ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Knb] How to...cook : Aokaga (END)

    ลำดับตอนที่ #3 : 3rd: แกงกะหรี่

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    3rd cooked

     

             ใส่หัวใจลงไปในอาหาร? นี่แกกำลังเล่นลิ้นอะไรอยู่กันแน่

     

             ฉันไม่ได้เล่นลิ้น

     

             ถ้านายไม่พอใจกับอาหารของฉันก็พูดมาตรงๆเลยเถอะไม่ต้องอ้อมค้อม!!’

     

              ‘ใช่ ฉันไม่พอใจ! เพราะอาหารสองมื้อนี้นายไม่ได้ตั้งใจทำมันเลยสักนิด!!!’

     

    ……………………………………………………………………………………………………………………….

     

              เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอตามฟุตบาตข้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในสวนสาธารณะยามเช้าสางที่มีผู้คนบางตา

     

             คางามิวิ่งไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้นับจำนวนรอบ ขาทั้งสองข้างยังคงลงเท้าสลับกันต่อเนื่องด้วยความเร็วคงที่ รู้สึกเย็นชื้นทุกครั้งที่สายลมอ่อนๆไหลผ่านร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ...คางามิรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้าบริเวณสีข้างแก้ม ดวงตาของเขาพร่ามัวไปชั่วขณะเมื่อมีม่านน้ำใสบดบังดวงตาของตน.

     

             แล้วเด็กหนุ่มก็หยุดชะงักกิจกรรมการวิ่งมาราธอนของตนไปชั่วขณะ ยกแขนขึ้นกวาดเช็ดบริเวณใบหน้าลวกๆ เพื่อที่จะเริ่มออกวิ่งอีกครั้งด้วยสปีดที่เท่าเดิม...

     

    .

    .

    .

    ฟังนะไทกะ อาหารน่ะต่อให้อร่อยแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจทำล่ะก็...คนกินเขาก็ไม่มีความสุขหรอก

    .

    .

    .

     

              ร่างของ คางามิ ไทกะ เอซหนึ่งเดียวแห่งทีมเซย์รินขณะนี้หอบจนตัวโยนหลังจากวิ่งเฉียดตายเข้ามาในโรงยิมที่โค้ชริโกะนัดไว้

     

             ทันแบบฉิวเฉียด...แต่ก็ไม่พ้นโดนฝ่ามือมหาประลัยของโค้ชฟาดอยู่ดี โทษฐานที่มาคนสุดท้าย

     

             “คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้วครับ!!! เป็นเสียงของคางามิเองที่ดังก้องโรงยิม

    .

    .

              เพราะว่าเพิ่งจะชนะศึกวินเทอร์คัพมาได้ไม่นาน แต่พวกเราทีมเซย์รินยังหวังที่จะชนะศึกอินเตอร์ไฮด์ครั้งใหม่ในปีหน้า การซ้อมจึงยังคงถูกจัดไว้ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดก็ตามที พวกเขาแบ่งทีมกันคนละครึ่งและให้แข่งกันเองไปเรื่อยๆเพื่อปรับทักษะและฝึกการเล่นให้เข้าขากันไปในตัว

     

     

             “คางามิคุง!

     

              คุโรโกะพาสลูกมาทางคางามิอย่างเต็มกำลัง ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถรับได้อย่างทันท่วงที และจัดการจบเกมทีมฝั่งตนเองด้วย -ลูกชู้ต3แต้ม- ในที่สุด เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนในทีมได้เป็นอย่างดี

     

     

             ชายหนุ่มผมแดงเดินออกมาจากสนามทันทีเพื่อไปค้นกระเป๋าหยิบเอาขวดน้ำเกลือแร่ออกมาดื่มโดยไม่ลืมที่จะโยนอีกขวดให้คู่หูของตน คางามิเหนื่อยเอาการเหมือนกันเมื่อต้องแข่งกับคนในทีมตัวเองแบบนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะไปวิ่งไล่เหงื่อมาหมาดๆ แม้จะไม่ถึงขั้นหมดสภาพแต่ก็จัดว่าหนักหนาเอาการอยู่ ตอนนี้ร่างกายของเขาเสียน้ำไปมากชนิดที่ว่าเอาเสื้อมาบิดๆคงได้น้ำออกมาเป็นแก้ว.

