ตอนที่ 5 : 5

14:00 น.
บ่ายวันอาทิตย์ กรุงเทพแดดร้อนหูดับตับไหม้ เดินออกไปด้วยเสื้อผ้าบางๆ ตอนเที่ยงนี่คือเตรียมโดนย่างสดอย่างเดียว เพราะฉะนั้นกิจกรรมที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการนอนดูหนังใน Netflix ไปเรื่อยเปื่อย
ช่วยไม่ได้ ชีวิตไอ้เจต่อลมหายใจได้ด้วยอันนี้แหละ
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดๆ กับโต๊ะเรียกความสนใจให้หันไปหยิบมันมา
โอโห...เบอร์พี่บาร์โชว์หราขึ้นมาขนาดนี้ ไม่อยากรับสายเลยว่ะ มีคนแบบพี่บาร์เป็นหัวหน้าทำได้อย่างเดียว คือทำใจ เพราะพี่แกก็จะโทรมาตอนไหนก็ได้ และต้องรับสายด้วย
“ฮัลโหล น้องไม่สบาย เป็นมะเร็ง”
[ตอแหล เรื่องใบกำกับภาษีไปถึงไหนแล้ว]
นั่นไง กูว่าแล้ว โทรมานี่ไม่เคยถามหรอกว่าน้องเป็นไง สบายดีไหม หิวไหม มีแต่สั่งข้าวกับตามงานเท่านั้นแหละ
“เสร็จแล้นนน”
[แล้นพ่อมึงอะ เออๆ แค่นี้แหละกูโทรมาเช็คเฉยๆ]
“ครับพี่ พี่บาร์นี่ขยันเนอะ วัน… ฮัลโหล? ฮัลโหล? เอ้าไอ้เชี่ยพี่บาร์!”
ดูพี่มันสิ น้องยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเลย แม่งก็ตัดสายทิ้งไปเฉยๆ ใจร้ายว่ะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เหี้ยยย! อะไรอีกวะ เดี๋ยวโทรศัพท์ เดี๋ยวเคาะห้อง ขอร้องได้ไหม ขอดูหนังแบบที่ไม่มีใครมาขัดได้ไหม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“มาแล้วครับ มาแล้วๆ” ผมรีบรุดไปที่ประตู พอเปิดออกก็เห็นว่าเป็นไอ้สุขสันต์เจ้าเดิม
ไอ้บ้านี่! ตกลงมึงจะมาทุกวันเลยใช่ปะ
“อะไร จะมาทำไมอีก อ้ะ! มึงจะทำอะไร”
ผมถามมัน แต่มันก็ไม่ได้ตอบกลับ แถมทำท่าทางจะเดินเข้ามาในห้องผมอีก เหอะ… ฝันไปเถอะว่าจะพุ่งเข้ามาได้ง่ายๆ เหมือนรอบที่แล้ว คราวนี้กูรู้ทันแล้วเว้ย!
ตอนเดินไปเปิดประตูก็มีลางสังหรณ์อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นไอ้ยักษ์แน่ๆ ผมเลยเปิดให้เหลือแค่ช่องเล็กๆ เท่านั้น
มึงอย่าฝันว่าจะได้เข้ามา!
“ทำไมใส่แค่เสื้อกล้าม”
“มันร้อน อีกอย่างนะ มันเรื่องของกู มาทำไม”
“ว่าจะชวนออกไปข้างนอก”
ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้ยักษ์สุขสันต์มาในชุดลำลองสัสๆ รองเท้าช้างดาวสีน้ำเงิน กางเกงเจเจลายทางสีดำ กับเสื้อยืดสีดำอีกตัว
แม่งเอ้ย! ทำไมกูแต่งตัวแบบนี้แล้วออร่ามันไม่พุ่งออกมาแบบไอ้ยักษ์บ้างวะ แต่เอ๊ะ! ในมือมันมีถุงสีแดงใบใหญ่มาด้วยนี่หว่า ถุงอะไรล่ะนั่น
“มึง มันยังร้อนอยู่เลย ขอร้อง”
“ไม่ร้อนหรอก” มันเถียง
“แล้วมึงจะพากูไปไหนอะ”
“...” มันเงียบ
อย่าบอกนะ ว่าไม่รู้ว่าจะพาไปไหนแต่ดันมาชวนก่อน โถ... ถ้าเกิดมึงกำลังไปจีบสาวอยู่ แล้วทำแบบนี้ใส่สาวนะ ไอ้ยักษ์...มึงรอกินลาบนกเถอะ
“สุขสันต์ เอาจริงๆ นะ…”
“เรียกอีกที”
ห้ะ…หมายถึงเรียกชื่อมันอะเหรอ
“สุขสันต์ไง อะไร มึงตกใจอะไรกับชื่อมึงเนี่ย” ผมอดที่จะเหนื่อยใจกับมันไม่ได้จริงๆ
“ไม่ได้ตกใจที่เรียกชื่อ แต่ดีใจที่มีคนเรียก”
