คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER 8
CHAPTER 8
“เบค่อนน่า”
มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์ที่แนบหูแน่น ส่วนอีกข้างก็พลอยป้องปากป้องกันให้เสียงเล็ดลอดดังออกไป ก็ตั้งแต่ตอนที่คริสบอกกับเขาว่า ขอแวะคุยกับเพื่อนสักแป๊บนึงนะ คิมจุนมยอนก็ปลีกตัวเองออกมาหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่จนในตอนนี้ก็สามารถเอาตัวเล็กๆลีบหายไปหลังกำบังนั้นได้อย่างมิดชิดเรียบร้อย
ให้ตาย...!
เขาน่าจะวิ่งหนีไปเลยเสียดีกว่าปลีกตัวออกมาเพื่อโทรหาตัวช่วยอันดับหนึ่ง(ที่ความจริงไม่เคยจะช่วยอะไรได้เลย)เหมือนอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
“ช่วยด้วยยยยยย” น้ำเสียงขอความช่วยเหลือดังยานคางเชียว
[เรื่อง?]
“ฮื้อออออ ...คริส”
[อีกละ]
“อื้อๆ” จุนมยอนยู่ปากอย่างน่าเอ็นดูเชื่อว่าใครมองเห็นคงมีความคิดอย่างนั้น ทว่าสำหรับคนตัวเล็กเองแล้วเขารู้สึกว่าในหัวใจของเขากำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วงเสียมากกว่า
[อะไรอีกอ่ะคราวนี้...]
“จะบ้าตายอยู่แล้วแบคอ่า”
[หืม? เดี๋ยวนะ...] แบคฮยอนทิ้งช่วงเอาไว้ราวกับกำลังทบทวนอะไรบางอย่าง จุนมยอนมีสีหน้าครุ่นคิดตามและก็ลุ้นฝ่ายแบคฮยอนเกินกว่าที่จะกล้าแทรกอะไรออกไป
[จะโอดครวญอะไรอีก ...ถึงขั้นจูบยังเคยมาแล้วเลย ...นี่อย่าบอกนะว่า ไอ้เจ๊กนั่นมันคิดจะ...] ในตอนที่ฟังไปคิมจุนมยอนก็พยายามคิดตามไป และรู้สึกจะระเบิดตัวเองก็ตอนที่สำนึกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่แบคฮยอนจะพูดถัดไปนั่นแหละ
ไม่นะ...
“ไม่ใช่ซักหน่อย”
[ถ้าไม่ปล้ำ แล้วจะอะไร?] อะไรก็ได้ ...มันมีเรื่องนอกเหนือกว่านั้นตั้งเยอะแยะนี่นา ทำไมถึงได้คิดไปถึงเรื่องนั้นก็ไม่รู้ ...เบค่อนน่า~
“โหยย เบค่อนอ่ะไม่คุยด้วยแล้ว”
อิหรอบเดิม ...หลังจากวางสายไปความทุกข์ทรมานกังวลใจก็เข้ามาสุมอยู่ที่ตัวที่หัวใจของเขา จุนมยอนอยากได้ความช่วยเหลือ แต่ก็ดูจนหนทางเหลือเกิน ยิ่งตอนนี้ที่ฝ่ายแบคฮยอนดันเกิดระแวงขึ้นมาว่าเขามีความคิดว่าอยากจะแก้แค้นคืนบ้าง แบคฮยอนที่ไม่ไว้ใจก็คงยิ่งจะแกล้งเขาซ้ำๆเพิ่มขึ้นอีกแน่
จุนมยอนจะต้องแย่แน่ๆ
ที่ผ่านมาเขารู้ ...แบคฮยอนเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาคนนึง สนิทที่สุด รักเขารวมทั้งหวังดีเรื่อยมา คนตัวเล็กพอๆกันไม่เคยคิดจะทำร้าย มีความปรารถนาดีที่จะให้คิมจุนมยอนสมหวังในทุกๆเรื่อง
ซึ่งนั่นก็รวมเรื่องของคนจีนตัวสูงที่ชื่อว่าคริสเข้าไปด้วย
แต่ว่าไอ้วิธีการอยากจะให้เขาสมหวังพวกนี้ แบคฮยอนไม่คิดว่ามันจะโหดไปหน่อยเหรอ? ยัดเยียดให้ต้องรับผิดชอบเป็นแฟนกันเนี่ยนะ การสรุปแบบนั้นมันเป็นการทารุณกรรมเขาชัดๆ
กำลังตัดพ้อแบคฮยอนอยู่เพลินๆเชียว กลับต้องสะดุ้งโหยงหลังจากได้รับสัมผัสที่วางลงมาบนไหล่
“ตัวเล็กไปกันยัง?”
