ตอนที่ 3 : 3
MR. 305
EP.3
วันนี้เป็นวันศุกร์ นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอไอ้สุขสันต์อีก วันนั้นเหตุการณ์จบลงที่ผมไล่มันไปอาบน้ำ แล้วให้มันนอนโซฟา ซึ่งมันก็ทำตามแต่โดยดี ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนั้นมันบอกง่ายจนผมรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่พอตื่นเช้ามาผมก็ไม่เจอมันแล้ว เจอก็แต่ตัวแทนเป็นข้าวต้มปลาร้อนๆ วางอยู่หน้าห้องตามเดิมกับกาแฟแก้วหนึ่ง ไม่มีจดหมายน้อย ไม่มีโพสต์อิท ไม่มีอะไรเลยที่บ่งบอกถึงความป็นเจ้าของได้ และจากวันนั้นเหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบเดิม ตื่นมาตอนเช้าพร้อมถุงเซเว่น แต่ไม่เคยเห็นเจ้าของ หรือแม้แต่เงาหัวของไอ้เจ้าของห้องตรงข้ามด้วยซ้ำ
เอ้อ! แล้วกูจะไปนึกถึงมันทำไมเนี่ย
แต่!!! ในที่สุดอาทิตย์นี้ก็กำลังจะผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์
“มึงอย่าทำหน้าตลกแบบนั้น มึงมานี่ เอานี่ไป”
นั่น ยังไม่ทันจะได้ดีใจสุดๆ ไอ้ตัวมารอย่างพี่บาร์ก็ดันมองเห็นแล้วเรียกให้ไปคาบงานทันที ผมทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมไปเอามา
“ให้ผมดีใจหน่อยก็ไม่ได้ เฮ้อ... เออ! แล้วพี่ไม่มีแพลนไปไหนบ้างอ่อ วันศุกร์ทั้งที”
“แล้วมึงจะให้กูไปไหน” พี่บาร์ตอบกลับโดยที่ไม่ได้มองหน้าผม เวลาที่พี่บาร์ใส่แว่นแล้วทำหน้าซีเรียสเอางานเอาการแบบนี้แม่งโคตรจะหล่อเลย
แต่คิดอีกทีก็งั้นๆ อะ สู้ผมไม่ได้สักนิด
“ก็ไปร้านไอ้นี่ไงพี่ ร้านที่เพิ่งมาเปิดใหม่ข้างซอยนี่ไง เห็นพวกเจ๊ๆ แกพูดกัน ผมเลยอยากเสนอ”
“มึง ดูกูนะ สภาพกูแบบนี้มึงยังจะให้กูร่อนอีกเหรอ” พี่บาร์ยอมละสายตาจากจอคอมฯ แล้วหันมาจ้องผม
เหี้ยแล้ววว... สภาพพี่แกตอนนี้เหมือนซอมบี้มากอะ ไม่รู้ว่าท่านประธานคนใหม่จงเกลียดจงชังอะไรพี่บาร์นักหนา เรียกใช้งานทุกวัน ทั้งทำงานตามหน้าที่ ไหนยังจะต้องไปคอยรองมือรองเท้าอีก น่าสงสารเนอะ
“แหะ สู้ๆ พี่”
“พี่บาร์คะๆ” และยังไม่ทันที่ผมจะได้กลับไปยังโต๊ะทำงาน เสียงหวานใสของผู้หญิงอีกคนในบริษัทก็ดังขึ้น ไอ้พี่บาร์นี่ก็ไม่มีความอ่อนโยนใดๆ ตีหน้ายักษ์ใส่น้องเขาทันที
“ท่านประธานเรียกพบค่ะ”
“บ้าเอ้ย!”
เอาเป็นว่า...ผมกลับไปทำงานของตัวเองต่อดีกว่า
และแล้วก็ถึงเวลาเลิกงานที่ผมรอคอย ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว และกำลังแต่งตัวเตรียมจะออกไปลั้ลลาหรรษาตามประสาเพื่อน กับเดอะแก๊งโฉดๆ ของผม อันที่จริงเพื่อนสนิทของผมมีไม่กี่คนหรอก นานๆ ทีจะได้เจอกัน แบบวันนี้สักที แอบนัดกันไว้ทีไรก็ล่มตลอด ในที่สุดก็ถึงเวลาสักที เย้!
