ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] Leukemia man.♥ 『chanbaek ft. kaihun』

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 。 2 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 59


     

     

     

     

     

     






     

      



           6.30

     

         แสงแดดยามเช้า สาดส่องเข้ามาเล็กน้อยผ่านทางช่องหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้างกว่าทุกวัน  ไออุ่นจากแดดค่อยๆส่งถึงผมที่นอนขดอยู่บนเตียงที่ละนิด กลิ่นของธรรมชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานานล่องลอยมาแตะจมูกจนผมต้องค่อยปรือเปลือกตาขึ้นที่ละนิด..

          

         วันนี้ผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังจากใครสักคนที่ส่งมาตอนนี้เลย ความสดใสแบบที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน ความสดชื่นจากธรรมชาติยามเช้า นานมากแล้ว.. นานจริงๆ ที่ไม่ได้รับบรรยากาศแบบนี้ ... 

     

         ผมค่อยๆพยุงตัวเองให้นั่งพิงกับหัวเตียงหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา ริมฝีปากของผมก็ยกยิ้มน้อยๆตลอดเลยให้ตายสิ.. วันนี้จะเป็นวันที่ดีของผมใช่ไหมครับ ?..  J

     

          วันนี้อาจจะเป็นวันที่รอคอย แล้วก็อาจจะมีความสุขมากในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้.. แต่ก็อาจจะมีความทุกข์มากถ้าหากผมไม่เข้มแข็ง   ผมจะต้องมีลมหายใจเพื่อพี่เขา อยากคุยด้วยนานๆก็ต้องไม่เหนื่อย อยากเล่นด้วยก็ต้องไม่ป่วย ... ผมว่าวันอื่นอาจจะไม่ได้นะ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นวันนี้แล้ว.. เหมือนพลังจากใครสักคนหรืออะไรบางอย่างส่งมาถึงผมเลยละครับ..  J

     

           ผมทอดสายตาไปยังวิลเเชร์ที่วางอยู่ตรงประตูห้อง วิลแชร์ที่ผมได้แตะมันนับครั้งได้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ผมไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน หมายถึง ไม่ค่อยได้ออกจากห้องเลยด้วยซ้ำ ตอนอยู่ในห้อง ก็ไม่มีพื้นที่ให้เดินมากนักเลยไม่ได้จำเป็นต้องใช้วิลแชร์อะไร แล้ววันนี้ .. ผมจะได้นั่งมันรึเปล่า ผมคิดว่าผม... ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยนี่!  J

     

           เท้าบางๆของผมค่อยๆสัมผัสลงกับพื้นกระเบื้องสีฟ้าอ่อนความรู้สึกเดิมแล่นเข้ามาเฉียบพลัน ความเย็นจัดของกระเบื้องเเล่นเข้าสู่ไขสันหลัง การกัดปากแรงๆของผม.. เป็นการกระทำที่ย้ำเตือนความรู้สึก และเป็นการสกัดความเย็นจากพื้นให้หายไปด้วย การก้าวเท้าช้าๆของผมวันนี้.. ไม่อย่างจะเชื่อเลย.. เหมือนมันจะดีกว่าตอนนี้ที่ฝึกกับหมออีกครับ

     

     

    .... วัดจากอะไรนะเหรอ

     

    ความรู้สึกของผมและกำลังใจไงครับ.. J

      

        ภายในห้องน้ำสีน้ำเงินเข้ม ผมกำลังยืนหอบเล็กน้อยอยู่ตรงหน้ากระจกมือจับอ้างล่างหน้าแล้วค่อยๆมองเข้าไปในกระจก .. ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอาบน้ำนะครับ.. อย่ามองผมอย่างนั้นสิ .. อ่า .. ความจริงแล้วก็ไม่บ่อยหรอกครับ แหะๆ.. เพราะว่าผมอยู่แต่ในห้องนี่นา.. คุณเอาอย่างไม่ได้นะครับ โนโน

        

