ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    一拜天地 คำนับฟ้าดิน #หลิวอวี่นาย

    ลำดับตอนที่ #2 : อารัมภบท 0.2

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 66


    ยามซวี*

     

    'หากท่านพี่ไม่ไปกับข้า ข้าก็จะไปคนเดียว!'

     

    ประโยคนั้นของหยินฮ่าวอวี่หลอกหลอนเสี่ยวจิ่ว ตั้งแต่ที่เจ้าของประโยคนั้นเดินออกจากเรือนนอนของเขาไป เขาได้แต่นั่งคิดนอนคิดว่าจะเอาอย่างไรดีหากว่าเจ้าเด็กแสบนั่นทำขึ้นมาจริงๆ ละก็..

    "เอาอย่างไรดีนะ เฮ้อ"

    ร่างงดงามคิดพลางเดินวนเวียนในห้อง จนเสี่ยวถิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ชักจะเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ เสียแล้ว

    "เสี่ยวถิงเจ้าว่าข้าควรไปกับหยินฮ่าวอวี่ดีหรือไม่"

    เด็กสาวที่ถูกถามคำถามขึ้นก็ทำหน้างุนงง เพราะก่อนหน้านี้นางมัวแต่ไปหาขนมมาให้คุณหนูหยินฮ่าวอวี่แต่เมื่อมาถึงเรือนของคุณหนูเกาชิงเฉิน คุณหนูหยินฮ่าวอวี่ก็ไปเสียแล้วจึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองสนทนาเรื่องอะไรกัน

    เสี่ยวจิ่วเห็นเสี่ยวถิงทำหน้างุนงงส่งกลับมาให้ตนเองก็จนใจ เพราะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเสี่ยวถิงเองก็ไม่อยู่ด้วยเสี่ยวจิ่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนบอกเสี่ยวถิงว่าตนจะเข้านอนแล้ว

     

     

    ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม* ก็มีร่างนุ่มนิ่มสองร่างมายื่นทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หลังจวน เพราะค่อนข้างดึกแล้วจึงไม่ค่อยมีคนผ่านมาที่หลังจวนเสียเท่าไหร่

    "เร็วๆ สิพี่เสี่ยวจิ่ว เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้า"

    ร่างนุ่มนิ่มร่างที่หนึ่งพูดพร้อมชะเง้อคอมองดูลาดเลา ให้ร่างนุ่มนิ่มร่างที่สองปีนขึ้นบนกำแพงจวน

    "อย่าเร่งข้าสิ ถ้าข้าตกลงไปขาหักขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า"

    เสี่ยวจิ่วกล่าวเมื่อขึ้นมานั่งบนกำแพงจวนได้แล้ว

    "เจ้าก็รีบขึ้นมาเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันการ"

    เสี่ยวจิ่วว่าพลางเตรียมตัวข้ามไปอีกฝั่งเมื่อเห็นหยินฮ่าวอวี่กำลังปีนขึ้นกำแพงจวนมาแล้ว หลังจากทั้งสองหลบหนีออกมาจากจวนสำเร็จทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปที่ถนนฝั่งเหนือ เพราะนัดพบสหายไว้โดยทั้งสองตกลงกันว่าจะกลับบ้านก่อนยามจื่อ*

     

     

    งานเทศกาลโคมไฟ

     

     

    แสงสีสันจากโคมไฟมากมายส่องสว่างจนเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิดเพี้ยน สองข้างทางก็แน่นขนัดไปด้วยร้านค้ามากมายอีกทั้งยังมีการแสดงต่างๆ จนคนมุงดูเต็มถนนไปเสียหมด ทุกอย่างล้วนน่าสนุกสนานยิ่งนัก

    ใบหน้าผู้คนในงานต่างยิ้มเริงร่าอย่างมีความสุขไม่ว่าจะเด็ก สตรีและคนชราผิดกับชายหนุ่มรูปงามตรงนี้ยิ่งนัก แม้ใบหน้าจะงดงามราวเทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

    แต่กลับเฉยชาราวเหมันต์ฤดูดวงตางดงามสุกใสฉายแววรำคาญใจจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

    "มาแล้วหรือท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยว่เหมย"

