ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 13

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 893
      2
      2 ก.พ. 56

     

    CHAPTER 13





    จุนมยอนกำลังหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นแรงในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จุก...ถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่  ตกใจ อีกทั้งยังช็อค

    ที่ตกใจก็เพียงเพราะว่า...เขาไม่รู้ว่าคริสรู้ได้ยังไง

    หรือเพราะว่าความจริงเขาแสดงออกชัดเจน...?

    จุนมยอนอยากปฏิเสธ แต่ว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับเขาเสมอ และในสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเพียงเขาเปิดปากถามในสิ่งที่กำลังสงสัยมันก็เท่ากับยอมรับว่าเขา...ชอบ เสมือนเป็นการสารภาพออกไปว่าจุนมยอนชอบคริสสินะ แต่เพราะเขาไม่เคยต้องการให้คริสรู้.. การไปแอบชอบใครสักคนสำหรับเขามันเป็นเรื่องน่าอายโดยเฉพาะกับคนที่แค่เห็นหน้ากันและไม่เคยต้องคุยกันเลย แล้วยิ่งถ้าต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้น่าหัวเราะเข้าไปใหญ่เลยล่ะสิ

    แต่ประเด็นนั้นในตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เขาคิดมากและระวังคำพูดที่กำลังจะหลุดออกไปตอนนี้สักเท่าไรหรอก แต่เป็นเรื่องของคนที่คริสกินข้าวด้วยตอนเย็นมากกว่า

    แม้มันจะไม่มีผลอะไรถึงเขายอมรับและสารภาพออกไปตรงๆว่าชอบคริส  ในเมื่อตอนนี้คริสก็มีใครอีกคนอยู่แล้วและถ้าเป็นไปอย่างที่ไคบอก พวกเขาสองคนก็คงจะรักกันน่าดูนั่นแหละ กระนั้นแม้จะเข้าใจดีแบบนั้น แต่เขาก็ยังเป็นกังวลในเรื่องนี้มากอยู่ดี แม้จะไม่มีผลอะไรต่อคนสองคนที่รักกัน แต่การที่จะสารภาพออกไปก็เป็นเรื่องที่ทำแล้วไม่ดีอยู่ดี สู้อยู่แบบเดิม...แบบไม่มีตัวตนนั่นน่ะดีที่สุดแล้ว



    จุนมยอนมันก็แค่คนแอบมองคนหนึ่ง และไม่ได้มีอิทธิพลกับหัวใจอะไรกับใคร

     

    ก็แค่นั้น...

    "ค...คือ...ฉ...ฉันเปล่า" เอ่ยตะกุกตะกัก ปากบอกอย่างนั้นแต่อาการนี่ส่อพิรุธน่าดู

    "หืมมม" หากว่าถูกปฏิเสธหรือมีคำพูดไหนที่โต้ตอบกลับมาแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกเฟลหรือเสียหน้าก็คงได้จ๋อยกันไปข้างหนึ่ง ทว่ากับคริสแล้วกลับไม่ได้มีท่าทีพวกนั้นเลย ยังคงมั่นใจ ไม่ได้สะทกสะท้าน หนักแน่นในคำพูดของตัวเองอยู่เหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นคริสยังรอคอยท่าทีจากจุนมยอน โดยที่แสดงออกว่าไม่เชื่อในคำพูดของคนตัวเล็กและหวังจะให้จุนมยอนกลับคำปฏิเสธนั้นเสีย



    เวลาแบบนี่แหละก็ทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนจะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเลย



    "ฉันไม่ได้ชอบนายซักหน่อย..."



    "โกหก

     

    นายโกหก" ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนอีกฝ่ายมีหลักฐานมามัดเขาให้ดิ้นไม่หลุดยังไงยังงั้น

     

    แต่แล้วอะไรล่ะ...อะไรกันที่ทำให้คริสมั่นใจขนาดนั้น

     

    “นายจะมารู้ใจฉันดี ท...เท่ากับตัวฉัน...ด..ได้ยังไงกันล่ะ” จุนมยอนพยายามจะบ่ายเบี่ยง แต่ก็เป็นไปในรูปแบบที่ตะกุกตะกักหนักเลยเสียอย่างนั้น

     

    “เอ่อ...” กระนั้น...ใจก็ยังอยากรู้ คนตัวเล็กแก้มตูมหน่อยๆ ใจหนึ่งอยากถามแต่อีกใจก็ยังลังเล จุนมยอนอยากรู้จริงๆว่าคริสไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน

     

    สุดท้ายก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจนต้องเปิดปากถามออกไปจริงๆ

     

    “นายรู้ได้ไง...?” หลังจากคำถามนี้ ...จุนมยอนก็เพิ่งมานึกได้ ถึงกับนั่งอ้าปากค้างไปครู่ใหญ่ๆ ...ตายแล้ว พูดแบบนี้แสดงว่ายอมรับหรือเปล่านะ

     

    “ค..คือ...ฉันหมายความว่านายไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน ไปได้ยินใครพูดอะไรผิดๆมาใช่มั้ยล่ะ?”