[อะ แล้วมึงเมื่อไหร่จะเสด็จวะไอ้เจ]
“เออ น่า เนี่ย! กำลังแต่งตัว”
[สัส มึงนัดกูมารอมึงแต่งตัวทำไมเหี้ยไร พวกกูมากันครบแล้วเนี่ย มาช้ามึงเลี้ยงนะ]
“เฮ้ย! อย่าเหี้ยดิวะ” ผมโวยวายเล็กน้อยใส่ปลายสาย ก่อนที่สายจะถูกตัดไป
พิง คนในสายก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของผม เราเป็นเพื่อนร่วมคณะกันมาหลายปี จะเรื่องดีเรื่องเหี้ยเราต่างรู้กัน เนี่ย อันที่จริงผมก็เริ่มสงสารพวกมันที่ต้องรอแล้วเลยรีบเช็คของให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง ผมนั่งแท็กซี่มาไม่นานก็ถึงร้านที่นัดกันไว้ ที่นี่เพิ่งเปิดใหม่ บรรยากาศค่อนข้างดี คนก็มีบ้าง ถึงจะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับร้านใหญ่ๆ แต่สำหรับร้านเปิดใหม่แล้วถือว่าเยอะ
“มาสักที เกือบได้ออกไปตามที่ห้องละ”
“เออ กูขอโทษได้ไหมล่ะ” ผมเดินมาถึงโต๊ะก็โดนไอ้พิงจวกทันที
แหม่ ยังไม่ทันได้หย่อนก้นเลยนะมึงนะ
“มันมาแล้วก็ดี กูจะได้กินสักที” ตะวันตัดบท ไอ้นี่ก็เป็นเพื่อนสนิทผมอีกคน มันไม่หล่อเท่าไอ้พิง แต่มันเด็ดตรงที่มีแฟนคนแรกของกลุ่ม แล้วดันคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วย จนตอนนี้มันก็ยังไม่เลิกกัน เห็นแว่วๆ ว่ากำลังเก็บเงินแต่งงาน เนี่ยแหละครับ ตัวอย่างของเพื่อนที่กำลังจะได้ดีในช่วงอายุเข้าใกล้เลขสาม แตกต่างจากผมลิบลับ
“มึงก็อย่ารีบเมาไปก่อนละกัน เดี๋ยวลำบากพวกกูอีก” ผมพูดดักไอ้คนคออ่อนไว้ก่อน
“แล้วนี่ไอ้นนท์มันไปไหนของมัน”
“กูไปห้องน้ำมา ทำไม แดกโดยที่ไม่มีกูไม่ได้เหรอวะ” ไอ้คนที่ถูกถามถึงเดินมาพอดี แถมยังเอามือมายีผมชาวบ้านเขาอีก
“โอ้ยไอ้เชี่ยนี่ ผมกูเสียทรงหมด”
นนท์เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ค่อนไปทางตี๋ ก็แน่ล่ะ บ้านมันเป็นเจ๊กร้านทอง สมัยเรียนนะสาวๆ บางคณะมาแอ้วมันถึงตึกเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับตอนนี้ มันก็เป็นเกย์ไปแล้ว แฟนมันชื่อต้น ตัวเล็กน่ารักเชียว
“มึงจะงอแงไปทำไมวะไอ้เจ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากปกติเท่าไร”
นั่น ดูคำพูดคำจามัน น่าถีบฉิบหาย ไม่รู้คนน่ารักๆ อย่างต้นเอามันลงไปได้ไง
“มึงมา มึงก็มาตีกันเลยเนอะ”
“ทำมาเป็นห้ามศึกนะมึง” ผมชี้หน้าไอ้พิง มันหัวเราะออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้จนผมอดไม่ได้ที่จะใช้เท้ายันมันไปอีกตัว
การกลับมาเจอกันแบบนานๆ ที ไม่ได้มีเรื่องให้คุยกันมากมายอะไรขนาดนั้น พวกเราแค่นั่งดื่มนั่งชิมบรรยากาศให้เวลามันล่วงเลยไปเรื่อยๆ แลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องราวของแต่ละคน อัพเดทข่าวต่างๆ ให้กันฟังบ้าง อย่างไอ้พิงก็อวดสาวคนล่าสุด แต่เชื่อเถอะครับว่าคนนี้ผมให้ไม่เกินสามเดือนหรอก คนอย่างไอ้พิงมันก็ไปเรื่อยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ถึงจะได้บ่นมันก็อดที่จะหันมามองตัวเองไม่ได้
ผม-เป็น-คน-เดียว-ที่-ยัง-โสด!
