คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : Kiss Marks - รอยจูบ
Kiss Marks
รอยจูบ
ผมกลับมาถึงโซลได้สองสามวันแล้ว ชีวิตยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ด้วยความที่ผมไม่อยากจะกลับไปอยู่ที่บ้านใหญ่ผมจึงของทางบ้านออกมาอยู่คอนโดใกล้ๆที่ทำงาน การตัดสินใจปุบปับของผมทำให้ทุกคนในบ้านวุ่นวายเช่นเดิม
“มินซอก ทำไมไม่กลับมาอยู่บ้าน จะอยู่คนเดียวได้เหรอ” คิมจุนมยอน พี่ชายเจ้าระเบียบของผมถามเป็นรอบที่ห้าแล้วหลังจากที่เจอหน้ากัน
“อยู่ได้สิครับ พี่คิดว่าผมอายุเท่าไหร่กัน” ผมตอบพี่ไปเซ็งๆ ว่าก็ว่าเถอะนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ผมไม่อยากเจอหน้าคนในครอบครับเอาเสียเลย เพราะว่าพวกเขามันจะคิดว่าผมเป็นเด็กเล็กๆตลอดเวลา
“มันไม่เกี่ยวกับอายุซักหน่อยนะมินซอก อย่างน้อยๆก็ให้จื่อเทามาอยู่ด้วย” พี่จุนมยอนเริ่มวกเข้าเรื่องเดิมที่พยายามจะให้ผมเอาจื่อเทามาอยู่ใกล้ๆตัว
“พี่ครับ ฟังนะ ผมอยู่ได้จริงๆ แล้วก็อยู่ได้อย่างสบายด้วยพี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ส่วนจื่อเทาผมเอามาด้วยเพราะว่าจะให้เขามาช่วยงานพี่นั่นแหล่ะ” ผมพูดถึงเหตุผลจริงๆที่เอาจื่อเทามาด้วย
“เหรอ ฉันนึกว่านายพาจื่อเทามาเพื่อไม่ให้พ่อบ้านหวางตามนายมาเสียอีก” พี่จุนพูดกับผมอย่างรู้ทัน ผมไม่ได้เถียงแต่ว่าขยิบตาให้พี่จุนนิดหน่อย
“ถ้าพี่รู้ดีขนาดนั้นก็น่าจะรู้ด้วยว่าผมอยากลองใช้ชีวิตคนเดียวบ้าง เรื่องงานผมก็จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องผมสัญญา” ผมยิ้มให้พี่จุนที่ทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจใส่ผม พี่จุนถอนหายใจนิดหน่อยก่อนจะยกมือมาแตะบ่าผม
“มินซอก มีปัญหาอะไรกลับมาที่บ้านนะ ห้ามเก็บไว้คนเดียว แล้วก็ถ้ามันเร่งด่วนจริงๆ โทรหาพี่นะ พี่จะรีบมาหา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ก็โทรได้นะ” พี่จุนพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมยิ้มแล้วกอดพี่จุนไว้แน่นๆ
“ครับพี่ ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะ อยากให้พี่มีเวลามากกว่านี้จัง” ผมอ้อนพี่เหมือนเด็กๆ พี่จุนออกมาเจอผมได้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะพี่มีงานล้นตัวตลอดเวลาตั้งแต่ที่คุณพ่อผมป่วย นี่ก็เป็นเหตุผลเหมือนกันที่ผมต้องกลับมาโซล เพราะถึงยังไงพี่จุนควรจะมีคนมาแบ่งเบางานบ้าง
“อืม รักนายจัง เพราะนายมานี่แหล่ะฉันถึงจะได้มีเวลาบ้าง” พี่จุนกอดผมตอบแน่นๆ พี่ดันตัวผมออกก่อนจะจัดเสื้อผ้าของผมให้เข้าที่
“หล่อแล้ว วันนี้จะเข้าไปดูงานที่ไหนบ้างมั้ย หรือจะพักก่อน” พี่จุนถามผมเมื่อเห็นว่าผมอยู่ในสภาพที่จะออกไปข้างนอกได้แล้ว
