ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FICEXO] my sadness Room - KAIHUN,KRISYEOL,CHANBAEK,HUNHAN,ETC

    ลำดับตอนที่ #11 : [OS] THE HOSPITAL - KRISYEOL {Merry Little Christmas* 1/1}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 593
      8
      23 ธ.ค. 59

















    Kris x Chanyeol

     

    -

     

    THE HOSPITAL

     

     

    -

     

     

     

    อีกไม่กี่วันก็จะครบสามปีที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจของเหล่าชาวเกาหลี หลายๆครอบครัวเริ่มนำธงสีดำมาปักที่หน้าบ้านเพื่อแสดงการไว้อาลัยกันแล้วนะคะ...

     

     

    นัยน์ตาสีอ่อนกระพริบขึ้นลงช้าๆ ทอดมองภาพบนจอแก้วซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปมา ภาพของธงสีดำที่ถูกนำมาปักหน้าบ้านถูกถ่ายทอดผ่านจอแก้วบ้านหลังแล้วหลังเล่า นักประกาศข่าวสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าตบท้ายการประกาศข่าวของเธอ มือเรียวเอื้อมกดปิดโทรทัศน์พร้อมๆกับภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้วที่กำลังฉายขึ้น

     

     

    ชานยอลเสียใจมากพอแล้วกับเรื่องนี้ ถึงจะผ่านไปกี่ปีภาพของครอบครัวที่ถูกทหารประเทศอื่นจ่อปืนใส่หัวยังติดจรึงในความทรงจำเขาเป็นอย่างดี เมื่อสามปีก่อนที่เกิดจราจนระหว่างประเทศ เอาความจริงก็เป็นการแก่งแย่งดินแดนของประเทศมหาอำนาจนั่นแหละ ครอบครัวหลายๆครอบครัวถูกทหารต่างประเทศทำร้ายและฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็น เช่นเดียวกับครอบครัวเขา ปาร์คชานยอลคือคนเดียวที่รอดในเหตุการณ์ครั้งนั่น

     

     

    รอดมาได้ยังไงงั้นหรอ.. ยิ่งคิดย้อนกลับไปยิ่งปวดหนึบไปทั้งหัวใจ ตอนนั่นที่เสียงปืนเริ่มดังระงม พ่อของเขาไล่ให้ทุกคนในบ้านหาที่ซ่อน เราวิ่งไปซ่อนห้องใต้ดิน แต่ก่อนที่ทุกคนจะลงมาพวกทหารดันบุกเข้ามาซะก่อน ทำให้แม่กับพ่อที่วิ่งรั้งท้ายต้องออกไปเผชิญหน้ากับพวกมัน เขาและพี่ตกใจจนแทบเสียสติตอนที่ได้ยินเสียงปืนสองนัดดังจากด้านบน จนแล้วจนรอดเป็นพี่ผมที่วิ่งออกไป ระหว่างที่ผมจะก้าวออกจากหลังประตู ภาพของทุกคนที่ถูกจ่อหัวด้วยปืนก็ลอดผ่านช่องไม้เข้ามาให้เห็น

     

     

    เสียงปืนสามนัดดังตามหลังกันขึ้น พร้อมกับร่างของพ่อแม่และพี่ล้มลงไปกับพื้น มันยังเป็นภาพเดียวที่ตามหลอกหลอนเขาทั้งตอนหลับและตอนตื่น บ้านที่เคยอบอุ่นถูกเผาวอดจนไม่เหลือซาก เขาหนีออกมาทันและถูกช่วยไว้จากหมอจิตแพทย์คนหนึ่ง

     

     

    “เอาอีกแล้วนะชานยอล..” ชานยอลสะดุ้งตื่นจากความคิดที่ตัวเองจ่มหายเข้าไปเมื่อเสียงทุ่มของผู้มาใหม่เอ่ยทักท้วงขึ้น ร่างสูงภายใต้เสื้อกาวน์สีสว่างตาเดินเข้ามานั่งบนโซฟาด้วยคน ในห้องโถงไม่ได้มีแค่ปาร์ชานยอลที่กำลังนั่งอยู่ มีอีกหลายชีวิตที่นั่งตามมุมต่างๆของห้อง

     

     

    “อีกสามวัน..” คริสเอื้อมมือลูบเส้นผมสีอ่อนของอีกคนช้าๆ เหมือนจะปลอบประโลมให้อีกคนอุ่นใจขึ้น แต่เปล่าเลยบาดแผลที่มันกลายเป็นแผลเป็นฝังรากลึกในจิตใจเขาจนเกินจะเยียวยาได้แล้ว “คุณก็เห็นว่าผมปกติดี เมื่อไหร่จะปล่อยผมออกจากที่บ้าๆนี้สักที” ตากลมโตถลึงถาม ใบหน้าของเด็กหนุ่มวันสิบแปดปีมีท่าทีไม่พอใจ ยิ่งเห็นว่าคริสส่ายหน้าให้เป็นคำตอบยิ่งทำให้ชานยอลนั่งฟึดฟัดไม่พอใจ

     

     

    “กลับห้องดีกว่า ดึกแล้วนะ..”ชานยอลดันตัวลุกขึ้นก่อนที่คริสจะลุก คนตัวโปร่งเดินไม่พอใจหายไปจากโถงหลังจากจบประโยค นั่นทำให้คริสต้องทิ้งตัวลงนั่งลงกับโซฟาอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมกดเปิดโทรทัศน์เครื่องเดียวในห้อง มองภาพเหตุการณ์ที่กำลังถูกฉายขึ้นอีกครั้ง

     

     

    น่าเศร้าที่เรื่องราวมันเกิดขึ้นแบบนั่น..

