ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3/1 เจอกันอีกครั้ง
บทที่ 3 เจอกันอีกครั้ง
บ้านเลขที่ถูกต้องตามในแผ่นกระดาษที่ให้มารั้วเป็นสีเขียว ตอนนี้บ้านหลังนั้นอยู่เบื้องหน้าของพ่อเลี้ยงภูพิงค์ ชายหนุ่มลงจากรถหลังจากที่ชั่งใจมาสักพักแล้ว เพราะเบื้องหน้าดูไม่เหมือนร้านข้าว ร้านอาหารอะไรทำนองนั้น
บ้านหลังขนาดใหญ่ดูหรูพอ ๆ กับบ้านของศรันย์มีสนามหญ้ากับเครื่องเล่นที่รวม ๆ กันแล้วกลายเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อม เมื่อดูจากภายนอกจึงไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าจะมีของกินให้เขา ขณะที่ภูพิงค์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยสายตาคมก็สะดุดเข้ากับร่างเล็กเต่งตึงที่กำลังเดินออกมาจากตัวบ้าน
เขาเพ่งมองดูเด็กหญิงรูปร่างอวบแล้วรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน
ในขณะที่กำลังคิดสายตาก็จับจ้องมองอยู่เห็นตั้งแต่ต้นว่าแม่หนูน้อยร่างอวบกำลังจะปีนบันได
ภูพิงค์เริ่มร้อนรนเมื่อการปีนบันไดนั้นดูท่าจะอันตรายและการที่มือสั้น ๆ กำลังเอื้อมเหมือนพยายามจะเอาอะไรสักอย่างบนต้นไม้ ก็ทำให้คิดตำหนิไปถึงผู้ปกครองว่าทำไมปล่อยปละละเลยขนาดนี้
เพราะคิดว่ามันอันตรายเขาไม่รู้จะทำยังไงจึงรีบส่งเสียงตะโกนห้าม แต่คล้ายจะเป็นการไปทำให้เด็กหญิงสะดุ้งตกใจจนไม่อาจทรงตัวอยู่บนบันไดได้
ภูพิงค์เห็นว่าท่าไม่ดี ตอนนั้นเองที่เขาไม่คิดสนใจว่าสิ่งที่จะกระทำเป็นการบุกรุกรีบปีนกำแพงสูงเข้าไปในบ้านพุ่งตัวไปยังร่างอวบซึ่งตัวสั่นอยู่บนบันได แต่ด้วยระยะห่างและอุบัติเหตุก็เกิดได้เพียงเสี้ยววินาที ร่างแม่หนูน้อยหงายหลังตกใจจากบันไดพร้อมด้วยเสียงหวีดร้องดังลั่นเรียกให้คนเป็นแม่ออกมาดูด้วยเช่นกัน
เด็กหญิงนอนแผ่หลาอยู่บนผืนทรายพร้อมกับเสียงร้องไห้ เด็กหญิงพิลาศรักษ์หลับตาปี๋เพราะเห็นว่าบันไดกำลังจะหล่นทับตัวเอง
ภูพิงค์มาได้ทันเวลารีบเอาตัวกำบังบันไดที่ตกลงมาจึงฟาดเข้าแขนและแผ่นหลังเขาอย่างจัง
ปึก!
“อั๊ก!!”
เสียงเข้มอุทานออกมาเมื่อปวดกลางหลังที่โดนบันไดทับเต็ม ๆ แต่ก็ฝืนตัวผละออกจากการคร่อมทับร่างเด็กหญิง แม้ว่าจะแลกมาด้วยร่างกายที่เจ็บปวดหากภูพิงค์ก็ยินดีที่จะช่วยเพราะถ้าโดนเด็กที่กำลังเบะปากร้องไห้เขาก็คงรู้สึกผิดที่มาช่วยเอาไว้ไม่ทันและถ้าเป็นอีกฝ่ายก็อาจจะเจ็บกว่าหลายเท่านักบางทีอาจถึงขั้นกระดูกหักแล้วสลบไป คงไม่ได้ร้องไห้จ๋าอยู่เหมือนเช่นตอนนี้
“เจ้าขาลูก!”
พิตะวันรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรนเธอทันได้ยินเสียงร้องลั่นจึงวิ่งออกมาดู ตอนที่เห็นว่าลูกสาวตกลงมาหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น
“มี้ขา อึก” ดวงหน้ากลมเปื้อนคราบน้ำตาโผเข้ากอดมารดาเอาไว้เพราะความตกใจ
“ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร ขอมี้ดูหน่อย เจ้าขาหนูปวดหลังไหม รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับตามเนื้อตัวของลูกสาวดูให้แน่ใจ
“ทรายนุ่มค่ะ ไม่เจ็บมาก” คำตอบชัดแจ๋วพร้อมกับยิ้มแฉ่ง เสียงสะอื้นจางหายไปแล้ว ทำเอาพิตะวันอยากจะฟาดก้นสักสองสามครั้งเสียจริง ๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี รู้ใช่ไหมว่าอันตรายที่ทำอยู่"
“เจ้าขาก็แค่อยากไปช่วยนก”
คำตอบทำให้พิตะวันโกรธไม่ลงแต่ก็คงต้องมีการลงโทษ เพราะการที่ได้ยินเสียงลูกร้องไห้มันบีบหัวใจเธอที่สุดแล้วจังหวะที่บันไดร่วงตามมาเธอก็แทบลืมหายใจ หัวใจหายวูบไปที่ตาตุ่ม
ขณะนั้นเองที่พิตะวันเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้มีแค่ลูกกับเธอแต่ยังมีใครอีกคน เธอรีบหันไปหาเขาอย่างไวจึงได้เห็นว่าเขากำลังเช็ดแขนเสื้อที่เปื้อนอยู่และชายหนุ่มแปลกหน้ากำลังส่ายศีรษะไปมาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ช่วยนก ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนไหม?”
ไม่ได้ดุและไม่ชื่นชมแต่เหมือนการหยอกล้อมากกว่า พิตะวันคิดอย่างนั้นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแอบยกยิ้มตอนพูดโดยที่สายตาจับจ้องไปที่ร่างกายลูกสาวเธอ
คนเป็นแม่เองก็คิดเช่นเดียวกัน หากจะล้อเลียนลูกสาวเล่นก็คงจะทำไม่ได้มันคงไม่ใช่เวลาที่ดีนักเพราะตอนนี้มีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน
“เอ่อขอบคุณที่ช่วยเจ้าขาเอาไว้ แต่คุณเป็นใครคะ?”
“ขอบคุณค่ะที่ช่วยเจ้าขา” เด็กหญิงพิลาศรักษ์เองก็เอ่ยขึ้นพร้อมพนมมือไหว้สวยงามไม่พอยังยิ้มกว้างจนแก้มกลมป่องให้กับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จัก
ภูพิงค์สลับสายตาดูคนเป็นแม่ทีเป็นลูกที โลกจะกลมอะไรขนาดนี้บังเอิญเกินไปแล้ว ชายหนุ่มตั้งคำถามอยู่ในใจคนเดียว
“ผมหิว” แม้ว่าจะมีเหตุการณ์น่าตกใจอยู่ตรงหน้าแต่ภูพิงค์ไม่คิดว่าเวลานี้ต้องมาแนะนำตัว เพราะท้องของเขาประท้วงจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว
“หิว?” พิตะวันทวนสิ่งที่ได้ฟังแล้วขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน เธอพยายามประมวลผลความน่าจะเป็นในสมอง ผู้ชายคนนี้คุ้น ๆ แต่ไม่ใช่ลูกค้าของเธอแน่นอน แต่ก่อนที่เธอได้สงสัยไปมากกว่านี้ ภูพิงค์ที่เหมือนรู้ความเคลือบแคลงจึงเอ่ยขึ้นอีก
“ผมมารับข้าว”
การขยายความของภูพิงค์ไม่ช่วยอะไรเมื่อคนฟังขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมและยังมองมาด้วยความระแวง ทำเอาใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย หรือว่าคนที่มีความสวยเขาจะลืมพกพาไอคิวถึงได้เข้าใจอะไรยาก แน่นอนว่าเขาไม่พูดมันออกมาแต่คิดและนึกสนุกอยู่คนเดียวเท่านั้น
“แต่คุณ…คุณไม่ใช่ลูกค้า ไม่ใช่แล้วคุณรู้ได้ยังไง?” ริมฝีปากบางพ่นคำถามระรัวจนแทบฟังไม่ทัน “หรือว่าคุณจะเป็นคนร้าย!?”
.
.
.