“ผมอยากลองไปดูพวกร้านอาหาร แล้วก็ผับของบ้านเราครับ ไม่ได้กลับมาเลย ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง” ผมบอกพี่ไป บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก ก็เลยมีสาขาของร้านอาหาร สถานบันเทิง แล้วก็โรงแรมหลายสาขามาก ซึ่งผมก็มาช่วยพี่จุนดูแลในบางส่วน
“ดีเลย ตอนนี้ก็เย็นแล้วนายพักซักหน่อยเถอะ ย้ายเข้าบ้านใหม่คงยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ขาดเหลืออะไรโทรบอกที่บ้านใหญ่นะ อยู่ตัวคนเดียวพี่เป็นห่วง เรื่องงานนายก็ไม่ต้องหักโหม วันนี้ก็ไปดูผับสาขาใกล้ๆก่อนก็ได้” พี่จุนพูดแล้วลุกขึ้นจากโซฟาใหม่เอี่ยมที่ผมพึ่งสั่งมาไว้ในคอนโด ผมเองก็ลุกขึ้นเช่นกันเพื่อเดินไปส่งพี่ที่หน้าประตู
“ครับพี่ แล้วนี่พี่จะไปไหนต่อครับ” ผมถามเพราะพี่ทำท่าดูนาฬิกาบ่อยมากแล้ว
“มีประชุมที่อินชอนน่ะ นี่ก็สายมากแล้ว พี่ต้องไปแล้วจริงๆ แล้วเจอกันนะ” พี่จุนบอกลาผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป เหลือแต่ผมกับห้องว่างๆ ผมเดินเข้าห้องนอนที่พึ่งจัดเสร็จไปเมื่อวานตรวจดูความเรียบร้อยนิดหน่อยก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมจะได้ใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ครั้งแรก ตัวคนเดียว ไม่มีข้าทาสบริวาร ไม่มีเสียงคอยสั่งให้ทำนู่นนี่ทุกห้านาทีอีกต่อไป เอาล่ะ ผมจะใช้อิสระของผมโทรหาเพื่อนสนิทของผมที่ไม่ได้เจอกันมาแปดปี แปดปีที่ต้องต่อต่อกันผ่านตัวอักษรในโปรแกรมแชทเท่านั้น
“สวัสดีแบคฮยอน ฉันมินซอกนะ ใช่.. ฉันกลับมาโซลแล้วนะ นายว่างรึเปล่า ออกมาเจอกันหน่อยสิเพื่อนยาก” ผมกรอกเสียงลงไปในสาย แน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับกลับมากก็คือ
“ฉันหูฝาดรึเปล่า พ่อนายปล่อยออกมาจากกรงแล้ว ดีๆ เจอกันที่ไหนดี”
#
ผมเคาะนิ้วลงกับโต๊ะตามจังหวะเสียงเพลงที่กระหึ่มไปทั่วบริเวณ หนุ่มสาวจำนวนมากทยอยเข้ามาทำให้สถานที่นี้มันคึกคักอย่างที่มันควรจะเป็น ผมนัดกับแบคฮยอนเอาไว้ที่ผับของตัวเอง ถึงผมจะอยากเที่ยว แต่ผมก็ไม่อยากให้เสียงานนี่นา ก่อนเวลานัดผมก็ได้คุยกับผู้จัดการร้าน และคนที่ดูแลเรื่องอื่นๆว่าผมจะมาเป็นคนที่ดูแลที่นี่ต่อจากพี่จุน ซึ่งทุกคนก็ให้การต้อนรับผมอย่างดี พวกเขาค่อนข้างเคารพยำเกรงผมในฐานะน้องของจุนมยอนเจ้าระเบียบคนนั้นไม่ใช่ฐานะเจ้านาย แต่ก็ใช่ว่าผมจะคิดมากในเรื่องนี้ เพราะมันยังต้องใช้เวลาอีกมากที่จะทำให้พวกเขารู้ถึงความสามารถของผม
“เฮ้ยมินซอก!!” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นข้างๆ เพื่อนสนิทชั่วชีวิตของผมปรากฏตัวขึ้น แบคฮยอนโผเข้ากอดผมทันทีด้วยความคิดถึง ผมเองก็กอดตอบไปเหมือนกัน ก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีนี่นา
“ไงตัวแสบ เฟสไทม์คุยกันครั้งสุดท้ายนายไม่อ้วนขนาดนี้นี่นา” ผมแซวทันทีที่เห็นแขนหนาๆของเพื่อน ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะไปตามเรื่อง
