ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมนิยายระบายโครง

    ลำดับตอนที่ #1 : WARS--สงครามที่ ๑ : ข่าว

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 56



              เสียงรถม้าและฝีเท้ามนุษย์อึกทึกครึกโครมทำลายความสงบเงียบในยามวิกาลจนหมดสิ้น  เด็กสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาเรียวเล็กของเธอขึ้นเชื่องช้าในขณะที่แลเห็นแสงตะเกียงจากภายนอกสว่างวูบไหวลอดช่องตรงพื้นประตูไม้เข้ามา  เธอมองเห็นเงาตะคุ่มสะท้อนอยู่บนพื้นไม้ที่ขัดจนขึ้นเงาอยู่สองเงา  พอจะเดาได้ว่าหนึ่งในเงาที่สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดนั้นน่าจะเป็นมารดาของตนเอง  ส่วนอีกเงาที่ประดับประดาด้วยประกายแสงคล้ายโลหะสะท้อนนั้นคงจะเป็นคนจากกองทัพ

              ใครก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายของพวกกองทัพมักเป็นชุดเกราะโลหะทรงป้อมๆ

              เด็กสาวขยี้เปลือกตาสองสามครั้งก่อนจะตะหวัดผ้านวมผืนใหญ่ให้พ้นตัวแล้วยันกายลุกขึ้นนั่ง   มืออีกข้างก็ตีลงบนร่างของชายหนุ่มอีกคนที่แผ่หลาอยู่ข้างกายให้ตื่นจากนิทรา

              “พี่คะ”

              ทว่าชายหนุ่มยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง

              “พี่  ตื่นเถอะ  มีใครก็ไม่รู้มาบ้านเรา”   อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าขยับเขยื้อน  เด็กสาวจึงเริ่มเขย่าร่างเขาแรงๆ   “นี่  บางทีอาจเป็นคนของกองทัพมาส่งข่าวของท่านพ่อก็ได้นะ”

              “ได้ยินแล้ว”   ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมเปิดปาก  หลังจากถูกเขย่าตัวอยู่นาน  เขาคลี่เปลือกตาขึ้นอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก   “นอนอยู่นี่  เดี๋ยวพี่ออกไปดูให้”

              เมื่อได้ยินคำพูดจากพี่ชาย  เด็กสาวมีสีหน้ากระอักกระอวนเล็กน้อย   “แต่ว่า...”

              “ข้างนอกมีแต่ผู้ชาย  เป็นสตรีทั้งยังอยู่ในชุดนอน  พี่เห็นว่าไม่ควร”

              ชายหนุ่มขยี้เส้นผมบนศีรษะของน้องสาวแล้วหย่อนขาลงจากเตียง  สวมรองเท้าฟางก่อนควานหาเสื้อคลุมซึ่งทำด้วยผ้ากำมะหยี่สวมทับร่างแบบลวกๆ กำลังจะก้าวขาออกจากห้องนอนแต่ก็ชะงักชั่วครู่หมุนร่างกลับมาเผชิญหน้ากับน้องสาวซึ่งยังจับตามองตัวเขาทุกอิริยาบถ

              เมื่อแลเห็นแววตากระตือรือร้นของเธอ  เขาก็เกิดใจอ่อนขึ้นมา   “แต่งตัวให้เรียบร้อย  แล้วตามออกมา”   ถ้อยความหลุดออกจากริมฝีปากด้วยสีหน้าอ่อนลง

              “ขอบคุณค่ะ”

    WARS

    สงครามที่ ๑ : ข่าว

              เขาไม่ได้ตอบประโยคเริงร่าจากผู้เป็นน้องสาว  ชายหนุ่มเปิดแง้มบานประตูออกอย่างเชื่องช้าพอให้สามารถลอดกายออกไปได้  แล้วพาร่างของตนเองออกไป  คนเป็นน้องสาวไม่ทันได้ล่วงรู้หรอกว่าเขาจงใจเปิดประตูให้กว้างน้อยที่สุดเพราะไม่ต้องการให้มีสายตาจากภายนอกเล็ดลอดเข้าไปในห้องซึ่งตนจากมา

              ...

