คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : WARS--สงครามที่ ๑ : ข่าว
เสียงรถม้าและฝีเท้ามนุษย์อึกทึกครึกโครมทำลายความสงบเงียบในยามวิกาลจนหมดสิ้น เด็กสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาเรียวเล็กของเธอขึ้นเชื่องช้าในขณะที่แลเห็นแสงตะเกียงจากภายนอกสว่างวูบไหวลอดช่องตรงพื้นประตูไม้เข้ามา เธอมองเห็นเงาตะคุ่มสะท้อนอยู่บนพื้นไม้ที่ขัดจนขึ้นเงาอยู่สองเงา พอจะเดาได้ว่าหนึ่งในเงาที่สวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดนั้นน่าจะเป็นมารดาของตนเอง ส่วนอีกเงาที่ประดับประดาด้วยประกายแสงคล้ายโลหะสะท้อนนั้นคงจะเป็นคนจากกองทัพ
ใครก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายของพวกกองทัพมักเป็นชุดเกราะโลหะทรงป้อมๆ
เด็กสาวขยี้เปลือกตาสองสามครั้งก่อนจะตะหวัดผ้านวมผืนใหญ่ให้พ้นตัวแล้วยันกายลุกขึ้นนั่ง มืออีกข้างก็ตีลงบนร่างของชายหนุ่มอีกคนที่แผ่หลาอยู่ข้างกายให้ตื่นจากนิทรา
“พี่คะ”
ทว่าชายหนุ่มยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง
“พี่ ตื่นเถอะ มีใครก็ไม่รู้มาบ้านเรา” อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าขยับเขยื้อน เด็กสาวจึงเริ่มเขย่าร่างเขาแรงๆ “นี่ บางทีอาจเป็นคนของกองทัพมาส่งข่าวของท่านพ่อก็ได้นะ”
“ได้ยินแล้ว” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมเปิดปาก หลังจากถูกเขย่าตัวอยู่นาน เขาคลี่เปลือกตาขึ้นอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก “นอนอยู่นี่ เดี๋ยวพี่ออกไปดูให้”
เมื่อได้ยินคำพูดจากพี่ชาย เด็กสาวมีสีหน้ากระอักกระอวนเล็กน้อย “แต่ว่า...”
“ข้างนอกมีแต่ผู้ชาย เป็นสตรีทั้งยังอยู่ในชุดนอน พี่เห็นว่าไม่ควร”
ชายหนุ่มขยี้เส้นผมบนศีรษะของน้องสาวแล้วหย่อนขาลงจากเตียง สวมรองเท้าฟางก่อนควานหาเสื้อคลุมซึ่งทำด้วยผ้ากำมะหยี่สวมทับร่างแบบลวกๆ กำลังจะก้าวขาออกจากห้องนอนแต่ก็ชะงักชั่วครู่หมุนร่างกลับมาเผชิญหน้ากับน้องสาวซึ่งยังจับตามองตัวเขาทุกอิริยาบถ
เมื่อแลเห็นแววตากระตือรือร้นของเธอ เขาก็เกิดใจอ่อนขึ้นมา “แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วตามออกมา” ถ้อยความหลุดออกจากริมฝีปากด้วยสีหน้าอ่อนลง
“ขอบคุณค่ะ”
WARS
สงครามที่ ๑ : ข่าว
เขาไม่ได้ตอบประโยคเริงร่าจากผู้เป็นน้องสาว ชายหนุ่มเปิดแง้มบานประตูออกอย่างเชื่องช้าพอให้สามารถลอดกายออกไปได้ แล้วพาร่างของตนเองออกไป คนเป็นน้องสาวไม่ทันได้ล่วงรู้หรอกว่าเขาจงใจเปิดประตูให้กว้างน้อยที่สุดเพราะไม่ต้องการให้มีสายตาจากภายนอกเล็ดลอดเข้าไปในห้องซึ่งตนจากมา
...