“นายก็รู้ว่าแม่ฉันเลี้ยงฉันดีขนาดไหน ยิ่งพี่แบคบอมแต่งงาน พี่สะใภ้ก็ขยันทำขนมนู่นนี่มาให้ ไอ้ฉันมันก็คนมารยาทดีปฏิเสธใครไม่เป็น”
“ก็เลยฟาดเรียบทุกเมนูสินะ” ผมต่อประโยคที่ควรจะเป็นให้กับเพื่อน แบคฮยอนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอีกครั้งที่ผมรู้ทัน
“โธ่ ไว้นายได้ชิมฝีมือพี่สะใภ้ฉันก่อนเถอะ ว่าแต่นายสิ ผอมลงไปเยอะนะ” แบคฮยอนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้เมื่อเห็นผมนั่งลงแล้วเหมือนกัน
“ก็นิดหน่อย ตอนทำธีสิสจบฉันเครียดๆ แต่ว่าเดี๋ยวน้ำหนักก็คงตีกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกนั่นแหละนายไม่ต้องเป็นห่วง” ผมอธิบายเหตุผลที่น้ำหนักของผมที่ลงไปฮวบฮาบขนาดนี้
“เหรอ ดีจังแฮะ ฉันเนี่ยกว่าจะจบอีกเยอะเลย รู้งี้น่าจะตามนายไปเรียนที่ปักกิ่งด้วยจะได้จบพร้อมกัน” แบคฮยอนเริ่มเพ้อฝันไปตามประสาอย่างที่เคยๆทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้องๆก็มีแบคฮยอนคนหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
“ตามไปด้วยนายก็ไม่จบหรอกหมูแบค เอาแต่กิน” ผมแหย่เพื่อนซี้เล่นอีกครั้ง แบคฮยอนก็ยู่หน้าใส่ผมแกล้งทำเป็นโกรธไปอย่างนั้น หลังจากนั้นก็คุยสัพเพเหระเกี่ยวกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเรา ส่วนใหญ่แบคฮยอนก็จะอัพเดทเกี่ยวกับเพื่อนในรุ่นสมัยมัธยมต้มที่เคยเรียนด้วยกัน แบคฮยอนถือว่าเป็นเจ้าพ่อข่าวสารประจำรุ่น แบคฮยอนเป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่าย เขาจึงมีข้อมูลจากคนนู้นคนนี้ไว้กับตัวเสมอ
แน่นอนว่าแบคฮยอนรู้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องดี แล้วก็เรื่องไม่ดี
อ้อ แต่เขาก็ไม่เอาไปพูดหรอกนะ ถ้าคุณไม่ถาม
“แล้วพวกชานยอลแก็งค์หลังห้องล่ะเป็นยังไงบ้าง” ผมถามถึงคนที่พอจะนึกออกบ้างกับแบคฮยอน ผมพึ่งย้ายกลับมาถ้ารู้ว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้างก็น่าจะดี
“อ้อ เจ้าพวกนั้นก็ยังเกาะกลุ่มกันเหมือนเดิม น่าเจ็บใจชะมัดที่อย่างพวกนั้นจะเรียนจบก่อนฉัน” แบคฮยอนดูอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องพูดถึงชานยอล
“จบก่อนเหรอ เป็นไปได้ยังไงกันนะ ทั้งสามคนเลยเหรอ” ผมสนอกสนใจนิดหน่อยที่เด็กเกเรสมัยมัธยมต้นประสบความสำเร็จทางการศึกษามากว่าแบคฮยอน
“ก็นะ เซฮุนจบภายในสามปีครึ่ง จงอินกับชานยอลก็พึ่งจบไป” แบคฮยอนปิดสีหน้าสุดเซ็งไว้ไม่มิดทำให้ผมหัวเราะออกมา
“ดูนายเครียดจัง น่าๆช่างมันเถอะ ช้าหน่อยก็ใช่ว่านายจะไม่จบนี่ อีกอย่างนายมีเรื่องต้องรีบหรือไงกัน” ผมปลอบแบคฮยอนที่เขาทำหน้าหงุดหงิดอีกแล้ว
“เอาจริงๆ ที่ฉันอยากรีบจบเพราะเรื่องของนาย” แบคฮยอนพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“เรื่องฉัน”
“ใช่ เรื่องคุณพ่อของนายทำให้ฉันช็อคเลยนะ ท่านเป็นคนแข็งแรงมากแท้ๆ” แบคฮยอนขมวดคิ้วขณะพูด ผมเองก็หุบยิ้มลงนิดหน่อย
“ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน ฉันกลัวว่าถ้าวันนึงพ่อฉันเป็นอะไรไปบ้าง ฉันกลัวตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลบริษัทแทนพ่อ” แบคฮยอนพูดเหตุผลของเขาซึ่งผมก็เห็นด้วย
“นายคิดได้แล้ว ทำได้เมื่อไหร่ก็บอกด้วยแล้วกัน” ผมดีใจที่อย่างน้อยๆแบคฮยอนก็คิดอะไรเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างแล้ว แบคฮยอนยิ้มร่าเริงให้แบบของเขาให้กับผม
“เออ ว่าแต่ไปอยู่ปักกิ่งแปดปี ไม่มีหญิงให้คิดถึงเลยหรอ ไหงกลับมาแบบไม่มีเยื่อใยแบบนี้ ได้ข่าวว่ารับปริญญาเสร็จก็ทำเรื่องกลับมาเลย” แบคฮยอนจับสังเกตถึงเหตุที่ผมกลับมากะทันหันแบบนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่คริสมาสผมก็ไม่กลับมาโซลด้วยซ้ำ
“ก็รีบเรียนรีบจบ จะได้กลับมาหานายไง” ผมพูดแล้วก็แกล้งแหย่แบคฮยอนด้วยการส่งสายตาเจ้าชู้ให้เพื่อน พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าไม่ควรเลยเมื่อผมเห็นสีหน้าแปลกๆของแบคฮยอน
“โกหกมันบาปนะ เอาจริงๆ อย่างนายไม่มีเรื่องผู้หญิงเลยนี่แปลกนะ” ชั่วขณะที่ผมกำลังจะพูดว่าล้อเล่น แบคฮยอนก็ปรับสีหน้าให้เป็นเหมือนเดิมในเวลาเสี้ยววินาที แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะมองไม่ทัน ผมไม่ได้ทักท้วงอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดเลยตามน้ำไป
“สาวที่นู่นก็สวยอยู่นะ แต่...” ชั่วขณะหนึ่งของความคิด ผมก็ดันคิดถึงหมอนั่นจนได้
คนที่ผมอ่านเจอในไดอารี่เล่มเก่า
“แต่คงไม่ถูกใจนาย” แบคฮยอนต่อประโยคที่ผมไม่ได้อยากจะสื่อให้จบ ผมลอบยิ้มในใจที่อย่างน้อยๆแบคฮยอนก็ไม่ได้ระแคะระคายอะไรไปมากกว่านี้ จะให้แบคฮยอนรู้ได้ยังไงว่าคนที่จะให้ผมคิดถึง
เป็นผู้ชาย
ผมดื่มกินพูดคุยกับแบคฮยอนอย่างสนุกสนานต่อจากนั้น บทสนทนาของเราเริ่มเป็นเรื่องที่เครียดน้อยกว่า เช่นเรื่องตลกๆบนเครื่องบินของผมที่ตอนบินกลับเกาหลีเจอคนจีนดูท่าทางเอ๋อแปลกๆวาดรูปยืกยือประหลาดๆลงมุมกระดาษแต่พอมองหน้าดีๆกลับเป็นผู้ชายหน้าตาดีเข้าขั้นเทพบุตร ส่วนแบคฮยอนเล่าเรื่องเพลงและนักร้องสาวที่เขาให้ความสนใจเมื่อเร็วๆนี้
นั่งคุยไปซักพักแบคฮยอนขยับตัวขยุกขยิกแปลกๆเป็นสัญญาณว่าเขาอาจจะอยากเข้าห้องน้ำ ผมดูจำนวนขวดเบียร์ที่เราสองคนดื่มเข้าไป และส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือแบคฮยอนทั้งนั้น คำนวณดูแล้วแบคฮยอนไม่น่าจะเดินไปได้เองถึงห้องน้ำ
“แบคฮยอน นายอยากไปห้องน้ำมั้ย” ผมมองคนที่ไม่ทนทานต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่หน้าแดงไปทั้งหน้าเพราะเบียร์
“ก็ดี” แบคฮยอนพูดน้อยลงทุกที สีหน้าพะอืดพะอมของเพื่อนผมดูท่าทางจะต้องการห้องน้ำอย่างยิ่งในตอนนี้ ผมลุกขึ้นพยุงเพื่อนตัวดีไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าจะเจออะไรในห้องน้ำผมปล่อยให้แบคฮยอนอ้วกคาโต๊ะไปซะจะดีกว่า..