ให้ตาย ...เกิดถ้าเขาหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง แต่กับคริสแล้วไม่ต้องมีเรื่องราวที่ทำให้ต้องตกใจหรอก แค่หมอนี่เอาหน้าเอาตามาลอยใกล้ๆหัวใจของเขาก็โบยบินไปไกลถึงนอกจักรวาลแล้วเหอะ
จุนมยอนถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ...หัวใจของเขาเต้นแรงเกินไปจนเริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติและไม่น่าตื่นเต้นไปแล้ว
อยู่หลังต้นไม้แบบนี้นึกว่าจะพ้นสายตาแล้วเสียอีก …คิมจุนมยอนคิดพ้อในใจและอาการภายนอกก็สื่อสารออกมาอย่างน่ารัก คนตัวเล็กปากคว่ำคิ้วขมวดหน่อยๆสีหน้าดูไม่ค่อยเข้าใจอีกทั้งยังขบคิด นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนตัวเล็กจะเกร็งเขาไปมากกว่านี้ คริสคงส่งมือออกไปยีผมด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วเชียว
ช้าก่อนอู๋อี้ฟาน อดใจเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะอีกหน่อย ...ก็คงจะได้ทำมากกว่านั้น
ร่างสูงถึงกับหลุดยิ้มออกมาเสียจนได้ ...
นี่เขาเผลอคิดอะไรไปบ้างแล้วล่ะเนี่ย
“อ...เอ่อ” จุนมยอนไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไรแล้วจริงๆ
“ถ้าไม่เดินเองจะพาเดินนะ” ไม่พูดเปล่า แขนยาวยื่นออกไปกำลังจะคว้าเรียวแขนข้างนึงอยู่แล้วเชียว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะจุนมยอนดันส่งแขนตัวเองไปข้างหลังมองฝ่ายคนตัวสูงด้วยดวงตากลมใส
“ม...ไม่ต้อง” ปฏิเสธไปเสร็จก็หมุนตัวกลับไปอีกทางทันที หลังจากหันหลังให้คริสและเริ่มออกเดินจุนมยอนก็ก้มหน้าหลับตายี๊แน่นพลางส่ายศีรษะไปมาด้วยความคิดไม่ตก เขาจะสามารถพาตัวเองให้พ้นจากสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างไร ระหว่างนี้ยังพอมีเวลาให้คิดอยู่บ้าง จากมหา’ลัยไปถึงหอพักก็ระยะทางพอสมควรอยู่ เขาจะทำอย่างไรให้ความลับที่ว่าเขากับคริสเป็นเพื่อนข้างห้องกัน ยังคงอยู่ต่อไป หรือถ้าทำได้แม้กระทั่งว่าจะทำอย่างไรให้คริสเข้าใจไปเสียว่าพวกเขาไม่ได้อยู่หอพักเดียวกันได้เลยยิ่งดี
.
แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละ
มันอยู่ตรงที่ว่าจุนมยอนจะต้องทำยังไงดี...?
