ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยแค้นฝากหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : จากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 66


    บทนำ

    จากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง

    นาฬิกาข้างฝาบ่งบอกเวลาสามทุ่มครึ่งเป็นช่วงเวลาประจำที่นิ้วเรียวสวยปิดหน้าหนังสือนิทานลง แล้ววางมันไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง

    พิตะวันดึงสายตาวกกลับมามองดวงหน้ากลมล้อมกรอบด้วยผมหยิกลอนสวยอย่างเป็นธรรมชาติของเด็กหญิงพิลาศรักษ์อย่างรักใคร่ นัยน์ตาคู่หวานสะท้อนรอยยิ้ม ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยผมเส้นบางออกจากแก้มนุ่ม เปลือกตาที่หลับพริ้มทำให้เธอนึกถึงความแสบซนในช่วงเวลาตื่นเสียไม่ได้ กว่าจะกล่อมให้นอนสงบแบบนี้ก็เหนื่อยใช่ย่อย คนเป็นแม่คิดอยู่ในใจคนเดียว ก่อนที่เธอจะก้มลงหอมหน้าผากเกลี้ยงเกลาราวกับขอพลังใจ ลูกสาวเป็นขุมกำลังใจและทุกอย่างในชีวิตของเธอ พิตะวันบอกตัวเองเช่นนั้นมาตลอดสองปีที่ผ่านมา

    เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตหวนคืนเข้ามาในโสตประสาท ความจำที่ไม่เคยจางหายดึงเอาความโศกเศร้าของหญิงสาวร่างบอบบางให้หลั่งน้ำตาออกมา หัวไหล่ของพิตะวันสั่นเทิ่ม เธอกำลังจมดิ่งไปกับโศกนาฏกรรมของครอบครัว

    ปริญญาบัตรถูกถือแนบอกออกมาด้วยความภูมิใจ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างหวังว่าคนสำคัญในครอบครัวที่รอคอยความสำเร็จมาตลอดจะภาคภูมิใจเช่นกัน ดวงตาคู่สวยชะเง้อมองหาสมาชิกในครอบครัวท่ามกลางคนหมู่มากแต่กลับไม่เจอใครเลย จนกระทั่งมีแรงสะกิดเธอหันไปมองถึงได้รู้ว่าเป็นเพื่อนต่างคณะที่เธอจ้างให้มาคอยช่วยถ่ายรูปให้ในวันนี้ สีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายพร้อมกับโทรศัพท์ของเธอที่ยื่นกลับมานั้นมันทำให้คนรับเอามาใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

    “สายจากโรงพยาบาล” ประโยคสั้น ๆ ที่บ่งบอกให้รู้เพียงว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน

    โทรศัพท์ถูกยกขึ้นแนบหูจากนั้นแค่ไม่กี่วินาที รอยยิ้มแห่งความภูมิใจก็พลันมลายหายไปในพริบตาเดียว ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้นหญ้า

    ข้อสันนิษฐานที่ไม่อยากให้เกิดและไม่มีใครคาดคิดมันได้อุบัติขึ้นแล้ว ปริญญาบัตรร่วงหล่นพร้อมน้ำตามากมายที่พรั่งพรู เธออยากให้มันเป็นแค่ฝันร้าย ฝันร้ายที่เมื่อลืมตามันก็จางหายไป น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าเรียกให้ผู้คนหันมามองด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

    ความสำเร็จที่เพียรพยายามหากวันนี้ที่รอคอยมาถึงกลับต้องไร้ครอบครัวที่สำคัญเทียบเท่าชีวิตไปตลอดกาล แล้วมันจะมีความหมายอะไร ร่างของหญิงสาวคุดคู้อยู่กับพื้นหญ้า หัวไหล่บอบบางสั่นสะท้านจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวอันเป็นที่รัก หัวใจดวงน้อยถูกกระชากออกจากอกจนเธอเริ่มหายใจติดขัดแล้วหมดสติไป

    อีกด้านหนึ่งควันโขมงใหญ่ลอยฟุ้งพร้อมด้วยจราจรที่ติดขัดเพราะเป็นเกาะกลางของสี่แยกใจกลางเมืองและเป็นถนนเส้นหลัก