#
“ลู่หานนา~ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะยังโสดอยู่” เซอีพูดกับผมในขณะที่เธอช่วยผมแต่งตัวอยู่ หลังเสร็จกิจเธอก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“เพราะผมเป็นแบบนี้ ผมถึงต้องยังโสดไง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เจอกัน” ผมพูดกับเธอแล้วขยิบตาให้เธอเป็นรางวัลที่พูดถูกใจ เซอีได้ยินแล้วก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะผูกเนกไทด์เส้นผอมของผมไปเงียบๆ ผมเองก็ก้มลงมองเธอที่แต่งตัวให้ผมด้วยความคล่องแคล่วไปเงียบ พอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าดึกมากแล้ว เสียงคนด้านนอกเงียบลงมากจนได้ยินว่าเสียงคนในห้องน้ำทำอะไรกันอยู่
เสียง...
“มินซอกอา~ เบาๆสิ อือ” เสียงดังมาจากหน้ากระจกห้องน้ำ ชื่อที่พึ่งจะคิดถึงไปถูกเอ่ยออกมาจากเสียงที่ไม่คุ้นหูผมเลยซักนิด
“ไม่ต้องเกรงใจ อ้วกออกมาให้หมด ไม่อย่างนั้นแม่นายต้องฆ่าฉันตายแน่ๆ” เสียงนี้..
“อ่อกกก”
“ดีมาก แบคฮยอน สบายขึ้นมั้ย ดีๆ” เสียงเล็กๆหวานๆแบบนี้แหล่ะ ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ แต่ผมยังไม่ไว้ใจความกลมของโลกใบนี้หรอกนะ
“ลู่หาน เสร็จแล้วค่ะ ไปกันเถอะ” เซอีเก็บซากถุงยางที่ใช้แล้วทิ้งลงถังขยะ และโดยไม่ถามผมซักคำว่าผมอยากออกไปรึเปล่า เซอีเปิดประตูออกไป ภาพที่ผมเห็นคือ..
ผู้ชายตัวเล็กสองคน คนนึงผมจำได้ทันทีว่าใคร
ตัวเล็กๆ ผอมลงนิดหน่อย แต่ใช่แน่ แก้มนิ่มๆที่เห็นเมื่อไหร่ก็อยากเอาจมูกไปสูดดมให้ชื่นใจ
เป็นเขาไม่ผิดแน่..
คิมมินซอก...