              เดินไม่กี่ก้าวชายหนุ่มก็มาหยุดยืนยังห้องโถงของตัวบ้านซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่มีไฟจากตะเกียงส่องประกายอยู่  เครื่องเงาที่ประดับประดาอยู่สองฝั่งสะท้อนแสงไฟเป็นวงวูบไหวดูราวกับอัญมณีสีสุกงอม  แจกันลายพู่กันสีครามตั้งอยู่ข้างเสา  รูปหงส์ที่ปีกมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ดูจะหยอกล้อราวกับมีชีวิต  บนเก้าอี้ไม้สลักลายมังกรประณีตมีร่างของชายวัยกลางคนไว้หนวดสีดำสนิทยาวถึงหน้าอก  สวมชุดเกราะทำด้วยเหล็กกล้าแต่สีคร่ำแล้วเพราะผ่านการใช้งาน  เขานั่งลูบเคราตนเองด้วยสีหน้าคล้ายกำลังพิเคราะห์บางอย่าง  เมื่อหันมาแลเห็นผู้มาใหม่ยืนกอดอกหรี่ตามองอยู่  ชายเครายาวก็ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก

              “ขออภัยขอรับ  ข้าทราบมาว่าท่านแม่ทัพไปว่าราชการที่อาเรน”

              “ข้าเพิ่งกลับ”   ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  หล่อนอยู่ในชุดนอนสีฉูดฉาดและยาวกรอมข้อเท้าแต่มีผ้าหนามันเลื่อมคลุมทับช่วงบ่าลงมาถึงเอว  เส้นผมสีดำสนิทถูกสางรวบไว้อย่างลวกๆ บ่งบอกถึงความรีบร้อนที่จะออกมาต้อนรับแขกยามวิกาล

              เธอเองก็คงตั้งตารอข่าวนี้อยู่ไม่มากก็น้อย

              ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังคนใต้บังคับบัญชาซึ่งยืนตัวแข็งทื่อเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ตรงหน้า  แลเห็นท่าทางกลัวลนลานของอีกฝ่าย  เขาก็ระบายลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง

              ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยหน่าย  หรือเวทนากันแน่

              “มีธุระอะไร”

              คำถามตรงประเด็นจาก แม่ทัพทำให้คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย  นอกจากจะเข้มงวดและน่าเกรงขามแล้วแววตาของเขายังเยือกเย็นราวกับมีดคมกริบที่ทะลวงทิ่มคนมองให้สิ้นใจ  ทุกคนต่างรู้ดีว่า  แม่ทัพแห่งอาเรน  ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและเถรตรงเพียงใด  ครั้งหนึ่งชายผู้นี้เคยสั่งตัดหัวขุนนางหลวงถึงสามชีวิต  ทั้งยังลงมือสังหารองครักษ์ของขุนนางเหล่านั้นรวมทั้งสิ้นห้าสิบนายได้ในพริบตา  ถึงขั้นมีสำนวนเปรียบว่า  บาซินเซแห่งอาเรนล้างหน้าด้วยเลือดทุกเช้า

              บาซินเซ

              นามของขุนนาง โฉดที่พ่อแม่ในชนบทมักใช้ขู่เด็กน้อยไม่ให้ร้องไห้โยเย

              “เรื่องนายพลคาซัส  บิดาของท่านน่ะขอรับ”

              บาซินเซหรี่ตาลง  ดวงตาสีฟ้าสดใสมีประกายเย็นเยียบไหวผ่าน  ชายหนุ่มไม่ปริปาก  แต่รั้งรอให้ชายเครายาวเป็นฝ่ายแถลงต่อแทน

              “ท่าน...”

              “ข้า”   หญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่นานโพล่งออกมาขัดบทสนทนาของ คนของกองทัพทั้งสองเสียงก่อน   “ข้าขอบอกเขาเอง”

              “ขอรับ”   ชายเครายาวผงกหัวแล้วก้าวเท้าถอยออกไปอย่างสำรวม

              บาซินเซเห็นท่าทีเช่นนั้นของหญิงสาว  เขาก็ออกเสียงสั่งชายใต้อาณัติตนว่า   “กลับไป  เตรียมตัวให้พร้อม  รอคำสั่งจากข้า”

              “ขอรับ!

              คนรับคำสั่งขานรับอีกรอบแล้วทำความเคารพชายหนุ่มกับหญิงสาวหนึ่งครั้งก่อนหมุนตัวเดินคว้าดาบคู่ใจสาวเท้าออกจากห้องโถงไป

              เสียงรองเท้าจากคนส่งข่าวค่อยๆ ห่างออกไปทีละน้อย  มีเสียงเปิดประตูก่อนที่ม้าจะคำรามสามครั้งและมีเสียงลูกล้อบดขยี้ทาง  เมื่อผู้ส่งข่าวจากไปแล้วห้องโถงยังคงสงัดเงียบและสลัวเลือนราง  สองชีวิตที่ยังเหลืออยู่ไม่มีใครเปิดปากส่งถ้อยความ

              คุณนาย  ของบ้านยังจรดสายตาอยู่ที่พื้นอย่างชั่งใจ  เธอรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตนเองเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ  ในขณะที่สีหน้าเผือดซีดไม่สู้ดีนัก  ทั้งหวาดกลัวและขยาดเกินกว่าจะแถลงเนื้อความ  กระนั้นศักดิ์ศรีที่มีอยู่ก็ทำให้เธอเลือกที่จะเป็นผู้บอกเนื้อความที่รับมาจากคนส่งสารให้แก่ชายตรงหน้า

              เงียบอยู่หลายอึดใจ  หญิงสาวก็เผยอริมฝีปากส่งเนื้อวลี   “ข้า...”