     

    คริสเฝ้ามองปฏิกิริยาลนลานพวกนั้น แล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาต้องหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วแอบขำเพียงไม่นานก็รีบริบเก็บอาการพวกนั้น เมื่อพอใจแล้วจึงหันกลับมาตอบคำถามให้จุนมยอน

     

    “ฉันคิดเอาเอง” ยิ่งได้ฟังคำคริส จุนมยอนก็ยิ่งแก้มตูมเข้าไปใหญ่ ง่ายไปมั้ย...คิดเอาเองน่ะ ไม่รู้เลยหรือไงว่าไอ้คนถูกถามคำถามเนี่ย ใกล้จะตายอยู่ร่อมร่อแล้ว

     

    “คนหลงตัวเอง” จุนมยอนพึมพำว่าคริส แต่คนตัวสูงกลับได้ยินมันชัดเจนจนต้องอมยิ้มออกมา

     

    “ถ้าไม่ให้หลงตัวเอง...นายจะให้ฉันหลงนายหรือไง?” ประโยคคำถามกลั้วหัวเราะ คริสเริ่มจะชอบ... เวลาที่เขาพูดอะไรสักอย่างแล้วจุนมยอนไปไม่ถูก และคงกำลังจะชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆ...ไม่งั้นเขาคงไม่ทำมันทุกครั้งที่มีโอกาสแบบนี้หรอก

     

    “บ้า...ไม่ใช่ซักหน่อย”

     

    “แต่ก็ไม่แน่หรอกนะตัวเล็ก...ขืนนายยังเป็นอย่างนี้อีกต่อไป ฉันคงได้หลงนายเข้าสักวัน” ถ้าเป็นนักมวยคาดว่าหมัดนี้คงน็อคเขาจนตายกลายเป็นศพคาสังเวียนไปเรียบร้อยแน่แล้ว

     

    แต่เพราะไม่ใช่...จุนมยอนยังไม่ตาย ยังคงหายใจ และแน่นอนว่ายังคงต้องต่อสู้กับความประหม่าที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงจะไม่จางหายจากใจไปได้หมดเสียที หรือแค่เพียงลดลงเพียงนิดนั้นก็ยังคงยาก ...หากว่าคริสยังคงจงใจจะทำให้เขาหวั่นไหวอยู่แบบนี้

     

    ไม่ทราบว่า...เพียงแค่นี้มันยังไม่สาแก่ใจหรือยังไงกันหา?

     

     

    “ไม่เอาอ่ะ...ไม่พูดกับนายแล้ว” จุนมยอนตัดบท ก็เขาไม่รู้ว่าจะสู้ยังไงดีแล้วนี่นะ

     

    “เฉไฉนี่นา”

     

    “เฉไฉที่ไหน...ฉันเปล่า”

     

    “ก็ที่นายทำน่ะ เขาเรียกเฉไฉนะจุนมยอน”

     

    “อ้าว...แล้วจะให้ฉันบอกว่าชอบนายหรือไงถึงจะไม่เรียกว่าเฉไฉน่ะ”

     

    “แล้วชอบมั้ยล่ะ?” เมื่อกี้ยังจ้องตาเถียงอยู่เลย พอเจอสวนกลับมาแบบนี้จุนมยอนก็ถึงกับใบ้กิน อึกอักๆ พูดอะไรไม่ออก

     

    “มั่ว” 

     

    เงียบไปสักพัก...เพราะฝ่ายคริสกำลังไตร่ตรอง เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดหรือไม่พูดสิ่งที่กำลังอยู่ในใจตอนนี้ดี ...แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะพูดมันออกไป

     

    งั้นจะอธิบายได้มั้ยล่ะว่านายให้ดอกการ์ดิเนียกับฉันบ่อยๆทำไม จุนมยอนตกใจ เขาหันมองคริสขวับด้วยดวงตากลมโต มันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

     

    ดอกการ์ดิเนีย?

