Talk
ตอนนี้ไคฮุนเพียวๆเลย เริ้บๆ
“Timeout Head of the Class said then saluted”
(หมดเวลาสอนแล้ว หัวหน้าชั้นบอกทำความเคารพค่ะ)
“Stand up please”
(กรุณายืนขึ้น)
“Good bye and thank you teacher see you again next time”
( ลาก่อนและขอบคุณค่ะ/ครับคุณครู ไว้เจอกันใหม่)
หลังจากสิ้นคำบอกเลิกคลาสเรียนภาษาอังกฤษตอนเที่ยงตรง เด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงก็เก็บของแล้วรีบปรี่ออกนอกห้องในทันที
เซฮุนที่นั่งอยู่ริมประตูห้องอยู่แล้วก็รีบดิ่งออกไปจากห้อง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่มองมาอย่างลุ้นระทึกแค่ไหน
“มึง มึงฟังกูๆ” เพื่อนของจงอินโบกมือตรงหน้าจงอินช้าๆ โดยที่สายตาของจงอินที่กำลังจ้องมองคนที่เพิ่งออกจากห้องไปนั้นกับมาอยู่ที่เพื่อนของตัวเองที่กำลังคุยด้วยอีกครั้งหลังจากที่เผลอไปมองอีกคนตามความเคยชิน
“เห้ย วิญญาณไปซื้อหมูปิ้งเหรอซัส” สัมผัสหนักๆที่ตบมาที่กลางศีรษะของจงอินแรงๆอย่างหยอกล้อ จงอินได้แต่ยิ้มฝืดไปให้ ก่อนจะเลิกคิ้วถาม
“มีไรวะ”
“ก็เปล่า เห็นว่ามึงเหม่อๆอะ เลยจะชวนไปเตะบอล ไปป้ะ”
”วันไหนละ”
“บ่ายๆวันนี้แหล่ะ ไปปะเนี้ย ถามเยอะยังกับผู้หญิง” เพื่อนตัวเเสบบ่นเซ็งๆ
“คงไม่ได้ว่ะเพื่อน กูมีนัด ไปละ“ ตอบปฎิเสธแล้วรีบเก็บของออกจากห้องไปทันที
ขายาวๆเดินเร็วๆออกมาจากห้องเรียน ดวงตากำลังสอดส่องหาอีกคนที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะอยู่รอไหม แล้วถ้ารอ ตั้งใจรอรึเปล่า หรือว่า แค่ยืนรอรถมารับกันแน่ ในที่สุดสายตาของจงอินก็มองเห็นร่างโปร่งที่ยืนเสียบหูฟังเอนหลังพิงกับกระจกใสตรงประตูทางเข้า ก็ไม่รีรอที่จ้ำอ้าวเข้าไปหา
“ไม่อยากเชื่อว่าจะรอนะเนี้ย..” เสียงทะเล้นของคนที่ออกมาช้ากว่าแซวโอเซฮุนที่หลับตาพริ้มยืนฟังเพลง อย่างสบายอารมณ์
“รอมึงที่ไหน รอรถ” เซฮุนค่อยๆดึงหูฟังออกจากหูก่อนจะปั้นหน้านิ่งตอบกลับไป
“รถอะไรของมึง สายที่กลับบ้านมึง ผ่านไปเมื่อกี้” จงอินว่าพลางชี้นิ้วไปที่รถโดยสารคันนึงที่กำลังติดไฟแดง ชี้ให้เห็นชัดๆว่าเซฮุนกำลังโกหกหน้าตาย
“กวนตีน”
“เอ้า พูดความจริง” จงอินยังยิ้มล้อเซฮุนไม่เลิก จนเซฮุนทำท่าจะเดินหนีออกไปขึ้นรถโดยสารที่กำลังติดไฟแดงนั่นแหล่ะ ถึงได้รีบคว้ามือไว้
“จะไปไหนก็พูดมาอย่าลีลา” เซฮุนพ่นลมหายใจแรงบอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ
“นี่มึง ถ้ามึงรู้ว่ากูกำลังจะพาไปไหนมึงจะอึ้ง”
“อย่าเยอะ” ส่งสายตาเอือมไปให้อีกหนึ่งที จนจงอินต้องรีบใช้มือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาเดฟจิ้งเหลนออกมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ไง มึงอยากดู ดูด้วยกันนะ”
“เชรชชชชชชชชชช โครตหล่อ กูหายงอนมึงละ” เมื่อเพื่อนรักยื่นบัตรคอนเสิร์ตวงที่ตัวเองชอบมาให้ถึงกับยิ้มเป็นแป๊ะใส่ ทำเอาคนที่ยื่นบัตรให้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่ตัดกับสีผิว
“ดีใจที่มึงอยากไป อะ..”
“พูดมากเหม็นปากว่ะ” ลูกอมจูปาจุ๊บรสส้มถูกยัดเข้าปากจงอินอย่างรวดเร็วจนอีกคนเหลือกตามองแบบไม่ทันตั้งตัว
“ไปกันเถอะ ทริปนี้มึงเลี้ยงนะ คอนเริ่มบ่ายสอง ตอนนี้เที่ยงกว่า นั่งตุ๊กๆไป ไปกัน” เซฮุนดี๊ด๊าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังที่ตุ๊กๆจอดตรงมุมตึกข้างๆ จงอินที่ได้แต่มองตามหลังไปยิ้มน้อยๆ
น่ารักตลอดอ่ะ มึงเนี้ย ..
