คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : CHAPTER 18
CHAPTER 18
“คริสอ่ะ?”
คนบางคนกำลังนั่งลงข้างตัว จุนมยอนไม่ได้คิดอะไรมากกับคำถามนี้ เหมือนจะได้ยินมันบ่อยในระยะหลัง และไม่ใช่แค่แบคฮยอนด้วยซ้ำ อย่างบางคนที่มีธุระที่จะต้องเจอคริส ก็มักจะมาถามเขาด้วยคำถามทำนองนี้นั่นแหละ
“เรียน ...บ่ายๆถึงจะมา”
“อ๊าว วันเสาร์ยังเรียนอีกเหรอ?”
“ก็เกาหลีเพิ่มเติมไง” แบคฮยอนพยักหน้าเข้าใจช้าๆ เปิดเล่มนิตยสารในมือ สองตาพลอยมองเนื้อหาภายในนั้นไปด้วย ทว่าใจคงไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น
“ไม่ได้เลยเนอะ ริจะมีแฟนเป็นคนเกาหลีก็ต้องขยัน”
ไม่รู้ว่าตรงเข้าตัวหรือเปล่า แต่จุนมยอนก็ดันร้อนตัวไปแล้ว ประโยคที่แบคฮยอนพูดเล่นเอาสะดุ้งแน่ะ “นั่นมันก็เพื่อตัวคริสเองต่างหากล่ะ ไม่เกี่ยวกับฉัน”
จุนมยอนมารู้สึกตัวก็ตอนที่โดนสายตา ไม่นับรวมของแบคฮยอนที่มองมาทางเขา คนหนึ่งคือคนที่เดินตามแบคฮยอนมาแล้วยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแต่งทรงผมของแบคฮยอน อีกคนคือคนที่อยู่แถวๆนั้น โดยที่ทันได้ฟังคำที่เขาพูดตอนกำลังเดินมาหาพอดี
ดีนะที่ต่างฝ่ายต่างก็ยิ้ม และยังเป็นยิ้มเหมือนเวลาที่คริสเห็นท่าทีเวลาที่เขินของเขา จุนมยอนจะนับว่ามันไม่เลวร้ายจนเกินไป เพราะทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนผู้หญิงที่เขารู้จักดี และมักจะถามไถ่ข่าวคราวระหว่างคริสและเขาอยู่บ่อยๆหลังจากข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่าคบกัน ไม่เหมือนกับกลุ่มผู้หญิงที่เขาเคยเจอมาพวกนั้นที่เอาแต่ว่าเขาเสียๆหายๆทั้งที่ก็ไม่เคยรู้จัก
ตอนนี้จุนมยอนก็เลยรู้สึกเหมือนจะถูกรุมแซวด้วยสายตาจากทุกสารทิศเสียมากกว่า
“อะไรเล่า~” เสียงหวานพ้อดังแผ่วก่อนจะก้มหน้าหลบให้พ้นจากดวงตาทุกคู่
“อะไรเล่าอะไร? ใครเขาไปว่าอะไรนายหรือยังร้อนตัวจริงๆ ...เน้อ...เน้อ” ได้ทีแบคฮยอนก็หันไปพยักพเยิดใบหน้ากับแก็งค์สาวๆที่กำลังง่วนกับงานอยู่
จุนมยอนสู้ไม่ได้อีกแล้ว คนตัวเล็กจึงหันไปสนใจกับเศษผ้าที่อยู่บนโต๊ะแล้วมองค้อนมัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหาซันนี่คนที่หัวเราะแซวๆเขาเมื่อครู่ เพื่อรับฟังการบรีฟเกี่ยวกับงานในส่วนรับผิดชอบให้ฟัง เพียงสักพักฝ่ายสาวเจ้าก็มาหนีหายไป
จุนมยอนไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเทียบได้แค่ลูกกะจ๊อก ที่ได้แค่ทำตามคำสั่งของคนอื่น กระนั้นก็เป็นจุนมยอนเองที่พึงพอใจที่จะทำแค่นี้เองด้วย ร่างเล็กไม่ชอบแย่งหรือว่าแข่งเพื่อชิงดีชิงเด่นกับใคร wม่ชอบทำตัวอยู่เบื้องหน้า อาจด้วยเพราะเป็นคนไม่ไม่มั่นใจในตัวเองด้วยส่วนหนึ่งนั่นแหละ
กำลังเลือกเศษผ้าที่ปะปนคละสีกันอยู่ จุนมยอนเลือกเอาขนาดที่เท่าๆกันจัดไว้ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ซึ่งก็ได้อยู่สามขนาดคือ เล็ก กลาง ใหญ่ จากการเปรียบเทียบด้วยสายตา เขาถูกวางงานให้ทำเพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้น อย่างเช่นในส่วนของการตัดเย็บผ้าเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปจุนมยอนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรตรงนั้นแล้ว สมาธิทั้งหมดถูกใช้ไปจดจ่ออยู่กับงานตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าถ้าคนที่อยู่ใกล้พูดด้วยน้ำเสียงปกติแล้วเขาจะไม่ได้ยินอะไรเลย จุนมยอนได้ยิน หนำซ้ำยังสนใจในสิ่งที่แบคฮยอนกับลู่น่าพูดคุยกันด้วย
“คนนั้นน่ะ ...ชื่ออะไรน้า ....ที่เป็นคนจีนหน้าตาน่ารักๆน่ะ” จุนมยอนเหลือบตาขึ้นมองดูแบคฮยอนเพียงเสี้ยววิ แต่ก็ทันได้เห็นท่าทีเบื่อหน่ายของเพื่อนสนิทหลังจากพบว่าฝ่ายสาวเจ้าที่ชวนคุยเอ่ยอะไรที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยคำใบ้ที่ลูน่าไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นคำใบ้แต่เพราะนึกชื่อของใครคนนั้นไม่ออก ความจริงมันไม่ได้ยากเลยหากแบคฮยอนจะเอ่ยชื่อของเจ้าของลักษณะพวกนั้นออกมาเพื่อตอบสิ่งที่เพื่อนสาวอีกคนอยากจะรู้ แต่คงเป็นเพราะแบคฮยอนคงไม่อยากเอ่ยออกมาต่างหากล่ะ
เพื่อนเขาอาจจะไม่ได้ไม่ชอบลู่ฮาน แต่ก็คงแค่รู้สึกหมั่นไส้นิดๆที่ใครๆต่างก็ชมใครคนนั้นว่าดูดีเพียงใด บางทีก็อาจจะแค่ไม่ถูกชะตา หรือเหตุผลที่ดูจะเข้าท่าที่สุดก็เห็นจะเป็นการตั้งแง่แทนจุนมยอนนี่แหละ
“ที่ว่าเป็นเพื่อนคริสน่ะ” ถึงขั้นเหลืออด คนตัวเล็กจิปากและกำลังจะเหลือกตาขวางขึ้นมอง นี่ถ้าไม่ติดว่าลูน่าเป็นคนทำผมให้เขาเพื่อถ่ายรูปโปรโมทนะ แบคฮยอนคงได้แหงนหน้าขึ้นไปได้สะดวกพร้อมทั้งถลึงตาใส่จนแทบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าแล้วกระมัง
“ลู่ฮานๆ” สุดท้ายก็บอกชื่อนั้นแบบตัดรำคาญ
“เอ้อ ใช่! ลู่ฮานนี่แหละ วันนี้มาด้วยนะ เห็นว่ามากับไคด้วยน่ะ” แบคฮยอนหันขวับมอง ที่ต้องรู้สึกแปลกใจขนาดนั้นไม่ใช่เพราะลู่ฮานมาที่นี่ แต่เป็นเพราะชื่อของอีกคนต่างหากล่ะ
กับไคเนี่ยนะ...