โอเค ผมอาจจะเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ก็ได้ที่ไม่เข้าใจมัน หรือไม่ก็อาจจะยังมีคนอื่นที่เหมือนผมโดนเหมือนผมบ้าง แต่ผมยังไม่เคยเจอ คือตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครเรียกชื่อมึงเลยหรือไงวะ คุณครูไม่เคยสุ่มโดนชื่อมึงเหรอสุขสันต์
“อ่อ ฮ่าๆๆ” ผมแกล้งขำใส่มัน แต่มันก็ยังคงมองมาที่ผมนิ่งๆ ซึ่งปกติก็ไม่ยักกะเคยเห็นมันแสดงสีหน้าอะไรนอกจากหน้านี้อยู่แล้ว “ถ้าไม่มีอะไรอีก งั้นกูปิดประตูนะ”
“เดี๋ยว”
“โอ้ย มึงจะอะไรอีก กูมีหนังต้องกลับไปดู” สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวเผลอตะคอกใส่มันไปจนได้
“ดูหนังอยู่เหรอ”
“เออ”
“ดูด้วยได้ไหม”
นั่น มันยังหาทางที่จะเข้าห้องให้ได้อยู่ดีสินะ ห้องกูมีอะไรดีนักหนาวะ ถึงดึงดูดแต่ไอ้หมีควายเข้าห้อง ทีสาวๆ ชวนเข้าจนแทบจะกราบประเคนเครื่องหอมก็ไม่ยักโผล่มาแม้แต่ปลายเส้นผม โอ้ย... กูปวดใจ!
“ถ้ากูบอกว่าไม่ได้ล่ะ”
“ในนี้มีของกิน กินข้าวเที่ยงยัง กินด้วยกันเถอะ” ไอ้หมีชูถุงสีแดงให้เห็น ถุงที่ผมสงสัยในตอนแรกดูท่าทางจะเป็นถุงอาหาร เห็นมีโลโก้แวบๆ อะไรวะนั่น
“มาจากร้านหลีเง๊ก”
“ร้านไรวะ”
“ร้านขายอาหารจีน ซื้อมา กินด้วยกันไหม”
บอกตามตรง ผมไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ไอ้เจ้าของห้อง 305 ซื้อกับข้าวกับปลามาแบ่งผมกิน เรื่องนี้ผมควรซึ้งใจใช่มั้ย อีกอย่าง ดูเหมือนมันจะรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง
“ว่าไง” มันถามอีกครั้ง
รอบนี้ผมลังเล แต่สุดท้ายเพราะความงกบังตาก็เลยยอมเปิดบานประตูออกให้มันเข้ามา สายตาของไอ้หมีวาววับ แต่แล้วก็หายไปในวินาทีต่อมา ผมปิดประตูห้องก่อนจะเดินไปแย่งถุงสีแดงจากมือมันแล้วเดินไปที่โต๊ะกินข้าวในครัว
โอ้โห! เกี๊ยวซ่า ขนมจีบ ซาลาเปา บะหมี่เอย ไก่เอย วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย โคตรอยู่ดีกินดีเลย
“สุขสันต์! มึงจะเก็บเงินจากกูเท่าไรวะ”
“ไม่เก็บ แต่ขออยู่ในห้องนี้”
เออ มึงอยู่เลยจ้า สูบแอร์กูจนให้พอใจ ส่วนไก่นี่กูสูบเองเด้อ ขอบใจหลายๆ
“เจได ดูเรื่องอะไร”
“The darkest mind เฮ้ยๆ อย่าทำอะไรนะ กูพอสไว้อยู่” ผมรีบบอกก่อนที่มันจะทะลึ่งกดปิดหนังผม
“ไม่เคยดู เรื่องเกี่ยวกับอะไร” หมีตัวหนึ่งตีหน้าสงสัยใส่ผม
ผมถอนหายใจใส่หมีขี้สงสัย มือก็เทอาหารใส่จานไปด้วย “คือเหมือนมันมีโรคระบาด โรคนี้จะเป็นแค่ในเด็ก บางคนทนไม่ได้ก็จะตาย ส่วนใครที่ทนได้ก็จะมีพลัง แล้วไอ้พวกมีพลังก็จะถูกจัดกลุ่มออกเป็นสีต่างๆ ตามความแข็งแรง” ผมหยุดอธิบายเมื่อเห็นว่าไอ้สุขสันต์มันมองมา “มึงมองหน้ากูทำไม”
“ไม่มีอะไร” ปากบอกว่าไม่มีอะไรแต่ก็ยังคงนั่งมองผมอยู่เหมือนเดิม
ผมทิ้งถุงลงในถังขยะใต้โต๊ะ เดินหอบอาหารที่เทใส่จานเรียบร้อยแล้วไปที่โซฟา ทรุดตัวลงนั่งข้างมันแล้วกดเพลย์ต่อ นั่งดูไปได้ไม่เท่าไรจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรมาจ่ออยู่ตรงปาก พอก้มลงมองก็พบว่าเป็นขนมจีบ ไอ้สุขสันต์มันถือเอาไว้พร้อมส่งสายตาคะยั้นคะยอให้ผมกินให้ได้
“กูกินเองได้” ผมหยิบชิ้นที่วางอยู่บนจานมากินเอง แต่มีเหรอที่ไอ้หมียักษ์มันจะยอมง่ายๆ “จะป้อนกูให้ได้เลยใช่ปะ”