         ภาพสะท้อนจากกระจกเป็นใบหน้าของผมที่ขาวซีดไม่มีสีของเลือดฝาด ริมฝีปากแห้งผากเป็นขุยๆ ตรงกลางปากล่างมีรอยแตกเป็นแขนง ใบหน้าอิ่มเพราะการนอนที่มากเกินไปสำหรับคนธรรมดา ผมชี้ขึ้นยุ่งเหยิง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับร่างกายตัวเองตอนนี้ ก่อนจะหยิบแปรงสีฟันสีแดงขึ้นมาบีบยาสีฟันป้ายแล้วใส่ลงไปในปาก จัดการแปรงฟันตามหลักอนามัยฟันบนลงล่างฟันล่างขึ้นบน ก่อนที่จะบ้วนยาสีฟันที่เป็นฟองออกมา

     

    เอ้ะ..

     

         สิ่งที่ผมจ้องอยู่ตอนนี้คือยาสีฟันตอนนี้ที่แปรสภาพเป็นฟองแต่มันไม่ได้มีแค่นั้น ยาสีฟันสีขาวปนกับน้ำเลือดสีแดงที่ออกตามไรฟันของผมทำให้บ้วนออกมาแล้วเกิดเป็นสีแดงอ่อน ผมไม่ได้พยายามมองมันอีกต่อไปแต่ใช้แก้วน้ำที่รองน้ำจากก๊อกไว้ก่อนหน้านี้มากลั้วในปากแล้วบ้วนออกมาอีกที คราวนี้ล้างทั้งเลือดที่ผสมกับยาสีฟันไปหมดเกลี้ยง

       

        เสื้อผ้าอาภรณ์ตอนนี้ถูกกองไว้ริมห้องน้ำ มือของผมค่อยๆหมุนวาวฝักบัวที่อยู่ระดับแขนของผมพอดี วินาทีที่เปิด สายน้ำเย็นค่อยๆไหลจากฝักบัวที่อยู่สูงเหนือหัวมากระทบกับศีรษะจนผมแทบสะดุ้งแล้วค่อยๆไหลลงมาสู่ลำตัวอย่างช้าๆ ผมค่อยๆเร่งน้ำให้เเรงขึ้นก่อนที่สายน้ำเย็นนั้นจะเปียกไปทั่วตัว   ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบแชมพูมาใส่มือ แล้วค่อยๆขยำไปทั่วๆหัวเบา

     

                

     

    ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี.. :)

     

     

             

            กลิ่นอับจากตู้เสื้อผ้าโชยมาแตะจมูก อย่างห้ามไม่ได้ ผมไม่ได้ใช้เวลาเลือกเสื้อผ้านานเท่าไหร่นัก กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จ  แล้วพาตัวเองมานั่นตรงตู้กระจกได้ก็หืดแทบขึ้นคอ ค่อยๆหยิบหวีขึ้นมา บรรจงหวีผมช้าๆ ... เส้นผมค่อยหลุดล่วงลงมาจากหนังศีรษะที่ผมหวี ผมชะงักกับภาพในกระจก ก่อนจะวางหวีลงแล้ว ใช้มือบางๆของผมสางหัวของตัวเองอย่างเบามือ ราวกับว่ากลัวจะบุบสลายไปซะตรงนั้น .. ส่งยิ้มให้ตัวเองเล็กน้อยอย่างชื่นชมกับผลงานวันนี้ของตัวเอง อย่างน้อยๆวันนี้ ... ผมก็ดูเเลตัวเองได้นะ J

    ____________________________________________________________________________________________________________


     

              ปาร์คชานยอลกำลังผิวปากอย่างอารมณ์ดี ควงกุญแจรถเก๋งคันโปรดไปมาอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานนอกโซลแต่ก็ไม่ได้ถือว่าไกลมากนัก ออกเดินทางแต่เช้าก็น่าจะไปถึงบ้านของแบคฮยอนก่อนจะเก้าโมงเช้าด้วยซ้ำ

                  

     เขารู้ดีถึงได้ตัดสินใจแบบนี้...