ไปสนิทกันตอนไหน
“ทำไมถึงมาด้วยกันได้” คำถามของแบคฮยอนดูเหมือนจะเป็นการใคร่ครวญกับตัวเองเสียมากกว่า เมื่อคนตัวเล็กเล่นกรอกตาไปมาครุ่นคิด รวมทั้งไม่ได้เงยหน้าถามคนที่อยู่เหนือหัวเสียหน่อย
“อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ก็ตั้งแต่มาก็เห็นว่าคุยกับไคอยู่คนเดียว หมอนั่น...ก็เมพจีนอยู่แล้วด้วยนี่” ก็อาจเป็นอย่างที่ลูน่าพูด ไคสื่อสารภาษาจีนได้เยี่ยมยอดอยู่แล้ว ฝ่ายนั้นคงใช้ชีวิตแบบไม่รู้จักภาษาเกาหลีเลยลำบากน่าดูถึงได้คิดอยากจะมีเพื่อนเอาไว้สักคน จำได้ว่าตอนที่เจอกันที่ค็อฟฟี่ช็อปลู่ฮานก็ถามนู่นถามนี่ไคอยู่เรื่อยๆ คงเจอตัวช่วยในการจะดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้นกระมัง ถึงได้เข้าหาไคเพื่อให้ฝ่ายเพื่อนเขาช่วยเกื้อกูลในเรื่องต่างๆ ความจริงแม้ไคจะหน้าโหดไปนิด ตัวดำไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่แล้งน้ำใจมากเกินไปนัก ยิ่งกับคนน่ารักก็คงแทบอยากจะเสนอตัวใส่
เอ๊ะ!
หรือเพราะลู่ฮานน่ารักใช่มั้ย...
เพราะงี้ใช่มั้ย...ถึงแปรพักตร์ไปกับเขาง่ายดาย...
แบคฮยอนจะแค้นเพื่อนตัวเองมากกว่า...หากพบว่าไคเห็นอีกฝ่ายดีกว่าจุนมยอน จนเอาใจไปเชียร์ฝ่ายตรงข้ามอย่างออกนอกหน้า
ยอมรับก็ได้ว่าพยอนแบคฮยอนเผลออคติกับคนจีนหน้าหวานคนนั้นไปเรียบร้อยแล้วด้วย...ก็ริอาจจะมาแทรกตรงกลางระหว่างเพื่อนรักเขากับคริสนี่
แค่มองหน้าก็เห็นทะลุปรุโปร่งไปจนถึงไหนต่อไหนแล้ว...
แอ๊บเพื่อนสนิทเหรอ...อย่าคิดว่าจะตามไม่ทัน
“มันอยู่ไหนอ่ะ?” คำถามนี้คงต้องการคำตอบ แบคฮยอนถึงได้เงยหน้าหาหญิงสาว
“ใคร?”