มือพลางจับจูปาจุ๊บที่อีกคนเพิ่งให้ยัดเข้าใปในปากดีๆ อมยิ้มน้อยๆอย่างคนทะเล้นก่อนจะรีบวิ่งตามไป
สายลมโบกตลอดเวลาที่นั่งรถตุ๊กๆมา มีเซฮุนที่นั่งยิ้มมาตลอดทางกับจงอินที่อมจูปาจุ๊บสีส้มไว้ในปาก ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมีเพียงแค่คนอมจูปาจุ๊บเท่านั้นแหล่ะ ที่แอบมองเสี้ยวหน้าอีกคนผ่านกระจกตุ๊กๆ แต่บางทีชีวิตก็ตลกอะ ทั้งๆที่จ้องอยู่แต่ทำไมไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ เนาะ
รถตุ๊กๆสีน้ำเงินคนขับเป็นลุงอ้วนๆใส่แว่นตาดำกำลังขับผ่านไปยังสถานที่จัดคอนเสิร์ต สองข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกวินาที ตอนเป็นเด็กเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยถามคุณครูวิทยาศาสตร์หรือว่าพ่อแม่ว่า ทำไมเวลานั่งรถต้นไม้ข้างทางถึงหายไปที่ละต้นๆทุกที? เราจะได้คำตอบว่า ความจริงแล้วต้นไม้ก็ไม่ได้หายไปไหนแค่เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต้นไม้ที่อยู่ที่เดิมก็จะเหมือนถอยห่างจากเราไปเรื่อยๆ ... จริงๆก็คิดนะว่า ทำไมต้องเป็นเราตลอด เป็นเราที่มองรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยที่ไม่สามารถไล่ตามใครได้เลย แต่คนนี้ละ คนนี้ จะไม่ปล่อยไปแล้วนะ! ไม่กลัวอะไรแล้วละ ที่ได้มองหน้าคนข้างๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ J
“ เอ้า มึง คอนเริ่มตั้งบ่ายสอง ไปไหนก่อนไหมละ” เสียงจากคนข้างๆดังขึ้นมาทำเอาความคิดตอนเด็กบ้าๆบอๆของจงอินสะดุดกึก แต่จงอินก็ยังยิ้มกว้างก่อนจะตอบไป
“แล้วแต่มึง”
“มีความสุขมากนะมึงอะ งั้นแวะกินข้าวขาหมูหน้าคอนก่อนเอาปะ” จงอินไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มแบบฟันขาวจั๊วะแล้วพยักหน้าแรงๆจนเซฮุนต้องผลัดหัวแล้วแกล้งหันหน้าหนีไปทางอื่น
ไม่นานรถตุ๊กๆสีน้ำเงินก็ได้จอดเทียบหน้าร้านขาหมูเจ้าเก่าตกข้ามร้านป็นลานจัดคอนเสิร์ตที่กำลังตั้งเวทีอยู่ ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาเริ่มคอนเสิร์ตผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่มานั่งรอมีข้าวกล่องคนละกล่องๆ มีโซนที่นั่งเป็นซุ้มเต้นท์มีข้าวกล่องและน้ำดื่มบริการ ให้มานั่งรอในเต้นท์ คอนเสิร์ตวงนี้เป็นวงที่ไม่มีชื่อเสียงมากนักแต่ก็เป็นเพลงที่ฟังสะบายๆและถูกจริตกับรสนิยมเซฮุนเป็นอย่างมาก เมื่อทราบข่าวว่าจะมาจัดคอนเสิร์ตก็เลยจะจองบัตรแต่น่าเสียดายเงินกับช๊อต ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนึงจะได้มาดูจริงๆ
“ขาหมูไม่หนังครับ” x2
“เอ้า มึงสั่งตามกูทำไมเนี้ย” เซฮุนหันไปแว้ดใส่จงอินที่กำลังทำเป็นท้องไม่รู้ร้อนสั่งตามแถมยังสั่งพร้อมกันอีกตั้งหาก
“ก็กูสั่งให้มึง เอาขาหมูไม่หนังหนึ่ง ข้าวขาหมูธรรมดาหนึ่งครับ” ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับเด็กเสิรฟแต่ประโยคก่อนหน้านั้นทำเอาเซฮุนสีหน้าเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต จากหน้าตายิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นสับสนและไม่แน่ใจ จนคนฝั่งตรงข้ามต้องเอ่ยปากถาม
“มึง”
“ไร”
“ทำไมต้องทำงี้วะ”
“ไรอะ”
“ไอ่สัส”
“อ๋อ ก็กูไม่กลัวอะ”
“เชี้ย ใช่เรื่องเล่นไหม” เซฮุนมองหน้าจงอินตรงๆสับสนกับคำตอบที่ไม่จริงจังของคนตรงหน้า ทั้งๆที่ตัวเองจริงจังมากแท้ๆแต่คำตอบที่ได้มากับไม่มีความจริงจังเลยสักนิด ยิ่งดวงตาของอีกคนที่มองมาแน่วแน่แล้วก็ยิ่งสับสนเข้าไปอีก แต่ก็ตระหนักขึ้นมาได้นิดนึงแล้วว่า