“อ๊ะ” จุนมยอนหน้าตาตื่นอีกครั้งหลังจากถูกมือสัมผัสลงมาที่บ่าข้างเดิม
“มัวคิดอะไรอยู่ ...นายไม่ได้สนใจจะตอบหรือเพียงแต่นึกจะฟังคำถามที่ฉันถามเลย” จุนมยอนมองใบหน้าหล่อเหลาราวกับปฏิมากรรมของคริสแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง
จริงด้วย ...เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่ามองนานเกินไป ตากลมจึงเลือกที่จะเบี่ยงเบนออกจากสิ่งที่อันตรายต่อหัวใจของเขาซึ่งนั่นก็คือใบหน้าของคริสไปรอบๆ และคิมจุนมยอนก็ต้องทึ่งในความเป็นตัวเองอีกครั้ง นี่ขนาดว่าจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลยเขายังสามารถพาตัวเองและคริสเดินมาตามทางเรื่อยๆจนเกือบจะถึงหอพักของตัวเองอยู่แล้ว
หรือตอนนี้จุนมยอนควรที่จะต้องตัดสินใจเลี้ยวไม่ซ้ายก็ขวาตรงทางแยกข้างหน้าดี เพราะถ้าตรงไปจนสุดทางมันก็คือหอพักของเขาแล้ว
“อยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอ?”
ปี๊น
ปี๊น
ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเสียงแตรรถยนต์ที่ไล่หลังมาก็ทำให้คนตัวเล็กสูญเสียการทรงตัว ปกติก็เป็นคนขวัญอ่อนมากอยู่แล้วนี่ยิ่งมีตัวกระตุ้นเป็นคริสมาอยู่ข้างๆ คิมจุนมยอนก็ยิ่งตกใจง่ายเข้าไปใหญ่ ร่างเล็กเบี่ยงตัวเองเข้าหาข้างทางอัตโนมัติ และถ้าไม่ได้คริสที่อยู่เยื้องหลังไปหน่อยคว้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเอาไว้ได้ทัน มีหวังคนซุ่มซ่ามเป็นทุนเดิมคงได้ข้อเท้าพลิกตกร่องระบายน้ำข้างถนนไปแล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นประชิดหูทำให้จุนมยอนรีบแหงนหน้าหาเสียง แต่สำหรับตอนนี้สิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกยิ่งกว่าตอนได้ยินเสียงก็คือตอนที่เขาพบว่าใบหน้าของคริสอยู่ใกล้กันน้อยกว่าคืบ ยิ่งไปกว่านั้น ...ถ้าประสาทการรับรู้ของเขาไม่ผิดพลาดแล้วล่ะก็ ...
ไอ้ที่ชนแก้มในตอนที่หันไปก็คงจะเป็นจมูกของอีกฝ่าย…
ที่โอบรัดรอบเอวก็ควรจะเป็นแขน เสียงกระซิบที่แผ่วเบาก็คงจะเกิดจากริมฝีปากปาก แล้ว ...แล้วไอ้ที่เต้นตึกตักสะท้อนมาถึงแผ่นหลังของเขาตอนนี้ล่ะ...
คงเป็นหัวใจสินะ ...
