ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Knb] How to...cook : Aokaga (END)

    ลำดับตอนที่ #4 : 4th: วนิลาเชค

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 58


    4th cooked

     

              เช้าวันจันทร์คือวันที่หลายคนเกลียด คางามิ ไทกะ เองก็เช่นกัน...ต้องตื่นแต่เช้ามาโรงเรียนเพื่อพยายามยัดเยียดวิชาความรู้ที่ดูจะเกินสมองของตัวเองเข้าหัว แล้วไหนจะอาการปวดบั้นท้ายสุดจะทานทนเนื่องจากการนั่งบนเก้าอี้ไม้แข็งๆติดต่อกันนานถึง 4 ชั่วโมงนี่อีกล่ะ....

     

             นรกแตกสิ้นดี

     

             คางามิไม่ใช่คนฉลาดหรือเก่งได้ขนาดนั้น จริงๆชีวิตเขานอกจากบาสกับการทำอาหารก็ดูจะไม่มีอะไรเลยจริงๆ ถึงเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ แต่จะให้มาตี Tense หรือทำข้อสอบ Error นี่มันก็ไม่เข้าที คางามิเลยได้คะแนนภาษาอังกฤษแค่พอผ่านแบบไม่อดสูมาตลอด แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าถนัดในด้านปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี.

     

             มาโรงเรียนวันจันทร์ คาบแรกก็เจอกับวิชาฟิสิกส์ตั้งแต่เช้า คางามิจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยชอบวิชาฟิสิกส์ตอนเรียน Grade ที่เท่าไหร่ตอนอยู่อเมริกา เพราะวิชาฟิสิกส์ที่นู่นกับที่นี่ต่างกันลิบลับ แล้วไหนจะวิชาเคมีในคาบต่อมาที่คางามิเคยภูมิใจว่าตนได้ท็อปนักท็อปหนาตอนอยู่ที่เมืองนอกอีกล่ะ ไหงพอมาอยู่ที่ญี่ปุ่นกลับกลายเป็นว่าไอ้ความรู้ที่เขาเรียนมามันแทบไม่ถึงครึ่งที่จะได้ใช้ที่นี่เลย!

     

             อยากย้อนกลับไปที่อเมริกาเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด...

    .

     .

             กว่าจะถึงคาบพักในตอนเที่ยง คางามิก็แทบจะสลบตายคาโต๊ะเสียตรงนั้น ดังนั้นเมื่อเสียงออดดังขึ้นเมื่อหมดเวลา คางามิจึงเป็นหนึ่งในหลายๆคนในห้องที่เก็บของลงกระเป๋าโดยไม่ต้องรอฟังเสียงครูบอกให้เลิกชั้นเรียนก่อนด้วยซ้ำ


     

             “คุโรโกะ ไปกินข้าวกัน” หันไปส่งยิ้มกว้างให้คู่หูที่ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือนวนิยายเล่มเล็กในมืออยู่

     


             “ไม่ล่ะครับ ผมไม่หิว” น้ำเสียงราบเรียบของเด็กหนุ่มผู้จืดจางตอบกลับมา ขณะที่มือขาวซีดอีกข้างพลิกหน้าหนังสือช้าๆ


     

             “โถ่ คุโรโกะ นี่นายยังไม่หายโกรธกันเรื่องนั้นอีกหรือไง” คางามิอยากจะร้องไห้ ทำไมเพื่อนรักของเขาถึงได้จงใจเมินกันได้ขนาดนี้นะ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายโกรธแท้ๆ

     


             “ผมไม่ได้โกรธ...” ในที่สุดดวงตาสีฟ้าอ่อนก็ยอมละจากหนังสือในมือเข้าของขึ้นมาสบกับดวงตาเว้าวอนของผู้ถาม ก่อนที่จะรีบตวัดสายตาหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว


     

             “ผมก็แค่...น้อยใจ คางามิคุงนิดหน่อยล่ะมั้งครับ” ท้ายประโยคถูกเอ่ยออกมาแผ่วเบาก่อนที่จะกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อทิ้งให้คางามินั่งทำหน้าเหวออยู่คนเดียว

    .

