าวหาว่าท่านแม่ทัพนั้นไม่ได้มีความสามารถอย่างที่ใครๆ ก็รู้กัน
อย่างไรก็ตามทุกเรื่องเหล่านี้ล้วนได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีมูลความจริง มีเพียงเรื่องเดียวที่เห็นว่าจะจริงและไม่มีใครคัดค้านนั่นก็คือ
'ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นไม่ชมชอบในอิสตรี แต่ชมชอบบุรุษด้วยกันเอง'
เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ออกมาบอกปัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
อีกทั้งหลักฐานยังชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อท่านแม่ทัพที่ถึงวัยออกเรือนมานานแล้ว แต่ก็ยังมิได้ตบแต่งหญิงสาวนางใดในแคว้นเสียที
ทุกคนจึงเชื่อในเรื่องนี้อย่างสนิทใจ ทำให้บุรุษเพศเกอทั้งหลายที่มีน้อยแสนน้อยในแคว้น ยินยอมพร้อมใจถวายกายให้ถึงที่
แต่ถึงกระนั้นท่านแม่ทัพก็ยังมิได้ตบแต่งใครเลยสักคน ทั้งยังแสดงท่าทางรำคาญออกมาอย่างชัดเจนกับทุกคนที่พยายามจะเข้าใกล้ในระยะเกินสองลี้*
"วันนี้งานเทศกาลงดงามกว่าครั้งก่อนยิ่งนัก ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย"
แม้ปากจะพูดว่าให้ทำหน้าดีๆ แต่ก็ไม่ได้ใคร่สนใจมากเท่าไหร่นัก ทั้งคู่ต่างเดินทางมากเรื่อยๆ จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่คึกคักเป็นพิเศษ
"ดูท่าแล้วแม่นางซานเยว่คงจะมาเล่นดนตรีที่นี่กระมั้ง"
เสียงนุ่มทุ้มกล่าวพร้อมชะเง้อคอมองดูด้านในอย่างสนอกสนใจ
"งั้นก็ที่นี่แหละ"
ร่างงดงามไม่พูดเปล่ารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าโรงเตี๊ยมไปทันที จนคนขายาวข้างๆ เดินตามเกือบไม่ทัน
เนื่องด้วยโรงเตี๊ยมแห่งนี้คนค่อนข้างเยอะจึงทำให้โต๊ะที่นั่งนั้นถูกจับจองไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา กว่าจะหาโต๊ะที่ดีๆ ได้ก็ยากอยู่พอสมควร และเมื่อทั้งสองนั่งลงก็มีเสี่ยวเออร์* เข้ามารับรองทันที
"คุณชายทั้งสองท่านรับอะไรดีขอรับ"
"น้ำชา"
น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเอ่ยขึ้น มือค่อยๆ ล้วงหยิบพัดลายดอกเหมยออกมากางอย่างเชื่องช้าดูแล้วช่างสง่างามยิ่งนัก
"งานเทศกาลทั้งทีจะดื่มน้ำชาได้อย่างไร เสี่ยวเออร์นำสุราดีๆ มา"
เสียงพูดของโจวเคออวี่เอ่ยบอกเสี่ยวเออร์ ก่อนจะหันมองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
"เจ้าก็ไม่ชอบที่ที่คนเยอะ เหตุใดจึงมานั่งที่นี่เล่า"
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม พลางรินสุราที่เสี่ยวเออร์เมื่อสักครู่นำมาวางที่ตรงหน้า
"สืบข่าว"
เอ่ยตอบสั้นๆ เรียบๆ ตามสไตล์คนเย็นชา ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรบางอย่างโจวเคออวี่เห็นดังนั้น จึงมองไปรอบๆ ตัวเช่นกันแล้วก้มเข้ามาเอ่ยกระซิบเสียงเบาๆ
"พวกมันจะเข้ามาที่นี่หรือ"
"..."