มันคงเป็นหัวใจของคริส
ตระหนักได้ทุกอย่างแบบนั้น เรือนร่างเล็กก็รู้สึกว่าตัวเองคงจะไม่ไหว ...ถ้าได้อยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักนาทีสองนาที ถ้าไม่เป็นลมล้มพับก็คงจะถึงขั้นตายไปเลย
“ป...ปล่อย” จุนมยอนรั้นตัวเองออกด้วยความเขินอาย และคริสก็ยอมคลายอ้อมแขนออกให้ด้วยความยินดี แต่ว่ามันก็เป็นไปในแบบที่อ้อยอิ่งเชื่องช้า ก็เมื่อจู่ๆคนตัวสูงก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะซึบซับความรู้สึกเหล่านี้เก็บเป็นความทรงจำเสียอย่างนั้น กลิ่นกายจางๆ กลิ่นแชมพู หรือไม่รู้ ...คริสไม่แน่ใจว่าบางทีอาจจะเป็นน้ำหอม เขาไม่แน่ใจ คริสรู้แค่ว่ามันทำให้เขารู้สึกดีได้อย่างประหลาดก็เท่านั้น
ทันทีที่ผละออกจากกันจุนมยอนก็อดที่จะเหลือบตามองคนที่เพิ่งกอดเขาเอาไว้ไม่ได้ พอเห็นแววตาคู่นั้นอีกทีก็ต้องกัดปากด้วยความเจ็บใจ นี่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยสินะ คิมจุนมยอนแพ้ให้กับคนตรงหน้าและก็ดวงตาคู่นั้นมาโดยตลอดรวมทั้งอาจจะเป็นแบบนี้ตลอดไปเลยก็ได้
“จุนมยอน” น้ำเสียงที่คุ้นเคย ที่ฟังกี่คราวก็รู้ว่าใครแม้ไม่ต้องเห็นหน้าทำให้จุนมยอนชะโงกมองผ่านไหล่คริสไปทันที
และมันก็ไม่ผิดพลาด
“พี่ซีวอน” เสียงนุ่มเปล่งออกไปทันทีหลังจากเห็นดวงหน้าของคนที่เพิ่งลงจากรถยนต์ ฝั่งข้างคนขับชัดเจน
ไม่ผิดหรอก ...นั่นพี่ชายคนเดียวของเขา
และที่บีบแตรเสียงดังเมื่อครู่ก็เพราะเห็นว่าเป็นเขาตั้งแต่แรกตอนนั้นแล้วสินะ ถึงได้บีบแตรส่งสัญญาณบอก กระนั้นจุนมยอนกลับไม่ได้เอะใจสงสัยเลยว่าจะเป็นพี่ซีวอน เพราะตามที่ดวงตาเห็นรถที่จอดอยู่ข้างหน้าที่ห่างจากเขากับคริสเพียงไม่กี่เมตรนั้นมันไม่ใช่รถยนต์คู่ใจของพี่ซีวอนเสียหน่อยนี่นา
อ้าว ...
ชายร่างสูงไม่ได้พูดอะไร นอกจากยิ้มบางๆแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขา จุนมยอนยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยก็เลยได้แต่มองไปที่พี่ชายตัวเองอึ้งๆ
เขายังไม่ได้รับโทรศัพท์เสียหน่อยนี่นะ พี่ชายยังไม่ได้โทรมาบอกเลยว่าจะมานี่
“อ้าว ...พี่” จุนมยอนแหงนหน้ามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงตัว พี่ชายที่ตัวใหญ่รวมทั้งสูงกว่ามากเพิ่งจะวางมือลงบนบนหัวทุยๆของเขาพลางขยี้มันไปด้วย
“ว่าไงตัวยุ่ง?” คำทักทายคำนี้ทำให้จุนมยอนถึงกับเบะปาก เขาไปเป็นตัวยุ่งเมื่อไรกัน ...ไม่เคยเลยสักครั้งเสียหน่อย!
“พี่มาได้ยังไงครับเนี่ย...” เขาจะถามทั้งเรื่องที่ทำไมไม่ได้โทรมาบอกก่อนรวมทั้งเรื่องรถ แต่ดูเหมือนกับว่าดวงตาของเขาจะเผยออกไปหมดแล้วว่าสนใจในเรื่องไหนมากกว่ากันมันถึงได้จับจ้องรถที่จอดอยู่ข้างหน้าไม่วางตาเลยแบบนั้น และคนที่จะตอบคำถามก็รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อนกัน
“บังเอิญว่ารถเสียก็ได้เด็กฝึกงานนี่แหละขับมาส่ง” หลังจากที่พี่ซีวอนเพยิดหน้าไปที่รถคันนั้นจุนมยอนก็เอียงคอมมองตามไปอีกครั้ง
เด็กฝึกงานงั้นเหรอ...? ขับรถแพงกว่าพี่เขาอีกนี่นะ
“อ้าว รถเป็นอะไร?”