    เป็นเสียงทุ้มนุ่มละมุนของชายหนุ่มรูปงามอีกคนที่กำลังเดินมาทางชายรูปงามแต่แสนเย็นชาคนนี้ ชายหนุ่มรูปงามที่ว่าแม้ไม่งดงามเท่าคุณชายเย็นชาท่านนี้ แต่ก็นับว่ารูปงามไม่เป็นรองชายใดในแคว้น

    รูปร่างสูงโปร่งดวงหน้างดงามราวหยกสลักที่พระเจ้าบรรจงแกะสลักเองกับมือ และท่าทางที่อบอุ่นเป็นมิตรนั้นต่างทำให้สาวงามทั้งหลายที่เดินผ่านจำต้องเหลียวมอง จนคอแทบเคล็ดเลยก็ว่าได้

    "อย่าพูดมากโจวเคออวี่"

    ชื่อเสียงเรียงนามของชายรูปงามจิตใจดีตรงหน้า ถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    โจวเคออวี่หรือหวงไท่จื่อ* แห่งแคว้นเยว่เหมย ถูกเอ่ยออกมาห้วนๆ ทั้งยังแฝงอารมณ์หงุดหงิดเสียด้วย หากเป็นบุคคลอื่นคงต้องโทษประหารไปแล้ว แต่ไม่ใช่คนตรงหน้านี้แน่นอน

    "เรียกชื่อข้าเสียเต็มยศเชียวนะ หลิวอวี่"

    คนที่ถูกเรียกด้วยชื่อเต็มยศเช่นกันไม่กล่าวอะไร ทั้งยังเดินหนีไปเสียดื้อๆ อีกหลิวอวี่หรือแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยว่เหมย บุคคลผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น 'โฉมสะคราญไร้พ่าย'

    แม้รูปร่างหน้าตาจะงดงามดั่งเทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ในเรื่องกลยุทธ์และการศึกนั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครทัดเทียมรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่มีการเดินหมากที่ผิดพลาดแม้แต่น้อยทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดเดาของท่านแม่ทัพทั้งสิ้น

    เมื่อครั้งรับตำแหน่งแม่ทัพใหม่ๆ ก็ล้วนทำศึกจากทั่วสารทิศมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ศึกที่เป็นที่กล่าวขานและเลื่องชื่อมากที่สุดนั้น เห็นทีจะเป็นศึกแรกของท่านแม่ทัพกับแคว้นเปี่ยนรื่อกระมั้ง

    แต่ถึงกระนั้นด้วยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเห็นบุคคลที่สมบูรณ์พร้อมมากเกินไป ก็ย่อมก่อข่าวลือต่างๆ นานาทั้งดีและไม่ดีขึ้น ในส่วนของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นล้วนเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี

    ทั้งเรื่องที่ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นเป็นอิสตรีหาใช่บุรุษไม่ ทั้งเรื่องที่กล่าวหาว่าท่านแม่ทัพนั้นไม่ได้มีความสามารถอย่างที่ใครๆ ก็รู้กัน

    อย่างไรก็ตามทุกเรื่องเหล่านี้ล้วนได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีมูลความจริง มีเพียงเรื่องเดียวที่เห็นว่าจะจริงและไม่มีใครคัดค้านนั่นก็คือ

     

    'ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นไม่ชมชอบในอิสตรี แต่ชมชอบบุรุษด้วยกันเอง'

     

    เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ออกมาบอกปัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด

    อีกทั้งหลักฐานยังชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อท่านแม่ทัพที่ถึงวัยออกเรือนมานานแล้ว แต่ก็ยังมิได้ตบแต่งหญิงสาวนางใดในแคว้นเสียที

    ทุกคนจึงเชื่อในเรื่องนี้อย่างสนิทใจ ทำให้บุรุษเพศเกอทั้งหลายที่มีน้อยแสนน้อยในแคว้น ยินยอมพร้อมใจถวายกายให้ถึงที่

    แต่ถึงกระนั้นท่านแม่ทัพก็ยังมิได้ตบแต่งใครเลยสักคน ทั้งยังแสดงท่าทางรำคาญออกมาอย่างชัดเจนกับทุกคนที่พยายามจะเข้าใกล้ในระยะเกินสองลี้*