“ก็ไอ้ดำไง”
“อ๋อ...เห็นว่าอยู่ข้างนอกนู่นแน่ะ”
“มันมาทำอะไรของมัน ปกติก็ไม่เคยเห็นจะช่วยงานอะไรอยู่แล้ว นี่ก็เช้าเกินไปสำหรับคนอย่างไอ้ไคด้วย แถมยังเป็นวันหยุดด้วยนี่สิ”
ไม่มีคำตอบใดให้...คงเพราะไม่มีผู้ใดรู้ด้วยกระมัง หรือไม่ก็คงไม่รู้จะตอบคำถามของแบคฮยอนที่ดูจะใส่อารมณ์ลงไปน้ำเสียงขนาดนั้นยังไง เกรงว่าดีไม่ดีอาจจะโดนเหวี่ยงใส่ไม่รู้ตัวอีก
“อ่อ ...เดี๋ยวฉันไปหาไคมันแป๊บนึงละกัน” ลุกพรวด โดยไม่ได้สนใจว่าใครอีกคนกำลังทำอะไรอยู่กับผม ลูน่าจะเรียกเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน และถึงจะทัน ทุกคนในทีนี้ก็รู้จักแบคฮยอนดีว่าถ้าลองตัดสินใจจะทำอะไรแล้วก็คงไม่ยอมให้ใครมาขัด ถึงเรียกเอาไว้ก็คงจะไม่ยอมหันหลังกลับมาอยู่ดี
ลูน่าทำเพียงแค่อ้าปากไม่ได้ว่าอะไร และเปลี่ยนเป้าหมายไปหาที่จุนมยอนทันที หญิงสาวเดินอ้อมหลังจุนมยอนแล้วไปนั่งลงข้างๆแต่เป็นอีกฝั่ง ไม่ใช่ที่นั่งที่แบคฮยอนนั่งอยู่เมื่อครู่
หล่อนยิ้มให้จุนมยอนที่หันหน้ามามองแล้วก็ไม่รู้จะชวนคนที่พูดน้อยอย่างจุนมยอนคุยในเรื่องอะไรดี แต่ถ้าจะปล่อยให้เงียบไปก็อึดอัดบอกไม่ถูก
“จุนมยอนอา...” จุนมยอนหันไปตามเสียงเรียกพร้อมทั้งเผยยิ้มบางให้
“คริสเขา...เป็นยังไงบ้างอ่า...” เอ่ยได้เพียงเท่านี้ก็เขินตัวบิด จุนมยอนเองก็เขินที่ถูกถามแบบนี้ แต่ก็อดยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนตัวเองไม่ได้ ในเมื่อเขาเองก็รู้ดีแก่ใจว่าลูน่าเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับคริสเหมือนกัน นี่ก็คงอยากจะทราบข้อมูลของคริสมากกว่าที่ตัวเองมีอยู่ แต่แฟนอย่างเขาจะไปรู้อะไร วันหนึ่งแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลย แค่เขินคริสอย่างเดียวก็แทบจะหมดวันละ
“เขาก็...”
“เขาก็...” หันไปมองหน้าคู่สนทนาก็พบว่าอีกฝ่ายใช้ดวงตากลมโตจ้องมาแบบกึ่งลุ้นกึ่งอ้อนวอนนิดๆ
“...ก็ดี”
“โธ่...” หญิงสาวถึงกับทิ้งแผ่นหลังลงไปกับพนักเก้าอี้ดังอึก รู้สึกผิดหวังกับคำตอบ “แล้วดียังไงล่ะจุนมยอน”
“เขาก็...” พอเริ่มจะพูดอีกลูน่าก็ยืดตัวขึ้นมาฟังด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง “ก็เขินดีอ่ะ” เป็นน้ำเสียงที่อ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก
แต่คำตอบนี้กลับทำให้เพื่อนสาวยิ้มกว้างพร้อมทั้งเขินไปตามๆกัน จริงอยู่ที่หล่อนเองก็แอบปลื้มในความหล่อของคริส แต่ก็ไม่ได้หวังถึงขั้นอยากจะได้มาเป็นแฟน (แต่ถ้าได้ก็ดี) โดยปกติก็ไม่ได้คุยกันกับคริสอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ได้เรียนภาคเดียวกันความสนิทสนมคงจะเป็นไปได้ยากลำบาก และลูน่ากับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นก็ทำได้แค่มอง แค่ชื่นชมในความหล่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากทำความรู้จักตัวตนจริงๆของคริสหรอกนะ ไอ้ความคิดน่ะมันก็มีอยู่ ยิ่งในเรื่องความรัก ต้องมีเผลอจินตนาการไปบ้างล่ะ พวกหล่อนก็คงอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าหากวันใคคนที่เราแอบปลื้มเกิดมีแฟน เขาจะน่ารักกับแฟนของตัวเองอย่างที่ได้จินตนาการเอาไว้หรือไม่นะ
กระนั้นพอถึงตรงนี้...เพียงแค่เห็นใบหน้าของจุนมยอน...