ใบหน้าของมินซอกยังดูตลกเหมือนตอนนั้นเลยแฮะ เขามองผมผ่านกระจกห้องน้ำ คนที่น่าจะเป็นเพื่อนของมินซอกเกาะขอบอ่างล้างหน้าเพื่ออาเจียนอยู่จึงไม่ได้สังเกตุหน้าตาสุดเหวอของมินซอก
แม้แต่ในตอนนี้นายก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ
มินซอกที่หายช็อคกำลังมองผมกับเซอีสลับกัน กลอกตาเล็กน้อย เขาก้มลงส่ายหัวแล้วลูบหลังเพื่อนของเขาที่สำรอกเอาน้ำย่อยออกมา มินซอกไม่แม้แต่จะทักทายผม ผมแปลกใจมาก เขาไม่มีทางที่จะลืมผมแน่นอน ก็ในเมื่อตอนที่เลิกกันเขาร้องไห้กอดขาผมด้วยซ้ำว่าอย่าไปไหน คนเราจะลืม ‘รักแรก’ ของตัวเองได้ยังไงกันนะ
“ลู่หาน นี่เบอร์ฉันนะคะ เผื่อไว้เหงาๆเราจะได้เจอกันอีก” เซอียื่นกระดาษใบเล็กที่เขียนตัวเลขหลายหลักส่งให้ผมผมรับมาถือไว้แล้วให้เธอ
“ฉันไปก่อนนะคะ คุณร้อนแรงมาก ชอบคุณจัง บ๊ายบายค่ะ” เซอีขยิบตาให้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป ผมยิ้มและโบกมือให้เธอ เซอีหายไปจากสายตาผมแล้ว ผมหันไปมองคนที่ยังยืนลูบหลังเพื่อนอยู่ที่อ่างล้างหน้า ยังไงเขาก็ยังไม่เก่งจริงๆนะ เรื่อง ‘ทำเป็น’ ไม่สนใจเนี่ย ผมยิ้มมุมปากก่อนจะเดินไปประชิดหลังคนตัวเล็ก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ไม่คิดจะทักกันหน่อยเหรอ” ผมกระซิบลงข้างๆหูมินซอกที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ อย่างหนึ่งที่เขาเปลี่ยนไปคือ มินซอกไม่เขินสั่นหน้าแดงอีกต่อไปเมื่อผมอยู่ใกล้ๆ
“จำได้ว่านายบอกฉันว่าอย่ายุ่งกับนาย” มินซอกพูดทั้งๆที่ไม่มองหน้าผม ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่ามินซอกจะยังจำได้กระทั่งว่าคำพูดสุดท้ายที่ผมพูดกับเขาคืออะไร
“นายนี่เชื่องจนน่าเบื่อเหมือนเดิมเลยนะ” มินซอกได้ยินผมพูดก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าโมโห แต่กลับแสยะยิ้มแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผม พอมองใกล้ๆแบบนี้มินซอกยิ่งน่ารักจนตาพร่าแต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนต่อยจนมึนไปหมด
“เชื่องหรอ เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ว่านะลู่หาน.. ที่ฉันเชื่อฟังที่นายห้ามฉันยุ่งกับนายเพราะฉันรู้แล้ว”
“รู้?”
“รู้ว่านายมันโสโครกขนาดไหนน่ะสิ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแปดเปื้อนกับคนอย่างนายอีก ยังไงก็ขอบคุณที่ทำให้ฉันไม่ต้องสกปรกไปมากกว่านั้น” มินซอกยิ้มชั่วร้ายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเปลี่ยนไปแล้วสินะ เทวดาตัวน้อยๆของผม แต่นั่นไม่สำคัญหรอก มินซอกก็คือมินซอกนั่นแหล่ะ
“ถ้าฉันโสโครกอย่างที่นายว่า นายเองก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่แล้วล่ะมั้ง” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้มินซอก ลมหายใจของผมรดลงบนคอของมินซอก แขนขาวๆของมินซอกโอบรอบคอของผมทันที ผมรู้อยู่แล้วว่าตรงไหนของมินซอกบ้างที่จะทำให้เขาเป็นเด็กดี
“ใช่ เพราะฉันเต็มใจสกปรก ตอนนี้ฉันก็ฝันว่าจะได้ทำแบบนี้กับนายมาตลอด” มินซอกรั้งผมเข้าไปใกล้กว่าเดิม ผมยิ้มเล็กๆกับชัยชนะของผม ริมฝีปากนุ่มนิ่มของมินซอกซุกไซร้ไปตามซอกคอของผม ราวกับคืนวันเก่าๆมันย้อนกลับมา ผมเลื่อนมือลงไปที่เอวของมินซอกเพื่อลำรึกวันวานแต่ว่า..
