ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1/2 บังเอิญว่าเธอมีลูก
เวลาต่อมาที่ห้องพักส่วนตัวของอาจารย์ประจำคณะxxx
“ฮ่า ฮ่า…” เสียงหัวเราะลั่นอย่างคนอารมณ์ดีและถูกใจอย่างแรงกับสิ่งที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทที่มาหาในวันนี้
ภายในห้องพักส่วนตัวของศรันย์หรือนักศึกษามักจะเรียกว่าอาจารย์ศรันย์เปิดต้อนรับเพื่อนสนิทอย่างพ่อเลี้ยงภูพิงค์ที่ขณะนี้กำลังนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักโซฟาสีเบธด้วยใบหน้าบึ้งตึง สาเหตุก็ไม่ใช่จากใครที่ไหน เพราะเจ้าของห้องฟังเรื่องเล่าของผู้มาใหม่จึงหยุดขำไม่ได้
คนอย่างพ่อเลี้ยงภูพิงค์มาตกม้าตายเพราะอกหักจากนักศึกษาที่มีลูก คงจะสวยเข้าตาไม่น้อยเพราะงั้นถึงทำให้เพื่อนของเขาสะเทือนได้และมานั่งหน้าตาเหี่ยวเฉาอยู่
“พอได้ยัง ถ้ายังกูขอตัว” พ่อเลี้ยงภูพิงค์ก็อายเป็นจึงเลือกจะเอ่ยน้ำเสียงแข็งใส่เพื่อนให้มันหยุด ก่อนที่จะอดทนไม่ไหวแล้วเคลื่อนปลายเท้าไปหาหน้าหล่อ ๆ ที่สวมแว่นนั่งพิงสะโพกสอบอยู่กับโต๊ะ
“อะไรกันครับพ่อเลี้ยงภูพิงค์ แค่นี้ทำเป็นคนแก่หัวล้านแถวบ้านไปได้” ศรันย์รู้ว่าเพื่อนไม่ได้น้อยใจแต่ใบหน้าหล่อที่กำลังบึ้งตึงคงกำลังคุกกรุ่นเพราะโดนยั่ว
ซึ่งก็มาจากเขาอีกแหละที่ทำ ถือว่าเป็นการต้อนรับเพื่อนสนิทหลังจากไม่ค่อยได้เจอกันมาสามปีกว่าเพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ หากเป็นเมื่อก่อนที่ภูพิงค์ยังไม่ไปลงมือจริงจังกับการทำไร่
เขากับมันก็พบปะกันบ่อย แต่พอกิจการไร่และรีสอร์ตภูพิงค์ของเพื่อนเจริญเติบโตรุ่งเรืองในเวลาอันรวดเร็ว เจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่ที่โน่นถาวรก็เจอกันแทบนับครั้งได้
แต่ศรันย์ก็ติดตามข่าวคร่าวของเพื่อนเสมอมาในทุกเรื่อง ๆ ที่เขาควรรู้
“กูเปล่า” มุมปากหยักปฏิเสธเรียบ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะขี้เกียจจะพูดกับเพื่อนที่ชอบกวนโมโหหรือเขากำลังคิดไปถึงใบหน้าของใครอีกคนที่สลัดยังไม่หลุด
“หยุดแล้ว ก็มันน่าขำ เรดาร์จับสาวมึงพังแน่อ่ะไอพ่อเลี้ยง”
“ใครจะไปรู้ สวยขนาดนั้น แล้วยังดูเด็ก”
“คุกนะมึง”
“คุกพ่อมึงสิ มหาวิทยาลัยพ้นคุกแล้วโว้ย”
“แต่ไม่พ้นผัวเขา” คำหยาบที่เวลาอยู่ในคราบหรือต่อหน้านักศึกษา อาจารย์ศรันย์ไม่เคยหลุดพูดให้ได้ยินแต่เพราะเป็นเวลาพักและอยู่กับเพื่อนจึงปล่อยตัวตามสบาย
น้ำเสียงที่ติดจะขำของเพื่อนนั้นทำให้ภูพิงค์ปลายสายตาคมกริบก่อนจะกระแทกเสียงแข็งเพื่อให้เพื่อนพอใจ
“เออสิ”
“ผู้หญิงเข้าหาเป็นร้อยดันไม่สนใจ ไอที่สนใจกลับมีเจ้าของไม่พอลูกอีกหนึ่ง” ฉายาศรันย์ปากปีจอและช่างจ้อตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาเล่น ๆ ไอ้เรืื่องขยี้ให้เพื่อนจมดินนี่งานถนัดนัก แต่ถ้าหากศรันย์ยังไม่หยุดสายตาอาฆาตที่บ่งบอกว่าพร้อมบวกของภูพิงค์ก็เริ่มทำงานแล้วเช่นกัน
“โอเค ๆ กูหยุดแล้วว่าแต่จะมาอยู่กี่วัน”
“ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่า…นาน”
คำว่านานของภูพิงค์ดูเงียบลงเสียจนแทบไม่ได้ยิน นานแล้วที่เขาไม่อยู่กรุงเทพทั้งที่เป็นบ้านเกิดและเติบโตมาค่อนชีวิตอีกทั้งครอบครัวก็อยู่ที่นี่ แต่ช่วงสองสามปีให้หลังเขากลับรู้สึกไม่อยากเฉียดกลับมานอกเสียจากจำเป็น อย่างเช่นตอนนี้ที่มารดามีอาการโรคซึมเศร้ากำเริบ
“แล้วไร่?”