    ตัดสินใจพาแบคฮยอนออกมาเที่ยว โดยไม่สนใจทั้งโลกและโรค... ของแบคฮยอน  

     เขารู้ดี... ว่าเวลาของแบคฮยอนเหลือไม่มาก..

    เขารู้ดี.... ว่าแบคฮยอนจะไม่ยอมไปรักษา

    เขารู้เลยอยากพาแบคฮยอนมามีความสุข ได้มาเที่ยวเปิดหูเปิดต่างแบบคนอื่น

    เขาเริ่มสนใจในตัวแบคฮยอนตั้งแต่เสิร์ชชื่อเจอกันจากเอ็มเอสเอ็นเมื่อสองปีที่แล้ว ..

    สองปีกับการคุยกันผ่านแชท มีการส่งรูปมาบ้าง ... แต่ก็ยังไม่ได้เจอตัวจริงสักที ..

    ความสนใจเรื่องราวของคนเป็นลูคีเมียเมื่อสองปีที่แล้ว..กลายเป็นความรักในวันนี้

    เขาไม่รู้... ว่าแบคฮยอนจะได้รับความรู้สึกที่เขามีผ่านตัวอักษรไหม

    เขาไม่รู้... ว่ารอยยิ้มของแบคฮยอนจะสดใสแบบรูปที่เคยส่งมาไหม..

    เขาไม่รู้.. ว่าการจากไปของคนที่เคยอยู่เคียงข้างจะน่าใจหายแค่ไหน .. รู้เพียงแต่ว่าอยากใช่ชีวิตอยู่กับแบคฮยอนให้นาน.. นานและนานเท่าที่จะเป็นไปได้...

    อยากจะยื้อ...

    ยื้อไว้ให้นาน..

    เท่าที่จะนานได้..

     

     

                ร่างสูงค่อยๆก้าวขายาวๆไปบนรถเก๋งสีดำคันเก่ง ใช้มือใหญ่ควานหาแว่นในรถ  ก่อนจะใช้มือตบปุๆลงบนกระเป๋ากางเกงยีนส์ราวกับสำรวจว่าวันนี้กระเป๋าหนักพอที่จะเลี้ยงเด็กรึเปล่า  ตรวจเช็คความเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเท้าที่จะต้องเหยียบคันเร่งแล้วพุ่งทะยานไปที่โซล

     

     

     

                

                ตึกสีขาวสามชั้นภายในแบ่งออกเป็นชั้นละห้าห้อง ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย แต่ละห้องตกแต่งไว้เหมือนๆกันคือหน้าห้องมีกระดานไวท์บอร์ด มีโต๊ะแลกเชอร์หลากสีเรียงกันเป็นแถวๆประมาณสามสิบที่       เป็นแบบนี้ทุกห้อง เนื่องจากวันนี้ทางโรงเรียนใหญ่ในโซลประกาศให้นักเรียนเกรด 11 ทุกคนหยุดเรียนเนื่องจากคณะคุณครูต้องไปประชุมพร้อมกัน เหล่าที่เรียนพิเศษก็เลยนัดนักเรียน  จากเรียนพิเศษตอนเย็นหลังเลิกเรียนเปลี่ยนเป็นคาบเช้า 8.00 แทน

     

                ร่างโปร่งของเซฮุนกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าที่หลุดอยู่บนโซฟาห้องล่างสุดที่ใช้รับเด็กนักเรียน คล้ายๆห้องประชาสัมพันธ์  ของเด็กนักเรียน ปกกติแล้วจะมีสาวสวยนักศึกษาฝึกสอนมานั่งอยู่เก้าอี้พนักพิงข้างหน้านี่คอยรับเด็กนักเรียน ตอนนี้กลับว่างเปล่า.. ไม่มีใครเลย นอกจากโอเซฮุนที่กำลังง่วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบคันเก่งคนเดียวเพียงเพราะว่ามาก่อนเวลาเริ่มเรียนเป็นชั่วโมง โดยไม่สนใจว่ามีคนแอบมองอยู่ข้างนอกผ่านกระจกใส..

