ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยแค้นฝากหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2/2 สองคนแม่ลูก

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 66


    “มี้เหม่อคิดถึงใครคะ เจ้าขาเรียกตั้งนาน” เด็กหญิงพิลาศรักษ์ตั้งคำถามพลางเอามือกอดอกกดดันให้คนเป็นแม่ตอบ ท่าทางราวกับผู้ใหญ่ทำให้พิตะวันหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เธอแสร้งใช้นิ้วชี้เคาะขมับทำท่าว่านึกไม่ออกและไม่รู้ว่าจะตอบอะไร

    “มี้คิดถึง คิดถึงใครดี”

    “พี่ชายที่หล่อหล่อรึป่าวคะ?”

    “พี่ชายที่ไหนอีกละเรา?”

    “ก็ที่โรงเรียนของมี้ มีพี่ชายหล่อหล่อตัวสูงเยอะเลยบางคนยังยิ้มให้เจ้าขาด้วย บอกว่าเจ้าขาน่าฟัด อุ๊บ”

    เด็กหญิงรีบเอามือปิดปากเมื่อคิดขึ้นได้ว่าเผลอพูดความลับออกไปแล้ว พิตะวันหรี่ตามองลูกสาวทันทีที่ได้ยิน

    “นั่นแน่ แอบหนีป้ายามใช่ไหม?”

    “ป่าวเลยค่า ป่าว เจ้าขาก็แค่วิ่งเล่นแล้วพี่ชายหล่อ ๆ ผ่านมาค่ะ”

    “แน่นะคะ”

    “เอ่อหนีนิดหน่อยค่ะแต่บอกป้ายามค่ะ”

    พิตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความซนของเจ้าตัวแสบและยังเจ้าเล่ห์อีก เด็กหญิงเริ่มรู้สึกว่ามารดาอาจจะลงโทษจึงกอดรวบขาทั้งสองไว้แล้วส่งสายตาออดอ้อนให้เอ็นดูเหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ เมื่อกระทำผิด แต่ทว่าคราวนี้เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะโดนคนเป็นแม่ขึงตาดุใส่เบา ๆ

    “วันหลังนิดเดียวก็ไม่ได้รู้ไหมคะ และห้ามดื้อกับป้ายามด้วยนะคะ”

    “.....” ไม่มีคำตอบเพราะเด็กหญิงแสนซนกำลังคิดหาข้ออ้าง

    “เจ้าขาเข้าใจไหมคะที่มี้บอก?”

    “เข้าใจก็ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบกลับใบหน้างอง้ำปากเล็กสีแดงสดเหมือนผลเชอรี่แบนออกเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ยอมคงแค่อยากงอน

    ซึ่งพิตะวันเห็นแต่เธอไม่ยอมอ่อนข้อเพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัยของตัวเด็กหญิงเอง ถึงแม้จะไม่บ่อยนักที่เธอต้องพาลูกไปมหาวิทยาลัย ถึงกระนั้นก็ต้องป้องกันเอาไว้และตักเตือนให้จดจำ

    “เข้าใจว่าอะไรคะ?”

    น้ำเสียงของคนเป็นแม่ค่อนข้างจริงจังจนเด็กหญิงพิลาศรักษ์รู้แล้วว่าการออดอ้อนไม่เป็นผลจึงยอมจำนนยอมรับฟังและตอบมารดาออกไปดี ๆ

    “ห้ามหนีป้ายาม นิดหน่อยก็ไม่ได้และต้องไม่ซน”

    “เก่งมากเก่งที่สุด” พิตะวันเอ่ยชมน้ำเสียงยินดีมากอีกทั้งยังยิ้มกว้างแล้วก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้างจนจมูกจมหาย

    “เก่งก็ต้องมีรางวัลค่า” เด็กหญิงไม่รอช้าเอ่ยขอของรางวัลเสียงใสลืมไปเลยว่ากำลังงอน

    “อดค่ะ หนูเพิ่งกินซีเรียลหมดไปสามกล่อง”

    ดวงหน้ากลมแก้มป่องงอง้ำอีกครั้งเมื่อเจอการปฏิเสธ

    พิตะวันเห็นว่าลูกสาวตั้งท่าจะงอนอีกรอบก็รีบชวนคุยเปลี่ยนเรื่องเพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ลูกสาวจอมแสบเดินตามเข้ามาเรียกถึงในห้องครัวราวกับมีธุระ

    “ว่าแต่หนูเรียกมี้ทำไมเอ่ย?”

    “เจ้าขาขอไปเล่นข้างนอกบ้านได้ไหมคะ?” เด็กหญิงขออนุญาตเสียงแผ่วเพราะโดนปฏิเสธไปหลายเรื่องจึงคิดเอาเองว่ามารดาก็อาจไม่อนุญาตเรื่องนี้เช่นกัน

    “นอกบ้านคือในบริเวณบ้านไม่ใช่นอกรั้วนะคะ”

    พิตะวันถามย้ำการขอออกไปเล่นในครั้งนี้ เพราะเคยมีเหตุการณ์ขอไปเล่นนอกบ้าน นอกบ้านจนหายออกนอกรั้ว จากนั้นมาพิตะวันจึงต้องระวังเป็นพิเศษและต้องเข้าใจตรงกันกับภาษาของลูกสาว

    “ค่ะมี้ในรั้วบ้านค่ะไม่ไปข้างนอก”

    “ใส่นาฬิกาด้วยค่ะ”

    พิตะวันกำชับลูกสาวที่วิ่งดุ๊กดิ๊กออกไปแล้ว แต่คิดว่าคงได้ยินที่เธอตะโกนตามหลัง เพราะแทบจะไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกันในละแวกใกล้เคียง