    "วันนี้งานเทศกาลงดงามกว่าครั้งก่อนยิ่งนัก ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย"

    แม้ปากจะพูดว่าให้ทำหน้าดีๆ แต่ก็ไม่ได้ใคร่สนใจมากเท่าไหร่นัก ทั้งคู่ต่างเดินทางมากเรื่อยๆ จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่คึกคักเป็นพิเศษ

    "ดูท่าแล้วแม่นางซานเยว่คงจะมาเล่นดนตรีที่นี่กระมั้ง"

    เสียงนุ่มทุ้มกล่าวพร้อมชะเง้อคอมองดูด้านในอย่างสนอกสนใจ

    "งั้นก็ที่นี่แหละ"

    ร่างงดงามไม่พูดเปล่ารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าโรงเตี๊ยมไปทันที จนคนขายาวข้างๆ เดินตามเกือบไม่ทัน

    เนื่องด้วยโรงเตี๊ยมแห่งนี้คนค่อนข้างเยอะจึงทำให้โต๊ะที่นั่งนั้นถูกจับจองไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา กว่าจะหาโต๊ะที่ดีๆ ได้ก็ยากอยู่พอสมควร และเมื่อทั้งสองนั่งลงก็มีเสี่ยวเออร์* เข้ามารับรองทันที

    "คุณชายทั้งสองท่านรับอะไรดีขอรับ"

    "น้ำชา"

    น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเอ่ยขึ้น มือค่อยๆ ล้วงหยิบพัดลายดอกเหมยออกมากางอย่างเชื่องช้าดูแล้วช่างสง่างามยิ่งนัก

    "งานเทศกาลทั้งทีจะดื่มน้ำชาได้อย่างไร เสี่ยวเออร์นำสุราดีๆ มา"

    เสียงพูดของโจวเคออวี่เอ่ยบอกเสี่ยวเออร์ ก่อนจะหันมองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

    "เจ้าก็ไม่ชอบที่ที่คนเยอะ เหตุใดจึงมานั่งที่นี่เล่า"

    เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม พลางรินสุราที่เสี่ยวเออร์เมื่อสักครู่นำมาวางที่ตรงหน้า

    "สืบข่าว"

    เอ่ยตอบสั้นๆ เรียบๆ ตามสไตล์คนเย็นชา ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรบางอย่างโจวเคออวี่เห็นดังนั้น จึงมองไปรอบๆ ตัวเช่นกันแล้วก้มเข้ามาเอ่ยกระซิบเสียงเบาๆ

    "พวกมันจะเข้ามาที่นี่หรือ"

    "..."

    คนร่างสวยไม่ตอบแต่ส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าใช่ โจวเคออวี่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะค่อยๆ มองไปรอบๆ อย่างแนบเนียน ทั้งสองมองสำรวจไปสักพัก ก็มีชายสองคนมานั่งลงโต๊ะข้างหลังพวกเขา

    หลิวอวี่ส่งสายตาบอกโจวเคออวี่ว่าหาเป้าหมายพบแล้ว ทั้งสองพยักหน้าให้กันก่อนหลิวอวี่จะหยิบน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม พลางเหลือบสายตาไปมองเป้าหมายโต๊ะข้างหลัง โจวเคออวี่เองก็เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อฟังบทสนทนา

    "เจ้าว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่"

    ชายคนหนึ่งในนั้นพูดกระซิบเสียงเบาอย่างที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน เพียงแต่ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นนั้นบังเอิญว่าหูดีเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจึงได้ยินทั้งหมด

    "นางทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ นายท่านสั่งมาว่าเมื่อใดก็ตามที่เจอองค์รัชทายาทให้ลงมือทันที"

    ชายคนที่สองพูดออกมาเสียงเบาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองพยักหน้าให้กันแล้วจึงกลับมาทำตัวตามปกติ

    หลิวอวี่และโจวเคออวี่ที่ลอบฟังอยู่นั้นก็ส่งสายตามีลับลมคมในให้กัน ฝ่ายหลิวอวี่ยกพัดขึ้นมาปิดหน้าและมองเป้าหมายอย่างไม่วางตา

    โจวเคออวี่เองที่นั่งหันหลังให้อยู่แล้วก็รินสุราแล้วยกดื่มตามปกติ จนเป้าหมายลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทั้งสองจึงสะกดรอยตาม