คนร่างสวยไม่ตอบแต่ส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าใช่ โจวเคออวี่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะค่อยๆ มองไปรอบๆ อย่างแนบเนียน ทั้งสองมองสำรวจไปสักพัก ก็มีชายสองคนมานั่งลงโต๊ะข้างหลังพวกเขา
หลิวอวี่ส่งสายตาบอกโจวเคออวี่ว่าหาเป้าหมายพบแล้ว ทั้งสองพยักหน้าให้กันก่อนหลิวอวี่จะหยิบน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม พลางเหลือบสายตาไปมองเป้าหมายโต๊ะข้างหลัง โจวเคออวี่เองก็เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อฟังบทสนทนา
"เจ้าว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่"
ชายคนหนึ่งในนั้นพูดกระซิบเสียงเบาอย่างที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน เพียงแต่ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นบังเอิญว่าหูดีเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจึงได้ยินทั้งหมด
"นางทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ นายท่านสั่งมาว่าเมื่อใดก็ตามที่เจอองค์รัชทายาทให้ลงมือทันที"
ชายคนที่สองพูดออกมาเสียงเบาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองพยักหน้าให้กันแล้วจึงกลับมาทำตัวตามปกติ
หลิวอวี่และโจวเคออวี่ที่ลอบฟังอยู่นั้นก็ส่งสายตามีลับลมคมในให้กัน ฝ่ายหลิวอวี่ยกพัดขึ้นมาปิดหน้าและมองเป้าหมายอย่างไม่วางตา
โจวเคออวี่เองที่นั่งหันหลังให้อยู่แล้วก็รินสุราแล้วยกดื่มตามปกติ จนเป้าหมายลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทั้งสองจึงสะกดรอยตาม
เมื่อออกมาแล้วเป้าหมายนั้นกลับแยกทางกัน หลิวอวี่และโจวเคออวี่จึงตัดสินใจแยกกันสะกดรอยชายสองคนนั้นคนละคน หลิวอวี่เดินตามชายหนึ่งในสองคนนั้นมาจนถึงลานจุดพลุ เขาลอบมองดูอยู่เงียบๆ ในเงามืดว่าชายคนนั้นจะทำอะไร
แต่ชายคนนั้นทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะปาอาวุธลับมาทางที่หลิวอวี่ซ้อนตัวอยู่ ตาเหยี่ยวของหลิวอวี่ที่เห็นอาวุธลับกำลังพุงเป้ามาที่ตนจึงกระโดดหลบไปยืนอยู่เสาเตี้ยใกล้ๆ แถวนั้น
"ก็นึกว่าใครแอบตามข้ามา ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพนี่เอง"
ชายหนุ่มตรงหน้ายกยิ้มมุมปากขึ้น ดวงตาคู่งามมองชายตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ ปากสวยขยับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ใครส่งเจ้ามา"
ชายคนนั้นไม่ตอบคำถาม ทั้งยังบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนไปเรื่องอื่นอีกตั้งหาก
"ที่ว่ารูปงามก็คงจะจริงสินะ สมแล้วที่ได้ฉายาโฉมสะคราญไร้พ่าย แต่จะไร้พ่ายจริงหรือไม่นั้นคงต้องลองพิสูจน์ดูเสียหน่อย"
ชายคนนั้นไม่ว่าเปล่าเขาพุ่งทะยานเข้าหาท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นทันที กริชลับอันที่สองที่ซ้อนอยู่ในเสื้อถูกหยิบออกมาใช้ หลิวอวี่เบี่ยงตัวหลบกริชลับที่หมายจะแทงเขาอย่างไร้อารมณ์
มือข้างที่ถือพัดลายดอกเหมยพลันเปลี่ยนเป็นอาวุธเข้าเชือดเฉือนกลับในทันที
แม้ภายนอกที่ดูไม่มีพิษภัยอย่างพัดลายดอกเหมย แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่ามันคืออาวุธอย่างหนึ่งที่สามารถใช้สังหารศัตรูได้ ชายหนุ่มที่เกือบโดนพัดลายดอกเหมยเฉือนหน้าก็รีบถอยกลับมาตั้งหลักทันที
"ไม่เสียชื่อโฉมสะคราญไร้พ่ายเสียจริง"
ชายหนุ่มคนนั้นเหยียดยิ้มมุมปาก หลิวอวี่มองอีกฝ่ายอย่างรำคาญใจ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการรู้ขึ้นมาอีกครั้ง
"ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ใครส่งเจ้ามา"
ชายคนนั้นไม่ตอบแต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ
"หากท่านอยากจะรู้ ท่านก็ต้องหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนสิ"
หลิวอวี่มองชายหนุ่มตรงหน้าดวงแววตาไร้อารมณ์ ในใจนึกรำคาญชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างถึงที่สุด
'มันคงไม่ยอมบอกง่ายๆ แน่ เช่นนั้นจะทรมานสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร'