ลูน่าก็รู้สึกอิจฉาจนตัวสั่นไปหมด
“โอ๊ยยย...เขาน่ารักใช่มั้ย...เขาเคยดุนายบ้างหรือเปล่า” จุนมยอนไม่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนเขาถึงได้ถามคำถามนี้ ด้วยลุคไม่มีใครคิดว่าคริสจะมีมุมอ่อนโยน ขี้เล่น เจ้าเล่ห์ ที่สำคัญคือขี้แกล้ง จุนมยอนน่ะโดนมาจนพรุน จนทำตัวไม่ถูกก็บ่อย
“ไม่...เขาไม่ดุ”
“ต้องน่ารักมากแน่ๆเลย คริสน่ารักมากเลยใช่มั้ยจุนมยอน” คราวนี้เขย่าแขนข้างหนึ่งของจุนมยอนไปด้วยจนหัวคลอน มองไปแล้วก็เจอแต่สายตาเว้าวอน ลูน่าต้องการอะไรกันแน่ ต้องการให้เขายืนยันว่าในฐานะคนรัก คริสเป็นคนที่น่ารักคนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
ก็มันเขินที่จะพูดนี่
“ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ”
ยังไม่ทันจะได้ตอบหรือยืนยันอะไรออกไป ก็มีบางคนเข้ามาช่วยชีวิตในตอนที่จุนมยอนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
พอเห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาในระยะประชิดเรื่อยๆ จุนมยอนกลับไม่แน่ใจว่าคนที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่จะกลับกลายเป็นคนที่ฝังให้เขาจมผืนดินเสียมากกว่า
“เอ่อนี่ ลู่ฮานน่ะเขาอยากจะมาช่วยเรา ตอนอยู่ที่จีนเขาก็เคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำละครอยู่ จากที่ฟังจากไคเล่าให้ฟังอ่ะนะ เห็นว่าเก่งศิลปะเชียวแหละ” จงแดไม่ได้พูดกับเขา แต่กลับพาลู่ฮานไปแนะนำกับฝ่ายศิลป์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่เขานั่งเท่าไร ซึ่งแน่นอนว่าจุนมยอนได้ยินทุกอย่าง และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าประธานรุ่นของเขาพูดจีนไม่ได้แน่นอน ข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดนั่นคงจะผ่านไค
เขาเองก็สงสัยในความสัมพันธ์ของไคกับฝ่ายนั้นไม่ต่างอะไรกับแบคฮยอนนักหรอก ...
แต่...ก็ช่างมันก่อนเถอะ...
จุนมยอนก็แค่ทำงานของตัวเองก็พอ...ทว่าก้มหน้าลงได้ไม่เท่าไร เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงที่แขน พอเงยหน้าขึ้นไปถึงได้เห็นว่าเป็นคนเดียวกันนั้น คนเดียวกันกับที่เขาพยายามจะไม่นึกถึง เพราะทุกทีที่นึกถึงหรือที่เห็นก็แอบหงุดหงิดใจอยู่เหมือนกัน
ลู่ฮาน...