             มือกร้านสีน้ำผึ้งอีกข้างยกขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆไล่หยดเหงื่อให้ออกจากบริเวณเชิงผมได้ส่วนหนึ่ง ก่อนจะกระพือเสื้อขึ้นลงหวังให้ลมแทรกผ่านเข้าไประบายความร้อนได้บ้าง

     

     

             “คางามิคุง ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

     

             ดวงตาสีแดงสดตวัดไปตามเสียงเรียกของโค้ชสาวที่มายืนอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะตอบรับด้วยคำพูดสุภาพ “ครับโค้ช”

     

     

             “คางามิคุงช่วงนี้ดูแปลกๆไปนะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?

     

             น้ำเสียงหวานใสแสดงความเป็นห่วงออกมาชัดเจน หากแต่คำพูดที่หลุดออกมาทำเอาคางามิถึงกับสะดุ้ง เสตาหลบสายตาที่เหมือนกับจะมองเขาได้แบบทะลุปรุโปร่งของผู้หญิงคนนี้

     

     

             “ผมฟอร์มตกสินะครับ..” เด็กหนุ่มตัวโย่งก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา

     

     

             “เปล่าหรอก แค่...รู้สึกว่าคางามิคุงไม่ร่าเริงเหมือนเดิมน่ะ” สาวเจ้าเว้นวรรคไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ก็นายไม่ได้ทำตัวเป็น บากะงามิ- มาได้ตั้งอาทิตย์กว่าแล้วนี่นา”

     

             คางามิเลิกคิ้ว กำลังจะอ้าปากแย้งหากหว่าก็ถูกดักคอไว้ด้วยเสียงใสๆเสียก่อน

     

             “ยังไงตราบใดที่มันไม่กระทบการซ้อมมากฉันจะทำเป็นปล่อยๆไปก่อนละกัน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจจริงๆ พวกเราก็พร้อมรับฟังนะคางามิคุง” โค้ชสาวคลี่ยิ้มหวาน

     

     

             “ยังไงพวกเราก็คือทีมเดียวกันนะครับ คางามิคุง” คุโรโกะที่อยู่มานานแล้วแต่เพิ่งจะมีบทเอ่ยแทรกเพื่อแสดงถึงการมีอยู่ของตน ทำเอาทั้งคางามิและริโกะขวัญผวาไปตามๆกัน พลันดวงตาสีแดงสดเหลือบไปเห็นเจ้าเบอร์สองจะคลานออกมาจากกระเป๋าเป้ของคุโรโกะแล้ววิ่งเข้ามาหาตน ขายาวๆจึงไม่รอช้าที่จะโกยแนบไปจากบริเวณนั้นทันที.

     

     

             เสียงร้องโหยหวนของบุรุษผู้กลัวหมา(น้อย)และเสียงหัวเราะของทุกคนในทีมเซย์รินดังก้องไปทั่วโรงยิมขนาดกลาง เด็กหนุ่มนาม คางามิ ไทกะ วิ่งวนเป็นวงกลมหนีเจ้านิโกว หมาน้อยน่ารักที่วิ่งตามด้วยสี่ขาเล็กๆของมันอย่างไม่ย่อท้อ...

     

     

             การออกกำลังกายแบบสุดโต่งผนวกกับความกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจอันมีสาเหตุมาจากเจ้าหมาน้อยทำให้คางามิเหนื่อย ไอ้เวรคุโรโกะ!

     

             เสียงหัวเราะของทุกคนในทีมยิ่งทำให้คางามิอยากร้องไห้ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างละกัน!

     

             *แต่โดยภาพรวมแล้ว...คางามิ ไทกะกำลังมีความสุข*

    .

    .

    .

    .