“ไม่รู้ ...ก็กำลังจะออกมาหาจุนมยอนนั่นแหละ มันก็สตาร์ทไม่ติดไปเสียอย่างนั้น” ตอบคำถามให้น้องชายตัวเล็กเสร็จ ซีวอนที่เห็นตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าไม่ได้มีแค่เขากับน้องชายของเขาก็สำนึกได้ว่าควรหันสนใจใครอีกคนหนึ่งที่อยู่ตรงนี้มาก่อนได้แล้ว
“นี่ใคร?” ไม่มีอ้อมค้อม ไม่เคยอ้อมโลก ตรงประเด็น ชัดเจน และถูกจุด ชัดที่สุดก็คงจะเป็นนิ้วมือเรียวที่ชี้ไปที่บุคคลที่สามนั่น
“เพื่อนเหรอ? ทำไมไม่เคยเห็นหน้า นอกจากแบคฮยอนกับไคแล้วจุนมยอนยังมีเพื่อนคนอื่นที่พี่ไม่รู้จักอีกด้วยเหรอ?”
วินาทีที่ซีวอนนึกสนใจ จุนมยอนก็กลับมามีอาการคล้ายๆเดิม เลิกลักลนลาน สองตาเบิกโตมองคริสที่โค้งตัวให้พี่ชายตนอย่างนอบน้อม เขามองดูการกระทำพวกนั้นตาค้าง ไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งถึงตอนที่คริสมองมาที่เขาราวกับจะขอความคิดเห็น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะ... จุนมยอนรู้สึกว่าคริสที่เพิ่งเริ่มจะอ้าปากพูดกำลังจะเอ่ยบางอย่างที่มันไม่ค่อยตรงใจและมันก็คงจะเป็นอะไรที่เขาไม่เห็นด้วย
คนตัวเล็กถึงได้...
ยื่นมือบางออกไปแตะเข้าที่ริมฝีปากนั้นอย่างต้องการห้ามปรามรวมทั้งหวังว่ามันจะได้ผล
“เพื่อนใหม่ ...เขาน่ะ ...ป...เป็นเพื่อนใหม่” ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ทำอะไร คิดอยู่เพียงเรื่องเดียวว่าจะให้ซีวอนพี่รู้เรื่องจูบไม่ได้ จุนมยอนคิดว่าตัวเองรู้ว่าคริสจะพูดอะไร ...ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องจูบก็คงจะบอกว่าเป็นแฟน ซึ่งเรื่องแฟนนี่ก็พูดไม่ได้พอๆกัน พูดไปก็มีแต่ฝ่ายคนตัวสูงเท่านั้นแหละที่จะเดือดร้อน
ก็พี่ซีวอนน่ะหวงเขายังกับอะไรดี ไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หารู้ไม่ว่า ...ไอ้การที่เขารีบเอามือแตะริมฝีปากของคริสเอาไว้แบบนั้นมันยิ่งทำให้พี่ชายตัวเองนึกสงสัยและอาการพิรุธเกินพอดีแบบนั้นก็ยิ่งทำให้พี่ชายตัวดีนึกอยากจะจับผิดเข้าไปใหญ่
ซีวอนหรี่ตามองทั้งน้องชายตัวเองและก็ชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีใบหน้าหล่อเหลาสูสีกับเขาด้วยความระแคะระคายใจ เขารู้นิสัยน้องดี จุนมยอนไม่ใช่คนที่จะโกหกพร่ำเพื่อ ออกจะโกหกไม่เก่งเลยเสียด้วยซ้ำ และในทุกครั้งที่ทำก็มักจะถูกเขาจับได้
และคราวนี้มันก็ออกจะแปลกๆอยู่นะ
โกหกเหรอ ...? แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วใครล่ะ...?