ยิ่งใบหน้านั้นใกล้ๆ ยิ่งมาพร้อมกับรอยยิ้ม หัวใจของจุนมยอนก็ตระตุกเฮือก เหมือนมันถูกดึงกระชากออกไปจากร่างอย่างแรง
อีกฝ่ายน่ามองขนาดนี้เลยเหรอ...มันทำให้จุนมยอนไม่อยากส่องกระจกเลย เพราะทุกทีที่มองเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า และไม่มีอะไรคู่ควรกับคนที่กำลังเคียงข้างอยู่ตอนนี้เลย
เพราะเมื่อต้องเทียบกันกับลู่ฮาน จุนมยอนไม่มีอะไรที่สู้ได้เลยจริงๆ
จุนมยอนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือที่ดึงแขนเขา แถมควักมือเรียกเพิ่มให้ด้วย พอเขาก็ไม่ยอมลุก ถึงได้ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดด้วยภาษาอังกฤษเป็นคำๆเพราะไม่เก่งว่า ‘มานี่’ ‘ตามฉันมา’ อารมณ์ประมาณนั้นนั่นแหละ
จุนมยอนงงอยู่พอสมควรแต่ก็ลุกตามไป ไม่ถาม ไม่อะไรทั้งสิ้น และลู่ฮานยังคงใช้มือกำรอบแขนข้างหนึ่งของเขาอยู่ จุนมยอนก็ได้แต่มอง เท่านั้นแล้วก็เดินตามไป
เดินตามมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณด้านหน้าเวที ก็พากันมาหยุดตรงบันไดอลูมิเนียม ลู่ฮานมองหน้าพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะส่งสัญญาณบอกอะไรสักอย่าง จุนมยอนไม่แน่ใจว่าอาจจะเกี่ยวกับตัวบันไดหรือไม่ก็ป้ายที่แขวนอยู่บนนั้น
ทำไปทำมาก็เหมือนจะเป็นแบบหลังเสียมากกว่า ...น่าจะเกี่ยวกับป้ายอะไรสักอย่างที่แขวนอยู่ข้างบน ถึงจะเดาไปได้เรื่อยเปื่อย แต่หากว่าลู่ฮานยังคงพูดด้วยภาษาจีนเรื่อยเปื่อยไปแบบนี้ เขาคงไม่มีวันเข้าใจอีกฝ่ายแน่
เหมือนลู่ฮานจะรับรู้ในสิ่งที่เขาคิด คนที่ยืนอยู่ด้วยกันถึงได้ควักมือเรียกใครบางคนที่เพิ่งจะเดินผ่านมาที่น่าจะช่วยในการสื่อสารระหว่างเขากับลู่ฮานได้
และคนๆนั้นก็คืออี้ชิง ...คนที่มีบิดาเป็นคนจีน
ลู่ฮานพูดประโยคยาวเหยียดให้อี้ชิงฟัง หลังจากพูดจบอี้ชิงก็พูดกับลู่ฮานเพียงไม่กี่คำ จึงได้หันมาบอกกับเขา
“เขาจะให้นายปีนขึ้นไปปลดป้ายนั้นลงมาหน่อย มันอยู่ผิดที่ผิดทาง เขาไม่กล้าปีน เขากลัวความสูง” จุนมยอนพยักหน้าเข้าใจ และไม่คิดว่าทำไมถึงต้องเป็นเขา ทำไมถึงเป็นคนอื่นไม่ได้ ตอนนี้จุนมยอนไม่ได้มีความคิดพวกนั้นอยู่ในหัวเลย จุนมยอนตระหนักและรู้ว่าทำไมลู่ฮานถึงได้เลือกเขา มันเพราะตอนที่ลู่ฮานไปดึงเขาให้เดินตามออกมา แถวนั้นมีแต่ผู้หญิง
และงานพวกนี้...ผู้หญิงก็คงไม่เหมาะที่จะทำ...
จุนมยอนยิ้มให้อี้ชิงที่กำลังจะผละออกไป เขาไม่ได้ขอร้องให้ผู้ชายที่ตัวสูงกว่าอย่างอี้ชิงช่วย อี้ชิงเองก็คงวุ่นๆอยู่กับงานของตัวเองที่ล้นมืออยู่ สองตาไล่มองความสูงของบันไดกับป้ายประกาศที่แขวนอยู่เหนือหัว สูงพอสมควร คงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันสำหรับคนที่กลัวความสูง
ไม่เป็นอะไรหรอก จุนมยอนเองก็ผู้ชายเหมือนกันแม้จะสูงน้อยไปหน่อย แต่งานปีนป่ายไม่ใช่เรื่องที่ลำบากมากสำหรับเขา เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาน่ะเปลี่ยนหลอดไฟมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!