    .

    .

              วันนี้คางามิห่อข้าวมาเอง เป็นข้าวผัดอเมริกันสไตล์บ้านๆแต่รสชาติก็จัดว่าพอตัวอยู่ ตอนแรกว่าจะชวนคุโรโกะไปกินข้าวด้วยกันบนดาดฟ้าซึ่งเป็นสถานที่ประจำแต่เพราะอีกฝ่ายยังคงให้ความสนใจแก่หนังสือในมืออยู่แบบนี้คางามิก็จำใจที่จะต้องแกะข้าวกล่องของตนขึ้นทานภายในห้องเรียนเงียบๆ

     

             ดวงตาสีแดงเหลือบไปมองใต้โต๊ะเรียนของตนที่มีกระติกน้ำแบบพกพาวางไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด...วนิลาเชคที่ตั้งใจว่าจะทำมาให้คุโรโกะ.

    .

    .

             อาหารเที่ยงหมดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที คางามิหยิบขวดน้ำเปล่าของตนขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ๆก่อนจะเก็บกล่องอาหารลงกระเป๋าให้เรียบร้อย ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ดีจนในที่สุดมือกร้านก็ค้นกระเป๋าอีกรอบและหยิบหนังสือเรียนสำหรับวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่จะเรียนในคาบต่อไปมาอ่าน

     

             คางามิค้นพบว่าเวลาที่คนเราไม่สบายใจเรื่องอะไรสักเรื่อง การอ่านหนังสือที่น่าเบื่อมากๆอย่างหนังสือเรียน...กลับทำให้ความรู้ไหลเข้าสมองมากกว่าที่คิด...อาจเพราะเขาพยายามเพ่งสมาธิกับหนังสือมากกว่าปกติเพื่อให้ลืมความรู้สึกที่ไม่สบายใจในตอนนี้ก็เป็นได้

    .

    .

    .

             คุโรโกะยังไม่พูดกับคางามิซักคำตั้งแต่พักเที่ยง แม้แต่ตอนเข้าชมรมก็ยังคงไรซึ่งบทสนทนา...พวกเขายังคงพาสลูกให้กันเหมือนเดิม เล่นเข้าขากันเหมือนเดิม หากแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มและคำพูด และถ้าคางามิจับสัมผัสไม่ผิด เขาคิดว่าคุโรโกะกำลังใช้สายตาความกดดันใส่เขาเรื่อยๆเมื่อมีโอกาส แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดแต่น่าแปลกที่คางามิสามารถแปลความหมายของมันออก


     

             -คุณอยากจะให้มันเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้หรือเปล่าครับ คางามิคุง-


     

             เหมือนการท้าทายเงียบๆในเชิงลึก เหมือนกับว่าคู่หูของเขากำลังจะบอกเป็นนัยๆว่าหากไม่รีบมาง้อตนจะต้องเสียใจไปตลอดชาติยังไงอย่างนั้น...กดดัน , ไล่ต้อน...หากไม่ยอมทำตาม...จะต้องได้รับโทษ.

     


             เมื่อคุโรโกะพาสลูกมาให้เขาอีกครั้ง มันแรงเสียจนฝ่ามือทั้งสองรู้สึกเจ็บ รู้ตัวเลยว่าตนเผลอแสดงสีหน้าออกไปเพราะสายตาของทุกคนที่มองมาทางเขาดูจะตื่นตกใจไม่น้อย คางามิกำลังยืนอยู่กลางสนาม หากทว่าสายตาของเขากำลังมองไปที่แป้นชู้ต พลันหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของบรรดารุ่นพี่ที่วิ่งมาล้อมหน้า ทุกคนยแขนขึ้นพร้อมกันคางามิจากการใช้ลูกชู้ต3แต้มที่เดี๋ยวนี้เขามักจะใช้บ่อย