เนี่ย พูดแล้วมันจี๊ด
“มึงก็อย่าไปตลกมันมากไอ้เจ มึงยังไม่มีเมีย ไม่เข้าใจพวกกูหรอก”
“สัส!” ได้แต่ด่าแล้วเอาเหล้าเข้าปากไปเงียบๆ
ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนดึกแล้ว ผมรับรู้ได้เลยว่าตัวเองค่อนข้างที่จะกรึ่มๆ ได้ที่แล้วเหมือนกัน หันไปมองไอ้ตะวัน รายนั้นหงายท้องไปแล้ว
“เฮ้ยๆ กูไปห้องน้ำแปบนึงนะ” ผมบอกเพื่อนก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ
เออ พอดึกแล้วคนแน่นร้านเลยว่ะ สงสัยคนชอบมาที่นี่กันตอนดึกๆ นี่ขนาดเดินผ่านโต๊ะมาเกือบสิบโต๊ะแล้วนะ แม่เจ้าโว้ย! ผู้หญิงสวยๆ อยู่ที่นี่เพียบ คืนนี้พี่จะเมาไม่ได้ พี่ห้ามเมาจนลุกเต้นเสียหมาเด็ดขาด! และคืนนี้ พี่ต้องได้คนคุยสักคนล่ะวะ!
“โอ้กกกกกกกกกก”
…แต่จุดจบของพี่คือส้วมไม่ได้
อย่าตกใจ นั่นไม่ใช่เสียงผม มันเป็นเสียงของอีกคนที่เขารีบวิ่งพุ่งเข้ามาในห้องน้ำเมื่อกี้ ผมนี่ตกใจจนเกือบสร่าง ที่แท้ก็รีบมาอ้วก
โถ พ่อคู๊ณณ คงจะหนักละสิท่า
ผมเข้าไปในห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวจนเสร็จก็เอาน้ำแปะหน้าเล็กน้อยพอให้สดชื่น เอาวะ! พร้อมลุย วันนี้กูจะกลับตอนร้านปิดโว้ยยยยย
หลังจากที่เช็คความหล่อของตัวเองเสร็จและกำลังจะออกไปจากห้องน้ำ ก็เป็นอันต้องรีบหลบเข้าผนังเพราะอีกคนมันดันเดินมาเบียด
“เจได?”
อะ…โลกแม่งกลมสัส!
“มาทำอะไรที่นี่”
เอ้า กูมาร้านเหล้าคงจะมาสั่งส้มตำมั้ง ไอ้นี่!
เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด แต่ก็ต้องข่มไว้เพราะกลัวมันโมโหใส่ ถ้าคนอย่างมันเล่นงานผมกลับนี่ผมเป็นง่อยได้ง่ายๆ เลยอะ
“ถาม” พอผมไม่ตอบก็เลยถามเสียงเข้มขึ้น
“มากับเพื่อน ถอย จะกลับโต๊ะแล้ว”
“นั่งโต๊ะไหน”
“โต๊ะไหนก็เรื่องของกูสิวะ โตแล้วววว” ผมลากเสียงยาวใส่ ผมว่านะผมต้องเมาในระดับหนึ่งแล้วล่ะถึงกล้ากวนส้นตีนมันได้ขนาดนี้ นึกๆ แล้วก็อยากจะตีตัวเองเหมือนกัน แต่เหมือนมันจะตกใจนิดหน่อย
“ถอยยย”
“ถามว่านั่งโต๊ะไหน”
“โอ้ย โต๊ะแถวๆ ระเบียง! พอใจยัง” สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว โวยวายใส่มันก่อนจะเดินชิ่งออกมา พอมาถึงโต๊ะ ไอ้พิงก็กำลังเนียนขอเบอร์สาวโต๊ะข้างๆ อยู่พอดี ส่วนไอ้นนท์ก็กำลังโทรคุยกับแฟนอยู่ รู้สึกว่าช่วงนี้ไอ้นนท์มันกำลังถูกเมียควบคุมความประพฤติ ส่วนไอ้ตะวัน รายนั้นตอนนี้ไหลตายไปแล้ว ปู่ ย่าคือลงมารับมันไปแล้ว
ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมานั่งเก้าอี้ของตัวเอง บรรยากาศในร้านเริ่มครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย ผมนั่งดื่มต่อไปอีกสักพัก เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ โต๊ะหน้าเวทีก็ดังขึ้น อะไรวะ?