มันพยักหน้า มือก็ยังยกค้างไว้อย่างนั้น ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะยอมกินของที่ถูกป้อน ดูท่าทางมันจะพอใจนิดๆ เหมือนเห็นภาพหมาโกลเด้นกำลังส่ายหางดีใจที่ได้รับรางวัลจากเจ้านาย
หลังจากนั้น สถานการณ์ระหว่างผมกับมันก็เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ไอ้หมียักษ์เอาแต่ป้อนผมตลอดการดูหนัง ตอนแรกผมก็ขัดขืนอยู่บ้างครับ แต่เมื่อความขี้เกียจเข้าครอบงำ ผมก็เลยปล่อยให้มันทำไป สบายจะตาย ข้าวก็ฟรี แรงจะกินก็ไม่ต้องออกอีก จนกระทั่งหนังจบ ผมจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปถามมัน
“สนุกปะ”
“อือ สนุกดี”
ไอ้ตอแหล มึงแทบจะไม่ได้มองจอเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ป้อนกูเนี่ย
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้วไป กลับห้องได้ละ ส่วนไอ้จานพวกนี้ก็เอาไว้นี่แหละ กูจัดการเอง” ผมแย่งจานในมือมันมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ไอ้หมีก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับ ไม่หือไม่อืออะไรเลย “กูจะดูหนังต่อ ส่วนมึงอะ กลับได้แล้ว”
ดูปากเจไดชัดๆ นะ ...กลับได้แล้ว
“ดูต่อสิ”
“มึงจะดูด้วย?”
“เอาดิ มีเรื่องอะไรอีก” มันขยับเข้ามาใกล้ขึ้น เออๆ จะดูก็ดู มีเพื่อนดูหนังด้วยก็ดีเหมือนกัน
ผมกดเลื่อนรายการใน playlist ให้มันดู “อยากดูเรื่องอะไร”
“เจไดเลือกเลย”
สายตามันไม่ได้มองรายชื่อหนัง แต่มองกูเนี่ย! ! !
ไอ้เชี่ย ผมไม่ชินกับสรรพนามนี้ ไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อตัวเองได้น่าขนลุกเท่านี้มาก่อนเลย ซอฟต์โทนแบบนี้นี่มันอะไรกันวะ จั๊กจี้
“มึงไม่ต้องเรียกกูเต็มยศแบบนั้นก็ได้”
“ทีเจไดยังเรียกสุขสันต์”
แหม่... มึงไม่เรียกกูว่า ‘เจศราวุธ’ เลยล่ะ
“แล้วจะให้กูเรียกมึงว่าอะไร เออ... สุขสันต์แม่งก็ยาวไปจริงๆ แหละ”
“เรียกสุขก็ได้” ไอ้ยักษ์รีบเสนอขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมกูจะเรียกสันต์ไม่ได้” ผมสงสัย
“ก็…มันจะได้ดูสุข เวลาเรียก”
เออ ช่างครีเอทไปอีก แต่เอาเถอะ สุขก็สุข
“โอเค จะเรียกกูว่าเจเฉยๆ ก็ได้ ไอ้ห่าเจขอสงวน เรายังไม่สนิทกันขนาดนั้น” ผมมองมัน สุขสันต์หรือไอ้สุขยกยิ้มมุมปากขึ้นมาแวบหนึ่ง
ฉิบหายละ ใจกระตุก จริงๆแล้วไอ้หมีเป็นคนที่ถ้ายิ้มจะหล่อมากอะผมรู้สึกได้ อันนี้พูดแบบตัดอคติเต็มที่เลยนะ
“เจก็เจ”
เนี่ย กูขอซื้อได้ไหมไอ้ซอฟต์โทนของมันอะ คือหน้ามันไม่ให้เว้ย
“มึงชอบดูหนังแนวไหน แอคชั่น? ไซไฟ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“อะไรก็ได้ ปกติไม่ค่อยดู”
“เอ้า กูก็นึกว่ามึงเป็นคอหนังเหมือนกู”
“เคยดูไม่กี่เรื่อง” มันเอนหลังพิงโซฟาแล้วมองมาที่ผม “แต่อยากดูตอนนี้”
“เอ้า! เออๆ งั้นดูตามใจกูแล้วกัน ถ้ามึงโวยวายเดี๋ยวกูโบกให้นะบอกไว้ก่อน”
ตอนนี้ผมกับไอ้สุขเริ่มเข้าใกล้คำว่าเพื่อนขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เอาจริงๆ สุขสันต์มันก็ไม่ได้แย่ แค่เมื่อก่อนผมมีอคติมากไปหน่อยเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วผมก็เลือกหนังสยองขวัญขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ถึงจะดูมาแล้วหลายรอบแต่ก็ยังอยากจะดูอีก