     

     

    คริสเลื่อนสายตาลงมามองผู้ป่วยอีกสองสามคนที่กำลังนั่งจับเข่าคุยกันคนละเรื่อง เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าคนนั่นเธอหันมายิ้มให้กับเขาและหัวเราะออกมาเบาๆ ฟังไม่ผิดหรอก...ทุกคนที่นั่งอยู่นั่นคือผู้ป่วยและที่นี้คือโรงพยาบาลจิตเวชที่อยู่ห่างไกลจากใจกลางเมืองพอสมควร ส่วนมากที่นี้จะรับแค่เยาวชนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจเท่านั่น พวกที่มีอายุเกินกว่ามาตรฐานจะถูกแยกออกไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ที่นี้ไม่ได้หรูเหมือนโรงพยาบาลในเมือง  มันเป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลที่ถูกจัดตั้งขึ้นมานานจนตัวอาคารเริ่มผุพังตามกาลเวลา

     

     

     

    ที่มาประจำอยู่ที่นี้ก็เพราะเด็กคนนั่นที่พึ่งเดินงอนออกไปจากห้อง ปาร์คชานยอลคนเดียวที่ทำให้เขาพาตัวเองมาที่นี้...

     

     

     

     

    ในที่สุดก็หมดวันอีกวัน คริสเอ่ยขอบคุณคุณป้าพยาบาลที่เธออุส่าห์ยกกาแฟเข้ามาให้ ไฟทั้งตัวตึกปิดจนมืดสนิท เข้มนาฬิกาที่เตือนว่ากำลังจะตีหนึ่งทำให้เขาต้องรีบเคลียงานตัวเองให้เสร็จ เพราะคงอีกไม่นานที่แขกไม่ได้รับเชิญจะโผล่เข้ามาที่ห้อง

     

     

    “เข้าไปนะครับ!

     

     

    ไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มร่างโปร่งในชุดผู้ป่วยเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เกินเด็กอายุสิบแปด ร่างโปร่งก้าวเข้ามาทิ้งสะโพกลงกับโซฟาห่างจากโต๊ะทำงานเขาไม่ถึงสองเมตร เวลาของเด็กเจ้าเล่ห์อย่างปาร์คานยอลมาถึงแล้วสินะ

     

     

    “หมอยังทำงานไม่เสร็จอีกหรอครับ?” ตากลมโตจ้องเขาไม่วางตา ปากสีเชอร์รี่ถูกกัดอย่างขัดใจเมื่อเห็นเขาไม่ยอมตอบกลับไป รู้ไหมว่าทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ที่นี้ ยอมติดแหงกในโรงพยาบาลห่างไกลความเจริญแบบนี้อยู่ถึงสามปี  เพราะเงินไงล่ะ...ปาร์คชานยอลคือผู้ป่วย

     

     

     

    และนักโทษ..

     

     

     

    “ขี้เกียจรอแล้ว...” เสียงบ่นดังขึ้นหลังจากผ่านไปได้ไม่กี่นาทีที่ตัวเองพึ่งถามเขา ร่างโปร่งยันตัวเดินเข้ามากวาดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะให้ไปกองรวมกันที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ทิ้งสะโพกกับโต๊ะทำงานหันหน้าเผชิญกับร่างสูงบนเก้าอี้ตรงหน้า

     

     

    “เลิกกวนได้แล้วชานยอล...” เป็นอย่างนี้ไปซะทุกคืน ชานยอลมักจะชอบเดินมาหาเขาที่ห้องตอนดึกๆและกวนเขาจนไม่เป็นอันทำงาน อย่างไอ้การยิ้มทะเล้นให้เขาตอนนี้บ้าง เล่าเรื่องต่างๆที่ตัวเองแต่งขึ้นมาบ้าง ไม่ก็ทำเรื่องอื่นที่เขาไม่คาดคิด

     

     

    “คิดถึง...เข้าเมืองตั้งสามวันพึ่งเห็นหน้าคุณ” แต่วันนี้กลับมาแปลก ดวงตากลมโตถูกเคลือบไปด้วยน้ำตาหลังเอ่ยจบ กลีบปากสีระเรื่อเบะคล่ำลงเหมือนเด็กที่กำลัจะร้องไห้ ก่อนที่ใบหน้าของคนตรงหน้าจะเบือนไปมองนอกหน้าต่างแทน

     

    “กลับห้องไปนอนได้แล้วชานยอล” คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าวันนี้คงไล่อีกคนออกจากห้องยากกว่าปกติ เขารู้ว่าชานยอลเจ้าเล่ห์แค่ไหนและการที่หมอนี้มาแกล้งเขาทุกคืนแบบนี้มันก็ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่นอน ถึงจะพยายามมากถึงสามปีที่จะเข้าใจการกระทำของอีกคนแต่ก็ไม่เคยเข้าใจเลย ยิ่งเห็นท่าทางของชานยอลเปลี่ยนไปในทางเดียวกันในช่วงสองปีหลังนี้ยิ่งไม่เข้าใจว่าหมอนี้ต้องการอะไรกันแน่

     

    “ไม่เอา ผมกลัว...” เด็กหนุ่มเอ่ยทั้งๆที่ยังไม่ยอมหันมามองหน้าเขา เขาเลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากอีกคนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับไม่ลืมหยิบแก้วกาแฟติดมือไปด้วย “ไปไหน!?