“โอ๊ย!!” ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสของเขา ความเจ็บจุกก็แล่นมาจากหว่างขา ให้ตายสิ มินซอกแทงเข่าใส่เป้าผม!! ผมจุกจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่ล้มรุดลงไปนั่งตัวงอมือกุมเป้าอยู่ ผมเงยหน้ามองมินซอกที่ทำสีหน้าสมเพสใส่ผม
“นายนี่มันหน้าด้านเอาแต่ได้ไม่เปลี่ยนเลยนะลู่หาน นายคิดจริงๆเหรอว่าฉันง่ายแบบเมื่อก่อน” มินซอกว่าแล้วก็พยุงเอาเพื่อนของเขาที่เมาไม่ได้สติขึ้นมา
“อ้อ แล้วก็นะ ว่างๆไปตรวจเลือดบ้างก็ดี นายดูโทรมลงจนฉันเกือบจำไม่ได้ ไปเช็คหน่อยเถอะว่านายมีเลือดบวกรึเปล่า เอาไม่เลือกแบบนี้” ว่าแล้วมินซอกพูดสะบัดเสียงแล้วก็ลากเพื่อนเมาแอ๋ของเขาออกไป ทิ้งผมอยู่กับความเจ็บปวดแบบอธิบายไม่ได้พูดไม่ออกอยู่คนเดียว มินซอกเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ผมไม่คิดเลยว่าเวลาห้าปีจะทำให้เขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ปากคอเราะร้ายไม่ว่าง่ายแบบแต่ก่อน ความอ่อนแอน่าทะนุถนอมหายไป
ทำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้นะ
Ringggg Ringggggggg
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาทำให้ผมต้องออกเสียงพูดอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทุเลาลงแล้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
“สวัสดี” ผมกรอกเสียงลงไปในสายเมื่อเลื่อนนิ้วไปบนจอเพื่อรับสายแล้ว
‘ไง ลู่หาน นั่นนายรึเปล่า ฉันอี้ฟานนะ’ เสียงจากปลายสายทำให้ผมยิ้มออกเล็กน้อย
“ไงพวก ได้ข่าวว่าโดนย้ายมาทำงานที่โซล” ผมเอ่ยปากแซวข่าวลือของเพื่อนทันที เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ภายในประเทศน่าจะชัดแล้วว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง
‘นายก็รู้แล้วนี่ น่าเบื่อชะมัด ว่าจะเซอร์ไพรซ์ซักหน่อย’ เสียงอี้ฟานดูเบื่อนิดหน่อยที่ผมรู้ทัน
“เรื่องของคุณอู๋ไม่มีใครที่จะไม่รู้หรอกครับ ว่าแต่แปลกนะที่นายโทรมาหาฉัน” ผมถามถึงเหตุผลที่อยู่ดีๆเพื่อนรักก็โทรเข้ามาแบบนี้
‘อีกอาทิตย์กว่าๆอี้ชิงถึงจะตามฉันมาทางนี้ พาไปเที่ยวหน่อย ฉันไม่รู้จักที่ทางในโซลเลย เบื่อจะแย่’ ผมยิ้มกว้างเมื่อเพื่อนผมชวนร่วมขบวนการ ‘หนีแฟนมาเที่ยว’
“ถ้าอี้ชิงรู้ว่าฉันพานายมาเสียคนฉันจะโดนอี้ชิงสับคอขาดรึเปล่า” ผมไพล่ไปถึงอี้ชิงที่อี้ฟานกลัวยิ่งกว่าพ่อแม่
‘น่านะ ไม่โดนหรอก อี้ชิงเขาใจดีกับทุกคนที่ไม่ใช่ฉันนั่นแหล่ะ’ อี้ฟานอ้อนผม ผมแค่แซวเล่นก็เลยไม่ได้แกล้งอะไรต่อ ได้แต่ตกปากรับคำเพื่อนตัวดีไป
“โอเค ตอนนี้นายพักอยู่ที่ไหน แล้วก็ มีเรื่องนึงที่ฉันอยากจะให้ช่วยหน่อย”
‘เรื่องอะไรล่ะ’
“สืบประวัติคนคนนึง”
............................................................
หว่าย ทำอะไรลงไป (อีกแล้ว) มาอัพแบ้วนะ
ยังอยู่ในขั้นตอนการปูเรื่องผูกปม อาจจะยังไม่มีอะไรมาก แต่ยังไงก็ขอกำลังใจด้วยนะฮับ
รักทุกคน จุ๊บๆ
ความคิดเห็น