              คางามินั่งมองคุโรโกะดูดเครื่องดื่มกลิ่นวนิลาด้วยสายตาเนือยๆ เพราะอีกฝ่ายขอไว้ว่าจะแวะร้านมาจิเบอร์เกอร์ในตอนเย็น ถ้าเป็นปกติคางามิคงไม่รีรอที่จะสั่งเบอร์เกอร์เซ็ตยักมานั่งสวาปามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะวันนี้เจ้าตัววางแผนไว้แล้วว่าจะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตมาทำอาหารเอง เมนูเบอร์เกอร์ชุดใหญ่จึงเป็นอันยกเลิกและกลายเป็นว่าต้องมานั่งมองเพื่อนผู้จืดจางดูดน้ำแทน

     

             เด็กหนุ่มร่างสูงเปิดปากหาวหวอดหนึ่ง ในใจอยากจะฟุบหลับลงไปกับโต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันที่ศีรษะจะทันได้สัมผัสกับขอบโต๊ะเสียงวางแก้ววนิลาเชคที่หมดเกลี้ยงก็เรียกสายตาของคางามิขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

     

             “จะสั่งอะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ? คางามิถาม

     

             “ไม่ล่ะครับ” คุโรโกะหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดปากของตนก่อนจะเรียกคิดเงินเสร็จสรรพ

     

     

     

             หลังจากนั้นพวกเขาจึงเดินไปต่อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อที่คางามิจะได้ซื้อของเข้าบ้านและคุโรโกะเองก็จะได้ซื้อของให้แม่ พวกเขาเดินเข็นรถคู่กันไปเรื่อยๆตามบล็อคต่างๆของห้าง ค่อยๆหยิบค่อยๆจับของลงรถเข็นอย่างไม่รีบร้อนหากทว่าคล่องแคล่ว จนในที่สุดของในส่วนของคางามิก็เกือบครบ จะเหลือก็แต่พวกผักนิดหน่อยสำหรับทำแกงกะหรี่ที่จะเป็นมื้อเย็นวันนี้

     

             เมื่อมาถึงโซนขายผัก คางามิหยิบถุงพลาสติกมาใส่ผักที่ต้องการแล้วใส่ลงรถเข็นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากหอมหัวใหญ่ที่แห้งและไม่มีส่วนนิ่ม แครอทสีส้มผิวเรียบและขั้วยังเป็นสีเขียว สุดท้ายคือมันฝรั่งที่มีสีเหลืององและเนื้อแน่น หันไปมองข้างๆเจอเพื่อนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังจ้องเขาตาไม่กะพริบอยู่ก็ถึงกับผงะ

     

     

             “คางามิคุงดูจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการทำอาหารเลยนะครับ ใครสอนหรือครับ?

     

     

             คนถูกเอ่ยถามเม้มปากก้มลงมองของในรถเข็นอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง “แม่เป็นคนสอนน่ะ”

     

             คนผมฟ้าเลิกคิ้วเมื่อเขาพูดจบ ดูจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง

     

     

             “ที่ฉันเริ่มทำอาหารก็เพราะแม่นี่แหละ จำได้ว่าเลยล่ะว่าตอนทำครั้งแรกมันรสชาติห่วยขนาดไหน ฮ่ะๆ” ดวงตาสีแดงจับจ้องไปที่ภาพของพ่อแม่ลูกที่เดินซื้ออาหารสดอยู่ในโซนใกล้ๆ

     

     

             “ตอนนั้นไม่ว่าแม่จะสอนยังไง ฉันก็ไม่สามารถทำอาหารได้อร่อยเสียที แค่กินได้ก็บุญแล้วในตอนนั้น” - อาหารจานแรกที่ทำคือไข่เจียว จำได้ว่าไหม้ไปกว่าครึ่งแผ่น-

     

     

             “พอแม่เสีย ฉันก็เป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว เวลาว่างก็เข้าครัวฝึกทำอาหาร ตอนนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉันคงจะเป็นบาสกับการทำอาหารล่ะมั้ง” - เลิกเรียนเสร็จก็เล่นบาส กลับถึงบ้านก็เอาแต่เข้าครัวทำอาหารรอพ่อ

     

     

