ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยแค้นฝากหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1/2 บังเอิญว่าเธอมีลูก

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 66




    เวลาต่อมาที่ห้องพักส่วนตัวของอาจารย์ประจำคณะxxx

    “ฮ่า ฮ่า…” เสียงหัวเราะลั่นอย่างคนอารมณ์ดีและถูกใจอย่างแรงกับสิ่งที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทที่มาหาในวันนี้

    ภายในห้องพักส่วนตัวของศรันย์หรือนักศึกษามักจะเรียกว่าอาจารย์ศรันย์เปิดต้อนรับเพื่อนสนิทอย่างพ่อเลี้ยงภูพิงค์ที่ขณะนี้กำลังนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักโซฟาสีเบธด้วยใบหน้าบึ้งตึง สาเหตุก็ไม่ใช่จากใครที่ไหน เพราะเจ้าของห้องฟังเรื่องเล่าของผู้มาใหม่จึงหยุดขำไม่ได้

    คนอย่างพ่อเลี้ยงภูพิงค์มาตกม้าตายเพราะอกหักจากนักศึกษาที่มีลูก คงจะสวยเข้าตาไม่น้อยเพราะงั้นถึงทำให้เพื่อนของเขาสะเทือนได้และมานั่งหน้าตาเหี่ยวเฉาอยู่

    “พอได้ยัง ถ้ายังกูขอตัว” พ่อเลี้ยงภูพิงค์ก็อายเป็นจึงเลือกจะเอ่ยน้ำเสียงแข็งใส่เพื่อนให้มันหยุด ก่อนที่จะอดทนไม่ไหวแล้วเคลื่อนปลายเท้าไปหาหน้าหล่อ ๆ ที่สวมแว่นนั่งพิงสะโพกสอบอยู่กับโต๊ะ

    “อะไรกันครับพ่อเลี้ยงภูพิงค์ แค่นี้ทำเป็นคนแก่หัวล้านแถวบ้านไปได้” ศรันย์รู้ว่าเพื่อนไม่ได้น้อยใจแต่ใบหน้าหล่อที่กำลังบึ้งตึงคงกำลังคุกกรุ่นเพราะโดนยั่ว

    ซึ่งก็มาจากเขาอีกแหละที่ทำ ถือว่าเป็นการต้อนรับเพื่อนสนิทหลังจากไม่ค่อยได้เจอกันมาสามปีกว่าเพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ หากเป็นเมื่อก่อนที่ภูพิงค์ยังไม่ไปลงมือจริงจังกับการทำไร่

    เขากับมันก็พบปะกันบ่อย แต่พอกิจการไร่และรีสอร์ตภูพิงค์ของเพื่อนเจริญเติบโตรุ่งเรืองในเวลาอันรวดเร็ว เจ้าตัวก็ย้ายไปอยู่ที่โน่นถาวรก็เจอกันแทบนับครั้งได้

    แต่ศรันย์ก็ติดตามข่าวคร่าวของเพื่อนเสมอมาในทุกเรื่อง ๆ ที่เขาควรรู้

    “กูเปล่า” มุมปากหยักปฏิเสธเรียบ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะขี้เกียจจะพูดกับเพื่อนที่ชอบกวนโมโหหรือเขากำลังคิดไปถึงใบหน้าของใครอีกคนที่สลัดยังไม่หลุด

    “หยุดแล้ว ก็มันน่าขำ เรดาร์จับสาวมึงพังแน่อ่ะไอพ่อเลี้ยง”

    “ใครจะไปรู้ สวยขนาดนั้น แล้วยังดูเด็ก”

    “คุกนะมึง”

    “คุกพ่อมึงสิ มหาวิทยาลัยพ้นคุกแล้วโว้ย”

    “แต่ไม่พ้นผัวเขา” คำหยาบที่เวลาอยู่ในคราบหรือต่อหน้านักศึกษา อาจารย์ศรันย์ไม่เคยหลุดพูดให้ได้ยินแต่เพราะเป็นเวลาพักและอยู่กับเพื่อนจึงปล่อยตัวตามสบาย

    น้ำเสียงที่ติดจะขำของเพื่อนนั้นทำให้ภูพิงค์ปลายสายตาคมกริบก่อนจะกระแทกเสียงแข็งเพื่อให้เพื่อนพอใจ

    “เออสิ”

    “ผู้หญิงเข้าหาเป็นร้อยดันไม่สนใจ ไอที่สนใจกลับมีเจ้าของไม่พอลูกอีกหนึ่ง” ฉายาศรันย์ปากปีจอและช่างจ้อตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาเล่น ๆ ไอ้เรืื่องขยี้ให้เพื่อนจมดินนี่งานถนัดนัก แต่ถ้าหากศรันย์ยังไม่หยุดสายตาอาฆาตที่บ่งบอกว่าพร้อมบวกของภูพิงค์ก็เริ่มทำงานแล้วเช่นกัน