              “ข้าจะไปมหานครทาอัน  วันพรุ่ง”   ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทแล้วหมุนตัวเดินกลับห้อง

              “เดี๋ยวก่อน  บาซินเซ  แล้วน้องเจ้าเล่า”

              บาซินเซชะงักเท้า  เงียบเสี้ยววินาทีก่อนเดินต่อ   “อยู่ที่นี่”

              หญิงสาวกรีดเสียง   “นางไม่ยินดีแน่  เจ้าก็รู้ว่าถ้าเจ้าไปครานี้  นางจะออกตามหาเจ้า”

              บาซินเซไม่ได้หยุดเดิน  เขาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ   “ล่ามนางไว้ในเรือน”

              “เจ้าจะบ้าหรือไง!   สิ้นแล้วซึ่งความอดทน  หญิงสาวพุ่งเข้ากระชากเสื้อของคู่สนทนาอย่างเกรี้ยวโกรธ   “เจ้ายังเห็นนางเป็นคนหรือเปล่า”

              แต่บาซินเซสะบัดแขนบอบบางของคู่สนทนาจนอีกฝ่ายกระเด็นไปกระแทกกับเก้าอี้ไม้ทางด้านข้าง   “หรืออยากเห็นนางตายในสงคราม”   ชายหนุ่มหันกลับมาถามด้วยสีหน้าสงบ

              “ข้า...”

              บาซินเซมองข้อศอกของที่เขียวเป็นจ้ำของหญิงสาวแล้วหมุนตัวกลับ   “ยาอยู่ลิ้นชักที่สาม  ห้องนอนเก่าของข้า”

              “บาซินเซ  บาซินเซ  อย่าด่วนตัดสินใจเช่นนี้  เจ้าใจร้อนเกินไป  ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเรื่องคาซัส”

              “ข้าเปล่า”   แม่ทัพแห่งอาเรนสาวเท้าเดินต่อ

              ทว่าแผ่นหลังที่ดูสงบและสง่างามของเขากลับให้อีกฝ่ายร้อนรนหม่นไหม้อยู่ในทรวง   “อย่าโกหกข้า  เจ้าคิดจะไปทาอันก็เพื่อล้างแค้นใช่ไหม  คิดจะล้างแค้นคนที่ฆ่าบิดาของเจ้า  ฆ่าคาซัส!

              เพล้ง!

              บาซินเซปิดเปลือกตาลงทันที

              แจกันซึ่งกลายเป็นเศษซากแผ่กระจายอยู่เต็มพื้นไม้ขัดเงา  ในขณะที่ร่างของเด็กสาวนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ย  ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก  ใบหน้าเผือดซีด   “ท่านพ่อ...ท่านพ่อถูกฆ่าหรือคะ”

              “เซเรน...”   คุณนายของบ้านละล่ำละลักด้วยดวงตาร้อนฉานมีหยาดน้ำตาคลอหน่วย

              เด็กสาวมีสีหน้าขมขื่นแต่นัยน์ตากลับแห้งผาก   “ใครเป็นคนฆ่าท่านพ่อหรือคะ”

              บาซินเซลืมตาขึ้นช้าๆ สาวเท้าเข้าไปหย่อนร่างลงประคองกอดเด็กสาวตรงหน้า  แล้วอุ้มเธอขึ้นจากพื้น   “วันนี้เหนื่อยมากแล้ว”

              “พี่  พี่คะ  ใครฆ่าท่านพ่อ”   เด็กสาวกำผ้าคลุมบนบ่าของเขาแน่นขึ้น

              บาซินเซเงียบ  ออกแรงกอดรัดร่างของเด็กสาวแน่นขึ้นเล็กน้อยพลางออกเดินช้าๆ ราวกับเกรงว่าฝีเท้าของตนจะกระทบกระเทือนต่อร่างบอบบางในอ้อมกอด

              “พี่คะ”

              “พี่ไม่รู้หรอก”   บาซินเซตอบ

              เวลานั้นเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่าตื่นตระหนก  ต่อจากความตื่นตระหนกคือความเกรี้ยวกราดที่หาที่มาไม่ได้  นึกแค้นทุกสิ่งแม้แต่ตัวเองที่เพิ่งทราบข่าวของบิดาในวันที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว  มีแต่ช่วงบ่ากับกลิ่นกายเยือกเย็นของพี่ชายเท่านั้นที่ทำให้เธอสงบลงได้  เด็กสาวกอดคอร่างหนาที่ยังประคองตัวเธอไว้แน่นครู่หนึ่ง  แล้วเอ่ยเสียงเบา

              “ข้าจะเข้ากองทัพ”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×