“อ๋อ มึงจะกลัวทำไมวะเนอะ เพราะมึงไม่ได้ชอบกูไง เอ้อเนาะ 555” เซฮุนเผลอหัวเราะฝืดๆตอบไปพลางเขี่ยข้าวขาหมูที่เพิ่งมาส่งตรงหน้า เลยพลันไม่เห็นว่าแววตาอีกคนวูบไหวแค่ไหน
“ไม่ใช่”
“ห้ะ”
“ถึงกูชอบมึงก็เป็นผัวไม่ได้เป็นเมีย เพราะฉนั้นกูไม่กลัว นี่คือประเด็น” เซฮุนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวขาหมูเพราะถ้าเงยหน้ามาได้มาประจันกับสายตาที่จริงใจของจงอินตอนนี้แน่ๆ หากแต่ตาไม่ได้มองหูก็ยังได้ยิน เซฮุนซ่อนสายตาและใบหน้าที่ตกใจระคนประหม่าไว้กับข้าวขาหมู ก่อนจะตีหน้านิ่งๆตามเดิม
“พูดมากอีกละมึง แดกๆไปจะถึงเวลาละ” เซฮุนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ตอนคิดว่าตัวเองปรับหน้าให้เป็นปรกติได้แล้วนั่นแหล่ะ จงอินได้แต่มองหน้าเซ็งๆแล้วรีบจัดการข้าวขาหมูตรงหน้าในทันที คงจะเป็นว่า ข้าวขาหมูสองจานนี้มีทั้งความในใจของจงอิน และ ความประหม่าของเซฮุน ทั้งคู่น่าจะสลับจานกันกินเนอะ จะได้รู้ความรู้สึกของกันและกัน J
สายลมโบกมาเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าแดดจะแรงหรือฝนจะตกยังมีลมพัดเอื่อยๆตลอดระยะเวลาการเตรียมเครื่องเสียงให้พร้อมกับคอนเสิร์ตในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ คนเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนยืนตามคิวของตัวเอง คิวของจงอินและเซฮุนนั้นเป็นคิวกลางค่อนหน้า จัดเป็นที่ที่ดีมาก จนเซฮุนหันมายิ้มให้จงอินหลายรอบถามคำถามเดิมๆซ้ำๆ ‘มึงได้บัตรตรงนี้ได้ไงเนี้ย’ จงอินยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร มือของทั้งคู่ตอนนี้มีน้ำแดงคนละถุงกันคอแห้งตอนตะโกนร้องเพลง มันเป็นความคิดของจงอินเองแหล่ะ แม้เซฮุนจะบอกหลายรอบว่าเพลงเขาเพลงช้า แต่จงอินก็ขยั้นขยอ บอกกันไว้ดีกว่าแก้
จนเสียงดนตรีเพลงแรกขึ้น เซฮุนก็แผดเสียงออกไปก่อนแล้ว จนจงอินได้แต่มองตามใบหน้านั้นยิ้มๆ ด้วยความที่ไม่ได้ชอบวงนี้มากมายเลยยังไม่อินเท่ากับเซฮุนตอนนี้เลยทำได้แค่ยืนยิ้มเฉยๆไม่ได้ว่าเพลงเพราะหรือโดนใจอะไรหรอก เพราะคนข้างๆเลยประเด็นสำคัญของวันนี้
ผู้คนมากมายโบกไม้โบกมือกันเป็นพัลวันตามจังหวะเพลงสบายๆของวงนี้ จงอินเองก็โบกมือเหมือนกับคนอื่นด้วย เพราะเพลงนี้พอได้ฟังแล้วรู้สึกดีแปลกๆไหม? หรือยังไง? จนร่างกายของเขาขยับไปตามสัญชาติญาณ
คนเรามักจะมีความรู้สึกกับเพลงเพลงนึงหรืออาจจะหลายเพลง เพลงๆนั้นมันทำให้เราคิดถึงความหลังแบบไม่เศร้า ความรู้สึกแบบบอกกับใครก็ไม่ได้แล้วก็ไม่รู้จะไปบอกกับคนอื่นว่ายังไง มันให้ความรู้สึกว่าคนที่ยืนข้างเราตอนนี้แหล่ะ คือปัจจัยที่ 5 ในการที่ทำให้เรามีความหวังและรอยยิ้มต่อไปในวันรุ่งขึ้น..
ใกล้เกินกว่าที่จะพูดคำใดๆออกไป
มันใกล้เกินกว่าจะมองเห็นใคร
เมื่อเราใกล้จนอยากจะหยุดหายใจ
มันใกล้จนมีแต่เธอกับฉันวันนี้เท่านั้น
อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญได้เจอฉัน
อาจเป็นเพราะว่าเราบังเอิญอยู่ด้วยกัน
เพราะเธอยังไม่เคย ได้รู้มันเป็นยังไง
และฉันไม่เคยเข้าใจ ถ้ามันต้องอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราไม่คุยกันสักครั้ง วันนี้ก็คงไม่มีใครเข้าใจ
วันนั้นเธอยังไม่เคย ฉันก็ยังไม่เคย ไม่รู้มันเป็นยังไง
จะหยุดตัวเองทำไม
จะหยุดตัวเองเพื่อใคร เพื่อใคร หยุดตัวเองทำไม
ทางเดินมีสองทาง เราคงต้องตัดสินใจ
เราจะไปทางไหนกันดี จะอยู่หรือไป
จะเดินกันต่อไปไหม เพื่อใคร.. หยุดตัวเองเพื่อใคร
เสียงร้องเพลงดังลั่นไปทั่วลานจัดคอนเสิร์ต..
ทุกคนกระโดดทั้งที่เป็นเพลงช้า ..
ร้องไห้ทั้งๆที่เป็นเพลงสนุก ..
โบกมือไปทางซ้ายทั้งๆที่คนอื่นไปทางขวา ..
โบกมือไปทางขวาทั้งๆที่คนอื่นไปทางซ้าย ..