     

             หากแต่เด็กหนุ่มกลับขว้างลูกบาสไปด้านหลัง พร้อมกระโดดถอยหลังตามลูกบาสไป เอื้อมมือปัดลูกสีส้มๆให้เปลี่ยนทิศไปหาคุโรโกะก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วติดสปีดระดับใหม่ที่ตนไปซุ่มฝึกมาไปที่แป้นภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววิ และเมื่อคุโรโกะหาจังหวะพาสลูกมาทางเขาได้อีกครั้ง คางามิก็กระโดดขึ้นไปด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่มี เป็นการกระโดดที่สูงที่สุดในการเล่นบาสของเขาเลยก็ว่าได้ ขาทั้งสองเหมือนจะถึงห่วงใต้แป้นอยู่รอมร่อและคางามิถือลูกเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง....

     

             -3-2-1-

     

    Kagami’s Dunk!!!

     

    .ลูกดั้งค์ลูกแรกในรอบสองสัปดาห์ของคางามิ ไทกะทำให้เสียงโห่ร้องของสมาชิกทุกคนในเซย์รินดังก้องไปทั่วโรงยิมขนาดกลางนี้.

     


    ดวงตาสีแดงของเจ้าของแต้มเมื่อครู่หันไปมองหน้าคู่หูเงามายาของตนที่กำลังส่งยิ้มมาให้จากบริเวณกลางสนาม เป็นจุดเดียวกับที่ใช้ในการส่งลูกให้เขาเมื่อครู่


     

    “ผมดีใจที่เห็นคุณดั้งค์ลูกอีกครั้งนะครับ คางามิคุง”


     

             “ฉันก็ดีใจ ที่นายเป็นเงาให้ฉัน ขอบคุณนะคุโรโกะ”

     

    .

    .

    .

     

              มาจิเบอเกอร์วันนี้ยังคงมีสองร่างเจ้าประจำนั่งประจำตำแหน่งที่โต๊ะเดิม คางามิยังคงเลือกที่จะกลับไปทำอาหารกินเองที่บ้านโดยอ้างว่าวัตถุดิบที่ซื้อไว้เมื่อวานยังไม่หมด จึงขอมานั่งเฉยๆดื่มน้ำเปล่าเล่นขณะรอให้คุโรโกะดูดวนิลาเช็คแก้วของตนไปเงียบๆ

     

             คางามิหยิบการบ้านวิชาชีววิทยาออกมาจากกระเป๋าเปิดอ่านโจทย์คร่าวๆแล้วอดที่จะขมวดคิ้วเบาๆไม่ได้ ทำไมมันถึงยากขนาดนี้นะ... คิดได้ดังนั้นก็เก็บหนังสือลงเพื่อที่จะจ้องหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะฝั่งตรงข้าม

     


             “ฉันขอโทษจริงๆที่เมื่อวานไม่ได้ส่งข้อความบอกนายตามที่นายขอไว้ พอถึงห้องฉันก็ทำอาหารกิน อาบน้ำ แล้วก็นอนเลย สารภาพเลยว่าลืมไปเสียสนิท” คางามิเริ่มเปิดประเด็น


     

             “ครับ แล้วไงต่อ” ดวงตาสีฟ้าอ่อนตวัดมามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตวัดกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อ

     


             “ฉันขอโทษที่เมินนายทั้งวัน แถมยังไม่รีบมาปรับความเข้าใจด้วย ฉันมันโง่งี่เง่าเอง” คางามิพูดรัวเร็ว

     


             “แล้วไงต่อครับ” คราวนี้คุโรโกะหันมาจ้องคางามิเขม็ง


     

             “เอ่อ...ฉันนึกไม่ออกแล้ว” ว่าจบก็เกาหัวแกรกๆเพราะเขาคิดไม่ออกแล้วจริงๆว่ายังมีเรื่องไหนที่ทำให้อีกฝ่ายโกรธได้อีก


     

             “คุณต้องพูดว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก- สิครับ” คุโรโกะยังคงถือไพ่เหนือกว่าฉีกยิ้มเล็กๆดูแล้วน่าหมั่นไส้


     

             “เอาใหญ่เลยนะแก เออ ฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ท้ายเสียงสะบัดแต่ก็ยอมแต่โดยดี

     


             “ขอบคุณมากครับ คางามิคุง” คุโรโกะคลี่ยิ้มกว้างในที่สุด ขณะที่คางามิเองก็ลอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ

     

    .

