ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] ฟิคชั่นจากมุมเล็กเล็ก {MarkNior}

    ลำดับตอนที่ #2 : My Dear Boyfriend *Crybaby Boyfreind* [Mark&Nior]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 403
      4
      13 ก.ค. 58

    My Dear Boyfriend

    -Crybaby Boyfriend-

    (ุถ้าเข้ามาเจอตอนนี้เลย กลับไปอ่านตอนแรกก่อนนะคะ ตอนOverreating Boyfriend)

     

    แฟนคนอื่นจะเป็นยังไง ผมไม่รู้

    ผมรู้แต่ว่า แฟนผมเป็นคน ขี้แง!!!

    .

    .

    .

                    ผมรู้สึกว่าเช้าวันนี้ของผมมันไม่สดใสเลยสักนิด ไม่เลย เมื่อต้องตื่นมาเห็นสายท่ออะไรสักอย่างโยงจากแขนข้างซ้าย และที่แขนข้างขวามีแฟนรูปหล่อของตัวเองนั่งร้องไห้กระซิกๆซบแขนผมอย่างกับผมจะตายวันตายพรุ่ง ผมว่าผมก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้างนะว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก่อนหน้านี้

                    เช้าเมื่อวานผมไข้ขึ้นค่อนข้างสูง อาจจะเพราะช่วงนี้อากาศหนาวมากและผมก็ต้องติดสอยห้อยส่งตามมาร์คไปถ่ายรายการนอกสตูดิโอบ่อยครั้งเข้าก็เลยเกิดอาการไม่สบายขึ้นมา แต่สาบานเถอะว่าผมมีสติตลอดเวลา มีแค่ตอนเย็นที่ผมเผลอลุกจากโซฟาเร็วไปหน่อยจนหน้ามืด แล้วประจวบเหมาะกับมาร์คที่กลับมาพอดี เขาถึงกับสติหลุดตามสไตล์แฟนจอมเยอะ  รีบอุ้มผมมาส่งโรงพยาบาลแล้วโวยวายไม่หยุด ผมเลยแกล้งหลับหนีอายมันซะเลย

                    หมอบอกผมว่า ผมเป็นไข้หวัด(ธรรมดาไม่ใหญ่โต) อันที่จริงก็ไม่ต้องถึงขั้นนอนโรงพยาบาลก็ได้ แค่ฉีดยาแล้วกลับไปพักผ่อนทานยาตามหมอสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่พวกคุณคงรู้ มาร์คไม่มีทางยอมให้ผมที่ยังมีท่าทีของคนป่วย หน้าซีด ไม่มีแรงกลับไปนอนพักที่คอนโดง่ายๆ สุดท้ายก็ต้องมานอนห้องพิเศษให้เขาได้อุ่นใจว่าผมจะไม่เป็นอะไร ตราบใดที่อยู่ใกล้มือหมอ

    “มาร์ค...” ผมเรียกแฟนผมเบาๆ แต่เขาสะดุ้งพรวดเงยหน้าทันที โถ หน้าเขาเปรอะรอยน้ำตาดูน่าสงสาร แต่ให้ตายเถอะ ผมยังอยู่ดี และไม่ได้รู้สึกว่ากำลังจะตายใดๆทั้งสิ้น เขาน่ะเวอร์ไปเองทั้งนั้น

    “จินยองงงง ฮืออออ รู้สึกยังไงบ้าง พี่เรียกหมอแป๊บนะ” เขาร้องไห้ออกมาอีกระลอกพร้อมพุ่งตัวมากอดผมที่นอนอยู่ทันที ยอมเขาหน่อยล่ะ ใจเสียไปเยอะ เฮ้อ....

    .

    .

    .