คนที่มาด้วยกัน .. มือสองข้างก็จับกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เช่น จงอินกับเซฮุนตอนนี้
รู้สึกตัวนะ.. แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร หันมาสบตากัน แล้วก็หันไปสนใจเพลงเหมือนเดิม จงอินพร้อมจะปล่อยทุกเมื่อที่เซฮุนร้องขอ แต่ถ้าอีกคนไม่พูดหรือบ่นอะไร การมองตากันเมื่อกี้ถือว่าเป็นคำอนุญาตแล้ว จงอินกระชับมือเซฮุนให้มากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้มือของทั้งคู่ชื้นไปด้วยน้ำหวานเพราะแต่ละคนใช้มือข้างที่ถือน้ำมาจับกัน จนเซฮุนต้องกระซิบด่าจงอินไปว่า ‘กูบอกแล้วอย่าซื้อมา’ แต่จงอินกลับคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้วนะ หวานชื่นรื่นรมย์ดี J
เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก วนเวียนและเป็นอยู่
ดูไปก็รู้สึก อย่างเคย เหมือนเคย
ลองมองผ่าน ความทรงจำที่มีอยู่ คงมีเพียงฉันคนหนึ่ง
คนเดียวที่รู้จัก อย่างเดิม เหมือนเดิม
วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย
คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
ปล่อยให้สายตาทำงานเงียบๆ .. จงอินเพิ่งเข้าใจความหมายมันอย่างลึกซึ้งก็ในวันนี้ การที่ได้มองอีกคนร้องเพลงทำไมถึงได้มีความสุขขนาดนี้ เพลงที่กำลังแสดงอยู่ก็ช่างตรงกับชีวิตเหลือเกิน เห็นว่าเย็นนี้จงอินต้องไปเปิดฟังเพลงของวงนี้หลายๆรอบซะแล้ว J
‘คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน’
เนื้อเพลงของเพลงที่เพิ่งจบไปวนเวียนอยู่ในหัวของจงอิน แม้ว่าเพลงนี้ได้จบลงไปแล้วแต่สงสัยจะติดใจท่อนฮุคเพลงนี้มากจริงๆ แต่ปากก็ไวกว่าสมองทุกที จงอินเผลอร้องเพลงท่อนฮุคของเพลงที่จบไปเมื่อกี้ออกมา จนเซฮุนที่กำลังเต็มที่กับเพลงปัจจุบันถึงกับสะดุดแล้วหันมามองงงๆ
“ความรู้สึกดีเลย์เหรอมึง” เซฮุนหันหน้านิ่งๆมาถามจนจงอินทำตาโตเพิ่งรับรู้ได้ว่าปัจจุบันไม่ใช่เพลงที่ตัวเองกำลังร้อง
“ห้ะ เปล่า ชอบ J” ตอบแล้วก็ยิ้มเหมือนเดิม วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่จงอินยิ้มเรี่ยราด
บทเพลงกำลังดำเนินไปเรื่อยจนเกือบจะถึงเวลาสิ้นสุดเหมือนงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แต่จงอินแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนเสิร์ตนี้เล่นเพลงอะไรไปบ้างรู้เพียงแค่ว่า การที่ได้มายืนอยู่จุดนี้ ณ ที่ตรงนี้ก็เป็นอะไรที่คุ้มมากแล้ว ได้แอบมองคนข้างๆตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ดีมากมาย จริงๆก็ ทุกคนก็คงรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปอีกหนึ่งวัน สองวัน หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งปี เขาก็คงมีชะตากรรมแบบเดียวกับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของโอเซฮุน ที่พูดไปว่าไม่กลัวตอนแรกอะ ตรงๆนะ
โกหก
55555555555555555555555555555555555555555555555555555555
ผู้คนเริ่มทยอยออกมาจากหน้าเวที เพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ตจบลง เสียงเพลงที่เคยดังกระหึ่มตอนนี้เหลือเพียงแค่เสียงฝีเท้าขวักไขว่ของผู้คนที่กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน ทั้งเซฮุนและจงอินเองก็เช่นกัน
ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อเกือบสี่ชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ ความมืดครึ้มกำลังกลืนกินความสดใสไปจนเกือบหมด ก้อนเมฆสีเทาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วคาดว่าไม่ถึงชั่วโมงฝนคงตกแน่ๆ ฝูงชนสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับเขาทั้งคู่ที่กำลังยืนอยู่บนฟุตบาท
“กลับไงเนี่ย” เสียงของคนข้างๆเซฮุนดังขึ้นทำลายความเงียบเพราะความจริงแล้วเซฮุนก็ไม่ใช่คนที่ชวนคุยเก่งอะไร ถ้าไม่มีใครจุดประเด็น การยืนข้างกันครั้งนี้ก็ต้องเงียบเหมือนไปนั่งสมาธิที่วัดชนบทบนภูเขายังไงอย่างงั้น
“ป๊ามารับ มึงล่ะ” อีกคนถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เหมือนถามกลับตามมารยาทมากกว่า
“อ๋อ สองแถว” เซฮุนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับจากนั้นความเงียบก็ครอบงำอีกครั้ง
เซฮุนล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมหูฟังสีขาว ดูเหมือนใครๆก็รู้กันอยู่ว่า กฎของการใส่หูฟังคือห้ามชวนคุย
“มึง”
“...”