    .

    .

     

              หลังออกจากมาจิเบอเกอร์คางามิตามคุโรโกะมาซื้อหนังสือออกใหม่ด้วยกัน แต่จริงๆเพราะมันเป็นทางกลับหอพักเขาด้วยนั่นแหละ ผนวกกับคางามิโดนโค้ชริโกะขู่มาหยกๆว่าถ้าเขายังคงสอบตกเยอะขนาดนี้อยู่ล่ะก็จะถอดเขาออกจากชมรม เขาเลยตัดสินใจว่ายังไงการสอบครั้งต่อไปก็ขอให้เขาผ่านแบบเฉียดเส้นบ้างก็ยังดี

     

             ร้านหนังสือที่พวกเขาเข้าเป็นร้านหนังสือเจ้าประจำของคุโรโกเลย เป็นร้านหนังสือขนาดกลางไม่ใหญ่และเล็กมากนัก ทั้งร้านตกแต่งด้วยการทาสีพาสเทลอ่อน ให้ความรู้สึกหวานละมุนและอบอุ่นไปในคราวเดียวกัน

     

             ตั้งแต่เดินเข้าร้านกลิ่นหนังสือและหน้ากระดาษก็รายล้อมรอบตัวของคางามิ กลิ่นของเครื่องปรับอากาศและหน้ากระดาษให้ความลงตัวกันอย่างน่าประหลาดใจ ภายในมีหนังสือแบ่งเป็นชั้นเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ชนิดที่ว่าแม้จะเพิ่งเคยมาครั้งแรกก็ไม่มีทางหลง

     

             คุโรโกะขอตัวเดินไปดูไลท์โนเวลเล่มใหม่ที่อีกฝ่ายบอกว่าน่าจะส่งมาถึงร้านวันนี้พอดี ขณะที่คางามิเดินไปทางโซนหหนังสืออ่านเสริมรายวิชาต่างๆ จัดการเปิดอ่านคร่าวๆแหละจงใจเลือกเล่มที่เล็ก เนื้อหาสั้น และอ่านเข้าใจง่ายที่สุดติดกลับมาวิชาละหนึ่งเล่ม เผลออีกทีหนังสือของคางามิก็ปาไปแล้ว5เล่ม เขาตัดสินใจเลือกซื้อเฉพาะหนังสือที่ใช้ความจำและความเข้าใจง่ายๆที่ไม่น่าเกินความสามารถของตน คือฟิสิกส์ภาคทฤษฎี เคมี ชีวะ ภาษาอังกฤษภาคทฤษฎี และภาษาญี่ปุ่น เด็กหนุ่มไม่รอช้าหอบกองหนังสือไปชำระเงินที่เคาเตอร์ทันที แอบเหลือบเห็นพวงแก้มแดงๆของพนักงานสาวประจำเครื่องคิดเงินที่ตอนนี้กำลังคิดเงินค่าหนังสือให้เขาอยู่แต่คางามิก็ไม่คิดจะใส่ใจอยู่ดี

     

             เสียงเครื่องคิดเงินยังคงทำงานต่อไปจนครบทุกเล่ม สาวเจ้าถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคางามิอีกครั้งพร้อมพวงแก้มแดงปลั่ง

     