                    หลังจากคุณหมอเข้ามาตรววจเบื้องต้นแล้วว่าอาการของผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง  ไข้ก็ลดจนเกือบปกติ และผมก็แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเพราะหลับไปเยอะ (หลับนานจนมาร์คนั่งร้องไห้) แต่โดยรวมก็ปกติเกือบร้อยเปอร์เซ็น ผมจึงตัดสินลากมาร์คกลับคอนโดทันที

    “จินยองอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่แวะให้” มาร์คพูดน้ำเสียงยังแอบเครียดขรึมเล็กน้อย ผมหันหน้าจากทางหน้าต่างมามองหน้าเขา มาร์คดูเครียดๆ

    “เพิ่งกินที่โรงพยาบาลเอง กลับกันเถอะ ผมอยากนอนมากกว่า” เป็นความจริงล้วนๆ บางทียิ่งนอนเท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆนะครับเวลาป่วยเนี่ย เพลียร่างอย่างแรง

    “ว่าแต่วันนี้ต้องไปถ่ายเอ็มวีไม่ใช่เหรอครับ” ผมรู้ตารางมาร์คดีพอพอกับพี่เมเนเจอร์นะครับ และจำได้ด้วยว่าวันนี้มีถ่ายเอ็มวีเพลงใหม่เตรียมคัมแบคตอนสิบโมง ซึ่งตอนนี้ก็เลยมาสามชั่วโมงไปแล้ว

    “เลื่อนไปบ่ายสามน่ะ ขอมาส่งจินยองก่อน” มาร์คพูดพลางลูบหัวผมเหมือนเล่นกับลูกแมว ผมยิ้มให้มาร์ค และมาร์คก็ยิ้มให้ผม

    “ขอโทษนะครับ ที่ทำให้ตารางต้องเลื่อนไปหมดเลย วันนี้ต้องถ่ายเอ็มวียันเช้าพรุ่งนี้แน่เลย” ผมจับมือมาร์คมาแนบหน้าแล้วอ้อนขอโทษด้วยการไถหน้าไปกับมือเขา จนเขาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย

    “ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะถ่ายเวลาเดิมแล้วพี่ก็ต้องแอบออกมาหาจินยองอยู่ดีนั่นแหละ” ครับแฟน ชัดเจนมาก ไม่ห่วงอนาคตเพื่อนร่วมวงสักนิดเลยครับ เฮ้อ...

    .

    .

    .

                    พวกเรากลับมาถึงคอนโด มาร์คก็รีบกุลีกุจอจัดการเปลี่ยนชุดให้ผมเป็นชุดพร้อมนอนทันที บางทีผมก็อยากถามมาร์คเหมือนกันนะครับว่าทำไมชอบจับผมแต่งตัวอย่างกับตุ๊กตาตลอด คือผมไม่ได้รู้สึกว่ามาร์คทะลึ่งเลยสักครั้งที่เขาจับผมถอดเสื้อ หรือใส่เสื้อให้ เขาไม่ได้ล่วงเกิน แต่กลับมีสายตาจริงจังเสมอเวลาที่ทำอย่างนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะวิญญาณเจ้าพ่อแฟชั่นเข้าสิงก็ได้มั้งครับ เขาแต่งตัวดีเสมอ และก็ลามมาจัดการการแต่งตัวของผมไปด้วย จนตอนนี้ผมแทบจะแต่งตัวเองไม่เป็นแล้วครับ กลัวไม่ถูกใจเขา (ฮริ้ง)

    “มาร์ค... โชคดีนะครับ ตั้งใจทำงานด้วย” ผมยืนรอส่งเขาที่หน้าประตูห้อง จุ๊บที่ปากไปหนึ่งที แก้มข้างล่ะที หน้าผากอีกสองครั้งเรียกกำลังใจครั้งใหญ่เลยครับเพราะเขาทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้แค่มายืนหน้าประตู