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบเข้าช่วยเหลืออุบัติเหตุอย่างระมัดระวังเพราะกลิ่นน้ำมันที่รั่วไหลนั้นช่างรุนแรงและคาดว่าอีกไม่นานตัวรถอาจจะระเบิดได้

    นัยน์ตาคมมองภาพเลือนลางและกลับหัวกลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยเข้าจมูก เสียงเรียกดังก้องกังวานปะปนมาด้วยเสียงร้องไห้แทบขาดใจเสียดแทงเข้ามาในประสาทรับรู้ที่กำลังจะเลือนหายเต็มที

    ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองผ่านความมืดมัว มีใครอีกคนอยู่ตรงหน้าหรือเปล่าเขาไม่อาจรู้ได้และเมื่อสติจะดับลง เขาได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามา มันเป็นเสียงแห่งความสูญเสียและทุกข์ทรมาณเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่อาจตอบกลับมันได้

    “ลูก ลูกชายของฉัน ไม่!!!”

    บึ้ม!! เสียงระเบิดของตัวเครื่องยนต์ดังสนั่นอื้ออึงไปทั่ว พร้อมกับที่เป็นการปลิดชีวิตของใครหลายคนให้สิ้นชีพโดยไม่มีทางได้ฟื้นขึ้นมาอีก

    ทุกอย่างมืดมนหลุดเข้าไปในห้วงความฝัน ที่ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่กับคนคนเดียว จุดเริ่มต้นจากความคิดของใครคนนึงแต่เชื่อมโยงไปสู่ห้วงความฝันของใครอีกคนที่อยู่อีกฟากฝั่ง

    แสงตะวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าสาดส่องผ่านม่านสีขาวกระทบกับใบหน้าของคนนอนหลับ หากหัวคิ้วเข้มกำลังขมวดเกร็งเข้าหากันและสองมือกำแน่นเหมือนกำลังเจอสภาวะความเลวร้ายในความฝัน

    ในความมืดมิดไร้แสงสว่างเขาได้ยินเสียงตะโกนดังก้องกังวาลพร้อมด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาพยายามเพ่งมองหาต้นตอของเสียง ดวงตาของเขากระพริบเพื่อเพ่งมองอยู่หลายครั้งจนเกิดเป็นเงาเลือนลางที่ยื่นแขนมา

    แต่แล้วจู่จู่

    โครม!!

    เสียงโครมครามของสิ่งของที่กระทบหนักปลุกให้ร่างกายกำยำของพ่อเลี้ยงภูพิงค์สะดุ้งตื่น

    ใบหน้าหล่อชื้นเหงื่อทั้งที่อากาศหนาว ชายหนุ่มมองไปรอบข้างอย่างครุ่นคิด เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในหูกับบรรยากาศรอบกายซึ่งบ่งบอกว่าเขานอนหลับอยู่บนโซฟาเนื้อนุ่มในบ้านพักของตนเอง บอกได้ว่าเมื่อครู่คือฝันร้าย

     ซึ่งฝันถึงเหตุการณ์เดิมที่มักจะเข้ามาก่อกวนอยู่ในสมองของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงที่นอนหลับ จนมันทำให้ชายหนุ่มหลับไม่สนิทอยู่บ่อยครั้ง

    โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่แน่ว่าสาเหตุมันมาจากการที่เขาเคร่งเครียดกับงานมากเกินไป และอาจจะใช้ยาผ่อนคลายความตึงเตรียดบางตัวมากเกินขนาดจนส่งผลให้เกิดอาการหลอน ทำให้คิดถึงแต่เรื่องฝันร้ายที่ไม่แน่ใจว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร หรือบางครั้งมันอาจจะมีต้นตอแต่เขาเลือกที่จะไม่ค้นหามัน

    “พ่อเลี้ยงภู” เสียงนุ่มทักทายจากประตูหน้าบ้าน เป็นป้าขิ่นแม่บ้านวัยห้าสิบปลาย ๆ ยืนแสดงสีหน้าสลดอย่างคนรู้สึกผิดอยู่ เพราะอาจเป็นการชนกระถางต้นไม้จนตกแตกจากตัวเองที่ทำให้เจ้าของบ้านตื่นขึ้น