             “ไปๆมาๆ อาหารที่ฉันทำก็กลายเป็นอาหารที่หลายคนมองว่าอร่อยขึ้นมาเสียดื้อๆ...แต่ล่าสุดก็เพิ่งโดนเจ้าอาโฮ่มิเนะนั่นวิจารณ์มาว่าอาหารของฉันมันไร้ความตั้งใจ ให้ตายเถอะ เล่นเอาเสียเซลฟ์ไปเลยแฮะ” หลุบสายตากลับมามองข้างของเต็มรถเข็น แวบหนึ่งที่เผลอคิดถึงใบหน้าดำๆกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนบางคนจนเผลอบ่นออกไปจนได้

     

             -ถ้าได้เจอหมอนั่นอีกก็คงดี...จะได้ทำอาหารแก้มือเสียหน่อย-

     

     

     

             “จริงๆแล้วอาโอมิเนะคุงน่ะ เขาเป็นห่วงคางามิคุงนะครับ” คุโรโกะที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นก่อนจะยิ้มจางๆให้แสงคนปัจจุบันของตนที่ตอนนี้ทำหน้าตาเหรอหราอยู่

     

     

             “เขาอาจจะพูดจาเราะร้ายไปบ้าง แต่เขาก็เจตนาดีนะครับ” คุโรโกะรอดูท่าทีของคางามิก่อนจะพูดต่อ “ที่พวกบุกไปบ้านของคางามิคุงเมื่อวาน จริงๆแล้วมันไม่ได้มีสาเหตุแค่เพราะอาโอมิเนะคุงอยากกินไก่เทอริยากิหรอกนะครับ” ริมฝีปากบางสวยอมยิ้มพร้อมกับดวงตาที่พราวระยับ

     

     

             “สาเหตุทั้งหมดน่ะ...ก็เพราะคางามิคุงต่างหากล่ะ”

     

    .

    .

    .

     

              คางามิมาถึงหอพักตัวเองก็เกือบจะทุ่มนึงเข้าให้แล้ว ทั้งๆที่รีบจ่ายเงินแล้วรีบเดินมาโดยลืมแม้กระทั่งบอกลาคุโรโกะอย่างทุกที มารู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมาตั้งไกลแล้วเนี่ยแหละเลยต้องส่งข้อความไปขอโทษขอโพยอีกฝ่ายกันยกใหญ่

     

             ขอโทษจริงๆนะคุโรโกะ พอดีฉันรีบกลับเลยไม่ได้อยู่รอนาย หวังว่านายไม่ได้โกรธกันนะ –Kagami Taiga (18.56)

     

              ผมเข้าใจครับคางามิคุง ไม่ได้โกรธคุณหรอก ซุปเปอร์มาร์เก็ตมันไกลจากหอพักคุณนี่นา ยังไงถึงบ้านแล้วก็ส่งข้อความมาบอกผมด้วยนะครับ –Kuroko Tetsuya (19.01)

     

     

    ส่งข้อความเสร็จคางามิก็มาถึงบันไดขึ้นห้องพอดี เขาก้าวขาขั้นบันได้ทีละสองขั้นด้วยความรีบร้อนเพราะเสียงร้องครวญของกะเพราะเขามันดังโครกครากน่าเวทนาจริงๆ

     

             “ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นแบบนั้นระวังจะตกบันไดตายเข้าสักวัน”

     

             น้ำเสียงยียวนของคนที่แม้จะไม่ค่อยได้เจอแต่กลับเป็นเสียงที่คางามิจำได้ดีดังขึ้นมาจากบริเวณเหนือหัว เขารีบเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อสิ่งที่ตนตนคิดนั้นถูกต้อง

     

     

             “มาทำห่*อะไรที่นี่ อาโอมิเนะ ไดกิ”

     

             ตอนนี้คางามิ ไทกะโมโหหิวเกินกว่าจะมาพูดจาดีๆกับใครทั้งสิ้น และยิ่งคนนั้นเป็นอาโอมิเนะ ไดกิด้วยแล้ว สุนัขในปากก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ไว้ให้เปลืองแรง

     

     