    เมื่อออกมาแล้วเป้าหมายนั้นกลับแยกทางกัน หลิวอวี่และโจวเคออวี่จึงตัดสินใจแยกกันสะกดรอยชายสองคนนั้นคนละคน หลิวอวี่เดินตามชายหนึ่งในสองคนนั้นมาจนถึงลานจุดพลุ เขาลอบมองดูอยู่เงียบๆ ในเงามืดว่าชายคนนั้นจะทำอะไร

    แต่ชายคนนั้นทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะปาอาวุธลับมาทางที่หลิวอวี่ซ้อนตัวอยู่ ตาเหยี่ยวของหลิวอวี่ที่เห็นอาวุธลับกำลังพุงเป้ามาที่ตนจึงกระโดดหลบไปยืนอยู่เสาเตี้ยใกล้ๆ แถวนั้น

    "ก็นึกว่าใครแอบตามข้ามา ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพนี่เอง"

    ชายหนุ่มตรงหน้ายกยิ้มมุมปากขึ้น ดวงตาคู่งามมองชายตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ ปากสวยขยับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    "ใครส่งเจ้ามา"

    ชายคนนั้นไม่ตอบคำถาม ทั้งยังบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนไปเรื่องอื่นอีกตั้งหาก

    "ที่ว่ารูปงามก็คงจะจริงสินะ สมแล้วที่ได้ฉายาโฉมสะคราญไร้พ่าย แต่จะไร้พ่ายจริงหรือไม่นั้นคงต้องลองพิสูจน์ดูเสียหน่อย"

    ชายคนนั้นไม่ว่าเปล่าเขาพุ่งทะยานเข้าหาท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นทันที กริชลับอันที่สองที่ซ้อนอยู่ในเสื้อถูกหยิบออกมาใช้ หลิวอวี่เบี่ยงตัวหลบกริชลับที่หมายจะแทงเขาอย่างไร้อารมณ์

    มือข้างที่ถือพัดลายดอกเหมยพลันเปลี่ยนเป็นอาวุธเข้าเชือดเฉือนกลับในทันที

    แม้ภายนอกที่ดูไม่มีพิษภัยอย่างพัดลายดอกเหมย แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่ามันคืออาวุธอย่างหนึ่งที่สามารถใช้สังหารศัตรูได้ ชายหนุ่มที่เกือบโดนพัดลายดอกเหมยเฉือนหน้าก็รีบถอยกลับมาตั้งหลักทันที

    "ไม่เสียชื่อโฉมสะคราญไร้พ่ายเสียจริง"

    ชายหนุ่มคนนั้นเหยียดยิ้มมุมปาก หลิวอวี่มองอีกฝ่ายอย่างรำคาญใจ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการรู้ขึ้นมาอีกครั้ง

    "ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ใครส่งเจ้ามา"

    ชายคนนั้นไม่ตอบแต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ

    "หากท่านอยากจะรู้ ท่านก็ต้องหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนสิ"

    หลิวอวี่มองชายหนุ่มตรงหน้าดวงแววตาไร้อารมณ์ ในใจนึกรำคาญชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างถึงที่สุด

     

    'มันคงไม่ยอมบอกง่ายๆ แน่ เช่นนั้นจะทรมานสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร'

     

    เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างปราดเปรียวก็พุ่งจู่โจมศัตรูตรงหน้าทันที ด้วยความที่คาดไม่ถึงว่าหลิวอวี่จะพุ่งจู่โจมเข้ามาจึงป้องกันตัวไม่ทัน ไหล่แขนขวาพลันรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นทันที

    ของเหลวสีแดงไหลซึมออกมาเล็กน้อย แม้จะไม่เจ็บมากเท่าคมกระบี่ก็ตามแต่ก็ไม่อาจดูถูกได้เลยว่าพัดนั่นอันตรายมากแค่ไหน เมื่ออยู่ในมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านแม่ทัพแห่งแคว้น

    หากเป็นคนอื่นคงจะหลบเลี่ยงเพื่อรักษาชีวิตตนทันที แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับใจกล้าเขายกยิ้มอย่างเยาะเย้ยให้กับหลิวอวี่อีกครั้ง