                    มาร์ครวบตัวผมเข้าไปกอดแน่นไม่ยอมปล่อย จุ๊บกลับทุกจุดที่เมื่อกี้ผมจุ๊บเขาแถมยังเพิ่มจูบตรงปากแบบแนบแน่นเกือบๆจะเป็นดีพคิส หลังจากละจากกันผมก็ได้แต่ลูบหลังเขาเบาๆ แต่พอผมจับหน้าเขากะจะจุ๊บลาจริงจังเท่านั้นผมก็ตกใจ มาร์คร้องไห้อีกแล้ว นี่ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะครับ ทำไมเขาเอาแต่ร้องไห้ขี้แงอย่างนี้เนี่ย

    “มาร์ค ไม่เอาไม่ร้องแล้วนะครับ ผมไม่เป็นอะไร จะหายแล้วด้วย เดี๋ยวผมก็ร้องไห้ตามหรอก” นี่ผมพูดจริงจัง พอเห็นเขาร้องมากๆน้ำตาก็พาลจะไหลตามแบบไม่มีเหตุผล

    “ขอโทษ แต่มันอดคิดไม่ได้นี่ พี่กลัวจินยองจะเป็นอะไร แล้วไม่มีพี่อยู่ด้วยเหมือนตอนนั้นอีก” ใจผมนี่แทบจะหล่นลงพื้น เมื่อเขาพูดถึงเหตุผลที่เขาร้องไห้ ผมไม่ใช่คนที่ป่วยบ่อยนัก แต่ครั้งนั้น คงฝังใจเขามาจนถึงวันนี้

    “ไม่เป็นอะไรแล้ว ผมสบายดีนะ ดูสิ” ผมจับหน้าผากเขาชนกับหน้าผากของผม บอกให้เขามองดูผมในตอนนี้ ผมแข็งแรงดี ไม่อยากให้เขาฝังใจกับเรื่องในอดีตอีกแล้ว

                    มาร์คสูดหายใจลึกๆหนึ่งทีแล้วปาดน้ำตา ผมจูบเขาที่ปากเบาๆหนึ่งทีเป็นกำลังใจก่อนเขาจะเดินออกไป โถ่ สุดหล่อของผมแทบจะหมดเค้าความหล่อเสียแล้ว เหลือแต่เด็กขี้แงที่พยายามเข้มแข็งเดินออกจากห้องไป

                    หลังจากมาร์คออกไปได้สักพัก ผมก็เดินมาทิ้งตัวนอนที่เตียงหลังใหญ่ ในใจผมมันแอบวูบโหวง ไม่คิดเลยว่า มาร์คจะยังคิดฝังใจกับเรื่องที่เกิดตั้งสองปีที่แล้วขนาดนี้  พอผมมาย้อนคิดดู ก็อดเป็นห่วงมาร์คไม่ได้เลยจริงๆ ปล่อยเขาไปทำงานวันนี้ จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ...

    .

    .

    .

                    ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ผมยังไม่ได้ย้ายมาอยู่กับมาร์คเหมือนทุกวันนี้ มาร์คเพิ่งเดบิวท์ได้ปีกว่าๆ กำลังเริ่มมีชื่อเสียงในวงการไอดอลเกาหลี เขาก็เหมือนไอดอลทั่วไปที่ต้องอยู่หอพักร่วมกับทุกคนในวงGimme5 ส่วนผมอยู่หอพักระดับธรรมดาราคากลางๆ เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อแม่ที่ปูซาน ช่วงเวลานั้นคือช่วงที่ผมลาออกจากการเป็นเด็กฝึกของค่ายเดียวกันกับมาร์ค และออกเดินทางตามอีกฝันหนึ่งที่ผมเพิ่งได้พบ

                    ผมมาที่โซลเพื่อเป็นเด็กฝึกหัดตั้งแต่ช่วงเข้ามัธยมปลาย ถึงพ่อกับแม่จะเป็นห่วง แต่ผมในตอนนั้นก็หลงไหลการร้องเพลงมากเสียจนยอมห่างจากบ้านมาไกลถึงที่นี่ ที่ที่ทำให้ผมได้พบกับมาร์ค ... แต่ในช่วงเวลาที่ผมเติบโตในวงการไอดอลนั้น ผมก็ได้รับโอกาสมากมายหลายครั้งในการสัมผัสงานเบื้องหลัง จนกระทั่งผมค้นพบว่า ผมหลงไหล และอยากเป็นคนเบื้องหลังมากกว่าคนที่ยืนอยู่หน้าเวทีเสียอีก