     

    เป็นไปได้ไง ในเมื่อเรื่องนี้ ...แม้แต่แบคฮยอนก็ยังไม่รู้เลย

     

    “ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง...แต่พอสำนึกได้ว่าเรามีอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่ยากเลย” คริสยิ้มใส่ตาจุนมยอนที่ยังคงนิ่งอึ้งตาค้างอยู่ “มันไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้วนะตัวเล็ก ถ้ายังคิดจะให้กันอยู่ก็ช่วยเปลี่ยนชนิดดอกไม้ด้วยนะ”

     

    ถึงไม่พูดชัดๆ ...แต่สิ่งที่คริสกำลังบอกกับเขาก็ชัดเจนอยู่ดีว่าฝ่ายนั้นรู้แล้วว่าดอกการ์ดิเนียหมายความว่าอย่างไร

     

    นี่เขาจะทำยังไงดี เหมือนถูกจับได้คาหนังคาเลยเขาอ่ะ นี่ถ้าคริสพูดผิดไปนิดเดียวจากความเป็นจริงเขาก็พอจะเลี่ยงได้อยู่บ้าง แต่ว่าครั้งนี้...ไม่

     

    ก็...

    จุนมยอนทำแบบนั้นจริงๆนี่นา

     

    “ไม่...ฉันจะไม่ให้นายอีกแล้ว”

     

    คริสแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ จุนมยอนเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองขนาดนี้เลยหรือ คนตัวสูงไม่คิดเลยนะว่า เจ้าของร่างที่เล็กกว่าเขาเกือบจะครึ่งหนึ่งที่ตอนนี้กำลังนั่งก้มหน้าห่อตัวอยู่ในเสื้อแจ็กเก็ตของเขาจะพูดอะไรที่เปรียบเสมือนการยอมรับได้ง่ายดายขนาดนี้

     

    แต่ก็นะ...จากที่เขาดูๆจุนมยอนมา เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนประเภทที่จะชอบเถียงหัวชนฝาสักเท่าไรนักหรอก

     

    ถึงจะดูเชื่อฟัง ไม่ชอบมีปากมีเสียง ทว่าภายใต้ความเรียบรื่นไม่รั้นเหล่านั้นก็ดูมีเสน่ห์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

    “ดีแล้ว”

     

    “....”

     

    “เพราะนับต่อจากนี้...ฉันอนุญาตให้นายชอบฉันได้อย่างเปิดเผย”

     

     

    เพราะ...การ์ดิเนีย หมายถึง รักที่เป็นความลับของคนขี้อาย ซึ่งมันก็เท่ากับแอบรัก

    แต่นับตั้งแต่วันนี้ที่คริสบอกกับเขาว่ารับรู้...จึงไม่มีการแอบรักอีกต่อไป

     

     

    นึกถึงวันนั้น ถ้าคริสไม่บังเอิญเดินเข้าหอสมุดในช่วงที่จุนมยอนเพิ่งจะเดินสวนออกไปพอดี คริสก็คงจะยังไม่รู้ว่าเจ้าของดอกไม้สีขาวที่ซ่อนอยู่ในล็อกเกอร์ไม่ซ้ำหมายเลขเลยในแต่ละวันเป็นใคร เขาเคยถามผู้ดูแลเฝ้าหอสมุดอยู่ครั้งหนึ่งว่าใครเป็นคนคอยฝากกุญแจล็อกเกอร์ฝากของหน้าหอสมุดไว้ให้เขาคอยไปไขตู้ แล้วเปิดเอาไอ้เจ้าดอกไม้สีขาวนั่นออกมา แต่แล้วเขากลับได้คำตอบกลับมาเพียงแค่คำบรรยายลักษณะของใครคนนั้น ว่าเป็นเพียงผู้ชายตัวเล็กๆผิวขาวๆ

     

    ซึ่งลักษณะภายนอกแบบนั้นก็กว้างไป ...จนคริสไม่กล้าที่จะคาดคะเนถึง แม้กระทั่งคนที่เขาจะรู้จักก็ตามที

     

    อยู่มาจนวันหนึ่ง หลังจากที่เขาเผลอดึงจุนมยอนเข้ามาจูบไปแล้ว วันนั้น...เจ้าของดอกการ์ดิเนียก็เอามันมาใส่ล็อกเกอร์เอาไว้เหมือนเดิม และหลังจากที่ใครคนนั้นได้ฝากกุญแจล็อกเกอร์กับเจ้าหน้าที่ดูแลไว้เพียงแค่เสี้ยวนาที คริสก็มาพร้อมทั้งถูกเรียกว่าให้มารับกุญแจ คิดเอาแล้วกัน...ว่าเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ไม่ต้องประกาศเรียกเขาแล้ว จำหน้าได้ แค่เพียงเดินผ่าน ก็ถูกเรียกดักตัวเอาไว้ทันที

     

    และตอนนั้นเองหลังจากที่เขารับกุญแจมาไว้ในมือ....อีกฝ่ายก็ชี้ให้เขาดูว่าเจ้าของมันคือใคร...