“..กลับก่อนโป้งนะ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้จงอินพูดประโยคโง่นั่นออกไป นี่มันมุกสมัยเด็กอนุบาลเล่นกันอย่างเอือม แต่เซฮุนหลุดหัวเราะแห้งๆจนเกิดตายิ้มแต่เพียงแวบเดียวแล้วทำหน้านิ่งแบบพระเอกแจ่มใสผู้เย็นชาเหมือนเดิม
“มีสิทธิ์ไรอะครับ” ถามยิ้มๆแบบอบอุ่นขั้นสุด จนจงอินหลุดขำนี่ตกลงกูเมะหรือมึงเมะ เอาดีๆ
“อ้ะ อ้ะ มึงไม่ต้องตอบละนะ ป๊ากูมาละ บาย อิอิ” เซฮุนรีบวิ่งไปขึ้นรถฟอร์ดสีดำคันใหญ่ทันที แต่ไม่ลืมหันมาแลบลิ้นอย่างน่าหมั่นไส้ให้จงอินไปหนึ่งที จนจงอินต้องกัดปากชีนิ้วขาดโทษ คิดว่าแลบลิ้นแบบนั้นความเถื่อนมึงลดลงเหรอ ไม่เลยจ้า
แต่ลิ้นนั้นน่ะ
น่าจับมากัดให้ระบบไปทั่วปากเลยจริงๆ J
“Timeout Head of the Class said then saluted”
(หมดเวลาสอนแล้ว หัวหน้าชั้นบอกทำความเคารพค่ะ)
“Stand up please”
(กรุณายืนขึ้น)
“Good bye and thank you teacher see you again next time”
( ลาก่อนและขอบคุณค่ะ/ครับคุณครู ไว้เจอกันใหม่)
หลังจากสิ้นคำบอกเลิกคลาสเรียนภาษาอังกฤษตอนเที่ยงตรง เด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงก็เก็บของแล้วรีบปรี่ออกนอกห้องในทันที
เซฮุนที่นั่งอยู่ริมประตูห้องอยู่แล้วก็รีบดิ่งออกไปจากห้อง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่มองมาอย่างลุ้นระทึกแค่ไหน
“มึง มึงฟังกูๆ” เพื่อนของจงอินโบกมือตรงหน้าจงอินช้าๆ โดยที่สายตาของจงอินที่กำลังจ้องมองคนที่เพิ่งออกจากห้องไปนั้นกับมาอยู่ที่เพื่อนของตัวเองที่กำลังคุยด้วยอีกครั้งหลังจากที่เผลอไปมองอีกคนตามความเคยชิน
“เห้ย วิญญาณไปซื้อหมูปิ้งเหรอซัส” สัมผัสหนักๆที่ตบมาที่กลางศีรษะของจงอินแรงๆอย่างหยอกล้อ จงอินได้แต่ยิ้มฝืดไปให้ ก่อนจะเลิกคิ้วถาม
“มีไรวะ”
“ก็เปล่า เห็นว่ามึงเหม่อๆอะ เลยจะชวนไปเตะบอล ไปป้ะ”
”วันไหนละ”
“บ่ายๆวันนี้แหล่ะ ไปปะเนี้ย ถามเยอะยังกับผู้หญิง” เพื่อนตัวเเสบบ่นเซ็งๆ
“คงไม่ได้ว่ะเพื่อน กูมีนัด ไปละ“ ตอบปฎิเสธแล้วรีบเก็บของออกจากห้องไปทันที
ขายาวๆเดินเร็วๆออกมาจากห้องเรียน ดวงตากำลังสอดส่องหาอีกคนที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะอยู่รอไหม แล้วถ้ารอ ตั้งใจรอรึเปล่า หรือว่า แค่ยืนรอรถมารับกันแน่ ในที่สุดสายตาของจงอินก็มองเห็นร่างโปร่งที่ยืนเสียบหูฟังเอนหลังพิงกับกระจกใสตรงประตูทางเข้า ก็ไม่รีรอที่จ้ำอ้าวเข้าไปหา
“ไม่อยากเชื่อว่าจะรอนะเนี้ย..” เสียงทะเล้นของคนที่ออกมาช้ากว่าแซวโอเซฮุนที่หลับตาพริ้มยืนฟังเพลง อย่างสบายอารมณ์
“รอมึงที่ไหน รอรถ” เซฮุนค่อยๆดึงหูฟังออกจากหูก่อนจะปั้นหน้านิ่งตอบกลับไป
“รถอะไรของมึง สายที่กลับบ้านมึง ผ่านไปเมื่อกี้” จงอินว่าพลางชี้นิ้วไปที่รถโดยสารคันนึงที่กำลังติดไฟแดง ชี้ให้เห็นชัดๆว่าเซฮุนกำลังโกหกหน้าตาย
“กวนตีน”
“เอ้า พูดความจริง” จงอินยังยิ้มล้อเซฮุนไม่เลิก จนเซฮุนทำท่าจะเดินหนีออกไปขึ้นรถโดยสารที่กำลังติดไฟแดงนั่นแหล่ะ ถึงได้รีบคว้ามือไว้
“จะไปไหนก็พูดมาอย่าลีลา” เซฮุนพ่นลมหายใจแรงบอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ
“นี่มึง ถ้ามึงรู้ว่ากูกำลังจะพาไปไหนมึงจะอึ้ง”
“อย่าเยอะ” ส่งสายตาเอือมไปให้อีกหนึ่งที จนจงอินต้องรีบใช้มือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาเดฟจิ้งเหลนออกมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ไง มึงอยากดู ดูด้วยกันนะ”
“เชรชชชชชชชชชช โครตหล่อ กูหายงอนมึงละ” เมื่อเพื่อนรักยื่นบัตรคอนเสิร์ตวงที่ตัวเองชอบมาให้ถึงกับยิ้มเป็นแป๊ะใส่ ทำเอาคนที่ยื่นบัตรให้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่ตัดกับสีผิว
“ดีใจที่มึงอยากไป อะ..”
“พูดมากเหม็นปากว่ะ” ลูกอมจูปาจุ๊บรสส้มถูกยัดเข้าปากจงอินอย่างรวดเร็วจนอีกคนเหลือกตามองแบบไม่ทันตั้งตัว
“ไปกันเถอะ ทริปนี้มึงเลี้ยงนะ คอนเริ่มบ่ายสอง ตอนนี้เที่ยงกว่า นั่งตุ๊กๆไป ไปกัน” เซฮุนดี๊ด๊าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังที่ตุ๊กๆจอดตรงมุมตึกข้างๆ จงอินที่ได้แต่มองตามหลังไปยิ้มน้อยๆ
น่ารักตลอดอ่ะ มึงเนี้ย ..