“สวัสดีครับ วันนี้วันศุกร์พบเจอกับพวกเราวง The Drunk อีกแล้วนะครับ สำหรับวันนี้ผมก็ขอเน้นมันๆ หน่อยแล้วกัน เพราะคืนนี้มันคือ Friday night!!”
สิ้นเสียงคนจับไมค์ สาวกทั้งหลายแหล่ก็พากันกรี๊ดตอบ โห แสดงว่าวงนี้ต้องดังในระดับหนึ่งเลยนะนี่ ผมเริ่มสนใจวงนี้เลยหันตัวไปทางเวทีเต็มที่ และแล้วเสียงเบสก็ดังขึ้นเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแขกได้อีกรอบ แต่เอ๊ะ…
เฮ้ย!
“ไอ้สุขสันต์”
ผมอ้าปากเหวอทันทีที่เห็นว่าใครเป็นมือเบสประจำวง
โอ้โห คุณสุขสันต์จากห้องน้ำเมื่อครู่นี้เอง ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะทำงานเป็นนักดนตรีกลางคืน
เสียงดนตรียังคงดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จังหวะหนักๆ เริ่มกระตุ้นใจผมขึ้นมาทีละนิด โอโห…วงอะไรเนี่ย เล่นมันฉิบหายเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หมีสุขสันต์มันจะเล่นได้มันขนาดนี้ ช่วยด้วย ผมอยากโยกว่ะ เท้าเริ่มกระตุกแล้วเนี่ย ดูมันเล่นดนตรีก็ชักจะเพลินดีเหมือนกัน ปกติไม่เคยเห็นมุมอะไรแบบนี้ เวลาที่มันเล่นดนตรีแล้วใช้สมาธิ เอาจริงๆ ก็แอบยอมรับนะว่ามันก็มีบางมุมที่ดูดีอยู่เหมือนกัน ร่างนักดนตรีนี่ได้ใจสาวๆ หน้าเวทีไปหลายคนเลย
“ตราบใดที่ปลายท้องฟ้า…” เสียงครางยานๆ ดังขึ้นด้านหลังเรียกสติให้ผมหันกลับมามองสหายของตัวเอง เป็นไอ้ตะวันนั่นเองที่เลื้อยมากอดคอผมไว้
โอ้ยไอ้นี่ เมาแล้วมาเรื้อนใส่กูได้เนอะ
“เฮ้ย! กูต้องกลับแล้ว ต้นสั่งเคอร์ฟิว อะนี่ตังค์”
“เอ้า ไอ้นนท์มึงนี่ก็นะ ห่า!”
นนท์พูดแค่นั้นก่อนจะเก็บข้าวของแล้วออกไปจากร้าน คนที่เคยตะโกนปาวๆ ในวันรับน้อง ตัดภาพมาที่ปัจจุบันคือโดนเมียสั่งเคอร์ฟิวต้องรีบกลับ
#พ่อบ้านสัสๆ
“อะ เหลือมึงกับกูแล้วไอ้เจ”
“ไอ้ตะวันอีกคน”
“มันเป็นศพไปแล้วมึงก็เห็น” ไอ้พิงพูดก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางเพื่อนอีกคนที่เลื้อยลงไปนอนต่อ
เฮ้อ ผมเองก็เห็นด้วยกันกับมันนั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่วายให้ผมสองคนตามเก็บแน่ๆ
“คืนนี้ค้างห้องมึงได้ไหม ใกล้ดี กูชักมึนๆ แล้วว่ะเจ”
“เออ เอาดิ อยากกลับยัง”
“ยัง! เพลงแม่งมัน ได้ใจดีว่ะ มึงลงไปเอาสักเพลงไหมเจ ฮ่า”
ผมยกนิ้วกลางเป็นของขวัญใส่หน้ามันไป จากนั้นเวลาที่เหลือผมเองก็ด่ามันบ้าง ร้องเพลงตามบ้าง โวยวายบ้าง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมกับไอ้พิงก็มีมิชชั่นจัดการเหล้าและค่าเหล้า
แต่ทุกมิชชั่นย่อมมีอุปสรรคเสมอ...