เดินไม่กี่ก้าวชายหนุ่มก็มาหยุดยืนยังห้องโถงของตัวบ้านซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่มีไฟจากตะเกียงส่องประกายอยู่ เครื่องเงาที่ประดับประดาอยู่สองฝั่งสะท้อนแสงไฟเป็นวงวูบไหวดูราวกับอัญมณีสีสุกงอม แจกันลายพู่กันสีครามตั้งอยู่ข้างเสา รูปหงส์ที่ปีกมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ดูจะหยอกล้อราวกับมีชีวิต บนเก้าอี้ไม้สลักลายมังกรประณีตมีร่างของชายวัยกลางคนไว้หนวดสีดำสนิทยาวถึงหน้าอก สวมชุดเกราะทำด้วยเหล็กกล้าแต่สีคร่ำแล้วเพราะผ่านการใช้งาน เขานั่งลูบเคราตนเองด้วยสีหน้าคล้ายกำลังพิเคราะห์บางอย่าง เมื่อหันมาแลเห็นผู้มาใหม่ยืนกอดอกหรี่ตามองอยู่ ชายเครายาวก็ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก
“ขออภัยขอรับ ข้าทราบมาว่าท่านแม่ทัพไปว่าราชการที่อาเรน”
“ข้าเพิ่งกลับ” ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปจับอยู่ที่หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หล่อนอยู่ในชุดนอนสีฉูดฉาดและยาวกรอมข้อเท้าแต่มีผ้าหนามันเลื่อมคลุมทับช่วงบ่าลงมาถึงเอว เส้นผมสีดำสนิทถูกสางรวบไว้อย่างลวกๆ บ่งบอกถึงความรีบร้อนที่จะออกมาต้อนรับแขกยามวิกาล
เธอเองก็คงตั้งตารอข่าวนี้อยู่ไม่มากก็น้อย
ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังคนใต้บังคับบัญชาซึ่งยืนตัวแข็งทื่อเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ตรงหน้า แลเห็นท่าทางกลัวลนลานของอีกฝ่าย เขาก็ระบายลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยหน่าย หรือเวทนากันแน่
“มีธุระอะไร”
คำถามตรงประเด็นจาก ‘แม่ทัพ’ ทำให้คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย นอกจากจะเข้มงวดและน่าเกรงขามแล้วแววตาของเขายังเยือกเย็นราวกับมีดคมกริบที่ทะลวงทิ่มคนมองให้สิ้นใจ ทุกคนต่างรู้ดีว่า ‘แม่ทัพแห่งอาเรน’ ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและเถรตรงเพียงใด ครั้งหนึ่งชายผู้นี้เคยสั่งตัดหัวขุนนางหลวงถึงสามชีวิต ทั้งยังลงมือสังหารองครักษ์ของขุนนางเหล่านั้นรวมทั้งสิ้นห้าสิบนายได้ในพริบตา ถึงขั้นมีสำนวนเปรียบว่า ‘บาซินเซแห่งอาเรนล้างหน้าด้วยเลือดทุกเช้า’
บาซินเซ
นามของขุนนาง ‘โฉด’ ที่พ่อแม่ในชนบทมักใช้ขู่เด็กน้อยไม่ให้ร้องไห้โยเย
“เรื่องนายพลคาซัส บิดาของท่านน่ะขอรับ”
บาซินเซหรี่ตาลง ดวงตาสีฟ้าสดใสมีประกายเย็นเยียบไหวผ่าน ชายหนุ่มไม่ปริปาก แต่รั้งรอให้ชายเครายาวเป็นฝ่ายแถลงต่อแทน
“ท่าน...”
“ข้า” หญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่นานโพล่งออกมาขัดบทสนทนาของ ‘คนของกองทัพ’ ทั้งสองเสียงก่อน “ข้าขอบอกเขาเอง”
“ขอรับ” ชายเครายาวผงกหัวแล้วก้าวเท้าถอยออกไปอย่างสำรวม
บาซินเซเห็นท่าทีเช่นนั้นของหญิงสาว เขาก็ออกเสียงสั่งชายใต้อาณัติตนว่า “กลับไป เตรียมตัวให้พร้อม รอคำสั่งจากข้า”
“ขอรับ!”
คนรับคำสั่งขานรับอีกรอบแล้วทำความเคารพชายหนุ่มกับหญิงสาวหนึ่งครั้งก่อนหมุนตัวเดินคว้าดาบคู่ใจสาวเท้าออกจากห้องโถงไป
เสียงรองเท้าจากคนส่งข่าวค่อยๆ ห่างออกไปทีละน้อย มีเสียงเปิดประตูก่อนที่ม้าจะคำรามสามครั้งและมีเสียงลูกล้อบดขยี้ทาง เมื่อผู้ส่งข่าวจากไปแล้วห้องโถงยังคงสงัดเงียบและสลัวเลือนราง สองชีวิตที่ยังเหลืออยู่ไม่มีใครเปิดปากส่งถ้อยความ
‘คุณนาย’ ของบ้านยังจรดสายตาอยู่ที่พื้นอย่างชั่งใจ เธอรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตนเองเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ในขณะที่สีหน้าเผือดซีดไม่สู้ดีนัก ทั้งหวาดกลัวและขยาดเกินกว่าจะแถลงเนื้อความ กระนั้นศักดิ์ศรีที่มีอยู่ก็ทำให้เธอเลือกที่จะเป็นผู้บอกเนื้อความที่รับมาจากคนส่งสารให้แก่ชายตรงหน้า
เงียบอยู่หลายอึดใจ หญิงสาวก็เผยอริมฝีปากส่งเนื้อวลี “ข้า...”