     

    คริสจำได้แม่นแม้จะเห็นเพียงข้างหลัง...ว่าคนที่กำลังเดินห่างออกไป...คือ ตัวเล็กของเขา

     

    เรื่องเจ้าของดอกการ์ดิเนีย เป็นเรื่องราวที่เขารับรู้ก่อนที่จะฉวยโอกาสจูบจุนมยอนเป็นครั้งที่สอง ไม่รู้สิ...อาจเพราะรู้แล้วว่าจุนมยอนแอบชอบเขาด้วยล่ะมั้ง คริสก็เลยจงใจยกข้ออ้างของการทำให้หายสะอึกมาใช้โดยการจูบ ซึ่งไม่ว่าจะมองในมุมไหนมันก็คือการฉวยโอกาส แต่ไม่รู้ทำไม...เขาอดใจไม่ให้เอาเปรียบจุนมยอนไม่ได้จริงๆ

     

    คริสสรุปได้ในตอนนั้นว่าจุนมยอนคงชอบเขามาตั้งนานแล้ว เพราะหลังจากที่เขาย้ายเข้าหอพักได้ไม่นาน เขาก็ได้รับดอกไม้ชนิดนั้นเป็นประจำ และหลังจากรู้ความจริงทุกอย่าง ในตอนที่มานั่งนึกมันก็ทำให้รู้สึกดีได้อย่างแปลกประหลาด ทั้งเรื่อง ...ที่เขาพบว่ามีใครคนหนึ่งมักจะวิ่งหนี หาที่หลบซ่อนในสถาณการณ์ที่ต้องเจอกัน และที่เหนือความคาดหมายยิ่งไปกว่าอะไรทั้งหมดเลยก็คือเรื่องที่พวกเขาเป็นเพื่อนข้างห้องกัน แต่คริสไม่เคยรับรู้เลยนี่แหละ

     

    ด้วยระยะเวลาสี่เดือน...ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะไม่เคยเห็นหน้าของคนที่อยู่ห้องติดกันเลย นอกเสียจากว่ามันจะเป็นความตั้งใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ต้องการหลีกเลี่ยงและไม่ต้องการจะเจอ

     

    ตอนแรกคริสก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจุนมยอนถึงทำแบบนั้น...

     

    ถึงตอนนี้เขารู้แล้ว ...ตั้งแต่เขาเริ่มเอาตัวมาใกล้กับอีกฝ่ายเขาก็รู้เลยว่าทำไม ...คนเรามักมีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน และจุนมยอนคนที่ดูก็รู้ว่าไม่มีความมั่นใจในอะไรเลยก็คงจะเลือกที่จะทำในสิ่งตรงกันข้ามเวลาที่ชอบใครสักคน คริสยังนึกขอบคุณเจ้าหน้าที่หอสมุดเพราะถ้าไม่ได้เจ้าหน้าที่คนนั้น เขาก็อาจจะคิดว่าจุนมยอนเกลียดเขาจนต้องคอยหนีออกให้ห่างแน่ๆ

     

    “นายไม่เหมือนลู่ฮานเลย” เมื่อลองเอามาเปรียบเทียบกันระหว่างสองคนที่ชอบเขา คริสกลับพบว่ามันแตกต่างมาก

     

    และที่จู่ๆก็พูดถึงลู่ฮานขึ้นมาก็เพราะว่าวันนี้หมอนั่นทำให้เขาสบายใจได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เรียกร้อง ไม่งอแงและไม่เอาแต่ใจตัวเอง

     

    น่าแปลก ...ที่ครั้งนี้ลู่ฮานยังชมเปราะอีกว่าจุนมยอนน่ารักทั้งที่เคยเห็นแค่เพียงครั้งเดียวและไม่เคยคุยกัน ไม่พอ...คนหน้าสวยยังอยากจะให้เขาแนะนำให้รู้จักกับจุนมยอนที่ลู่ฮานเข้าใจไปแล้วว่าเป็นแฟนเขาอย่างเป็นทางการอีก