มือพลางจับจูปาจุ๊บที่อีกคนเพิ่งให้ยัดเข้าใปในปากดีๆ อมยิ้มน้อยๆอย่างคนทะเล้นก่อนจะรีบวิ่งตามไป
สายลมโบกตลอดเวลาที่นั่งรถตุ๊กๆมา มีเซฮุนที่นั่งยิ้มมาตลอดทางกับจงอินที่อมจูปาจุ๊บสีส้มไว้ในปาก ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมีเพียงแค่คนอมจูปาจุ๊บเท่านั้นแหล่ะ ที่แอบมองเสี้ยวหน้าอีกคนผ่านกระจกตุ๊กๆ แต่บางทีชีวิตก็ตลกอะ ทั้งๆที่จ้องอยู่แต่ทำไมไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ เนาะ
รถตุ๊กๆสีน้ำเงินคนขับเป็นลุงอ้วนๆใส่แว่นตาดำกำลังขับผ่านไปยังสถานที่จัดคอนเสิร์ต สองข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกวินาที ตอนเป็นเด็กเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยถามคุณครูวิทยาศาสตร์หรือว่าพ่อแม่ว่า ทำไมเวลานั่งรถต้นไม้ข้างทางถึงหายไปที่ละต้นๆทุกที? เราจะได้คำตอบว่า ความจริงแล้วต้นไม้ก็ไม่ได้หายไปไหนแค่เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต้นไม้ที่อยู่ที่เดิมก็จะเหมือนถอยห่างจากเราไปเรื่อยๆ ... จริงๆก็คิดนะว่า ทำไมต้องเป็นเราตลอด เป็นเราที่มองรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยที่ไม่สามารถไล่ตามใครได้เลย แต่คนนี้ละ คนนี้ จะไม่ปล่อยไปแล้วนะ! ไม่กลัวอะไรแล้วละ ที่ได้มองหน้าคนข้างๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ J
“ เอ้า มึง คอนเริ่มตั้งบ่ายสอง ไปไหนก่อนไหมละ” เสียงจากคนข้างๆดังขึ้นมาทำเอาความคิดตอนเด็กบ้าๆบอๆของจงอินสะดุดกึก แต่จงอินก็ยังยิ้มกว้างก่อนจะตอบไป
“แล้วแต่มึง”
“มีความสุขมากนะมึงอะ งั้นแวะกินข้าวขาหมูหน้าคอนก่อนเอาป้ะ” จงอินไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มแบบฟันขาวจั๊วะแล้วพยักหน้าแรงๆจนเซฮุนต้องผลัดหัวแล้วแกล้งหันหน้าหนีไปทางอื่น
ไม่นานรถตุ๊กๆสีน้ำเงินก็ได้จอดเทียบหน้าร้านขาหมูเจ้าเก่าตกข้ามร้านป็นลานจัดคอนเสิร์ตที่กำลังตั้งเวทีอยู่ ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาเริ่มคอนเสิร์ตผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่มานั่งรอมีข้าวกล่องคนละกล่องๆ มีโซนที่นั่งเป็นซุ้มเต้นท์มีข้าวกล่องและน้ำดื่มบริการ ให้มานั่งรอในเต้นท์ คอนเสิร์ตวงนี้เป็นวงที่ไม่มีชื่อเสียงมากนักแต่ก็เป็นเพลงที่ฟังสะบายๆและถูกจริตกับรสนิยมเซฮุนเป็นอย่างมาก เมื่อทราบข่าวว่าจะมาจัดคอนเสิร์ตก็เลยจะจองบัตรแต่น่าเสียดายเงินกับช๊อต ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนึงจะได้มาดูจริงๆ
“ขาหมูไม่หนังครับ” x2
“เอ้า มึงสั่งตามกูทำไมเนี้ย” เซฮุนหันไปแว้ดใส่จงอินที่กำลังทำเป็นท้องไม่รู้ร้อนสั่งตามแถมยังสั่งพร้อมกันอีกตั้งหาก
“ก็กูสั่งให้มึง เอาขาหมูไม่หนังหนึ่ง ข้าวขาหมูธรรมดาหนึ่งครับ” ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับเด็กเสิรฟแต่ประโยคก่อนหน้านั้นทำเอาเซฮุนสีหน้าเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต จากหน้าตายิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นสับสนและไม่แน่ใจ จนคนฝั่งตรงข้ามต้องเอ่ยปากถาม
“มึง”
“ไร”
“ทำไมต้องทำงี้วะ”
“ไรอะ”
“ไอ่สัส”
“อ๋อ ก็กูไม่กลัวอะ”
“เชี้ย ใช่เรื่องเล่นไหม” เซฮุนมองหน้าจงอินตรงๆสับสนกับคำตอบที่ไม่จริงจังของคนตรงหน้า ทั้งๆที่ตัวเองจริงจังมากแท้ๆแต่คำตอบที่ได้มากับไม่มีความจริงจังเลยสักนิด ยิ่งดวงตาของอีกคนที่มองมาแน่วแน่แล้วก็ยิ่งสับสนเข้าไปอีก แต่ก็ตระหนักขึ้นมาได้นิดนึงแล้วว่า