เอาแล้วยังไง กลายเป็นโจรไปซะแล้ว พ่อเลี้ยงภูพิงค์
อย่าลืมกดหัวใจ+เพิ่มเข้าชั้นไว้ด้วยน่า
ฝากคอมเม้นท์ให้ไรท์ด้วยน้าาาา......มองตาปริบ ๆ เลย อยากอ่านเม้นท์
บ้านเลขที่ถูกต้องตามในแผ่นกระดาษที่ให้มารั้วเป็นสีเขียว ตอนนี้บ้านหลังนั้นอยู่เบื้องหน้าของพ่อเลี้ยงภูพิงค์ ชายหนุ่มลงจากรถหลังจากที่ชั่งใจมาสักพักแล้ว เพราะเบื้องหน้าดูไม่เหมือนร้านข้าว ร้านอาหารอะไรทำนองนั้น
บ้านหลังขนาดใหญ่ดูหรูพอ ๆ กับบ้านของศรันย์มีสนามหญ้ากับเครื่องเล่นที่รวม ๆ กันแล้วกลายเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อม เมื่อดูจากภายนอกจึงไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าจะมีของกินให้เขา ขณะที่ภูพิงค์ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยสายตาคมก็สะดุดเข้ากับร่างเล็กเต่งตึงที่กำลังเดินออกมาจากตัวบ้าน
เขาเพ่งมองดูเด็กหญิงรูปร่างอวบแล้วรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน
ในขณะที่กำลังคิดสายตาก็จับจ้องมองอยู่เห็นตั้งแต่ต้นว่าแม่หนูน้อยร่างอวบกำลังจะปีนบันได
ภูพิงค์เริ่มร้อนรนเมื่อการปีนบันไดนั้นดูท่าจะอันตรายและการที่มือสั้น ๆ กำลังเอื้อมเหมือนพยายามจะเอาอะไรสักอย่างบนต้นไม้ ก็ทำให้คิดตำหนิไปถึงผู้ปกครองว่าทำไมปล่อยปละละเลยขนาดนี้
เพราะคิดว่ามันอันตรายเขาไม่รู้จะทำยังไงจึงรีบส่งเสียงตะโกนห้าม แต่คล้ายจะเป็นการไปทำให้เด็กหญิงสะดุ้งตกใจจนไม่อาจทรงตัวอยู่บนบันไดได้
ภูพิงค์เห็นว่าท่าไม่ดี ตอนนั้นเองที่เขาไม่คิดสนใจว่าสิ่งที่จะกระทำเป็นการบุกรุกรีบปีนกำแพงสูงเข้าไปในบ้านพุ่งตัวไปยังร่างอวบซึ่งตัวสั่นอยู่บนบันได แต่ด้วยระยะห่างและอุบัติเหตุก็เกิดได้เพียงเสี้ยววินาที ร่างแม่หนูน้อยหงายหลังตกใจจากบันไดพร้อมด้วยเสียงหวีดร้องดังลั่นเรียกให้คนเป็นแม่ออกมาดูด้วยเช่นกัน
เด็กหญิงนอนแผ่หลาอยู่บนผืนทรายพร้อมกับเสียงร้องไห้ เด็กหญิงพิลาศรักษ์หลับตาปี๋เพราะเห็นว่าบันไดกำลังจะหล่นทับตัวเอง
ภูพิงค์มาได้ทันเวลารีบเอาตัวกำบังบันไดที่ตกลงมาจึงฟาดเข้าแขนและแผ่นหลังเขาอย่างจัง
ปึก!
“อั๊ก!!”
เสียงเข้มอุทานออกมาเมื่อปวดกลางหลังที่โดนบันไดทับเต็ม ๆ แต่ก็ฝืนตัวผละออกจากการคร่อมทับร่างเด็กหญิง แม้ว่าจะแลกมาด้วยร่างกายที่เจ็บปวดหากภูพิงค์ก็ยินดีที่จะช่วยเพราะถ้าโดนเด็กที่กำลังเบะปากร้องไห้เขาก็คงรู้สึกผิดที่มาช่วยเอาไว้ไม่ทันและถ้าเป็นอีกฝ่ายก็อาจจะเจ็บกว่าหลายเท่านักบางทีอาจถึงขั้นกระดูกหักแล้วสลบไป คงไม่ได้ร้องไห้จ๋าอยู่เหมือนเช่นตอนนี้
“เจ้าขาลูก!”
พิตะวันรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรนเธอทันได้ยินเสียงร้องลั่นจึงวิ่งออกมาดู ตอนที่เห็นว่าลูกสาวตกลงมาหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น
“มี้ขา อึก” ดวงหน้ากลมเปื้อนคราบน้ำตาโผเข้ากอดมารดาเอาไว้เพราะความตกใจ
“ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร ขอมี้ดูหน่อย เจ้าขาหนูปวดหลังไหม รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับตามเนื้อตัวของลูกสาวดูให้แน่ใจ
“ทรายนุ่มค่ะ ไม่เจ็บมาก” คำตอบชัดแจ๋วพร้อมกับยิ้มแฉ่ง เสียงสะอื้นจางหายไปแล้ว ทำเอาพิตะวันอยากจะฟาดก้นสักสองสามครั้งเสียจริง ๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี รู้ใช่ไหมว่าอันตรายที่ทำอยู่"
“เจ้าขาก็แค่อยากไปช่วยนก”
คำตอบทำให้พิตะวันโกรธไม่ลงแต่ก็คงต้องมีการลงโทษ เพราะการที่ได้ยินเสียงลูกร้องไห้มันบีบหัวใจเธอที่สุดแล้วจังหวะที่บันไดร่วงตามมาเธอก็แทบลืมหายใจ หัวใจหายวูบไปที่ตาตุ่ม
ขณะนั้นเองที่พิตะวันเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้มีแค่ลูกกับเธอแต่ยังมีใครอีกคน เธอรีบหันไปหาเขาอย่างไวจึงได้เห็นว่าเขากำลังเช็ดแขนเสื้อที่เปื้อนอยู่และชายหนุ่มแปลกหน้ากำลังส่ายศีรษะไปมาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ช่วยนก ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนไหม?”
ไม่ได้ดุและไม่ชื่นชมแต่เหมือนการหยอกล้อมากกว่า พิตะวันคิดอย่างนั้นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแอบยกยิ้มตอนพูดโดยที่สายตาจับจ้องไปที่ร่างกายลูกสาวเธอ
คนเป็นแม่เองก็คิดเช่นเดียวกัน หากจะล้อเลียนลูกสาวเล่นก็คงจะทำไม่ได้มันคงไม่ใช่เวลาที่ดีนักเพราะตอนนี้มีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน
“เอ่อขอบคุณที่ช่วยเจ้าขาเอาไว้ แต่คุณเป็นใครคะ?”
“ขอบคุณค่ะที่ช่วยเจ้าขา” เด็กหญิงพิลาศรักษ์เองก็เอ่ยขึ้นพร้อมพนมมือไหว้สวยงามไม่พอยังยิ้มกว้างจนแก้มกลมป่องให้กับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จัก
ภูพิงค์สลับสายตาดูคนเป็นแม่ทีเป็นลูกที โลกจะกลมอะไรขนาดนี้บังเอิญเกินไปแล้ว ชายหนุ่มตั้งคำถามอยู่ในใจคนเดียว
“ผมหิว” แม้ว่าจะมีเหตุการณ์น่าตกใจอยู่ตรงหน้าแต่ภูพิงค์ไม่คิดว่าเวลานี้ต้องมาแนะนำตัว เพราะท้องของเขาประท้วงจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว
“หิว?” พิตะวันทวนสิ่งที่ได้ฟังแล้วขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน เธอพยายามประมวลผลความน่าจะเป็นในสมอง ผู้ชายคนนี้คุ้น ๆ แต่ไม่ใช่ลูกค้าของเธอแน่นอน แต่ก่อนที่เธอได้สงสัยไปมากกว่านี้ ภูพิงค์ที่เหมือนรู้ความเคลือบแคลงจึงเอ่ยขึ้นอีก
“ผมมารับข้าว”
การขยายความของภูพิงค์ไม่ช่วยอะไรเมื่อคนฟังขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมและยังมองมาด้วยความระแวง ทำเอาใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย หรือว่าคนที่มีความสวยเขาจะลืมพกพาไอคิวถึงได้เข้าใจอะไรยาก แน่นอนว่าเขาไม่พูดมันออกมาแต่คิดและนึกสนุกอยู่คนเดียวเท่านั้น
“แต่คุณ…คุณไม่ใช่ลูกค้า ไม่ใช่แล้วคุณรู้ได้ยังไง?” ริมฝีปากบางพ่นคำถามระรัวจนแทบฟังไม่ทัน “หรือว่าคุณจะเป็นคนร้าย!?”
.
.
.
เอาแล้วยังไง กลายเป็นโจรไปซะแล้ว พ่อเลี้ยงภูพิงค์
อย่าลืมกดหัวใจ+เพิ่มเข้าชั้นไว้ด้วยน่า
ฝากคอมเม้นท์ให้ไรท์ด้วยน้าาาา......มองตาปริบ ๆ เลย อยากอ่านเม้นท์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น