     

               คิมจงอินค่อยก้าวเท้าเบาๆเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเซฮุนที่กำลังผูกเชือกรองเท้า ผ้าใบสีเหลืองเจ็บๆปรากฎต่อสายตาของเซฮุนขณะก้มหน้าลง จึงทำให้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ พอได้เห็นว่าเป็นเพื่อนรักของตัวเองก็ปั้นหน้านิ่งแล้วผูกเชือกรองเท้าต่อโดยไม่สนใจทักจงอินที่กำลังจ้องอยู่สักนิด

     

           ไม่ทักเพื่อนรักหน่อยเหรอครับ คนดี

            คนดี พ่อมึงเซฮุนกำลังจะลุกเดินหนีไปที่อื่นแต่ก็ถูกมือหยาบคว้าไว้ง่ายๆ

             งอนเหรอ     เซฮุนหากแต่ไม่พูดผลักอกแกร่งให้ถอยหลังไป ก่อนที่ตัวเองจะยืดร่างขึ้นจากโซฟาเต็มตัว

              มึงก็งี้ตลอดอะ กูจะคุยเรื่องความรงความรักแม่งไม่เคยได้ ตอนมึงแอบรักน้องจูปาจุ๊บมึงยังเพ้อพร่ำให้กูฟังทุกวัน กูเคยบ่นไรปะ เวลามึงเศร้าเรื่องที่บ้านมึงก็มาปรับทุกข์กับกูปะ ตอนที่มึงต้องการกู กูว่างเพื่อมึงเสมออะ แล้วตอนกูต้องการมึงบ้าง มึงหายไปอยู่ที่ไหนวะ

              มันไม่ใช่อย่างงั้น..

               แล้วมันยังไงเซฮุนเถียงทันควันกับการที่ตัวเองแคร์เพื่อนเสมอแต่การตอบแทนกับมามันกลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการเลยสักนิด

               มึงแม่งเหี้ยอะ

           เหมือนคิมจงอินโดนน้ำเย็นจัดสาดใส่หน้าจากอีกคน อยากจะอธิบายใจจะขาดว่าที่ไม่อยากคุยด้วยไม่ใช่เพราะหายไปไหนหรือมีธุระ แต่ยังทำใจไม่ได้ต่างหาก .. เขารู้ดีว่าสิทธิ์และที่ยืนของเขาไม่มีสิทธิ์ข้ามขั้นไปกว่านั้นได้ ....

                 เลิกแล้วรอกูก่อน อย่าเพิ่งรีบชิ่งหลบหน้ากูไปละเสียงตะโกนสุดท้ายจากคิมจงอินที่เซฮุนได้ยินหลังจากรีบเดินมาจากตรงนั้น เสียงทุ้มๆเหมือนจะผ่านหูเขาไปง่ายๆ... แต่มันกลับไม่ใช่อย่างงั้น มันเข้ามาอยู่ในทุกโสตประสาทสมอง ความจริงแล้วก็ไม่ได้งอนอะไรมากมายขนาดนั้น แต่ความน้อยใจมันก็มีบ้าง ในเมื่อเขาไม่แคร์เราแล้วเราจะไปแคร์เขาทำไม เราทำเพื่อเขาไปเพื่ออะไรถ้าเขาไม่ได้คิดจะขอบคุณหรือตอบแทนเราสักนิด แต่ทำยังไงได้ละ..

    คนที่ยังคบกับเขาอยู่อย่างจริงใจ ก็มีเพียงแค่..

    คิมจงอิน คนเดียว

             เซฮุนแค่นยิ้มกับความคิดของตัวเอง ทำไมไม่โกรธได้ให้มันนานๆสักที.. ก่อนจะเดินทอดน่องไปเข้าชั้นเรียน พร้อมๆกับจงอิน ... โดยที่ไม่ได้มีคำพูดและสบตากันและกันเลย ...