“อ๋อ มึงจะกลัวทำไมวะเนอะ เพราะมึงไม่ได้ชอบกูไง เอ้อเนาะ 555” เซฮุนเผลอหัวเราะฝืดๆตอบไปพลางเขี่ยข้าวขาหมูที่เพิ่งมาส่งตรงหน้า เลยพลันไม่เห็นว่าแววตาอีกคนวูบไหวแค่ไหน
“ไม่ใช่”
“ห้ะ”
“ถึงกูชอบมึงก็เป็นผัวไม่ได้เป็นเมีย เพราะฉะนั้นกูไม่กลัว นี่คือประเด็น” เซฮุนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวขาหมูเพราะถ้าเงยหน้ามาได้มาประจันกับสายตาที่จริงใจของจงอินตอนนี้แน่ๆ หากแต่ตาไม่ได้มองหูก็ยังได้ยิน เซฮุนซ่อนสายตาและใบหน้าที่ตกใจระคนประหม่าไว้กับข้าวขาหมู ก่อนจะตีหน้านิ่งๆตามเดิม
“พูดมากอีกละมึง แดกๆไปจะถึงเวลาละ” เซฮุนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ตอนคิดว่าตัวเองปรับหน้าให้เป็นปรกติได้แล้วนั่นแหล่ะ จงอินได้แต่มองหน้าเซ็งๆแล้วรีบจัดการข้าวขาหมูตรงหน้าในทันที คงจะเป็นว่า ข้าวขาหมูสองจานนี้มีทั้งความในใจของจงอิน และ ความประหม่าของเซฮุน ทั้งคู่น่าจะสลับจานกันกินเนอะ จะได้รู้ความรู้สึกของกันและกัน J
สายลมโบกมาเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าแดดจะแรงหรือฝนจะตกยังมีลมพัดเอื่อยๆตลอดระยะเวลาการเตรียมเครื่องเสียงให้พร้อมกับคอนเสิร์ตในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ คนเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนยืนตามคิวของตัวเอง คิวของจงอินและเซฮุนนั้นเป็นคิวกลางค่อนหน้า จัดเป็นที่ที่ดีมาก จนเซฮุนหันมายิ้มให้จงอินหลายรอบถามคำถามเดิมๆซ้ำๆ ‘มึงได้บัตรตรงนี้ได้ไงเนี้ย’ จงอินยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร มือของทั้งคู่ตอนนี้มีน้ำแดงคนละถุงกันคอแห้งตอนตะโกนร้องเพลง มันเป็นความคิดของจงอินเองแหล่ะ แม้เซฮุนจะบอกหลายรอบว่าเพลงเขาเพลงช้า แต่จงอินก็ขยั้นขยอ บอกกันไว้ดีกว่าแก้
จนเสียงดนตรีเพลงแรกขึ้น เซฮุนก็แผดเสียงออกไปก่อนแล้ว จนจงอินได้แต่มองตามใบหน้านั้นยิ้มๆ ด้วยความที่ไม่ได้ชอบวงนี้มากมายเลยยังไม่อินเท่ากับเซฮุนตอนนี้เลยทำได้แค่ยืนยิ้มเฉยๆไม่ได้ว่าเพลงเพราะหรือโดนใจอะไรหรอก เพราะคนข้างๆเลยประเด็นสำคัญของวันนี้
ผู้คนมากมายโบกไม้โบกมือกันเป็นพัลวันตามจังหวะเพลงสบายๆของวงนี้ จงอินเองก็โบกมือเหมือนกับคนอื่นด้วย เพราะเพลงนี้พอได้ฟังแล้วรู้สึกดีแปลกๆไหม? หรือยังไง? จนร่างกายของเขาขยับไปตามสัญชาติญาณ
คนเรามักจะมีความรู้สึกกับเพลงเพลงนึงหรืออาจจะหลายเพลง เพลงๆนั้นมันทำให้เราคิดถึงความหลังแบบไม่เศร้า ความรู้สึกแบบบอกกับใครก็ไม่ได้แล้วก็ไม่รู้จะไปบอกกับคนอื่นว่ายังไง มันให้ความรู้สึกว่าคนที่ยืนข้างเราตอนนี้แหล่ะ คือปัจจัยที่ 5 ในการที่ทำให้เรามีความหวังและรอยยิ้มต่อไปในวันรุ่งขึ้น..
ใกล้เกินกว่าที่จะพูดคำใดๆออกไป
มันใกล้เกินกว่าจะมองเห็นใคร
เมื่อเราใกล้จนอยากจะหยุดหายใจ
มันใกล้จนมีแต่เธอกับฉันวันนี้เท่านั้น
อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญได้เจอฉัน
อาจเป็นเพราะว่าเราบังเอิญอยู่ด้วยกัน
เพราะเธอยังไม่เคย ได้รู้มันเป็นยังไง
และฉันไม่เคยเข้าใจ ถ้ามันต้องอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราไม่คุยกันสักครั้ง วันนี้ก็คงไม่มีใครเข้าใจ
วันนั้นเธอยังไม่เคย ฉันก็ยังไม่เคย ไม่รู้มันเป็นยังไง
จะหยุดตัวเองทำไม
จะหยุดตัวเองเพื่อใคร เพื่อใคร หยุดตัวเองทำไม
ทางเดินมีสองทาง เราคงต้องตัดสินใจ
เราจะไปทางไหนกันดี จะอยู่หรือไป
จะเดินกันต่อไปไหม เพื่อใคร.. หยุดตัวเองเพื่อใคร
เสียงร้องเพลงดังลั่นไปทั่วลานจัดคอนเสิร์ต..
ทุกคนกระโดดทั้งที่เป็นเพลงช้า ..
ร้องไห้ทั้งๆที่เป็นเพลงสนุก ..
โบกมือไปทางซ้ายทั้งๆที่คนอื่นไปทางขวา ..
โบกมือไปทางขวาทั้งๆที่คนอื่นไปทางซ้าย ..