                    การตัดสินใจครั้งใหญ่นั้นมาพร้อมกับความเครียดมหาศาล ผมบอกพ่อกับแม่ว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยในโซล แต่เป็นในสาขานิเทศศาสตร์ แทนบริหารธุรกิจที่พ่อกับแม่เคยหวังไว้ว่าต่อให้ผมไม่ได้เดบิวท์ ก็ยังกลับไปช่วยงานที่บ้านได้ ในช่วงแรกท่านเหมือนจะต่อต้าน แต่ในท้ายที่สุดท่านก็ให้กำลังใจเพื่อให้ผมได้ทำตามฝัน

                    ในช่วงที่ความเครียดในการสอบเข้านั้นกำลังสุมอยู่ในหัวผม มาร์คก็กำลังยุ่งกับการถ่ายรายการโปรโมตเสียจนไม่มีเวลาให้แฟนอย่างผมเท่าไหร่ ยิ่งผมไม่ได้ไปฝึกที่ตึกแล้วก็เหมือนยิ่งห่างกันออกมาจนแทบไม่ได้เจอหน้า เราโทรหากันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเขาที่โทรมาหา เพราะผมกลัวว่าโทรไปแล้วอาจจะรบกวนเวลาทำงานของเขา จนกระทั่งผมเริ่มป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ผมกินอาหารไม่เป็นเวลา คิดได้ก็กินบ้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการอ่านหนังสือสอบผสมกับที่ผมกดดันตัวเองมากจนเครียด ทำให้ผมไม่สนใจเข้ารักษาอย่างจริงจัง รวมถึงไม่บอกมาร์คด้วย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ผมทำผิดมหันต์เลยก็ได้

                    ในช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงเดือนจะถึงวันสอบครั้งใหญ่ อาการผมหนักขึ้น และวันนั้นเองขณะที่ผมอ้วกจนเหลือแต่น้ำผสมกับเลือดออกมา และผมก็หมดแรงไปในห้องน้ำ โชคดีที่หัวผมไม่ได้โขกพื้น แต่โชคร้ายคือผมอยู่คนเดียว และแทบไม่เหลือสติหรือเรี่ยวแรงในการประคองตัวเองออกจากตรงนั้นเพื่อไปเรียกใครสักคนมาช่วย  ผมได้แต่คิดว่านี่มันที่สุดของความซวยก่อนจะหมดสติไปจริงๆ

                    วันนั้นมาร์คโทรหาผมหลายครั้งแล้วผมไม่รับสาย เรื่องดีคงมีอยู่บ้างที่มาร์คเป็นประเภทเยอะกับทุกเรื่องของผม ดังนั้นการที่ผมไม่รับสายเขาเกินสองสายในช่วงที่ไม่ได้ทะเลาะกันนับเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมากสำหรับเขา มาร์คเป็นห่วงผมจนต้องหนีการซ้อมเต้นที่ตึกออกมาหาผมที่หอพัก และโดยที่ไม่ต้องเดา สภาพที่ผมนอนหมดสติรวมถึงเลือดที่ชักโครกนั้นทำให้มาร์คแทบเป็นบ้า

                    กว่าผมจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เข้าเช้าอีกวันไปแล้ว ผมตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนโลกหนักอึ้งไปหมดจนไม่อยากขยับตัว แต่พอผมหันมาเห็นมาร์คที่นอนซบหน้ากุมมือผมไว้ที่ข้างเตียง เขาดูเครียดแม้จะนอนหลับและยังอยู่ในชุดซ้อมเต้นแบบที่ผมคุ้นตา