             “ค คุณลูกค้าคะ คือว่ายอดเหลืออีกแค่ 500 เยนก็จะสามารถรับบัตรสมาชิกสำหรับใช้ลดหย่อนค่าหนังสือในครั้งต่อไปได้น่ะค่ะ ถ้าสนใจล่ะก็สามารถเลือกหนังสือราคามากกว่าหรือเท่ากับ 500 เยนมาได้อีกเล่มนะคะ”

     


             คางามิพยักหน้าเข้าใจบอกให้เจ้าหล่อนรอเขาสักครู่ ก่อนจะก้าวขายาวๆไปยังโซนหนังสือเพื่อหยิบหนังสือที่ตนต้องการและกลับมาภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที มือหนาวางหนังสือเล่มเล็กทว่าหนาที่ว่าลงบนเคาเตอร์ตรงหน้าพนักงานสาวอีกครั้งเพื่อที่เจ้าหล่อนจะได้คิดเงินเพิ่ม หน้าปกสีน้ำเงินเข้มของหนังสือเล่มนั้นยังคงสะท้อนสู่นัยน์ตาสีแดงเข้ม....- Life of Pi


     

              สัมผัสแผ่วเบาสัมผัสที่แขนข้างขวาและเมื่อเด็กหนุ่มหันไป คุโรโกะยื่นไลท์โนเวลของตนมาตรงหน้าพร้อมกับส่งเงินมาให้พร้อมเลยเสร็จสรรพ เหมือนจะบอกเป็นกลายๆว่าให้จ่ายเงินพร้อมกันเลย คางามิรับเงินและหนังสือจากอีกฝ่ายมาและยื่นมันให้กับสาวตรงเคาเตอร์อีกครั้ง ทว่าคราวนี้ดวงหน้าของเจ้าหล่อนไม่ได้แดงเพราะเขินอายเหมือนตอนแรกแต่กลับมีสีหน้าเจื่อนๆแทน

     


             คางามิอาจไม่รู้ ว่าสายตาของเจ้าหล่อนกำลังจับจ้องอยู่ที่แขนอีกข้างของคางามิที่ไม่ได้กำลังยื่นหนังสือมาให้เธอ....แขนข้างขวาที่โดนแขนซ้ายของเด็กหนุ่มผมฟ้าคนข้างๆกำลังกอดแน่นอยู่ ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมาที่เธอเขม็งพร้อมสายตาที่เหมือนกับจะแทนคำพูดที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดได้ทุกคำ.

     


             -คนๆนี้ไม่ใช่ของคุณหรอกนะครับ-

     

    .

    .

    .

     

              คางามิกลับถึงห้องเร็วกว่าเมื่อวานอยู่มากโข เขาบรรจงวางหนังสือไว้บนโซฟาหน้าทีวีลวกๆแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความตามสัญญาที่ได้ให้ได้อย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายโกรธแบบวันนี้อีก

     


             ถึงห้องแล้วกำลังจะไปหุงข้าว อย่าลืมการบ้านภาษาญี่ปุ่นพรุ่งนี้ขอลอกด้วย – Kagami Taiga (17.40)

     


              เขาพับฝาโทรศัพท์ให้ปิดลง โยนเครื่องแดงๆของมันลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่วางหนังสือก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้าครัว จัดการตวงข้าวสำหรับการหุงพอแค่มื้อเย็นสำหรับตน ทว่ายังไม่ทันได้ตวงถ้วยที่สองเสียงเคาะประตูแรงๆหน้าห้องก็ดังขึ้น พร้อมเสียงยานคางที่แม้จะฟังไม่ชัดก็รู้เลยว่าใครมันมา

     

             “เออโว้ย!! กำลังจะไป เลิกเคาะได้แล้วอาโฮ่มิเนะ!!!


    .

    .

    .


              “ข้าวหน้าเนื้อ!


     

              “แกงกะหรี่!


     

              “ก็บอกแล้วไงวะว่าส่วนผสมที่จะทำแกงกะหรี่มันหมด!!


     

              “ก็ไปซื้อสิวะ บากะงามิ!!!