     

     

    “กลับไปนอนซะ ฉันจะพักผ่อน” เด็กหนุ่มเดินตามออกมาจากห้อง เดินตามหลังมาตามทางเดินที่มืด เขามองเงาสะท้อนจากไฟด้านนอกที่ทาบทับเข้ามาเห็นเป็นเงาของคนสองคนเดินตามหลังกันมา เขาหยุดเดินเมื่อเริ่มรู้สึกรำคาญและหงุดหงิดเต็มทนกับความเงียบที่อีกคนไม่ยอมพูดอะไรออกมา ไม่ยอมทำตามที่เขาสั่ง

     

     

    “ต้องให้หมอบอกอีกรอบไหมครับ ปาร์คชานยอลว่าให้กลับห้องไปนอน!” ถึงจะไม่ได้เห็นชัดว่าอีกคนกำลังทำหน้าตายังไงก็พอจะเดาได้ ชานยอลไม่ยอมฟังเขาสักนิดยังดึงดันเดินเข้ามาหาเขา และนั่นทำให้เขาจ้องเขม็งอีกคนอย่างไม่พอใจ

     

     

    “หยุด”

     

    “....”

     

    ใบหน้านวลเบื่อนไปทางหน้าต่างอีกครั้ง หยุดตามที่เขาสั่งและหมุนตัวเดินกลับไปห้องของตัวเองอย่างเงียบๆ แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจเพราะถ้าเขาตาไม่ฝาดเมื่อกี้เขาเห็นเด็กคนนั่นร้องไห้งั้นหรอ?

     

     

    คำถามเดิมๆยังดังซ้ำในความคิดเขาถึงแม้จะพาตัวเองเข้าห้องมานอนพักแล้วก็ตาม เด็กคนนั่นร้องไห้งั้นหรอ...มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เด็กคนนั่นร้องไห้ ครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กคนนั่นร้องไห้ก็ตอนที่พึ่งย้ายเข้ามาเพราะยังไม่ชินกับที่อยู่ใหม่ และก็ตอนเจาะเลือดของทุกๆปีที่เป็นการเจาะเลือดตัวสุขภาพประจำปี

     

     

    ปาร์คชานยอลถือว่าเป็นเด็กที่เข้มแข็ง และเจ้าเล่ห์ในความคิดของเขา เด็กนั่นถูกนำมารักษาตัวเองที่นี้เพราะมีปัญหาทางจิต มีอาการของคนหลายบุคลิก มีปัญหาทางครอบครัวเคยมีประวัติรับยาจากโรงพยาบาลจิตเวชโซลตอนอายุสิบสองปี และหลังจากนั่นก็ไม่มีประวัติรับยาอีกเลย ถึงอย่างนั่นก็ไม่ได้หมายถึงไม่มีกำหนดให้มารับยาจากโรงพยาบาล

     

     

    และชานยอลก็ชอบเข้าใจว่าตัวเองถูกทำร้ายจิตใจมาโดยตลอด เขาเสียพ่อแม่และพี่ไปในเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน เหตุการณ์ที่คนทังประเทศต่างเสร้าโศกเมื่อต้องเอ่ยถึง และบ้านเขาถูกไฟไหม้.

     

     

    นั่นคือประวัติที่ปาร์ชานยอลสร้างขึ้นเอง...

     

     

    เด็กคนนั่นไม่ได้สูญเสียใครในครอบครัวในเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน เป็นชานยอลเองที่เป็นคนทำร้ายทุกคนในค่ายอพยพเพื่อช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาล หมอนั่นถือมีดปอกผลไม้ไล่แทงทุกคนที่อยู่ใกล้ และเข้าไปลักลอบเอาปืนจากเต็นทหารมากราดยิ่งทุกคนจนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก พ่อแม่ของปาร์คชานยอลที่เป็นถึงนักธุรกิจดังต้องควักตังค์ไปถึงหลายล้านวอนเพื่อปิดข่าวและชดเชยการสูญเสียต่างๆให้ปิดลงอย่างเร็วที่สุด และเงินจำนวนหนึ่งก็ถูกหยิบยื่นมาให้เขาที่เป็นหมอที่พึ่งย้ายมาจากอเมริกาให้รับผิดชอบชีวิตลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวปาร์ค ให้หายจากอาการบ้า.

     

     

    ถึงได้บอกว่าไว้ใจ ปาร์คชานยอลไม่ได้สักอย่างหรอก เพราะหมอนั่นมันร้าย.