    “มาร์ค..” ผมขยับมือที่เขากุมอยู่พลางเรียกเขาเบาๆให้เขารู้สึกตัว

    “จินยอง!!” มาร์คเรียกชื่อผมเสียงดังจนผมเองยังสะดุ้ง และเหตุการณ์ต่อจากนั้นยิ่งทำให้ผมตกใจเสียยิ่งกว่า มาร์คร้องไห้ ร้องไห้หนักกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น ร้องจนสะอึกสะอื้น ถ้าสังเกตดูดีดี ตาของมาร์คช้ำจนเหมือนคนที่ร้องไห้มาทั้งคืน

    “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษนะฮึก ขอโทษที่ไม่ดูแลให้ดี ขอโทษที่ปล่อยให้จินยองอยู่คนเดียว ขอโทษ ฮึก” เขาร้องจนน้ำตาผมไหลออกมาไม่รู้ตัว คนที่ผมรักกำลังร้องไห้เพราะเขาคิดว่าเขาคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ที่รักของผมเขาดูโศกเศร้าจนใจผมเจ็บไปหมด

    “มาร์ค” แม้ผมจะยังไม่มีแรงพยุงตัวเองให้ลุกนั่ง แต่ผมยังมีแรงยกแขนสองข้างเรียกร้องอ้อมกอดจากเขา อยากให้เขาอุ่นใจ อยากให้เขารู้ว่าผมไม่เป็นอะไร

                    วินาทีที่เขาสวมกอดผม มันคือวินาทีที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโหยหาอ้อมกอดนี้มากแค่ไหน มากเสียจนไม่อยากให้เขาปล่อย ผมเหมือนคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาผมเหงาแค่ไหน และความเครียดทั้งหมดก็หายไปแค่มาร์คยังกอดผมไว้ แค่เรายังกอดกันและกันไม่ปล่อย

                    หลังจากวันนั้น มาร์คก็เข้าไปคุยกับบริษัททันทีเพื่อขอแยกหอพักออกมาอยู่ห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องว่าง ไม่มีคนพักอาศัยอยู่ มาร์คยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ให้ผมย้าย ผมก็จะลาออก เขาสร้างความปวดหัวให้บริษัทมากทีเดียว ด้วยความดื้อรั้นสไตล์มาร์ค ในที่สุดผู้บริหารก็ต้องยอมให้เขาแยกออกมาจนได้ แต่มีเงื่อนไขว่ามาร์คจะต้องออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาของมาร์คสักนิด เขาจะซื้อห้องนั้นเลยก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าในอนาคตอาจจะต้องมีการย้ายหอ (แฟนผมรวยมากครับ หล่อ รวย ใจป๋าสุดๆ) สิ่งที่มาร์คต้องการทั้งหมดคือให้ผมจะต้องอยู่ใกล้ๆเขา และต้องไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

    “ไม่เอาแล้วจินยองงี่ ถึงจะงานหนักแค่ไหน แต่ถ้าเรายังใช้เวลาร่วมกันน้อยจนพี่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้อีก พี่ต้องขาดใจตายแน่” นั่นคือคำพูดของมาร์ค แฟนสุดหล่อของผมที่ยื่นคัดค้านการอยู่หอเดิมของผมทุกประการ

                    สุดท้ายหลังจากที่ผมผ่านพ้นการสอบไปด้วยความมั่นใจ ผมก็ต้องย้ายมาอยู่กับเขาตามบัญชาคุณชายทุกประการ เขามักจะพูดกับผมเสมอว่า “ดีจังที่ได้เห็นจินยองอยู่ตรงนี้” และก็กลายร่างเป็นแฟนรูปหล่อที่ติดผมอย่างกับตังเมยิ่งกว่าเดิม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    .

    .

    .