                





         รถเก๋งสีดำจอดที่บ้านทาวเฮาส์สีฟ้าสองชั้นภายนอกดูค่อนข้างเก่า ไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควร ประตูเหล็กขึ้นสนิมเล็กน้อย ทั้งประตูเหล็กและประตูไม้ข้างในถูกล็อคจากภายนอกดูเหมือนภายในบ้านไม่มีใครอยู่สักคน ซึ่งเรื่องนั้นชานยอลรู้ดี  แบคฮยอนเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง     แบคฮยอนไม่ค่อยเดินออกมาจากห้อง มีแม่บ้านมาให้อาหารตอนเช้าพร้อมอาหารเย็นและเที่ยงในตอนแปดโมง จะเอากับข้าววางไว้บนโต๊ะแล้วออกจากบ้านไปเลยเป็นแบบนี้ทุกวัน ..

     

         ขายาวๆของชานยอลกำลังปีนรั้วเหล็กสีน้ำเงินที่สนิมเขรอะเข้าไปในตัวบ้าน ยังดีที่ในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาไม่งั้นเรื่องคงจะวุ่นวายกว่านี้แน่ๆ

     

         มือบางๆกำลูกบิดประตูห้องแน่น ปากซีดๆเม้มเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมกับภายในหน้าอกข้างซ้ายที่เต้นระส่ำ ความตื่นเต้นพุ่งขั้นขีดสุด หลังจากแอบมองใครบ้างคนผ่านทางหน้าต่าง ขายาวๆจากคนที่เฝ้ารอกำลังก้าวข้ามประตูรั้วขึ้นมา ถึงเวลาแล้ว...

    ถึงเวลา..

     

    ที่เจ้าบ้านจะต้องรับแขกคนสำคัญ ..


    J
     

    แอ๊ดดดด..

         เสียงประตูไม้ของห้องนอนของผมเปิดออกเบาๆพร้อม สูดลมหายใจเข้าเเรงๆเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆเดินช้าๆ ลงไปชั้นล่าง

     

         อยู่ดีๆความมั่นใจของผมก็ค่อยๆถดลดหายไปเนื่องจากบันไดไม้ที่แสนชันกำลังท้าท้ายให้ผมผ่านมันไป เสียงหัวใจของผมที่ดังจนตัวเองได้ยิน ถามว่ากลัวไหม ..

    กลัวครับ ..

    แต่เสียงกุ๊กกั๊กๆจากภายนอก น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าอาการปอดแหกของผมตอนนี้

    ตาทั้งสองข้างก้มลงมองปลายเท้าแล้วค่อยๆก้าว

    ทีละก้าว..

    ทีละก้าว

    จนมาถึงจุดพักบันได ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสูดอากาศหายใจแต่มีหนึ่งคนที่ทำให้ผมแทบจะเป็นลมตายแทบจะตรงนั้น

     

    ผู้ชายสูงๆกำลังยืนกอดอกมองผมด้วยใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ

    ผู้ชายที่มีแววตาที่สดใสกำลังมองมาทางนี้ มองมาหาผม..

    ผู้ชายตรงหน้าผม.. ผู้ชายคนที่ไม่เคยได้เจอกับตา ผู้ชายคนที่ผมฝันว่าสักวันจะได้เจอตัวจริง

    เขาคนนั้นอยู่ตรงนี้ที่ตรงหน้าของผม..

    อย่างที่เขาว่า... เรามักจะลืมตัวเวลาดีใจมากๆอยู่เสมอ ........

                           พี่ชาน!!!!!!เสียงตะโกนที่แหบพร่าของผมพร้อมกับขาที่กำลังก้าวบันไดข้ามขั้นโดยที่รู้ตัว...