     

     

    อาการเดียวดีเดียวร้ายของอีกคนที่ว่ายากจะรักษานั่นดูจะดีขึ้นมากถ้าเทียบกับเมื่อสามปีก่อน และดูเหมือนว่าอีกสามสี่วันนี้ทางครอบครัวปาร์คจะเข้ามานำตัวลูกชายหนีไปต่างประเทศเพราะนักข่าวเริ่มขุดคุ่ยข่าวเมื่อสามปีก่อนอีกรอบ และคราวนี้เหมือนทุกอย่างจะสามารถสาวมาถึงตัวปาร์ชานยอลได้อย่างง่ายๆ

     

     

     

    ความกังวลใจพลั่กดันให้คริสต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดและเดินไปตรวจดูที่ห้องคนไข้ของตัวเอง มองจากประตูตรงนี้ ปาร์คชานยอลกำลังนอนหลับ และอีกไม่นานก็คงจะตื่นขึ้นมาเหมือนทุกๆเช้าที่มักจะตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เขาคว้าลูกบิดแล้วเปิดเดินเข้าไปช้าๆ เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มผืนไม่หนามากขึ้นชิดอกให้อีกคน เขายืนคิดอะไรนานซธจนอีกคนขยับตัวค่อยๆปรือเปิดตาขึ้น

     

     

    “ครับ?” ชานยอลถามเสียงเบาเมื่อเห็นคุณหมอประจำตัวเอาแต่ยืนเงียบ “ยังไม่เช้าเลยนี่ ต้องไปตรวจร่างกายหรอ หรือ-

     

    “อีกสามวันนายจะได้กลับบ้าน” ปากอื่มค่อยๆคลี่ยิ้มขึ้นพร้อมกับตาบวมๆที่เบิกขึ้นอย่างตื่นเต้น ชานยอลเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงก่อนจะร้องดีใจเสียงดัง เขายกยิ้มขึ้นตามอีกคนก่อนจะออกมาปล่อยให้ร่างโปร่งกระโดดดีใจในห้องคงจะดีกว่า

     

     

     

     

    “คุณหมอคริสๆ ชานยอลๆ!” แต่บ่ายนั่นหลังจากที่ทานข่าวเที่ยงได้ไม่นานพยาบาลคนสนิทก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาที่ห้องเขา รีบนำเขามาที่ห้องผู้ป่วยฉูกเฉิน จึงเห็นว่าคนไข้ของเขาตอนนี้กำลังดินพร่านบนเตียงที่ตรึงแขนขาทั้งสองไว้ แขนด้ายซ้ายมีรอยกรีดเป็นจำนวนมากเลือดไหลอาบไปทั้งท่อนแขน และตามร่างกายก็มีรอยเขียวช้ำเต็มไปหมด

     

    “เกิดอะไรขึ้นพยาบาลจาง!” คริสเอ่ยเสียงเข้มจ้องชานยอลเขม็ง รับเข็มยาสลบมาจากพยาบาลและฉีดเข้าเส้นเลือดอีกคน ไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็พอจะรู้ว่าชานยอลคงเกิดคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง มีไม่ปล่อยนักหรอกที่คนไข้ของเขาจะคลั่ง แต่มันส่งผลไม่ดีเลยที่ชานยอลดันมาคลั่งเอาตอนนี้ ตอนที่แม่ของเขาจะเข้ามารับกลับไป

     

    “เธอทุบหน้าต่างกระโดดลงมาจากชั้นสองค่ะ เอ่อ...” ใบหน้าพยาบาลดูเป็นกังวลเมื่อต้องพูดอะไรต่อ คริสหันความสนใจจากการเย็บแผลตรงท่อนแขนมาหานางพยาบาลอย่างไม่พอใจที่เธอทำอ้ำอึ่งไม่ยอมพูดอะไรสักที

     

    “และเธอก็...ทำร้ายคนไข้อีกสองคนด้วยค่ะ อาการสาหัสทั้งคู่...” อดไม่ได้ที่จะพ้นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาหันกลับมาทำแผลต่อ ยิ่งเห็นว่าอีกคนสลบไปแล้วยิ่งหงุดหงิด ชานยอลเคยดีขึ้นจริงๆหรือเปล่า?

     

     

     

     

     

    “ได้โทรแจ้งทางคุณปาร์คแล้วค่ะว่าทางโรงพยาบาลเกิดเหตุขัดคล่องในอาทิตย์นี้ ไม่สามารถย้ายหรือรับคนไข้กลับได้..”

     

     

    “ขอบใจมากพยาบาลจาง” คริสถอดแว่นออกหลังจากต้องเคลียเรื่องของวันนี้ทั้งวัน และก็พึ่งเลื่อนวันรับตัวชานยอล ถ้าเกิดแม่ของหมอนั่นเข้ามาเห็นลูกชายในสภาพแบบนั่นมีหวังคงโรงพยาบาลแตกกันพอดี กาแฟที่กำลังเย็นถูกหยิบขึ้นจิบเพื่อดับความกังวลในใจ เป็นเวลาเดียวกับนาฬิกาที่บอกเวลาตีหนึ่งของอีกวัน ถ้าเป็นวันปกติป่านนี้ก็คงเห็นปาร์คชานยอลเดินเข้ามากวนเขาแล้ว พักสักวันสองวันนะชานยอล.