     

              คางามิอยากจะยันตีนใส่ไอ้เว-หน้าดำตรงหน้าเสียเหลือเกิน มีอย่างที่ไหนบุกเข้าห้องคนอื่นพร้อมสั่งให้ทำแกงกะหรี่ให้ตนทานทั้งๆตัวเองก็เป็นแค่แขกแท้ๆ


     

             “ฟังนะอาโอมิเนะ แกงกะหรี่น่ะถ้านายอยากกินเอาไว้เสาร์อาทิตย์ได้หรือเปล่า ฉันมีโอกาสไปซุปเปอร์มาร์เก็ตช่วงวันหยุดอยู่แล้ว ยังไงนายค่อยกินตอนนั้นก็ได้นี่” พยายามใช้ไม้อ่อนเข้าช่วยเพราะดูท่าว่าการโวยวายแข่งกันนั้นนอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังสร้างความรำคาญให้แก่ห้องข้างๆ


     

             “ชิ..ก็ได้” อาโอมิเนะยอมลงให้ในที่สุด


     

             “งั้นนายนั่งรอตรงนี้แหละ” คางามิคว้าผ้ากันเปื้อนลายสก็อตสีน้ำเงินมาสวม หันหลังทำท่าว่าจะเดินเข้าครัวหากทว่าก็ต้องหันกลับมามองคนที่จู่ๆก็ลุกขึ้นเดินตามหลังเขามาแบบงงๆ


     

             “อะไรของนาย? คางามิเลิกคิ้ว


     

             “ฉันอยากช่วย”


     

             สิ้นคำตอบของอาโอมิเนะ ไดกิ....คางามิจินตนาการได้ถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับห้องครัวของเขาได้เลย นึกโทษตัวเองที่เมื่อเช้าดันตื่นทันมาดูรายการดวงเด็ดอาโฮ่อาสะที่เจ้ามิโดริมะอะไรนั่นเคยพูดถึงแล้วแท้ๆแต่ก็ยังไม่เชื่อคำทำนาย...


     

             -ดวงของคนราศีสิงห์วันนี้ให้ระวังแขกที่ชอบมาเยี่ยมบ้านไว้ให้ดีนะคะ เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่นำมาซึ่งความเดือดร้อนและวุ่นวายแน่นอนค่ะ-

     

    TBC

     ................................................................................................

    จบท้ายด้วยหนังสือที่คางามิหยิบไปค่ะ 

    รูปนี้เป็นของพี่ทิพย์ค่ะ พี่เขารีวิวหนังสือภาษาอังกฤษเยอะมากอ่ะ ฟฟฟฟฟฟ ขอยื้มมาใช้นะคะ ยังไงใครสนใจอยากอ่านรีวิวพี่เขาสามารถติดตามได้ที่ลิ้ง LIFE OF PI นะคะ

     

    เรื่องนี้เราเดาว่าหลายคนคงจะเคยดูหนังกัน เป็นเรื่องของเด็กชายติดอยู่บนเรือชูชีพกับเสือกลางทะเลค่ะ ต้องหาทางขึ้นฝั่งทั้งยังต้องระวังเสือกินตัวเองอีก ตอนจบเรื่องนี้เราประทับใจมาก นิยายสนุกแล้วนะพอมาทำเป็นหนังก็อลังการงานสร้างมาก คางามิเลือกเล่มนี้เพราะมีเหตุผลค่ะ ซึ่งเราจะยังไม่เอ่ยถึง....ตอนนี้ก็รู้แค่ว่าคางามิเลือกเล่มนี้เพราะมีสามสาเหตุละกันเนาะ


    1. -----

    2. เป็นนวนิยายภาษาอังกฤษที่คางามิอ่านได้คล่องกว่าภาษาญี่ปุ่นค่ะ

    3. หน้าปกเป็นสีน้ำเงิน ....(เกี่ยว?)



     วนิลาเชคน่าทานมากค่ะ....Bepine <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×