                            อู๊ยผมนั่งล้มพับลงกับพื้นหลังจากที่ก้าวข้ามมาสามขั้นเลยทีเดียว แต่คนที่ตกใจกว่าผมตอนนี้คือคนที่อยู่ตรงหน้าผมมากกว่าครับ

                           แบค แบคฮยอน เจ็บตรงไหนรึเปล่า ลุกขึ้นได้ไหม ไหวไหม พาไปส่งโรงพยาบาลไหม คนตัวสูงกว่าข้างหน้ารีบมาจับขาพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจข้อศอกของผมอย่างร้อนรน

                           ไม่ครับ ไม่เป็นไรมือใหญ่ๆของคนตรงหน้ากำลังฉุดมือผมให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะมาโอบเอวผมเพื่อพยุงไปนั่งที่โซฟาสีขาวนุ่มๆ

             ลงมาทำไม เดี๋ยวพี่ขึ้นไปหาก็ได้คนตัวสูงที่นั่งโซฟาผมฝั่งตรงข้ามส่งสายตามาตำหนิแต่แววตานั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมก้มหน้าชิดอก มือตอนนี้เริ่มอยู่ไม่สุข จับกันไปจับกันมา ฮื่ออ คนเขินนี่ครับ

            ก็แบคจะลงมารับพี่นี่นาผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าส่งสายตาหมาที่น่าสงสารสุดฤทธิ์ เป็นอันได้ผล พี่ชานยอลถอนหายใจเบาๆมองมาทางผมด้วยสายตาที่เริ่มแปลกไป อยู่ดีๆสายตาก็เต็มไปด้วยความหมาย หลายความรู้สึกที่ผ่านมาทางดวงตาส่งมาถึงผม

    "รู้ใช่ไหม .. ว่าพี่มาหาเราเพราะอะไร

           “...”

           พี่กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่กับพี่แล้ว..

           “...”

          ถ้าเรามีเวลาร่วมกันสักนิด.. แม้มันจะสั้นพี่จะเก็บเวลานั้นไว้..    

            “...”

         “จะไม่เสียดายและเรียกร้อง..”

           “...”

           ถ้าเราล้มแล้วช็อคขึ้นมาทั้งๆที่เรายังไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเลยสักครั้ง.. พี่จะทำใจได้ยังไง..

    ผมใบ้กินเลย .. อะไรกัน

    สายตาที่มองมา ..

    น้ำเสียง..

    ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเผลอทำหน้าอย่างไงอยู่ตอนนี้ แต่ที่แน่ๆคงไม่พ้นอ้าปากหวอแก้มทั้งสองข้างร้อนขึ้นมาในทันที สติหลุดล่องลอยหายไปอยู่หน้าปากซอยแล้วมั้งครับ ถ้าผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง .. แล้วก็ไม่อยากจะเข้าข้าง .. ไม่เอาไม่คิด L

    “อ่า ครับ” ผมเผลอส่งเสียงตอบรับโง่ๆออกไป

    “ไปกันเถอะ ไป ไปแอดเวนเจอร์กัน” คนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามผมตอนนี้ลุกขึ้นมาดึงตัวผมไป ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเบาเป็นปุยนุ่นเลยละครับ

    “เอ่อ พี่ชานทำไมเข้าบ้านได้ละครับ”

    “ก็เราบอกพี่เองว่ากุญแจอยู่ในรองเท้าผ้าใบสีแดง” จบครับ ผมลืมเอง  ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างเราสองคนอีกแล้วมีเพียงความอบอุ่นผ่านมือใหญ่ๆของอีกคนส่งตรงลงมา ผมแทบไม่ต้องออกแรงเดินให้เหนื่อยแรงดึงจากคนข้างหน้าที่ไม่แรงและไม่เบาจนเกินไป สายตาของผมไม่ได้มองทางเลยด้วยซ้ำ มัวแต่มองมือที่จับกันตอนนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อจากนี้ไปพี่เขาจะพาไปที่ไหน กลับเมื่อไหร่ แค่ไปกับพี่เขาผมก็ไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้วครับ

      

     

     

     


    100%

     

     

     

     

    TBC.

    100แล้วนะคะ
      

       

    。SYDNEY♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×