    ตี๊ ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด

                    เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ปลุกผมให้ตื่นจากการนอนหลับพักผ่อนที่ดูเหมือนว่า นอนเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอสักที

    “ฮัลโหล จินยอง” ผมรับสายโดยที่ไม่ทันได้ดูว่าใครโทรมา แต่เสียงอย่างนี้ผมก็รู้ทันทีว่าเป็นแจบอม  

    “ว่าไง” ผมงัวเงียตอบไป

    “ตอนนี้นายโอเคดีไหม หายป่วยหรือยัง” อิมแจบอมคนนั้นเนี่ยนะถามไถ่สุขภาพผม น่าประหลาดใจมาก

    “ก็โอเคนะ ไม่มีไข้แล้วล่ะ แค่เพลียๆนิดหน่อย” ผมตอบพลางยกมือมาลองกุมศีรษะตัวเองดู อุณหภูมิปกติ ไม่รู้สึกปวดหัวแล้วด้วย

    “คือมีเรื่องให้ช่วยนิดหน่อยน่ะ....” เขาเกริ่นมา “มาร์คมันหน้าตาดูไม่ดีเลย แล้วเมื่อกี้มันก็ร้องไห้ด้วย ตอนนี้เลยต้องพักกองกันก่อน ถ่ายต่อไม่ได้ นายไหวไหม มาดูมันหน่อยสิ” ใจผมหายอีกครั้งของวัน มาร์คร้องไห้อีกแล้ว

    “ได้เดี๋ยวไปนะ อยู่สตูดิโอดรีมไนท์ใช่ไหม”  หลังจากตบปากรับคำแจ็คสันเรียบร้อยผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากห้องไปทันที

                    แฟนของผมนี่นอกจากจะเยอะ แล้วยังขี้แงอีกนะครับ

    .

    .

    .

                    ผมมาถึงที่สตูดิโอภายในเวลาครึ่งชม. ในกองถ่ายกำลังวุ่นวายจัดฉากใหม่กันอยู่  ผมตรงไปหาพี่เมเนเจอร์ พี่เขารีบลากผมเข้าไปที่ห้องพักแทบจะทันที ปากก็บ่นมาร์คว่า ติดแฟนแล้วเป็นงี้เหรอ อย่าให้มีเมียบ้างนะไปเรื่อยเลยครับ ผมล่ะอดขำไม่ได้ พี่เขาก็หล่อดีหรอกนะครับ แต่นิสัยขี้บ่นเป็นบ้า คงจะหาแฟนคงยากหน่อยมั้งครับ

                    ผมเข้ามาในห้องพักก็เจอบรรยากาศอึมครึมสุดๆแบบไม่น่าเชื่อ ปกติวงนี้ต้องเสียงดัง โวยวายล้งเล้งกันตลอดเวลาเลยนะครับ ไม่ใช่ไปสุมหัวกันกลุ่มหนึ่งทำหน้ากลุ้มใจเหมือนคนกินข้าวไม่ลงกันอย่างนี้เลยครับ

    “มาสักที” แจบอมเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา แล้วก็ลุกเดินผ่านผมออกนอกประตูไปเฉย

    “ฝากด้วยนะ” แจ็คสันเดินมาตบไหล่ ผ่านไปอีกคน ส่วนเด็กอีกสองคนก็เดินมายิ้มแหยๆใส่แล้วเดินออกนอกห้องไปเช่นกัน

                    ผมหันซ้ายขวาก็ไม่เจอมาร์ค เลยลองเดินอ้อมไปด้านหน้าโซฟาตัวที่หันหลังให้ก็โป๊ะเชะเลยครับ มาร์คนอนซุกหมอนร้องไห้มือกุมโทรศัพท์อยู่นั่น ผมรีบเข้าไปจับมาร์คให้หันมามองหน้าผม ทันทีที่มาร์คเห็นว่าเป็นผมเท่านั้นแหละครับ เหมือนเขื่อนแตก ร้องไห้หนักกว่าเดิม ปากก็เอาแต่พูดว่าจินยองทำไมไม่นอนที่ห้อง ออกมาทำไม แต่มือนี่กอดผมไม่ปล่อยเลย ผมก็ได้แต่ซุกตัวเข้าไป ให้มาร์คได้กอดผมถนัดขึ้น ให้เราได้อยู่ใกล้กันมากที่สุด