เขาหันไปยิ้มให้ลู่ฮานเสียอีกครั้ง ก่อนจะปีนขั้นบันไดขึ้นไป...
จุนมยอนค่อยๆก้าวไปอย่างระมัดระวัง โดยที่ไม่เห็นใบหน้าของคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ลู่ฮานกำลังยิ้ม ออกจะเป็นรอยยิ้มที่ร่าเริงคล้ายว่าเรื่องที่ตัวเองทำเป็นเรื่องสนุก
ลู่ฮานก็แค่...อยากใช้ใบหน้าที่ใสซื่อเป็นเครื่องมือหาความสะใจให้ตัวเอง และก็ไม่คิดว่าจุนมยอนจะซื่อเซ่อจนยอมทำอะไรก็ตามที่ถ้าจะให้ตีความหมายในเชิงความรู้สึก การที่ถูกใช้ทำอะไรคล้ายว่าเป็นเบ๊ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถูกลดทอนศักดิ์ศรีตัวเองลงไปเลย
เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก ลู่ฮานแทบอยากจะให้ขาบันไดอลูมิเนียมหักท่อนไปเลยด้วยซ้ำ อยากจะเดินเข้าไปเขย่าให้บันไดสั่นคลอนให้คนตัวเล็กทรงตัวไม่อยู่แล้วหล่นลงมา
แต่มันคงเลวร้ายเกินไป...
เพราะแม้ว่าเขาจะทำแบบนั้น...ถึงจุนมยอนจะเจ็บหรือวันหนึ่งเขาเกิดกำจัดจุนมยอนให้หายไปได้จริงๆ มันก็ไม่ได้ทำให้คริสหันกลับมามอง
ก็คงได้แค่ความสะใจชั่วครู่ชั่วยามก่อนจะกลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ติดตรึงอยู่ในใจจนเหมือนเป็นบทลงโทษที่จะอยู่กับเขาไปจนชั่วชีวิต
อีกอย่างเขาเองก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายถึงขนาดนั้นด้วย ...อย่างดีก็แค่ใช้จิตภาวนา
ทว่าก็เหมือนจิตสั่งได้…
ตุบ!
เสียงหวีดร้องจากทุกทิศทางเรียกสติให้กลับมาเผชิญกับความเป็นจริง ภาพความโกลาหลตรงหน้าทำให้ลู่ฮานสับสนไปหมด
“จุนมยอน!”
“จุนมยอนเป็นยังไงบ้าง”
“จุนมยอน...”
ยังยืนอยู่ที่เดิม เสียงที่เรียกให้เขากลับไปสนใจภาพของจุนมยอนที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นและมีคนกรูเข้ามารุมล้อมคือเสียงของไค ไคที่พยายามถามไถ่จุนมยอนด้วยความเป็นห่วง และหลังจากที่ไคตระหนักได้ว่าเป็นลู่ฮานที่อยู่ตรงนั้น คนผิวเข้มก็ส่งสายตาที่ทำให้ทั้งตัวของเขาชาวาบไปได้ทันที
ด้วยแววตาที่ไม่เคยใช้มาก่อน...แข็งกระด้าง...บาดลึก
เหมือนได้ตัดสินอะไรบางอย่างไปแล้ว…ไคคงเชื่อไปแล้วว่าเขาคงทำทุกอย่างได้เพื่อความรัก แม้กระทั่งการทำร้ายคนอื่น
ไม่...
เขาไม่ได้ทำ...
ลู่ฮานไม่ได้ทำให้จุนมยอนตกลงมา...เขาก็แค่คิด...
แต่ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้น...
TBC…
อร่อกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
จุนมยอนเจ็บฉันก็เจ็บ เพื่อนเจ็บฉันก็เจ็บเหมือนกัน #อัลลัย
เค้าว่าเค้าไม่ไหวห้าทุ่มนี่ก็ดึกปายสำหรับเค้า พฮืออออออออออออออ
ความคิดเห็น