     

     

    “ดีขึ้นบ้างไหม?” เข้าวันที่สองแล้วที่ชานยอลต้องนอนในห้องเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ออกไปเดินเหินข้างนอก แต่ถึงอย่างนั่นคนดื้อด้านอย่างปาร์คชานยอลก็ยังไม่ยอมฟังคำสั่งหมออยู่ดี คริสยังเห็นอยู่เลยว่าเมื่อคืนเด็กนี้เดินไปเล่นแถวๆโถง

     

    “งอน.” เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแทนการมองหน้าคุรหมอที่อุส่าเดินเข้ามาเยี่ยมถึงที่ห้อง “ออกไปเลย!” มือข้างที่ไม่ได้เจ็บยกขึ้นมาพลักอกร่างสูงจนร่างทั้งร่างของหมอหนุ่มเซไปด้านหลังตามแรงส่ง คริสมองอีกคนด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วเอื้อมมือไปดูแผนบนแขนข้างซ้ายมือ แต่อีกคนกลับสะบัดมือแกร่งให้ออกห่างแทน

     

    “เป็นอะไรครับ?” คริสรู้ว่าเขาควรจะเป็นฝ่ายที่ใจเย็นและค่อยๆคุยกับคนไข้ แต่เขาไม่อยากจะพูดเลยว่าสำหรับเคสนี้ ปาร์คชานยอลคือข้อยกเว้น เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามใจเย็นเด็กคนนี้มักจะเป็นคนทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าลงทุกครั้ง หวังว่าครั้งนี้จะผ่านไปด้วยดีเหมือนหลายๆรอบที่เคยผ่านมา

     

    ดวงตากลมโตเหลือบมามองหน้าคมของคุณหมอประจำตัว และเริ่มค่อยๆหันหน้ามาเผชิญหน้ากับอีกคน นัยน์ตาสีอ่อนที่เคยแข็งงกระด้างค่อยๆอ่อนลงและตกลู่ลงท่าทางเหมือนแมวที่ถูกเจ้าของทิ้ง แต่เพียงไม่นานเท่านั่นที่มันเป็นแบบนั่น ชานยอลก็เหลือบไปมองด้านอื่นเหมือนอย่างเคย

     

    “ออกไป!” มือบางเอื้อมหยิบหมอนขึ้นมาขว้างใส่อีกคนไป ก่อนจะเริ่มควานหาสิ่งของมาโยนใส่อีกคน ลิ้นชักโต๊ะถูกเปิดออกมา ชานยอลรื้อทุกอย่างออกมาจนห้องเละไม่เป็นท่า คริสส่งสัญญานให้นางพยาบาลกับบุรุษพยาบาลยืนอยู่นอกห้องแทนการเข้ามาห้ามในห้อง

     

     

    “ชานยอลใจเย็นๆ มีอะไรค่อยๆพูดกันดีๆสิครับ” ชานยอลส่ายหน้าไปมา แก้มทั้งสองเริ่มแดงล่ามขึ้นถึงจมูก เมื่อเห็นว่าหมดของที่จะขว้างจึงเปลี่ยนมาตะกรุยแผลตัวเองจนแผลเริ่มเปิดอีกครั้ง กำปั้นถูกทุบลงบนแผลตามด้วยเนื้อตัวของตัวเองแรงๆ คริสพยายามเข้าไปห้ามและยึดมืออีกคนไว้เมื่อเห็นท่าไม่ดี

     

     

    “พอได้แล้วชานยอล!

     

    “ไม่! ออกไป!

     

    “บอกให้พอไง!” ชานยอลสะดุ้งเมื่อคริสตะคอกกลับมาเสียงดัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเลื่อนไปสบกับตาคมและมันเริ่มเอ่อด้วยน้ำตายิ่งมองหน้าร่างสูงนานเท่าไหร่น้ำตาบ้าๆก็ยิ่งไหล ชานยอลไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แค่ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ไม่ชอบที่เหมือนมีอะไรมาทับที่หน้าอกจนรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่ชอบที่เหมือนมีคนมาปิดปากไม่ให้พูดตามใจตัวเอง

     

     

    “ฮะ ฮึก เจ็บ ฮือ...” ร่างโปร่งค่อยๆทรุดลงกับพื้น ร้องไห้ออกมาจนตัวโยนในอ้อมกอดของคริส ชานยอลอิงหน้ากับอกอีกคนช้าๆ ความอึดอัดในใจมันเยอะจนเด็กน้อยอย่างเขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อยากจะกรีดตัวเองแล้วควักเอาลมที่อยู่ในอกออกมา อยากจะทำให้ความรู้สึกบ้าๆที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรหายไป

     

     

    ชานยอลยังเด็กมากถึงจะอายุสิบแปดแต่เมื่อประกอบกับอาการที่ตัวเองต้องพบเจอทางจิตใจ เขาไม่รู้หรอกว่าไอ้ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไร และควรจัดการยังไงกับความรู้สึกนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตัวเองเอาแต่เดินตามหลังหมอประจำตัวคืนวันนั่นเพราะแค่อยากกอดอีกคนให้หายคิดถึง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการที่ถูกอีกคนเมินใส่มันเป็นต้นเหตุให้เขารู้สึกอยากทำร้ายคนอื่น ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่มันก่อขึ้นมาตั้งแต่สองปีก่อนมันมีมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนต่างโหยหาและเจ็บช้ำเพราะมันมานัดต่อนัด

     

     