    “ผมบอกแล้วไงว่าสบายดี ทำไมยังร้องไห้อยู่ละครับ เพื่อนๆลำบากเพราะมาร์คนะ” บ่นไปก็ลูบหลังไป เด็กโข่งขี้แงนี่

    “ก็มันอดคิดไม่ได้สักทีนี่ แค่ไม่เห็นจินยองก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ขอโทษนะครับ”

    “ผมเข้าใจพี่นะมาร์ค แต่เรื่องตอนนั้นมันผ่านมาตั้งสองปีแล้ว และพี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ป่วยหนักเป็นโรคน่ากลัวอะไรสักหน่อย พี่ควรเลิกคิดมากได้แล้วนะครับ” ผมพูดพลางลูบหัวเขาไปพลาง สุดหล่อสะอื้นน้อยลงไปเยอะแล้วแต่ยังมีน้ำตาร่วงนิดๆ

    “พี่พยายามอยู่นะ พยายามจริงๆ แต่พอคิดถึงจินยองตอนที่นอนป่วยอยู่ทีไรน้ำตามันไหลทุกที พี่รู้สึกเหมือนตัวเองดูแลจินยองไม่ดี จินยองถึงต้องป่วยแบบนั้น” คำตอบของแฟนน่ารักจนต้องขอฟัดแก้มเปียกๆสักสองที

    “งั้นพี่ก็ต้องรู้ตัวด้วยว่าพี่ดูแลผมดีมาก ดีที่สุดแล้ว ที่ผมป่วยก็เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง พี่อย่าโทษตัวเองสิครับ ไม่เอาไม่ร้องแล้ว เดี๋ยวไม่หล่อนะครับ ยิ้มหน่อยเร็ว สุดหล่อ” ผมเอาทิชชู่ที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะมาซับน้ำตาให้มาร์คเบาๆ แล้วก็สั่งให้เขาสั่งขี้มูกออกมาด้วย น้ำมูกน้ำตาไหลไปหมด ดูน่าชังดีหรอกนะแต่ถ้ายังร้องต่อไปได้ลำบากโคดี้นูน่ามากกว่านี้อีกสองเท่าแน่ครับ ตาช้ำไปหมดแล้ว

    “อืมมม รักจินยองนะครับ” มาร์คมุดหน้ามาออดอ้อนตรงอกผมอย่างกับลูกแมว ผมรู้สึกจั๊กจี้จนหลุดหัวเราะออกมา และมาร์คก็หัวเราะตาม

    “ผมก็รักพี่นะครับ ยิ้มสักที ผมไม่ชอบเวลามาร์คร้องไห้เลยรู้ไหม เห็นแล้วผมอยากร้องไห้ตามทุกที” ผมลูบหัวมาร์คเบาๆไปมาเหมือนเล่นขนแมว น่ารักจังเลยครับ ว่าแล้วก็จุ๊บหัวอีกหลายๆที

    “ขอโทษ พี่จะพยายามไม่เป็นแบบนี้อีกครับ” มาร์คละหน้าจากหน้าอกผมขึ้นมาจ้องตา กลับมาเป็นปกติสักที ผมนี่โล่งใจ

    “ดีมากครับ” ผมจุ๊บปากมาร์คเบาๆหนึ่งทีเป็นรางวัล แต่ดูเหมือนเด็กโข่งขี้แงได้คืบจะเอาศอกครับ นอกจากจะรุกจูบต่อแล้วยังเริ่มที่จะ อืม... ดูดดื่ม ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ชอบนะ มาร์คจูบเก่งเป็นบ้าเลย จะปล่อยผมเมื่อไหร่เนี่ย

                    ผมคิดว่า ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมต้องมาคอยปลอบเวลามาร์คร้องไห้แน่นอนครับ ตราบใดที่ผมยังป่วยเป็นเจ็บได้ และเขายังรักผม ผมก็คงต้องคอยปลอบเขาอย่างนี้ทุกครั้งเรื่อยไป แต่ผมก็เต็มใจนะครับ ต่อให้เขาร้องไห้บ่อยแค่ไหน ผมมั่นใจว่าผมจะไม่เบื่อปลอบเขาแน่นอน ก็รักตั้งมากมายขนาดนี้นี่นา

    .