“พิงงงง ปวดฉี่”
“เรื่องของมึงงง”
อ๋อยยย ผมน็อคดาวน์แหล่ว ไม่หวายยแหล่ววว หยักอ้วกมั่กๆ
ตอนนี้ผมไม่ค่อยมีสติรับรู้อะไรแล้ว แรงจะยกตัวจากเก้าอี้ยังไม่มีเลย เมาเป็นหมาที่แท้ทรู เสียงรอบข้างก็กลายเป็นอู้ๆ อี้ๆ ฟังอะไรไม่รู้เรื่องละ รู้ตัวแค่ว่าตอนนี้ไอ้พิงแม่งชนะ มันไม่เมา มันเลยเป็นคนจัดการเรื่องเงิน และตอนนี้มันก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ โอ้ยย ปวดหัว
“เจ... เจได”
ยังไม่ทันที่ตาปรือจะหลับลงไป แรงสะกิดตรงแขนก็ทำให้ผมต้องฝืนลืมตาอีกครั้ง โอ้ยยย ใครว้า...
“เมาแล้วเหรอ”
“เมาบ้านพ่อมึงงงง เนี่ยย”
“ใครไปส่ง กลับยังไง”
เสียงใครวะแม่ง คุ้นหูจัง
“ไม่รู้ๆ โบกๆ” ผมยกมือขึ้นบนอากาศ แสดงท่าทางให้อีกฝ่ายดูว่าผมจะโบกรถกลับ อีกฝ่ายเงียบไปสักพักหนึ่ง ผมเลยรู้สึกง่วงขึ้นมาอีก กะว่ากำลังจะหลับ แต่ไอ้บุรุษปริศนามันก็ดันเตะเก้าอี้ผมสะเทือนจนผมตกใจผุดลุกขึ้นมา
ไอ้หยา ใจหายยย
“จะไปส่ง ลุก” มันสั่ง
“มึงครายย สั่งกูอ่อ ต่อยไหมมม”
“เจ ลุกยังจะไม่ไหวเลย”
“เฮ้ย อย่ามาจับบบ ใครวะ” ผมสะบัดแขนออกจากการจับกุมก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกถึงการหมุนรอบตัวเองของโลกจนเซไปเกาะขอบระเบียง เหมือนสติมันหายไปกับการเซ หูผมกลับมาอื้ออีกรอบ ฟังอะไรไม่ออกเลย ตอนนี้คือหนักหัวมาก ไม่หวายยแหล่ว แอ่กกกก
“คุณเป็นใคร ไอ้เจมันเพื่อนผม เดี๋ยวผมไปส่งมันเอง” พิงที่สร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อยเดินกลับมายังโต๊ะ แต่ก็ต้องพบว่าเพื่อนตัวแสบของตัวเองได้เข้าไปอยู่บนหลังของผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้
เอ้อ ไอ้เจได มึงเมาแล้วจะไปขึ้นหลังใครก็ได้ไม่ได้โว้ย!
“คนเมาสามคน จะไปกันยังไง” ไอ้คนตัวสูงถามเขากลับ ถ้าเขาจำไม่ผิดเหมือนไอ้ผู้ชายคนนี้มันจะเป็นหนึ่งในวงดนตรีเมื่อตอนดึกนี่นา เอ๊ะ ไอ้เจมันรู้จักคนนี้ด้วยเหรอ
“แท็กซี่ไง โง่ปะ” พิงตอบกลับกวนๆ ตามประสาคนเมา สายตาก็ยังคงมองเพื่อนที่หลับไม่รู้เรื่อง แถมยังอ้าปากน้ำลายยืดส่งเสียงอ้อแอ้อยู่บนหลังของอีกคน
“…เดี๋ยวไปส่ง ตามมา เอาเพื่อนคุณมาด้วย”
“เดี๋ยว! รู้จักห้องไอ้เจมันเหรอ”
“อือ ที่เดียวกัน” ผู้ชายคนนั้นตอบมาแค่นั้นก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป
อ้าวเฮ้ย! เพื่อนกู! ไอ้แสบมันโดนหิ้วไปนู่นแล้ว!
“เฮ้ย! จะไปส่งได้ไง…” พิงรีบเดินตามไปทันทีก่อนจะยึดแขนอีกคนไว้ไม่ให้เดินไปข้างหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบไอ้ผู้ชายคนที่แบกเพื่อนเขามันก็หันหน้ากลับมามอง
“อย่า! เดี๋ยวเจตก”
มันหันมาห้ามเขาก่อนจะหันหน้าไปพูดอะไรไม่รู้กับเจไดเบาๆ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ยิน จากนั้นมันก็เดินนำออกจากร้านไป
อะ…อะไรวะเนี่ย…ผู้ชายคนนี้เป็นใคร เจไดมันไปรู้จักได้ไง แล้วมันเสือกดุกูด้วยย ไอ้เหี้ย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮั่นน่ะ มีแบกเค้ากลับด้วยยยยยยยยยยยย
พี่หมี