    “มีหลายๆอย่างที่บางทีคุณหมอคริสก็มองข้ามไป ถึงจะทำงานที่อเมริกามาหลายปีแต่การปักใจกับความผิดพลาดของคนไข้มากเกินไปจนทำให้ตั้งแง่กับอีกคนไปมันก็ไม่ต่างจากหมอที่ขาดประสบการณ์หรือหมอมือใหม่เลยไม่ใช่หรอค่ะ บุคคลหลายบุคลิกที่คุณเคยเจอเป็นเพียงหญิงชราที่เสียสามีตอนไปรบ และเธอก็มีท่าทางแค่ไม่กี่อย่างแต่ท่าทางทั้งหลายมันมีจุดหมายของการสื่อสาร เธอมีสามีที่เธอรักเพียงคนเดียว เธอให้ความสำคัญกับสามีเธอเท่านั่น แตกต่างกันกับปาร์คชานยอล เด็กที่ต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางยุคสมัยและครอบครัวที่ไม่ใส่ใจมากนัก เขาถูกย้ายเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่อายุสามขวบ ตอนอายุแปดปีมีเรื่องต้องให้ย้ายโรงเรียนเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาพยายามทำร้ายเขาและหนีไปฆ่าตัวตาย ชานยอลโทษตัวเองมาตลอด ตอนอายุสิบปีแม่นมของเขาถูกฆ่าระหว่างที่นั่งรถไปรับเขากลับจากโรงเรียนประจำช่วงปิดเทอม เขาโทษตัวเองที่เป็นคนรอดเพียงคนเดียวในรถ พ่อแม่ของเขาไม่เคยสนใจเขาและพี่สาวที่เขารักก็ถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เขาจำความได้ ชานยอลไม่เหมือนเด็กคนอื่น เขาเรียนเก่งและมักถูกอาจารย์ผู้ชายล่วงระเมิดทางเพศอยู่บ่อยๆตอนอายุประมาณสิบสองปี จนเก็บตัวในห้องไม่ยอมไปเรียนและถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชในตอนนั่น หลังจากนั่นก็ถูกย้ายโรงเรียนและไม่มีประวัติการถูกทำร้ายหรือล่วงระเมิดอีกเลย จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อนค่ะ เด็กคนนี้เริ่มสับสนว่าตัวเองควรมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมตั้งแต่อายุสิบปีแล้วไม่ใช่หรอค่ะ เขาไม่รู้แม้กระทั่งจุดยืนตัวเอง ไม่รู้ว่าขอบเขตของชีวิตตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน ความสับสนตั้งแต่ตอนนั่น...”

     

     

    “....”

     

     

    “กลายเป็นการสูญเสียความเป็นตัวเองของตอนนี้ของเขาไม่ใช่หรอค่ะ...” คริสทำได้เพียงนั่งฟังอย่างตกใจเมื่อนักสืบที่ทำงานให้กับครอบครัวปาร์คเล่าชีวิตของเด็กที่เขารักษาอยู่ให้รับรู้ได้เป็นฉากๆ ภาพถ่ายทุกสถานการณ์ถูกวางเรียงกันบนโต๊ะ นิ้วของนักสือสาวชี้มาที่รูปรูปหนึ่งที่ปรากฏเด็กหนุ่มหูกลางยืนถ่ายรูปในสนามเด็กเล่น อายุราวๆแปดเก้าขวบน่าจะได้

     

     

    “ชีวิตของปาร์คชานยอลจบตั้งแต่เขาอายุเท่านี้แล้วค่ะ...” คริสเหมือนถูกตอกหน้ากลับอีกครั้งเมื่อความรู้สึกผิดมากมายกำลังถาโถมใส่เขา เท่ากับที่ผ่านมาเขารักษาชานยอลได้ไม่ดีพอ..

     

    “แล้วทำไมผมพึ่งรู้ ข้อมูลพวกนี้มันควรแนบมากับแฟ้มประวัติของเขาตั้งแต่สามปีก่อนไม่ใช่หรอ?

     

    “เพราะคุณผู้หญิงต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” คริสขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าพูด เธอเดินเข้ามาในโรงพยาบาลแล้วมาพูดเรื่องปาร์คชานยอลให้เขาฟังทั้งๆที่มันเป็นความลับ งั้นหมายถึงเธอก็ต้องการอะไรบางอย่างจากเขาเหมือนกันสินะ

     

    “แล้ว?

     

     

    “เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าชานยอลอาจจะไม่หายเป็นปกติได้ ที่คุณผู้หญิงจะมารับตัวชานยอลไปต่างประเทศ ที่จริงเธอจะนำลูกเธอไปทิ้งให้ตายที่นั่นต่างหาก.”

     

     

    “ห๊ะ!? แต่ชานยอลเป็นลูกนะ!” หญิงสาวตรงหน้าปิดเปลือกตาลงอย่างยอมแพ้ เธอเหนื่อยกับเรื่องนี้มานานแล้ว เธอเฝ้ามองคุณหนูเล็กของบ้านหลังนี้มานานพอแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

     

     

    “เพราะเป็นแม่ที่มีสิทธิ์ทำทุกอย่างในตัวลูกได้ไงล่ะ ฉันจะพาชานยอลหนีไปจากที่นี้!” คริสเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางตัว เขาเริ่มไล่ลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นเพื่อทำความเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง

     

    “เอาตัวชานยอลให้ฉัน ก่อนที่คุณผู้หญิงจะเข้ามา ได้โปรดคุณหมอ...”