Hereditary นับเป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญที่ผมชอบดู ช่วงเริ่มต้น เราสองคนก็นั่งดูไปเรื่อยๆ มีบางฉากที่ผมเผลอสะดุ้งมาบ้าง เพราะต่อให้ผมจะดูหลายรอบแล้วแต่ความตื่นเต้นมันก็ยังไม่หาย สติทั้งหมดของผมถูกดึงมาที่หนังจนหมด ดูไปเรื่อยๆ จนจบ ก้มดูเวลาอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว แต่พอหันไปดูไอ้คนข้างตัว ปรากฏว่าไอ้สุขคนหล่อหลับคาหมอนของผมไปแล้วเรียบร้อย ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้มันหลับสนิทไปเลย
“เฮ้ย ไหนมึงอยากดูหนัง แล้วมึงก็มานอนงี้อะนะ”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้...
“ไอ้สุข ไอ้สุขสันต์โว้ยยย!”
“อือ…” มีเสียงครางตอบกลับมาแค่นั้นครับ จากนั้นก็เอนตัวลงมานอนทับตักผมเนียนๆ
เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ
“ไอ้สัส! มันหนักโว้ย มึงจะนอนก็นอนไป แต่อย่ามาเดือดร้อนกูสิวะ”
“…”
“โว้ย!”
น่าน ดังขนาดนี้มันก็ยังจะนอนนิ่งๆ อยู่อีก เอาเข้าไป นอนจนขากูชาไปเลยนะ แอร์ก็ฟรี ตักก็ฟรี สบายไปเนาะ นี่ถ้าไม่เห็นแก่ข้าวฟรีนะ กูยันมึงตกโซฟาไปนานแล้ว
“เออ จะนอนก็นอนไป อย่ายุกยิกมาก” บ่นไปอย่างนั้น แต่ก็ยอมให้มันนอนต่อ
พอไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเปิดหนังเรื่องที่สาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอร์เย็นๆ หรืออาหารที่เพิ่งจะย่อยเสร็จ ผมถึงได้รู้สึกหนักหนังตาได้มากขนาดนี้ ดูไปได้ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องก็เริ่มรู้สึกหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด สติที่มีก็ได้หายไปเรียบร้อย
ตรงกันข้าม หลังจากที่เจ้าของห้องหลับ คนเป็นแขกก็ตื่นขึ้น...
สุขสันต์ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งประจันหน้ากับเจ้าของห้อง เขาค่อยๆ จับอีกคนเอนตัวลงนอนช้าๆ พอเจ้าตัวได้นอนในท่าทางที่สบายขึ้นก็มีสีหน้าผ่อนคลาย เจไดขยับตัวยุกยิกเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไป ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะง่วงมาก เขาจัดการปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุคให้ เดินเอาจานไปล้าง แล้วกลับมานั่งจ้องหน้าเจ้าของห้องที่หลับไป นั่งมองไปเรื่อยๆ เกือบสิบนาที สุดท้ายก็ตัดสินใจจะใช้มือสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักมือเอาไว้
ยังก่อน…
เจ้าของห้อง 305 ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่จากมุมห้องมาห่มให้อีกคน เขาเช็คความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
วันนี้เจไดยอมเปิดประตูห้องให้เขาแล้ว เหลืออีกแค่ประตูเดียวเท่านั้นที่เขาต้องเปิดให้ได้
รับรองว่าพอถึงวันนั้น เขาจะไม่ทนอย่างวันนี้อีกต่อไป
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ประตูหัวเจยยยยยยย
มีแผนนะพี่หมี
อ้าว ไม่ได้เหลืออีกสองประตูหรอกเหรอ... กรี๊ดดด ใจบาปจริง555
พี่หมีอย่าเพิ่งกินน้องเจ