คนที่มาด้วยกัน .. มือสองข้างก็จับกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เช่น จงอินกับเซฮุนตอนนี้
รู้สึกตัวนะ.. แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร หันมาสบตากัน แล้วก็หันไปสนใจเพลงเหมือนเดิม จงอินพร้อมจะปล่อยทุกเมื่อที่เซฮุนร้องขอ แต่ถ้าอีกคนไม่พูดหรือบ่นอะไร การมองตากันเมื่อกี้ถือว่าเป็นคำอนุญาตแล้ว จงอินกระชับมือเซฮุนให้มากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้มือของทั้งคู่ชื้นไปด้วยน้ำหวานเพราะแต่ละคนใช้มือข้างที่ถือน้ำมาจับกัน จนเซฮุนต้องกระซิบด่าจงอินไปว่า ‘กูบอกแล้วอย่าซื้อมา’ แต่จงอินกลับคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้วนะ หวานชื่นรื่นรมย์ดี J
เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก วนเวียนและเป็นอยู่
ดูไปก็รู้สึก อย่างเคย เหมือนเคย
ลองมองผ่าน ความทรงจำที่มีอยู่ คงมีเพียงฉันคนหนึ่ง
คนเดียวที่รู้จัก อย่างเดิม เหมือนเดิม
วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย
คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
ในวันหนึ่งแค่มองเธอนั้นเดินผ่าน เพียงคนไม่รู้จัก
ทำวันที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป จากเดิม
วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย
คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย
คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
70%
ปล่อยให้สายตาทำงานเงียบๆ .. จงอินเพิ่งเข้าใจความหมายมันอย่างลึกซึ้งก็ในวันนี้ การที่ได้มองอีกคนร้องเพลงทำไมถึงได้มีความสุขขนาดนี้ เพลงที่กำลังแสดงอยู่ก็ช่างตรงกับชีวิตเหลือเกิน เห็นว่าเย็นนี้จงอินต้องไปเปิดฟังเพลงของวงนี้หลายๆรอบซะแล้ว J
‘คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน’
เนื้อเพลงของเพลงที่เพิ่งจบไปวนเวียนอยู่ในหัวของจงอิน แม้ว่าเพลงนี้ได้จบลงไปแล้วแต่สงสัยจะติดใจท่อนฮุคเพลงนี้มากจริงๆ แต่ปากก็ไวกว่าสมองทุกที จงอินเผลอร้องเพลงท่อนฮุคของเพลงที่จบไปเมื่อกี้ออกมา จนเซฮุนที่กำลังเต็มที่กับเพลงปัจจุบันถึงกับสะดุดแล้วหันมามองงงๆ
“ความรู้สึกดีเลย์เหรอมึง” เซฮุนหันหน้านิ่งๆมาถามจนจงอินทำตาโตเพิ่งรับรู้ได้ว่าปัจจุบันไม่ใช่เพลงที่ตัวเองกำลังร้อง
“ห้ะ เปล่า ชอบ J” ตอบแล้วก็ยิ้มเหมือนเดิม วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่จงอินยิ้มเรี่ยราด
บทเพลงกำลังดำเนินไปเรื่อยจนเกือบจะถึงเวลาสิ้นสุดเหมือนงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แต่จงอินแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนเสิร์ตนี้เล่นเพลงอะไรไปบ้างรู้เพียงแค่ว่า การที่ได้มายืนอยู่จุดนี้ ณ ที่ตรงนี้ก็เป็นอะไรที่คุ้มมากแล้ว ได้แอบมองคนข้างๆตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ดีมากมาย จริงๆก็ ทุกคนก็คงรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปอีกหนึ่งวัน สองวัน หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งปี เขาก็คงมีชะตากรรมแบบเดียวกับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของโอเซฮุน ที่พูดไปว่าไม่กลัวตอนแรกอะ ตรงๆนะ
โกหก
55555555555555555555555555555555555555555555555555555555
ผู้คนเริ่มทยอยออกมาจากหน้าเวที เพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ตจบลง เสียงเพลงที่เคยดังกระหึ่มตอนนี้เหลือเพียงแค่เสียงฝีเท้าขวักไขว่ของผู้คนที่กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน ทั้งเซฮุนและจงอินเองก็เช่นกัน
ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อเกือบสี่ชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้ ความมืดครึ้มกำลังกลืนกินความสดใสไปจนเกือบหมด ก้อนเมฆสีเทาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วคาดว่าไม่ถึงชั่วโมงฝนคงตกแน่ๆ ฝูงชนสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับเขาทั้งคู่ที่กำลังยืนอยู่บนฟุตบาท
“กลับไงเนี่ย” เสียงของคนข้างๆเซฮุนดังขึ้นทำลายความเงียบเพราะความจริงแล้วเซฮุนก็ไม่ใช่คนที่ชวนคุยเก่งอะไร ถ้าไม่มีใครจุดประเด็น การยืนข้างกันครั้งนี้ก็ต้องเงียบเหมือนไปนั่งสมาธิที่วัดชนบทบนภูเขายังไงอย่างงั้น
“ป๊ามารับ มึงล่ะ” อีกคนถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เหมือนถามกลับตามมารยาทมากกว่า
“อ๋อ สองแถว” เซฮุนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับจากนั้นความเงียบก็ครอบงำอีกครั้ง
เซฮุนล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมหูฟังสีขาว ดูเหมือนใครๆก็รู้กันอยู่ว่า กฎของการใส่หูฟังคือห้ามชวนคุย
“มึง”
“...”
“..กลับก่อนโป้งนะ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้จงอินพูดประโยคโง่นั่นออกไป นี่มันมุกสมัยเด็กอนุบาลเล่นกันอย่างเอือม แต่เซฮุนหลุดหัวเราะแห้งจนเกิดตายิ้มแล้วทำหน้านิ่งแบบพระเอกแจ่มใสผู้เย็นชาเหมือนเดิม
“มีสิทธิ์ไรอะครับ” ถามยิ้มๆแบบอบอุ่นขั้นสุด จนจงอินหลุดขำนี่ตกลงกูเมะหรือมึงเมะ เอาดีๆ
“อ้ะ อ้ะ มึงไม่ต้องตอบละนะ ป๊ากูมาละ บาย อิอิ” เซฮุนรีบวิ่งไปขึ้นรถฟอร์ดสีดำคันใหญ่ทันที แต่ไม่ลืมหันมาแลบลิ้นอย่างน่าหมั่นไส้ให้จงอินไปหนึ่งที จนจงอินต้องกัดปากชีนิ้วขาดโทษ คิดว่าแลบลิ้นแบบนั้นความเถื่อนมึงลดลงเหรอ ไม่เลยจ้า
แต่ลิ้นนั้นน่ะ
น่าจับมากัดให้ระบบไปทั่วปากเลยจริงๆ J
。SYDNEY♔
ความคิดเห็น