     

     

    ผู้หญิงคนนั่นกลับไปแล้ว เพราะเหตุผลที่เขายอมรับปากว่าจะยอมให้พาตัวชานยอลออกจากโรงพยาบาลไปได้ แต่เรื่องที่เธอได้เล่าให้ฟังเมื่อชั่วโมงก่อนนี้สิ มันยังดังก้องในหัวเขาไม่หาย รูปถ่ายที่เธอทิ้งไว้ให้เขายังถูกวางบนโต๊ะให้เป็นเครื่องตอกย้ำความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขา

     

     

    “ชานยอลเป็นยังไงบ้าง?” นางพยาบาลคนสนิทวางเอกสารการขอย้ายไว้บนโต๊ะทำงานคุณหมอหนุ่ม เธอก้าวถอยหลังยืนห่างจากโต๊ะไม่มากนักก่อนจะตอบกลับ

     

     

    “พึ่งตื่นค่ะ ถามหาคุณหมอไม่หยุดเลยค่ะ” คริสพยักหน้าเข้าใจก่อนจะวางปากกาลงกับโต๊ะแล้วเดินตามหลังพยาบาลจางออกจากห้องมุ่งไปอีกห้องของคนไข้ของเขา ซึ่งเข้าไปชานยอลก็ตื่นอย่างที่พยาบาลจางว่า ร่างโปรงกำลังนั่งห้อยขาลงมาจากเตียง มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงบ

     

    เสียงเปิดประตูเข้าไปดึงให้เจ้าของห้องหันมาให้ความสนใจในทันที พลันปากอิ่มสีสดก็หยันยิ้มขึ้น ร่างโปร่งวิ่งถลาเข้ามาหาเขากระพริบตาปริบๆเหมือนเด็กกำลังอยากได้ของเล่นในงานเทศกาล

     

    “เป็นยังไงบ้าง?” คริสถามออกไปพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกคน กลัวว่าจะมีไข้เป็นของแถมมาด้วย ร่างกายยิ่งอ่อนแออยู่แล้วยิ่งน่ากังวล พอเห็นว่าอุณภูมิอยู่ในมาตรฐานจึงผละออกมา ทว่า..ระหว่างที่จะดึงกลับชานยอลกลับเอื้อมมือขึ้นกลุ่มมือใหญ่ไว้ คริสกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกประหลาด เมื่อเสียงของนนักสืบสาวดังขึ้นมาในหัวขึ้นมา

     

    “ไม่กลับได้ไหม อยากอยู่นี้กับคุณ” ใบหน้านวลงั้มง้ออย่างเอาแต่ใจ เด็กตรงหน้าช้อนตาขึ้นมองหน้าเขาช้าๆเหมือนตาคู่นั่นกำลังพูดอะไรสักอย่างแทนสิ่งที่เจ้าของมันไม่กล้าพูดออกมา

     

    “ฉันจะมาบอกว่า ฉันหมดหน้าที่ดูแลนายแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมารับนายไป จำฮโยยอนได้ไหม เธอบอกว่าเธอสนิทกับนาย..” ตากลมกรอกไปมาด้วยความสับสน คริสออกแรงพาอีกคนเดินนำมาที่เตียง ก่อนจะดึงมือกลับดันไหล่อีกคนให้นั่งลงกับเตียงตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูด “เธอจะมารับนาย...”

     

     

    “....” เมื่อเห็นชานยอลนิ่งไปยิ่งรู้สึกผิด แต่ทั้งหมดมันควรเป็นแบบนั่น ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อคนง่าย ยอมให้ชานยอลหนีไปกับใครก็ไม่รู้ เขาเองก็เคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์มามากเกี่ยวกับข่าวของนักสืบหญิงอย่างฮโยยอนที่ไขคดีต่างๆได้เป็นอย่างดี ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นนักสืบประจำครอบครัวปาร์ค เพราะแบบนั่นเลยมั่นใจว่าเธอต้องดูแลชานยอลได้ดีมากกว่าการถูกลอยแพไปทิ้งที่ต่างประเทศ

     

    “เก็บของที่จำเป็นซะ เธอจะมารับนายตอนเช้ามืด”

     

     

    “มะ ไม่! ไหนบอกรอให้หายก็แล้วค่อยออกจากที่นี้ แล้ว แล้วทำไม!?” ชานยอลลุกขึ้นโวยวายไม่พอใจ นัยน์ตาสีอ่อนถูกเคลือบด้วยน้ำตาหยดใสและอีกไม่นานคงทิ้งตัวลงบนเนินแก้มนิ่ม

     

    “ไม่เอาแบบนี้!” เขารู้สึกผิดเอามากๆที่ปฏิบัติตัวไม่สมกับเป็นหมอ เขาทำผิดพลาดมากเหลือเกิน ถ้าให้รับหน้าที่ดูแลต่อเขาก็คงยิ่งโทษตัวเองที่เป็นอีกเหตุผลให้ชานยอลมีท่าทีแปลกไปกว่าปกติ

     

    “ชานยอล..” คริสเอื้อมมือไปรวบตัวอีกคนเข้ามาไว้ในอก ปล่อยให้ความรู้สึกผิดที่ก่อขึ้นในอกสื่อไปถึงอีกคนผ่านอ้อมกอด ชานยอลค่อยๆสงบลงก่อนจะเริ่มสะอื้นไห้ออกมาจนตัวสั่น

     

     

     

    เสียงฝีเท้าดังสม่ำเมอมุ่งไปยังห้องที่เด็กหนุ่มจำได้เป็นอย่างดี ชานยอลเดินเข้าไปในห้องที่มืดมิด ค่อยๆปิดประตูห้องให้เบามือที่สุด แสงสว่างจากโคมไฟเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะทำงานทำให้เห็นว่าเจ้าของห้องย้ายตัวเองจากโต๊ะทำงานมานอนที่โซฟาแทน

     

     