“ข้าจะไปมหานครทาอัน วันพรุ่ง” ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทแล้วหมุนตัวเดินกลับห้อง
“เดี๋ยวก่อน บาซินเซ แล้วน้องเจ้าเล่า”
บาซินเซชะงักเท้า เงียบเสี้ยววินาทีก่อนเดินต่อ “อยู่ที่นี่”
หญิงสาวกรีดเสียง “นางไม่ยินดีแน่ เจ้าก็รู้ว่าถ้าเจ้าไปครานี้ นางจะออกตามหาเจ้า”
บาซินเซไม่ได้หยุดเดิน เขาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ล่ามนางไว้ในเรือน”
“เจ้าจะบ้าหรือไง!” สิ้นแล้วซึ่งความอดทน หญิงสาวพุ่งเข้ากระชากเสื้อของคู่สนทนาอย่างเกรี้ยวโกรธ “เจ้ายังเห็นนางเป็นคนหรือเปล่า”
แต่บาซินเซสะบัดแขนบอบบางของคู่สนทนาจนอีกฝ่ายกระเด็นไปกระแทกกับเก้าอี้ไม้ทางด้านข้าง “หรืออยากเห็นนางตายในสงคราม” ชายหนุ่มหันกลับมาถามด้วยสีหน้าสงบ
“ข้า...”
บาซินเซมองข้อศอกของที่เขียวเป็นจ้ำของหญิงสาวแล้วหมุนตัวกลับ “ยาอยู่ลิ้นชักที่สาม ห้องนอนเก่าของข้า”
“บาซินเซ บาซินเซ อย่าด่วนตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าใจร้อนเกินไป ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเรื่องคาซัส”
“ข้าเปล่า” แม่ทัพแห่งอาเรนสาวเท้าเดินต่อ
ทว่าแผ่นหลังที่ดูสงบและสง่างามของเขากลับให้อีกฝ่ายร้อนรนหม่นไหม้อยู่ในทรวง “อย่าโกหกข้า เจ้าคิดจะไปทาอันก็เพื่อล้างแค้นใช่ไหม คิดจะล้างแค้นคนที่ฆ่าบิดาของเจ้า ฆ่าคาซัส!”
เพล้ง!
บาซินเซปิดเปลือกตาลงทันที
แจกันซึ่งกลายเป็นเศษซากแผ่กระจายอยู่เต็มพื้นไม้ขัดเงา ในขณะที่ร่างของเด็กสาวนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ย ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าเผือดซีด “ท่านพ่อ...ท่านพ่อถูกฆ่าหรือคะ”
“เซเรน...” คุณนายของบ้านละล่ำละลักด้วยดวงตาร้อนฉานมีหยาดน้ำตาคลอหน่วย
เด็กสาวมีสีหน้าขมขื่นแต่นัยน์ตากลับแห้งผาก “ใครเป็นคนฆ่าท่านพ่อหรือคะ”
บาซินเซลืมตาขึ้นช้าๆ สาวเท้าเข้าไปหย่อนร่างลงประคองกอดเด็กสาวตรงหน้า แล้วอุ้มเธอขึ้นจากพื้น “วันนี้เหนื่อยมากแล้ว”
“พี่ พี่คะ ใครฆ่าท่านพ่อ” เด็กสาวกำผ้าคลุมบนบ่าของเขาแน่นขึ้น
บาซินเซเงียบ ออกแรงกอดรัดร่างของเด็กสาวแน่นขึ้นเล็กน้อยพลางออกเดินช้าๆ ราวกับเกรงว่าฝีเท้าของตนจะกระทบกระเทือนต่อร่างบอบบางในอ้อมกอด
“พี่คะ”
“พี่ไม่รู้หรอก” บาซินเซตอบ
เวลานั้นเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่าตื่นตระหนก ต่อจากความตื่นตระหนกคือความเกรี้ยวกราดที่หาที่มาไม่ได้ นึกแค้นทุกสิ่งแม้แต่ตัวเองที่เพิ่งทราบข่าวของบิดาในวันที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว มีแต่ช่วงบ่ากับกลิ่นกายเยือกเย็นของพี่ชายเท่านั้นที่ทำให้เธอสงบลงได้ เด็กสาวกอดคอร่างหนาที่ยังประคองตัวเธอไว้แน่นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ข้าจะเข้ากองทัพ”
ความคิดเห็น