    “โอเค ๆ กูหยุดแล้วว่าแต่จะมาอยู่กี่วัน”

    “ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่า…นาน”

    คำว่านานของภูพิงค์ดูเงียบลงเสียจนแทบไม่ได้ยิน นานแล้วที่เขาไม่อยู่กรุงเทพทั้งที่เป็นบ้านเกิดและเติบโตมาค่อนชีวิตอีกทั้งครอบครัวก็อยู่ที่นี่ แต่ช่วงสองสามปีให้หลังเขากลับรู้สึกไม่อยากเฉียดกลับมานอกเสียจากจำเป็น อย่างเช่นตอนนี้ที่มารดามีอาการโรคซึมเศร้ากำเริบ

    “แล้วไร่?”

    “ฝากกรไว้ ถ้าเกินรับมือค่อยบินด่วน”

    “คนรวย”

    “ก็พอตัว”

    ภูพิงค์พูดสั้น ๆ พลางยักไหล่ไม่ยี่หระ เขาไม่ใช่คนถ่อมตัวเมื่ออยู่กับเพื่อนฝูงเขาเองก็เป็นคนขี้เล่นและเจนจัดแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทุกเวลาเพราะมันไม่จำเป็น เขาจะนิ่งเมื่อสถานการณ์มันควรจะเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างที่แสดงออกมาขึ้นอยู่กับบุคคลที่สนทนา

    ศรันย์ส่ายหน้าช้า ๆ ให้กับคนรวยก่อนที่ทั้งสองคนจะชวนคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไปและหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันมานานย่อมต้องมีเรื่องให้คุยและอัพเดตกันเป็นธรรมดา


    ติ๊ง!! เสียงสัญญานให้ประตูลิฟท์เปิดออกทำให้ร่างสูงที่อยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้เพราะจมูกโด่งคมได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสตรีเพศ ถ้าหากว่าเรื่องบังเอิญจะนำพาให้เขาพบกับคนที่ไร้เจ้าของ ภูพิงค์คงจะดีใจกว่านี้

     เมื่อเห็นว่าร่างบางที่เดินเข้ามาในลิฟท์คือนักศึกษาคนนั้น เธอยังหอบหิ้วและถือของพะรุงพะรังเช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือแว่นตาที่สวมอยู่มันอาจบดบังความหวานของดวงตาคู่งาม แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความสวยของเธอไปได้

    ในขณะที่พ่อเลี้ยงหนุ่มลอบมองนักศึกษาสาวคนสวย อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะรู้ตัวเพราะเธอกำลังหวาดหวั่นว่าจะทำคนร่วมทางเสียเวลาเพราะตอนนี้เธอพยายามที่จะกดชั้นหากทำไม่ได้และก็ไม่รู้ทำไมประตูลิฟท์ถึงไม่ยอมปิด

    พิตะวันไม่รู้จะตัดสินใจวางหนังสือลงหรือจะใช้ข้อศอกแตะที่ปุ่มดี ในตอนนั้นเองที่ร่างสูงทางด้านหลังก้าวเข้ามาประชิดก่อนที่แขนแกร่งของเขาจะเฉียดตัวเธอไป ร่างกายของพิตะวันชาวาบไปทั้งตัวเพราะมันเหมือนกับว่าเธอถูกเขาโอบจากด้านหลัง

    นิ้วแข็งแรงกดปุ่มและประตูก็ปิดลง

    พิตะวันรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ในใจและคิดว่าอยากพูดมันออกไปแต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มก็ดังแทรกเสียก่อน

    “ชั้นไหนครับ?” หัวใจของนักศึกษาสาวเต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่อยู่เพราะเขากำลังกระซิบอยู่ใกล้กับใบหูเธอเอามาก ๆ อีกทั้งไอร้อนแผ่วเบาที่เธอสัมผัสได้นั้นอีก

    พิตะวันกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่ตั้งใจเธอกำลังรู้สึกว่าตัวเล็กเท่ามด ไหนจะกลิ่นหอมสดชื่นที่เดาเอาว่าน่าจะเป็นน้ำหอมหรือโรลออนที่เธอเผลอสูดดมเข้าไปซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจยิ่งกระหน่ำระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    พิตะวันตกอยู่ในวังวนของความตื่นเต้นกับการใกล้ชิดผู้ชายที่ไม่รู้จักเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะไม่ใช่การตั้งใจแต่เธอก็ควรจะถอยห่างเหมือนที่ทำกับเพื่อนผู้ชายที่ชอบมาใกล้