     

    ก็ถ้าปกติ ...ถ้ามีใครสักคนเข้ามาชอบเขา แล้วยิ่งตอนที่ความสัมพันธ์เริ่มจะรุดหน้า ลู่ฮานก็มักจะสกัดแข้งสกัดขาจนเดี้ยงไม่เป็นท่า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข็ดจนไม่กล้าย่างกรายเข้ามาอีก

     

    จุนมยอนหันใบหน้าเข้าหาคริสเป็นครั้งแรกหลังจากโดนคำพูดที่ทำให้เขิน คนตัวเล็กกำลังสงสัยในคำพูดลอยๆของอีกฝ่ายจนแทบจะลืมไปว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน

     

    แต่จุนมยอนคับคล้ายคับคราว่าได้ยินชื่อนี้แล้วจากปากของไค ตอนนี้ก็เลยยิ่งนึกสนใจฟัง

     

    “ก็คนที่อยู่กับฉันที่ร้านสเต็กนั่นไงล่ะ” ใช่จริงๆด้วย จุนมยอนอยากรู้ก็จริงแต่ในตอนที่อีกฝ่ายย้ำเขาก็ดนรู้สึกจี๊ดขึ้นมา ก็แค่เข็มเล่มเล็กๆทำไมถึงทำให้เจ็บได้มากกมายขนาดนี้ก็ไม่รู้

     

    “อ่า...”

     

    “ลู่ฮานนี่นะจอมดื้อเลย” นึกถึงลู่ฮานก็ทำให้บนใบหน้าเกิดรอยยิ้ม บางทีคริสก็หน่ายถึงกับเคยพูดจาตัดขาดกันมาหลายครั้ง แต่ทว่าในทุกๆครั้ง เขาก็ไม่เคยทำมันไม่ได้จริงๆเสียที

     

    อาจจะแค่เคยชิน...และคงจะต้องรู้สึกแปลกมากๆหากวันหนึ่งวันใดมันเกิดหายไป คริสอาจจะรู้สึกโล่งใจ ทว่าในความโล่งและสบายใจเขาอาจจะต้องเหงา

     

    หรือถ้าจะพูดให้ลึกซึ้ง...คงต้องบอกว่าระหว่างคริสกับลู่ฮานมันก็คือความผูกพันนั่นแหละ

     

    “อืม...” จุนมยอนไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับใครคนนั้นของคริส...แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้ประโยคพูดของคริสเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านไปโดยไร้ซึ่งการตอบสนองจากคู่สนทนาอย่างเขา

     

    “เขาน่ารักจังเลยนะ...น่ารักจน...เป็นคำพูดจากใจจริง ก่อนจุนมยอมจะหยุดคำพูดไว้เม้มริมฝีปากชั่งใจ

     

     

    ฉันยังอิจฉา” ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์หรือไม่...แต่เขาก็น้อยใจไปแล้วแหละ

     

     

    “ใช่ๆ...ใครๆก็บอกแบบนั้น” เป็นอีกครั้งที่จุนมยอนรีบหันมองปฏิกิริยาของคริส ยิ่งคริสยิ้มกว้างมีความสุขมากเท่าไรที่พูดถึงใครคนนั้น จุนมยอนก็ยิ่งยิ้มไม่ออกมากขึ้นทุกที

     

    “อ่อ...”

     

    จุนมยอนหมดคำที่จะพูด...

     

    หมดแล้วจริงๆ

     

    “กลับไปข้างล่างกันเหอะ” ก็เลยชี้ชวนและเปลี่ยนเรื่องทันที

     

    “จริงด้วยสิ...ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” คริสพยักหน้าเห็นด้วย จุนมยอนขยับตัวกำลังที่จะลุก จังหวะนั้นคนตัวเล็กถึงพบว่าเสื้อที่กำลังจะร่วงหล่นลงไปกองที่พื้นแต่เขาจับมันเอาไว้ได้ทันไม่ใช่ของเขา

     

    “เสื้อ” เขายื่นมันไปตรงหน้าคริส แต่นอกจากที่คริสจะไม่รับคืนแล้ว ก็ยังจับมันมาคลุมร่างของเขาไว้อีกครั้ง มือใหญ่กระชับเสื้อกับบ่าเล็กอีกข้างที่ไกลออกไป เรียวแขนยาวโอบจุนมยอนเอาไว้ บีบเข้าที่ท่อนแขนนั้นและรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบลำตัวยิ่งขึ้น