    .

    .

    ผั๊ว!!’

    “เฮ้ย!! มาร์ค หายยังวะ เขาจะ.... เอ่อ“ แจ็คสันเปิดประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โอ้โห เต็มตา จูบกันดูดดื่มเต็มตาแจ็คสันเลยครับ

    หมับ

    “พี่แจ๊ค พี่มาร์คเป็นไงบ้า...ง.” แบมแบมกอดเอวแจ็คสันจากด้านหลังเอี้ยวหน้าออกมาดูข้างในห้องก็เจอฉากเด็ดพอดีเช่นกัน หน้าแบมแบมแดงจนลามไปถึงใบหู ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น แต่เห็นทีไรก็อดเขินไม่ได้ทุกที พี่มาร์คกับพี่จินยองร้อนแรงกันเกินไปแล้ว

                    ถึงจะมีคนมองอยู่ ทั้งคู่ก็ละริมฝีปากออกจากกันอย่างเชื่องช้าราวกับไม่แคร์ใครทั้งนั้น แต่ทว่าหลังจากปล่อยกันได้จินยองก็นั่งหน้าแดง หนีอายมุดหมอนที่โซฟา ส่วนมาร์คตวัดสายตาดุจ้องเขม็งมาทางแจ็คสัน พร้อมขยับปากไม่มีเสียงว่า มึงตายแน่

                    แจ็คสันได้แต่ปิดประตูออกมาเบาๆ หันมาโอบแบมแบมเดินออกมาหมายจะไปเรียกโคดี้นูน่ามาแต่งหน้าทำผมให้มาร์คใหม่ทันที กลับมาดุเป็นหมาได้ปกติแล้วนี่ต้องทำงานต่อแล้วล่ะนะ ส่วนความในใจภายใต้ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของแจ็คสันก็คงหนีไม่พ้น

                    ในที่สุดก็แก้แค้นไอ้มาร์คต้วนสำเร็จแล้วโว้ย!!


     

    END of part ‘Crybaby Boyfriend’              

                   

    Talk :

    กรี๊ดดดดด ฟิคอวยพี่มาร์คจบไปอีกหนึ่งตอนอย่างไม่น่าเชื่อ

    งานการไม่ทำค่ะ นั่งบูชาความหล่อของมาร์คเช้าเย็น (เจ้านายอาจไล่ออกในเร็ววันนี้ 555)

    ตอนนี้บทสนทนาน้อยมาก เน้นไปที่บทบรรยายซะเยอะ แต่เราตัดไม่ได้อะตัวเอง

    เพราะเลือกบรรยายผ่านจินยองไปแล้ว บทที่เล่าถึงความรู้สึกนึกคิดของจินยองมันเลยเยอะมาก

    แต่ก็แอบคิดนะว่า ถ้าบรรยายผ่านมาร์คสงสัยจะยาวกว่านี้ ความหลงจินยองของพี่มาร์คมีมากมายมหาศาลเลยล่ะตัวเอง ฮ่าๆๆ

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ เห็นคอมเม้นท์ตอนที่แล้วก็ดีใจ เยอะกว่าที่คาดมาก ขอบคุณจริงๆค่ะ

    คิดว่ายังมีต่อ ไม่จบง่ายๆแน่เลยเรื่องนี้ เขียนสนุกมาก จะพยายามพัฒนาฝีมือเรื่อยๆค่ะ

    รักนะคะ (จุ๊บๆ)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×