    แต่ตอนนี้เธอก้าวขาไม่ออกแม้แต่จะเอี้ยวใบหน้าไปมองก็ยังไม่กล้า เธอจินตนาการว่าเขาคงต้องหน้าตาดีเมื่อฟังจากน้ำเสียง ความคิดนี้ทำเอาพิตะวันอยากกัดลิ้นตัวเองเพราะโดยปกติเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หวั่นไหวอะไรง่าย ๆ กับผู้ชายที่วนเวียนอยู่รอบกายยกเว้นตอนนี้

    ในขณะที่นักศึกษาคนสวยกำลังทะเลาะกับความคิดตนเอง พ่อเลี้ยงภูพิงค์ก็คลี่ยิ้มมุมปากเธอไม่ได้ยินที่เขาถามจนต้องกระแอ่มไอแล้วเปล่งเสียงถามอีกครั้ง

    “ชั้นไหนครับ?”

    “คะ”

    พิตะวันได้สติแต่ไม่สมบูรณ์ หากคราวนี้เธอสามารถผละออกห่างจากายแกร่งที่ซ้อนหลังได้ เธอเหลือบไปมองคนตัวโตกว่าแล้วเลิกคิ้วเชิงถามว่าได้พูดอะไรกับเธอไหม

    “ชั้นไหนครับ”

    “เอ่อชั้นบนค่ะ”

    “หึ!” คำตอบของคนตัวเล็กทำเอาคนฟังหัวเราะกลั้วลำคอเบา ๆ ด้วยความขัน

    “ตึกนี้มีหลายชั้นมากนะครับ ถ้าตอบแบบนี้ผมอาจจะต้องกดทุกตัวเลข”

    “เอ่อขอโทษค่ะ ชั้นสิบค่ะชั้นสิบ ขอบคุณนะคะ”

    “ครับ”

    แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง เพราะเจ้าของใบหน้าสวยหวานมีพันธะ พ่อเลี้ยงภูพิงค์จึงหักห้ามใจไม่สานต่อหรือแม้แต่จะทำความรู้จักทั้งที่มีโอกาส หากว่าเธอไม่มีใครเขาอาจเปลี่ยนชั้นแล้วขึ้นตามเธอไปเพื่อได้ใช้อากาศหายใจร่วมกันนาน ๆ

    จากการได้พูดกันเพียงสองสามประโยคก็ดูเธอจะเป็นคนที่ตื่นกลัวและตกใจง่ายเหมือนกระต่ายหูยาวไม่มีผิด เธอดูไม่ใช่คนที่จะมีสามีหรือมีลูกสาวตัวอวบอ้วนในความรู้สึกของภูพิงค์แต่นั่นเพราะเขาอยากได้เธอถึงพยายามอ้างเหตุผลมากมาย สุดท้ายก็ทำได้แค่เสียดายเพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะเสียอาการกับผู้หญิง

    ทางด้านร่างบางที่หอบหนังสือเอาไว้แนบแน่นมีความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาทำให้พิตะวันค่อย ๆ ขยับกายออกห่างจนแทบสิงกำแพงสี่เหลี่ยม เธอเอาแต่ก้มมองหน้าปกหนังสือไม่เงยหน้าขึ้นเพราะเกรงว่าจะเผลอไผลจับจ้องร่างสูงของชายหนุ่มที่ไม่รู้จักผ่านทางผนังลิฟท์ที่เป็นเหมือนกระจก

    พิตะวันรู้ตัวว่าเธอเป็นจุดสนใจในหมู่เพื่อนผู้ชายหรือแม้แต่ผู้ชายที่พบเห็นแต่ทุกครั้งเธอจะเลี่ยงทำเป็นไม่สนใจเมินเฉยจนกลายเป็นคนหยิ่งผู้คนเหล่านั้นจึงค่อย ๆ หายไปหรือบางคนที่ยังตื้อต่อก็ต้องมาพ่ายด่านสุดท้ายเมื่อรับรู้ว่าเธอมีลูกสาว

    พิตะวันไม่เคยเสียดายโอกาสในชีวิตไม่เคยเสียดายความรักที่พวกเขาเหล่านั้นมีให้เมื่อเทียบกับการที่เธอมีลูกสาวดุจดั่งดวงใจ

    และก็ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองพวกเขาที่ทำเหมือนรับไม่ได้ ดีเสียอีกเธอจะได้ไม่ต้องทนอึดอัดกับการที่ต้องถูกตามจีบตามขอเบอร์

    แต่ทว่ามันแตกต่างกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้กับคนแปลกหน้าซึ่งไม่น่าจะใช่นักศึกษาโดยสิ้นเชิง



    เอ็นดูคุณเขานะคะ

    กดหัวใจ+เข้าชั้นไว้นะคะ

    คอมเม้นกันเข้ามาเยอะ ๆ ไรท์รออ่านค่า

    ฝากติดตามพ่อเลี้ยงภูพิงค์กับหนูพิตะวันด้วยน้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×