             “นั่นผงแกงกะหรี่นี่ นายกำลังจะทำแกงกะหรี่ใช่หรือเปล่า? เอ้าเร็ว! รีบขึ้นมาซะสิ”

     

             หน้าตาของคนตัวดำยังคงยียวนกวนประสาทเช่นเดิมแถมยังจงใจเปลี่ยนเรื่องหน้าด้านๆยิ่งทำให้คางามิอารมณ์เสีย แต่เพราะตอนนี้สวัสดิภาพของพยาธิในท้องสำคัญกว่าเขาจึงเลือกที่จะเลิกต่อปากต่อคำและเดินขึ้นบันไดไปยืนข้างอีกฝ่ายโดยไม่บ่น

     

     

             “สรุปคือนายจะมาฝากท้องอีกแล้วสินะ” จัดการยัดถุงจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใส่มืออีกฝ่ายเพื่อที่จะหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงด้านขวามาไขประตูห้อง เปิดกว้างเรียกให้อีกคนเดินเข้ามา

     

            

     

             “จะให้เอาของวางไว้ที่ห้องครัวหรือว่าบนโต๊ะกินข้าว?” อาโอมิเนะที่เดินเข้าส่วนของห้องรับแขกไปก่อนเพราะเจ้าตัวใช้ยุทธวิธีการสะบัดรองเท้ากองระนาดกับพื้นเอ่ยถามเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังง่วนกับเชือกรองเท้าอยู่

     

     

             คางามิที่กำลังถอดรองเท้าเงยหน้าขึ้นมามองผิวเข้มแบบงงๆเพราะเมื่อครู่ฟังคำถามไม่ทัน “โทษที เมื่อกี๊นายถามว่าอะไรนะ?

     

     

              “ฉันถามว่าจะให้เอาของวางไว้ที่ห้องครัวหรือว่าบนโต๊ะกินข้าว” อาโอมิเนะทำหน้าเหม็นเบื่อ

     

     

             “ไว้ตรงโต๊ะกินข้าวนั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะจัดของเอง” คางามิที่ถอดรองเท้าเสร็จเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดทีวีให้อีกคนก่อนจะรุนหลังร่างที่โตไม่ต่างกับตัวเองไปนั่งแหมะบนโซฟารับแขกตัวเขื่องแล้วพูดเสริม

     

             “นั่งดูทีวีเงียบๆรอฉันทำอาหารตรงนี้แหละ”

    .

    .

              ไม่ถึงชั่วโมง แกงกะหรี่ร้อนๆราดบนข้าวสวยที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ๆก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ และถูกจัดการโดยคนสองคนจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากความหิวไส้กิ่วหรือเพราะอาหารมันอร่อยจริงๆกันแน่

     

     

             อาโอมิเนะเป็นคนแย่งจานของคางามิไปเก็บ แถมยังลอยชายล้างจานชามให้เขาแบบหน้าตาเฉย พอจะเดินเข้าไปช่วยก็มักจะมีเสียงคำรามในลำคอเหมือนหมาไม่มีผิด คิดแล้วก็สยอง. ผนวกกับที่คางามิจนปัญญาจะห้ามจึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ คอยบอกตำแหน่งของที่เก็บจานกับอุปกรณ์งานครัวให้อีกฝ่าย และภาวนาในใจลึกๆไม่ให้อีกฝ่ายทำลายล้างห้องครัวของเขา.

     

     

             กว่าอาโอมิเนะจะล้างจานกับเช็ดจานเสร็จก็ปาไปแล้วสองทุ่มกว่า... คางามิปฏิญาณเลยว่า เขาจะไม่ให้อาโอมิเนะล้างจานอีก เพราะนอกจากจะเปลืองน้ำประปาโดยใช่เหตุแล้วยังเปลืองเวลาอีกต่างหาก.

    เพราะวันนี้คือวันอาทิตย์ซึ่งพรุ่งนี้นักเรียนทุกคนต้องไปโรงเรียน อาโอมิเนะจึงต้องรีบกลับบ้านโดยมีคางามิมายืนรอแท็กซี่เป็นเพื่อน อาจเพราะอากาศในเวลากลางคืนที่ค่อนข้างหนาวทำให้พวกเขายืนชิดกันทั้งๆที่มีที่ให้ยืนตั้งมากมาย...