“ฝากกรไว้ ถ้าเกินรับมือค่อยบินด่วน”
“คนรวย”
“ก็พอตัว”
ภูพิงค์พูดสั้น ๆ พลางยักไหล่ไม่ยี่หระ เขาไม่ใช่คนถ่อมตัวเมื่ออยู่กับเพื่อนฝูงเขาเองก็เป็นคนขี้เล่นและเจนจัดแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทุกเวลาเพราะมันไม่จำเป็น เขาจะนิ่งเมื่อสถานการณ์มันควรจะเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่แสดงออกมาขึ้นอยู่กับบุคคลที่สนทนา
ศรันย์ส่ายหน้าช้า ๆ ให้กับคนรวยก่อนที่ทั้งสองคนจะชวนคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไปและหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันมานานย่อมต้องมีเรื่องให้คุยและอัพเดตกันเป็นธรรมดา
ติ๊ง!! เสียงสัญญานให้ประตูลิฟท์เปิดออกทำให้ร่างสูงที่อยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้เพราะจมูกโด่งคมได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสตรีเพศ ถ้าหากว่าเรื่องบังเอิญจะนำพาให้เขาพบกับคนที่ไร้เจ้าของ ภูพิงค์คงจะดีใจกว่านี้
เมื่อเห็นว่าร่างบางที่เดินเข้ามาในลิฟท์คือนักศึกษาคนนั้น เธอยังหอบหิ้วและถือของพะรุงพะรังเช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือแว่นตาที่สวมอยู่มันอาจบดบังความหวานของดวงตาคู่งาม แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความสวยของเธอไปได้
ในขณะที่พ่อเลี้ยงหนุ่มลอบมองนักศึกษาสาวคนสวย อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะรู้ตัวเพราะเธอกำลังหวาดหวั่นว่าจะทำคนร่วมทางเสียเวลาเพราะตอนนี้เธอพยายามที่จะกดชั้นหากทำไม่ได้และก็ไม่รู้ทำไมประตูลิฟท์ถึงไม่ยอมปิด
พิตะวันไม่รู้จะตัดสินใจวางหนังสือลงหรือจะใช้ข้อศอกแตะที่ปุ่มดี ในตอนนั้นเองที่ร่างสูงทางด้านหลังก้าวเข้ามาประชิดก่อนที่แขนแกร่งของเขาจะเฉียดตัวเธอไป ร่างกายของพิตะวันชาวาบไปทั้งตัวเพราะมันเหมือนกับว่าเธอถูกเขาโอบจากด้านหลัง
นิ้วแข็งแรงกดปุ่มและประตูก็ปิดลง
พิตะวันรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ในใจและคิดว่าอยากพูดมันออกไปแต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มก็ดังแทรกเสียก่อน
“ชั้นไหนครับ?” หัวใจของนักศึกษาสาวเต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่อยู่เพราะเขากำลังกระซิบอยู่ใกล้กับใบหูเธอเอามาก ๆ อีกทั้งไอร้อนแผ่วเบาที่เธอสัมผัสได้นั้นอีก
พิตะวันกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่ตั้งใจเธอกำลังรู้สึกว่าตัวเล็กเท่ามด ไหนจะกลิ่นหอมสดชื่นที่เดาเอาว่าน่าจะเป็นน้ำหอมหรือโรลออนที่เธอเผลอสูดดมเข้าไปซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจยิ่งกระหน่ำระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พิตะวันตกอยู่ในวังวนของความตื่นเต้นกับการใกล้ชิดผู้ชายที่ไม่รู้จักเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะไม่ใช่การตั้งใจแต่เธอก็ควรจะถอยห่างเหมือนที่ทำกับเพื่อนผู้ชายที่ชอบมาใกล้
แต่ตอนนี้เธอก้าวขาไม่ออกแม้แต่จะเอี้ยวใบหน้าไปมองก็ยังไม่กล้า เธอจินตนาการว่าเขาคงต้องหน้าตาดีเมื่อฟังจากน้ำเสียง ความคิดนี้ทำเอาพิตะวันอยากกัดลิ้นตัวเองเพราะโดยปกติเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หวั่นไหวอะไรง่าย ๆ กับผู้ชายที่วนเวียนอยู่รอบกายยกเว้นตอนนี้
ในขณะที่นักศึกษาคนสวยกำลังทะเลาะกับความคิดตนเอง พ่อเลี้ยงภูพิงค์ก็คลี่ยิ้มมุมปากเธอไม่ได้ยินที่เขาถามจนต้องกระแอ่มไอแล้วเปล่งเสียงถามอีกครั้ง
“ชั้นไหนครับ?”