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างปราดเปรียวก็พุ่งจู่โจมศัตรูตรงหน้าทันที ด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าหลิวอวี่จะพุ่งจู่โจมเข้ามาจึงป้องกันตัวไม่ทัน ไหล่แขนขวาพลันรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นทันที
ของเหลวสีแดงไหลซึมออกมาเล็กน้อย แม้จะไม่เจ็บมากเท่าคมกระบี่ก็ตามแต่ก็ไม่อาจดูถูกได้เลยว่าพัดนั่นอันตรายมากแค่ไหน เมื่ออยู่ในมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านแม่ทัพแห่งแคว้น
หากเป็นคนอื่นคงจะหลบเลี่ยงเพื่อรักษาชีวิตตนทันที แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับใจกล้าเขายกยิ้มอย่างเยาะเย้ยให้กับหลิวอวี่อีกครั้ง
"ของแค่นี้มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ ท่านแม่ทัพ"
ไม่รอช้าชายคนนั้นวิ่งเข้าหมายจะฆ่าหลิวอวี่ทันที หลิวอวี่ได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างรำคาญ ปากเอ่ยออกมาเสียงเบาแต่กลับหนักแน่น
"น่ารำคาญ"
ไม่รอให้ชายคนนั้นมาถึงตัวหลิวอวี่ก็พุ่งเข้าหาทันที ทั้งสองประมือกันหลายกระบวนท่าราวกับว่าหากไม่รู้แพ้รู้ชนะก็จะไม่เลิกรา สู้กันอยู่นานจนพิษจากบาดแผลชายหนุ่มเริ่มแสดงอาการ
"ไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจะเล่นสกปรกเช่นนี้"
ชายหนุ่มว่าพลางถอยหลังออกมา จับกุมไหล่ขวาที่เคยโดนฟันซึ่งตอนนี้อยู่ในสถานะติดพิษเสียแล้ว
หลิวอวี่ไม่ตอบสิ่งใดกลับไปเขาทำเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ พร้อมเก็บพัดในมือลงสายตาคล้ายนกเหยี่ยวจ้องเหยื่อปรากฏขึ้น คราวนี้เป็นหลิวอวี่ที่ยกยิ้มขึ้นมาบ้าง
"ถ้าเช่นนั้นของสิ่งนี้คืออะไรงั้นหรือ"
หลิวอวี่หยิบขวดปริศนาสีขาวนวลขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าพลันเกิดอาการตากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเป็นขวดยาพิษที่เขาทำขึ้นมาเองไหนเลยจะจำไม่ได้
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพไปได้มาจากที่ใดหรือชิงไปจากตัวเขาตอนไหน ราวกับรู้ความคิดหลิวอวี่ยกยิ้มมุมปากขึ้นอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเยือกเย็น
"ทีนี้บอกได้รึยังว่าใครส่งเจ้ามา"
ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงไม่ตอบ หลิวอวี่แสดงท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างถึงขีดสุดอีกครั้ง ในใจพลันคิดว่าฆ่าทิ้งไปคงไม่เป็นไรแต่ก่อนจะได้ลงมือ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยขัดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
"การช่วงชิงอำนาจช่างน่าซับซ้อนยิ่งนัก ข้านึกแปลกใจจริงเชียวว่าเพราะเหตุใดเป็นคนร่วมสายเลือดกันแท้ๆ ยังสามารถจ้างนักฆ่ามาฆ่าได้"
หลิวอวี่ขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ก่อนจะได้ถามต่ออีกหนึ่งประโยคพลันมีกริชปริศนาพุ่งมาจากที่ใดก็ไม่ทราบตรงเข้ามาใกล้ เพียงแต่หลิวอวี่ไม่ใช่เป้าหมายของมัน
กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว กริชปริศนานั่นปักเข้าที่คอของชายตรงหน้าหลิวอวี่ ร่างนั้นพลันล้มลงหลิวอวี่รีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเอาไว้สายตาพลันเหลือบไปเห็นชายชุดดำปริศนากำลังวิ่งหนีไป
เขาทำท่าจะวิ่งตามแต่ก็โดนชายหนุ่มคนนั้นรั้งไว้เสียก่อน ชายหนุ่มใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกล่าวกับหลิวอวี่หนึ่งประโยคก่อนจะสิ้นใจไป
เมื่อฟังความจบหลิวอวี่รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตามชายคนนั้นไป
- - - -
ชั่วยาม= 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
ยามซวี= 19:00-20:59
ยามจื่อ= 23:00-24:59
หวงไท่จื่อ= องค์รัชทายาท
ลี้= 1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร
เสี่ยวเออร์= เด็กเสิร์ฟในโรงน้ำชา
Writer : ไรท์ทำการแบ่งเพื่อให้มันไม่ยาวมากนะคะ ไรท์พึ่งนึกขึ้นได้ว่ามันใช้วิธีนี้ได้ 555 enjoy reading นะคะ
ป.ล.อ่านตอนอื่นๆ ก่อนที่รีดนะคะ
ความคิดเห็น