     

    กว่าจะรู้ตัวว่าควรที่จะขืนตัวออก ความอบอุ่นจากร่างกายของคริสก็แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั้งใจจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว

     

    ที่เป็นแบบนี้...มันก็เพราะหัวใจของเขารับคริสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว

     

    ตลอดทางที่เดินลงไปจนถึงทางเดินชั้นที่เป็นที่อยู่ของห้องพักของเขาทั้งสองคน จุนมยอนแอบใบหน้าของคริสสลับกับมือที่กระชับอยู่ที่บ่าของเขา

     

    ถ้าเป็นแฟนกันจริงๆ ...ก็คงดี

     

    จุนมยอนคงมีความสุขมากนี้ ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าการที่เขาเดินโอบกอดกันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและเป็นความผิดที่แม้จะรู้ดีว่ามันผิดแต่ก็ยังทำ

     

    ใครๆก็รู้ว่าหัวใจเป็นอย่างเดียวที่บังคับไม่ได้

     

    และมันก็ยอม...ยอมที่จะให้คริสทำอะไรกับมันก็ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันจะทำให้เจ็บ ที่สุดแล้วก้อนเนื้อก้อนนั้นก็ยังต้องยอมอยู่ดี

     

    หลังจากที่เดินมาส่งกันจนถึงหน้าห้อง และคริสรามือออกจากร่างของจุนมยอนพร้อมทั้งรับเสื้อตัวนั้นไปถือไว้เองแล้ว ก็ยืนนิ่งจดๆจ้องๆ มองกันสลัหลบตาสักพักหนึ่ง จุนมยอนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองควรจะกลับเข้าห้องได้แล้ว ในตอนนั้นก็เลยเลือกที่จะหันกลับไปพร้อมทั้งเปิดประตู

     

    “เอ่อ...นี่” เพียงแค่นั้นก็เรียกให้จุนมยอนต้องหันกลับไป

     

    คริสชั่งใจอีกเพียงนิดแล้วจึงพูด

     

    “ความจริงแล้วลู่ฮานชวนนายกินข้าวด้วยแหละ” จุนมยอนมองหน้าคริสด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นชวนเขาทำไม แล้วทำไม...ทั้งๆที่คริสรู้แล้วว่าเขามีใจให้ ก็ยังคงไม่เลิกที่จะพูดถึงลู่ฮานอยู่ซ้ำๆ นี่ไม่รู้สึกสงสารเขาบ้างเลยหรือ...

     

    “...” จุนมยอนไม่รู้ที่จะพูดอะไรอีกแล้วจริงๆ

     

    “แต่ถ้านายไม่สะดวก ...ไม่ต้องก็ได้นะ” สิ้นประโยคของคริส ครั้งนี้จุนมยอนยินยอมที่จะเหลือบดวงตาขึ้นมองคริส พร้อมทั้งฝืนยิ้มบางๆให้

     

     

    “อื้ม...ไปก็ได้”

     

     

    จุนมยอนคิดว่าถ้าไป เขาคงเห็นว่าคริสกับใครคนนั้นหยอกล้อมีความสุขกัน เป็นภาพที่ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ตรงหน้า ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้ถึงเลยว่าจะเจ็บปวดมากมายขนาดไหน

     

    คงจะมาก ...มากๆเลยล่ะสิ ...มากจนแทบทนไม่ไหว...

     

    แต่ถ้าลองคิดในแง่ดี

     

    บางที...

     

    การได้เห็นอะไรที่เป็นการตอกย้ำความเจ็บช้ำข้างในใจ

     

    มันก็อาจทำให้เขาตัดใจได้ง่ายขึ้น...

     

     

    ...และต่อไป....





    จะได้ไม่ต้องเจ็บอีก

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    เกินเดือน กว่าจะมาอัพ ฮ่ากกกกกกก

    เรื่องนี้ยิ่งแต่งยิ่งช้า ยิ่งสั้นลง แงงงง ขอน้อมรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

    เดี๋ยวนะ...มันก็สมควรจะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วป่ะ 555555

    วันนี้ร่างแหลกมาก ทั้งปวดหัว ปวดตัว โรครุมเร้า

    อ้อนคนอ่านโหน่ยนะ ฮือออออ

    ไม่มีอะไรนอกจาก ...ขอบคุณก่ะ ขอบคุณที่ยังเอ็นดูตัวเล็กกับเพ่คริสนะค้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×