ชายหนุ่มไม่ได้ต่อความ แต่เลือกที่จะตีสีหน้าเข้ม มือหนายื่นออกไปจับแขนน้องพร้อมทั้งใช้แรงที่ไม่ได้มากมายเท่าไรดึงมือข้างนั้นของจุนมยอนที่ทาบลงไปบนกลีบปากสีเข้มของคริส รั้นให้มือน้องออกมาจากปากคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครเรียบร้อย ซีวอนถึงได้เลื่อนมือตัวเองลงไปตามเรียวแขนของน้อง แล้วจึงค่อยไปหยุดกุมมือเล็กข้างนั้นเอาไว้อย่างหลวมๆ
วินาทีนั้นจุนมยอนถึงได้ก้มมองตามสัมผัสแล้วดวงตาก็เบิกกว้างกว่าเคย คนตัวเล็กเพิ่งจะรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้ว่าตัวเองดันเอามือไปประกบกับริมฝีปากของคริส แล้วการทำแบบนั้นมันต่างจากสัมผัสที่เรียกว่าจูบมือตรงไหนกันเล่า
นี่จุนมยอนทำอะไรลงไป... นอกจากจะหนีความระคายของพี่ชายตัวเองไม่พ้นแล้ว เขายังเลือกที่จะสัมผัสคริสด้วยตัวเองไปแล้วด้วยอีก
นี่มันบ้าจริงๆ
พี่ซีวอนเล่นเขาตายแน่ๆ ...อยู่กับตามลำพังเมื่อไรมีหวังคงได้ฟังคำถามคาดคั้นจนหูชาแหง
“เพื่อนเหรอ? ชื่ออะไรล่ะ?” ดูก็รู้ว่าไม่ได้อยากจะฟังคำตอบจากจุนมยอนเลย เมื่อซีวอนจงใจใช้ดวงตาทั้งคู่มองไปที่คริสพร้อมกับคำถาม
“คริสครับ”
“หืม?” ก็มันแปลกนี่นะ ซีวอนกำลังตั้งข้อสงสัย ชื่อเกาหลีเหมือนชาวบ้านเขาไม่มีเหรอ...? อยากตั้งขึ้นมาเองหรือว่ายังไง ...?
“เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากจีนน่ะพี่” ซีวอนร้องอ๋อในใจ และกำลังจะอ้าปากถามบางเรื่องที่อยากรู้ออกไปอีก แต่ก็รู้ว่าคงไม่สามารถที่จะทำมันได้อีกแล้ว
เมื่อจุนมยอนที่ตัวเล็กกว่าและแรงน้อยกว่ากันตั้งมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ยอมให้เขายืนอยู่ตรงนี้ต่อ น้องชายตัวเล็กเอาแต่ลากร่างของเขาให้เดินตรงไปที่รถยนต์ที่จอดรออยู่ข้างหน้า
“จุนมยอน! ….พี่ยังคุยกับเพื่อนนายไม่จบเลย” ซีวอนอยากรู้อะไรมากกว่านั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืนแรงของคนตัวเล็กที่ทุ่มใช้ในการลากเขาออกไป เพราะรู้ดีว่าถึงยังไงถ้าเขาคิดที่จะต่อต้านจริงๆ จุนมยอนก็ไม่มีทางที่จะสู้แรงเขาได้ไหวอยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากออกแรงเพื่อยื้อ พอยื้อกันไปมามันก็อาจจะทำให้คนบอบบางอย่างจุนมยอนต้องเจ็บตัว
“จุนมยอน ...มีอะไรปิดบังพี่หรือเปล่า?” ซีวอนมองอย่างคาดคั้นในตอนที่เดินมาจนถึงรถ ตัวสูงอิงไปกับประตูรถข้างคนขับ ตามคาดที่จุนมยอนรีบหลบตาด้วยความรวดเร็ว
“ป...เปล่า ไม่ได้มีอะไรซักหน่อย” ก้มหน้ามองต่ำเพื่อซ่อนแววตาแต่แล้วเขาก็พบเข้ากับตัวช่วยจนได้
“เนี่ย” นิ้วชี้ป้อมๆชี้เข้าไปที่ข้างทาง “ตรงนี้น่ะมันห้ามจอดนะ เดี๋ยวตำรวจก็จับหรอก” คราวนี้ถึงได้กล้าสู้หน้านะ
แล้วซีวอนก็พยักหน้าช้าๆตามแสร้งทำเป็นเข้าใจ เขามองเลยผ่านร่างของน้องชายไปก็ยังคงพบว่าใครอีกคนนั้นยังคงอยู่ยืนที่เดิม
“แล้วเพื่อนล่ะ” สิ้นสุดคำนั้นจุนมยอนก็หันหลังกลับไปก่อนจะรีบกลับมาทางเดิมทันที “จะไม่พาเขาไปด้วยเหรอ?”