    “ป้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสียงเรียบเอ่ยถามไม่ได้แสดงออกว่าโกรธหรือรู้สึกอะไร อย่างที่หญิงสาวรุ่นแม่กังวล

    “ไม่ค่ะ ป้าไม่ได้เป็นอะไร” บอกให้เจ้าของบ้านได้รับรู้ก่อนที่จะถามคำถามเดิมในเวลาเช้าของทุกวันออกไป

    “เช้านี้พ่อเลี้ยงภูอยากจะดื่มชาหรือรับอาหารที่ไหนดีคะ?” ที่ต้องถามก็เพราะในแต่ละวันพ่อเลี้ยงหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของตนเองนั้นหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปทั่วอาณาบริเวณของบ้าน ตามแต่อารมณ์ในช่วงเวลาที่ตื่นขึ้น

    “ไม่ต้องเตรียม ผมจะนอนต่อ”

    คำตอบห้วน ๆ ทำให้ป้าขิ่นพยักหน้าเข้าใจ เธอไม่ได้คิดมากอะไรกับคำพูดที่เหมือนมะนาวไม่มีน้ำเพราะชินเสียแล้ว คงมีเรื่องที่รบกวนจิตใจอีกฝ่ายจึงพาลให้อารมณ์ไม่เป็นมิตร

    เจ้าของร่างกายกำยำอุดมไปด้วยมัดกล้าม เบ้าหน้าฟ้าประทานเรียกได้ว่า หล่อเหลาทุกมุมมองไม่ว่าจะซ้ายขวาหน้าตรง จนสาวเล็กสาวใหญ่ก็พากันอยากได้ อีกทั้งโปรไฟล์ดีเลิศ เขาคือ ภูพิงค์หรือที่รู้จักกันในนามพ่อเลี้ยงภูพิงค์ ชายหนุ่มทำท่าจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ทว่าเสียงโทรศัพท์มือถือส่วนตัวก็ดังขึ้น

    คิ้วเข้มราวคันศรขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของแม่บ้านที่กรุงเทพ

    (“ครับ”)

    (“ว่ายังไงนะ?”)

    (“คุณแม่เครียดเข้าโรงพยาบาล”)

    พ่อเลี้ยงภูพิงค์วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรับรู้ข่าว เขารีบโทรสั่งการกันต์ลูกน้องคนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้จัดการไร่ให้จองตั๋วเครื่องบินในทันที เพื่อไปหามารดาที่กรุงเทพ

    ภูพิงค์พยายามขบคิดถึงสาเหตุที่ทำให้มารดาเครียดถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของบิดากับผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันและรายล้อมอยู่รอบกายโดยเฉพาะที่ทำงาน เพราะนอกเหนือจากเรื่องนี้ก็คงไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหามากพอให้ท่านต้องเครียดอีก

    นานเท่าไหร่แล้วที่เขาจากกรุงเทพมาเพื่อก่อร่างสร้างฐานให้แก่ตัวเอง ชายหนุ่มก้าวเท้าไปพิงขอบหน้าต่างมองออกไปเป็นอาณาเขตของไร่ผลไม้สุดลูกหูลูกตากินพื้นที่ภูเขาบางส่วน

    รายได้หลักมาจากผลผลิตของผลไม้ที่เขาส่งออก และต่อมาก็มีการเปิดรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวไดมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นรายได้อีกทางหนึ่งที่ผลตอบรับค่อนข้างดีเยี่ยมเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอยังมีสวนดอกไม้นานาชนิดที่ปลูกเอาไว้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและยังเป็นสิ่งที่เขามองเห็นแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายจิตใจ

    ไร่ภูพิงค์เป็นส่วนหนึ่งของเขาเป็นเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของความทุ่มเท วันนี้เขามองมันด้วยความภาคภูมิ ดอกไม้ ต้นไม้ ทุ่งนาป่าเขาและความเป็นอยู่ที่นี่คือชีวิตของเขาหลังจากหันหลังให้กับบ้านเกิด เขาให้เหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่อยากลับไปเหยียบที่นั่น รู้แค่เพียงว่าการมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ที่ไร่ภูพิงค์ มันทำให้เขามีความสุขมากกว่าและสามารถขจัดความทุกข์ใจที่อยู่ในก้นบึ้งของความรู้สึกลึก ๆ ไปได้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×