    บางครั้งพอคลาดสายตาเด็กหญิงที่วัยกำลังอยากเรียนรู้และมีความกล้าพอตัวก็เผลอไผลเปิดประตูบ้านออกไปข้างนอกหรือบางครั้งก็อยากจะเดินไปเล่นบ้านเพื่อนหรือบ้านไหนที่มีเด็ก

    ถามว่ารู้ได้อย่างไรก็เพราะว่าบางครั้งที่ลูกสาวตามเธอไปส่งข้าวกล่องนั่นแหละคงจะเห็นว่ามีเพื่อนในวัยเดียวกันพอจะเล่นด้วยกันได้ จึงอยากจะไปเล่นกับเขาแล้วมาใช้ความเจ้าเล่ห์บอกกับเธอว่าขอไปเล่นนอกบ้าน

    ความเข้าใจของคนเป็นแม่ก็คือหน้าบ้าน ออกมาอีกทีก็คือความว่างเปล่า กว่าที่จะหาตัวเจอ พิตะวันก็ร้องไห้จนจะขาดใจเพราะทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นคิดได้แค่ต้องโทรไปหาตำรวจ ยังดีที่พอกดโทรออก กริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับคนต้นเหตุและเพื่อนบ้านพากันมาทั้งครอบครัว

    น่าเสียดายที่แม้พวกเขาจะใจดีและยังชวนให้พิลาศรักษ์ไปเล่นด้วยกันที่บ้าน หากตอนนี้หนึ่งในสมาชิกครอบครัวได้รับราชการที่ต่างจังหวัดจึงย้ายกันไปทั้งหมด เพื่อนหนึ่งเดียวของลูกสาวเธอก็หมดไป

    หลังจากนั้นพิตะวันกลัวจะเกิดเหตุการณ์เดิมอีกจึงต้องควักเงินยอมซื้อสมาร์ทวอทที่มีฟังชั่นสะดวกทุกอย่างทั้งการโทรและมีเคื่องติดตามแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างช่วยให้เธอได้อุ่นใจพร้อมกับสอนให้ลูกสาวได้รู้จักระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม

    ………………………………………..

    ใบหน้าหล่อขาวผ่องของพ่อเลี้ยงเมืองเหนือแสดงออกว่าไม่สบอารมณ์เมื่อเจ้าของบ้านที่เขานั่งอยู่ผิดนัด

    ชายหนุ่มเอนหลังพิงโซฟาเนื้อนุ่มในท่าทีสบายราวกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง หลังจากมารดาอาการดีขึ้นตามลำดับและท่านก็สนุกกับการที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนั่งสมาธิให้จิตใจสงบช่วงบั้นปลายสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าของโรงพยาบาลอยู่ในตอนนี้

    ภูพิงค์ก็นัดกับศรันย์ว่าจะมีกินมื้อเที่ยงที่บ้าน แต่ทว่าเมื่อถึงเวลานัดมันก็ดันมีสายสำคัญเข้าก่อนที่จะยิ้มแหย ๆ ส่งมาให้

    “กูหิว” พ่อเลี้ยงเมืองเหนือบอกจุดประสงค์โดยไม่สนใจสีหน้าของเพื่อนที่สุดเซ็งอยู่เช่นกัน ถ้ามันจะขอร้องให้เขาเข้าใจแล้วละก็บอกเลยว่าไม่มีทาง

    “งานด่วนมึงช่วยเข้าใจกูหน่อย ไม่ได้เป็นพ่อเลี้ยงแบบมึงถึงได้ว่างตลอดเวลาแล้วมาแดกข้าวบ้านคนอื่น”

    “ไม่รู้ กูหิว”

    ศรันย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่นี่เขามีเพื่อนเป็นพ่อเลี้ยงหรือเมียกันแน่ทำไมมันทำตัวเหมือนสาวที่กำลังเดตอยู่กับเขาไม่มีผิด พอมีธุระด่วนก็ไม่เข้าใจ ไม่ฟังอะไร พาลจะโกรธ พาลจะงอน

    “ไอภู มึงอย่ามางอแง”

    “แล้วจะทำไม?”

    “ก็มันตลกมากว่าจะน่ารัก”

    “กูก็ไม่ได้ให้มึงชม กูหิวและจะกินตอนนี้ด้วย”

    “เอานี่ไป”

    “....”

    ภูพิงค์ก้มมองกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดเขาเพ่งพิจราณาดูมันคล้ายกับคูปองให้สะสมแต้มหรือบัตรนัดรับอาหาร หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะเงยขึ้นขอคำตอบทางสายตาส่งไปให้เจ้าของบ้าน

    “คูปองรับข้าว อยู่ซอยถัดไปประมาณหนึ่งกิโล ถ้ากลัวหลงเอาบ้านเลขที่เข้าแมพแล้วไปตามนั้นเลย หน้าบ้านประตูรั้วสีเขียว ยื่นอันนี้ให้แล้วน้องตะวันจะเอาข้าวให้มึง”

    “น้องตะวันนี่สวยไหม?” คำถามที่ไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับความหิวทำให้

    ศรันย์ชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินทันทีแล้วหันกลับมาพิจารณาสีหน้าของคนที่กำลังยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อกี้มันหิวจนจะงาบหัวเขาแต่มาตอนนี้กลับถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาหารสักนิด

    “ถ้าอยากรู้ก็ไปดูเอาเอง”

    “หึ”



    __________________________



    น้องตะวันจะใช่คนเดียวกันไหม มาลุ้นกันค่า

    อย่าลืมกดหัวใจ+เข้าชั้นไว้นะคะ

    คอมเม้นกันเข้ามาเยอะ ๆ ไรท์รออ่านค่า

    ฝากติดตามพ่อเลี้ยงภูพิงค์กับหนูพิตะวันด้วยจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×