    "ของแค่นี้มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ ท่านแม่ทัพ"

    ไม่รอช้าชายคนนั้นวิ่งเข้าหมายจะฆ่าหลิวอวี่ทันที หลิวอวี่ได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างรำคาญ ปากเอ่ยออกมาเสียงเบาแต่กลับหนักแน่น

    "น่ารำคาญ"

    ไม่รอให้ชายคนนั้นมาถึงตัวหลิวอวี่ก็พุ่งเข้าหาทันที ทั้งสองประมือกันหลายกระบวนท่าราวกับว่าหากไม่รู้แพ้รู้ชนะก็จะไม่เลิกรา สู้กันอยู่นานจนพิษจากบาดแผลชายหนุ่มเริ่มแสดงอาการ

    "ไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจะเล่นสกปรกเช่นนี้"

    ชายหนุ่มว่าพลางถอยหลังออกมา จับกุมไหล่ขวาที่เคยโดนฟันซึ่งตอนนี้อยู่ในสถานะติดพิษเสียแล้ว

    หลิวอวี่ไม่ตอบสิ่งใดกลับไปเขาทำเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ พร้อมเก็บพัดในมือลงสายตาคล้ายนกเหยี่ยวจ้องเหยื่อปรากฏขึ้น คราวนี้เป็นหลิวอวี่ที่ยกยิ้มขึ้นมาบ้าง

    "ถ้าเช่นนั้นของสิ่งนี้คืออะไรงั้นหรือ"

    หลิวอวี่หยิบขวดปริศนาสีขาวนวลขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าพลันเกิดอาการตากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเป็นขวดยาพิษที่เขาทำขึ้นมาเองไหนเลยจะจำไม่ได้

    เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพไปได้มาจากที่ใดหรือชิงไปจากตัวเขาตอนไหน ราวกับรู้ความคิดหลิวอวี่ยกยิ้มมุมปากขึ้นอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเยือกเย็น

    "ทีนี้บอกได้รึยังว่าใครส่งเจ้ามา"

    ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงไม่ตอบ หลิวอวี่แสดงท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างถึงขีดสุดอีกครั้ง ในใจพลันคิดว่าฆ่าทิ้งไปคงไม่เป็นไรแต่ก่อนจะได้ลงมือ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยขัดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

    "การช่วงชิงอำนาจช่างน่าซับซ้อนยิ่งนัก ข้านึกแปลกใจจริงเชียวว่าเพราะเหตุใดเป็นคนร่วมสายเลือดกันแท้ๆ ยังสามารถจ้างนักฆ่ามาฆ่าได้"

    หลิวอวี่ขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ก่อนจะได้ถามต่ออีกหนึ่งประโยคพลันมีกริชปริศนาพุ่งมาจากที่ใดก็ไม่ทราบตรงเข้ามาใกล้ เพียงแต่หลิวอวี่ไม่ใช่เป้าหมายของมัน

    กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว กริชปริศนานั่นปักเข้าที่คอของชายตรงหน้าหลิวอวี่ ร่างนั้นพลันล้มลงหลิวอวี่รีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเอาไว้สายตาพลันเหลือบไปเห็นชายชุดดำปริศนากำลังวิ่งหนีไป

    เขาทำท่าจะวิ่งตามแต่ก็โดนชายหนุ่มคนนั้นรั้งไว้เสียก่อน ชายหนุ่มใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกล่าวกับหลิวอวี่หนึ่งประโยคก่อนจะสิ้นใจไป

    เมื่อฟังความจบหลิวอวี่รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตามชายคนนั้นไป

     

     

    - - - -

      

    ชั่วยาม= 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง

    ยามซวี= 19:00-20:59

    ยามจื่อ= 23:00-24:59

    หวงไท่จื่อ= องค์รัชทายาท

    ลี้= 1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร

    เสี่ยวเออร์= เด็กเสิร์ฟในโรงน้ำชา

     

    Writer : ไรท์ทำการแบ่งเพื่อให้มันไม่ยาวมากนะคะ ไรท์พึ่งนึกขึ้นได้ว่ามันใช้วิธีนี้ได้ 555 enjoy reading นะคะ 

    ป.ล.อ่านตอนอื่นๆ ก่อนที่รีดนะคะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×