    ชานยอลแค่รู้สึกแย่ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องออกจากที่นี้ ทั้งๆที่หวังจะออกจากที่นี้ตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว เขาอยากจะบอกลา หรือไม่ก็ปฏิเสธการกลับบ้านไป แต่...อีกใจชานยอลเองก็อยากจะพ้นจากคำพูดของคนอื่นว่าตัวเองเป็นบ้าสักที

     

    ร่างโปร่งย่อลงนั่งหน้าคุณหมอประจำไข้ ไล่สายตามองผ่านความมืดตั้งแต่เปลือกตาที่ปิดสินททั้งคู่ สันจมูก และปากหยัก ข้างในของเด็กหนุ่มเต้นสั่นเมื่อหยุดสายตาที่กลีบปากของคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จพเอื้อมมือยื่นออกไปสัมผัสมัน ความเย็นฉืดจากมือบางปลุกให้คริสตื่นจากการหลับใหล ดวงตาคมกลีบเปิดขึ้นอย่างตกใจเมื่อพบว่าคนไข้ของตัวเองนั่งอยู่ตรงหน้า

     

    “ชาน-” ยังไม่ทันได้เรียกชื่อ ใบหน้านวลท่ามกลางเงาสลัวของโคมไฟก็ส่ายไปมา ปลายนิ้วเย็นๆลากบางเบาผ่านรอยหยักบนปากบนผ่านลงมาที่กลีบปากล่าง นัยน์ตาสีอ่อนเลื่อนขึ้นมาสบตากับเขาเหมือนจะขอร้องเป็นคำพูดผ่านดวงตาคู่นั่น

     

    ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดขึ้นเมื่อชานยอลเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้น และ...กลีบปากอิ่มก็ประทับลงมาที่ปากเขา สัมผัสผะแผ่ววาบหวิวจนหัวใจเขาอดกระตุกไม่ได้ เด็กหนุ่มเริ่มขยับปากแตะกับอวัยวะเดียวกันของอีกคนอีกครั้งอีกครั้งและอีกครั้ง ไม่มีการลุกล้ำใดๆทั้งสิ้น

     

     

    “ผมไม่อยากไป” เสียงแหบสั่นเครื่อ ดวงตาคู่ตรงหน้าระยิบระยับเหมือนมีดวงดาวนับล้านอัดแน่นอยู่ในนั่นระหว่างเอ่ย คริสเอื้อมมือขึ้นทาบกับแก้มเย็นพร้อมกับไล้หัวแม่มือไปกับผิวเนียนนิ่ม

     

    “ที่นี้ไม่ปลอดภัยกับนายอีกแล้ว” เลื่อนมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลอ่อนเชื่องช้า เขารู้ในทันทีว่าชานยอลกำลังกลั้นน้ำตาไว้

     

    “ผม..”

     

    “หนีไปซะ เธอจะหาที่ที่ปลอดภัยให้กับนาย” ชานยอลรู้ดีว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ในบางครั้งที่ชานยอลชอบแกล้งโง่ว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง แต่เด็กคนนี้จะจำเรื่องทุกอย่างได้มากที่สุดก็ตอนที่กำลังอ่อนแอ “กลับไปนอนเถอะชานยอล” คริสยันตัวลุกขึ้นก่อนจะกุมมือเรียวพาเดินออกมาจากห้อง แต่กลับเดินได้ไม่กี่ก้าวแรงรั้งจากอีกคนก็ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าหันกลับไปหา

     

     

     

     

    “เราจะเจอกันอีกไหมครับ?” คริสยิ้มให้เด็กหนุ่ม มือใหญ่ค่อยๆลูบเส้นผมนุ่มมือช้าๆ อดที่จะมองอีกคนด้วยสายตาเอ็นดูไปเสียไม่ได้ ฮโยยอนกระแอ่มไอเตือนนั่นทำให้คริสต้องสูดหายใจเข้าปอดและถอนออกมาอย่างจำยอม ถึงเวลาที่ต้องปล่อยลูกนกน้อยตัวนี้ไปซะแล้วสิ

     

    “ฉันขอโทษที่เคยมองนายผิดไปชานยอล...” สิ้นคำบอกลา น้ำตาของร่างโปร่งไหลลงสองข้างแก้ม รถยนต์ค่อยๆขับเคลื่อนออกไปจากหน้าโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าตัวเองต้องวางมือไว้ตรงไหนหลังจากดึงกลับมาจากตัวอีกคน เขาทำได้เพียงยกขึ้นโบกลาร่างบางที่โผล่หัวออกมานอกกระจกมองกลับมาที่เขา

     

     

    ความรู้สึกเหมือนกับกำลังจมน้ำไม่มีผิด คริสเดินเข้ามาในโรงพยาบาลหลังจากรถยนต์ของฮโยยอนเคลื่อนพ้นสายตาไปแล้ว เขารู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มองไปที่ไหนก็ว่างเปล่าไปซะหมด ร็ตัวอีกทีขาทั้งคู่ก็พามาที่ห้องของชานยอลซะแล้ว ผ้าปูและผ้าห่มยังเป็นกลิ่นของชานยอล..กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้

     

     

     

    “คุณจำผมไม่ได้เลยหรอ?

     

     

     

     

    “นายกำลังหมายถึง...”

     

     

     

     

    “เราเคยเจอกันมาก่อน คริส..”

     

     

     

     

     





    THE END


    Merry Little Christmas <3

    ขอให้มีความสุขในวันคริสต์มาสนะคะ


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     











    HASH
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×