     

    คางามิสังเกตว่าอาโอมิเนะยืนชิดขากับเขามาก

     

    เหมือนแมวเลยแฮะ...เป็นเพราะหมอนี่มีสัญชาตญาณแบบเสือดำด้วยรึเปล่านะ


     

     

             เมื่อรถแท็กซี่มาจอดตรงหน้า อาโอมิเนะหันมาหาเขาก่อนจะคลี่ยิ้มแบบที่คางามิเพิ่งจะเคยได้เห็น

    เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มแสยะหรือกวนอวัยวะเบื้องล่างเหมือนอย่างทุกที

     

             แวบหนึ่งที่คางามิเผลอคิด ว่าจริงๆแล้วอาโอมิเนะ ไดกิ ก็ไม่ได้เลวร้าย

     

     

             “ฉันดีใจที่นายเริ่มกลับมาเป็น-บากะงามิ-แบบเดิมแล้วนะ ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ บอกตามตรงเลยว่าแกตอนซึมๆอึนๆนี่มันไม่เหมือนแกเลยว่ะ ฮ่าๆๆ” อาโอมิเนะพูดทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งปรู้ดขึ้นรถแท็กซี่โดยมีเสียงด่าทอสาปแช่งของคางามิตามหลัง

     

             โอเค...เขาขอถอนคำพูด

     

             -ผู้ชายชื่อ อาโอมิเนะ ไดกิ ไม่มีทางหลุดออกจากบัญชีหนังหมาของเขาได้-

    TBC.

    ………………………………………………………………………………………………………………

              ใช้เวลาเขียนนานแฮะ ถถถถถ เราสัญญาว่าถ้าคอมเมนต์ครบ 13 เราจะมาแต่งต่อ ซึ่งก็ครบเร็วกว่าที่คิดแฮะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

             ตอนแรกทุกคนสงสัยกันมากเลยว่าอาโฮ่ใช่ตัวจริงไหม? – คือในสายตาเราเราคิดว่าอาโฮ่มันไม่ได้โฮ่เสมอไปนะ อันนี้ก็แล้วแต่จะคิดเนาะ ยังไงก็ลองมาเจออาโฮ่เวอร์ชั่นนี้ดูนะคะ อาจจะดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง T^T

             พล็อตของเรื่องเป็นการแก้ปมทีละปมค่ะ คนที่ติดตามผลงานบีไพน์จะรู้นิสัยเลยว่าบีไพน์ชอบแต่งฟิคแบบที่ทิ้งปมไว้ตอนต้นเรื่องเยอะๆแล้วค่อยๆคลายปมทีละปมไปเรื่อยๆ เราเข้าใจนะถ้าใครอ่านตอนที่สองของเราแล้วจะงง เราเข้าใจค่ะ เราเองถ้าไม่ใช่คนแต่งเองก็จะงง แต่ขอร้องให้ตามอ่านไปเรื่อยๆก่อนนะคะ แล้วปมมันจะค่อยๆเผยออกมาเอง

             ตอนนี้เราทิ้งคีย์เวิร์ดไว้เยอะมากกกกกค่ะ คือแบบถ้าอ่านเจอคีย์เวิร์ดแล้วคิดตามล่ะก็คุณจะเริ่มเดาทางออกแล้วล่ะ ยังไงถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องซีเรียสค่ะ มีเฉลยแน่นอน แต่คงไม่ใช่ตอนใกล้ๆนี้เพราะเรากะจะเฉลยตอนกลางๆเรื่อง-หรือไม่ก็ท้ายเรื่อง

     

             หวังว่าทุกคนจะไม่เบื่อไปก่อน และหวังว่าทุกคนจะเอ็นจอยรีดดิ้งกับฟิคของบีไพน์นะคะ

     

    ปล.ยังไม่ได้ตรวจคำผิด...อีกแล้ว


    แกงกะหรี่ของคางามิ รสชาติจะเป็นยังไงนะ หิวจังเลย...-ฺBEPINE

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×