“คะ”
พิตะวันได้สติแต่ไม่สมบูรณ์ หากคราวนี้เธอสามารถผละออกห่างจากายแกร่งที่ซ้อนหลังได้ เธอเหลือบไปมองคนตัวโตกว่าแล้วเลิกคิ้วเชิงถามว่าได้พูดอะไรกับเธอไหม
“ชั้นไหนครับ”
“เอ่อชั้นบนค่ะ”
“หึ!” คำตอบของคนตัวเล็กทำเอาคนฟังหัวเราะกลั้วลำคอเบา ๆ ด้วยความขัน
“ตึกนี้มีหลายชั้นมากนะครับ ถ้าตอบแบบนี้ผมอาจจะต้องกดทุกตัวเลข”
“เอ่อขอโทษค่ะ ชั้นสิบค่ะชั้นสิบ ขอบคุณนะคะ”
“ครับ”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง เพราะเจ้าของใบหน้าสวยหวานมีพันธะ พ่อเลี้ยงภูพิงค์จึงหักห้ามใจไม่สานต่อหรือแม้แต่จะทำความรู้จักทั้งที่มีโอกาส หากว่าเธอไม่มีใครเขาอาจเปลี่ยนชั้นแล้วขึ้นตามเธอไปเพื่อได้ใช้อากาศหายใจร่วมกันนาน ๆ
จากการได้พูดกันเพียงสองสามประโยคก็ดูเธอจะเป็นคนที่ตื่นกลัวและตกใจง่ายเหมือนกระต่ายหูยาวไม่มีผิด เธอดูไม่ใช่คนที่จะมีสามีหรือมีลูกสาวตัวอวบอ้วนในความรู้สึกของภูพิงค์แต่นั่นเพราะเขาอยากได้เธอถึงพยายามอ้างเหตุผลมากมาย สุดท้ายก็ทำได้แค่เสียดายเพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะเสียอาการกับผู้หญิง
ทางด้านร่างบางที่หอบหนังสือเอาไว้แนบแน่นมีความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาทำให้พิตะวันค่อย ๆ ขยับกายออกห่างจนแทบสิงกำแพงสี่เหลี่ยม เธอเอาแต่ก้มมองหน้าปกหนังสือไม่เงยหน้าขึ้นเพราะเกรงว่าจะเผลอไผลจับจ้องร่างสูงของชายหนุ่มที่ไม่รู้จักผ่านทางผนังลิฟท์ที่เป็นเหมือนกระจก
พิตะวันรู้ตัวว่าเธอเป็นจุดสนใจในหมู่เพื่อนผู้ชายหรือแม้แต่ผู้ชายที่พบเห็นแต่ทุกครั้งเธอจะเลี่ยงทำเป็นไม่สนใจเมินเฉยจนกลายเป็นคนหยิ่งผู้คนเหล่านั้นจึงค่อย ๆ หายไปหรือบางคนที่ยังตื้อต่อก็ต้องมาพ่ายด่านสุดท้ายเมื่อรับรู้ว่าเธอมีลูกสาว
พิตะวันไม่เคยเสียดายโอกาสในชีวิตไม่เคยเสียดายความรักที่พวกเขาเหล่านั้นมีให้เมื่อเทียบกับการที่เธอมีลูกสาวดุจดั่งดวงใจ
และก็ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองพวกเขาที่ทำเหมือนรับไม่ได้ ดีเสียอีกเธอจะได้ไม่ต้องทนอึดอัดกับการที่ต้องถูกตามจีบตามขอเบอร์
แต่ทว่ามันแตกต่างกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้กับคนแปลกหน้าซึ่งไม่น่าจะใช่นักศึกษาโดยสิ้นเชิง
เอ็นดูคุณเขานะคะ
กดหัวใจ+เข้าชั้นไว้นะคะ
คอมเม้นกันเข้ามาเยอะ ๆ ไรท์รออ่านค่า
ฝากติดตามพ่อเลี้ยงภูพิงค์กับหนูพิตะวันด้วยน้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น