คนตัวเล็กส่ายหัว “ช่างเขา” แล้วก็รีบเปิดประตูรถใครก็ไม่รู้เข้าไปนั่งเบาะหลังทันที
เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยล่ะมั้ง ...ที่สุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นรถใครก็ไม่รู้แบบนี้ ทำไงได้ล่ะ ...ก็จุนมยอนไม่มีทางเลือกนี่
เจ้าของรถที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยตั้งแต่ที่แรกมองผ่านกระจกมองหลังที่อยู่สูงขึ้นไปก็เห็นคนที่ผิวขาวจัดที่เพิ่งลงที่เบาะหลัง คนมาใหม่ก้มหน้าลงมองนิ้วมือตัวเองที่เกี่ยวกันเล่น เขายังเห็นหน้าตาของคนตัวขาวไม่ถนัดนัก แต่ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนพี่ซีวอนได้ถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นแม้จะได้จินตนาการเอาไว้อยู่บ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่านอกจากหน้าตาที่คล้ายคลึงกันแล้ว รูปร่างรวมทั้งผิวพรรณก็ไม่น่าจะแตกต่างกันได้ขนาดนี้จนเขานึกอึ้ง
ดูสิ ...คนที่นั่งอยู่ข้างหลังมีสีผิวขาวจัดดูบริสุทธิ์ ตัวก็เล็กนิดเดียวแทบจะไม่ได้ครึ่งของร่างกายของพี่ซีวอนเลย
“โทษทีนะคยูฮยอน ...รบกวนเวลานายแย่เลย”
“หะ ...ฮะ?” เด็กหนุ่มหันกลับไปข้างๆทันทีที่พี่ชายที่มาด้วยกันกลับขึ้นมาพร้อมกับพูดบางประโยคกับเขา คนที่มีชื่อว่าคยูฮยอนมองผ่านกระจกมองหลังไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมตรงที่คนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็มองเข้ามาในกระจกเหมือนกันและตาของพวกเขาก็สบกันเข้าพอดี
คยูฮยอนตะลึงงันไปทันที ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาจะหวานต่างจากพี่ซีวอนลิบลับ ...ข้อนี้ก็ทำให้คยูฮยอนรู้สึกเก้อเขินแปลกๆจนถึงขั้นรีบหลบตา
“ไม่เป็นไรครับพี่ซีวอน” คยูฮยอนยิ้มแห้งๆ
“อ่อ ...เกือบลืมแนะนำ” ซีวอนหันไปเผยรอยยิ้มเล็กๆให้กับโจคยูฮยอน แล้วจึงหันไปด้านหลังหาน้องชายตัวเล็ก
“จุนมยอน ...นี่คยูฮยอนเขาเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของพี่ อายุก็น่าจะพอๆกันแหละมั้ง ...เพราะหมอนี่ก็ยังเรียนไม่จบเหมือนกัน” ทันทีที่จุนมยอนพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจคนที่อายุมากที่สุดในตอนนี้ก็หันไปหาเจ้าของรถ “คยูฮยอน แล้วนี่ก็จุนมยอน ...น้องชายฉันเอง”
ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น คยูฮยอนแค่มองผ่านกระจกมองหลังที่อยู่เหนือศีรษะอย่างเคย แต่แล้วพอพบกับรอยยิ้มหยีตาของคนข้างหลังที่ส่งต่อมาให้อย่างเป็นมิตร ก็เล่นเอาใจเต้นไม่เป้นจังหวะและมีผลทำให้ถึงกับรีบหันหนี กลบเกลื่อนอาการต่างๆด้วยการหันไปคุยกับซีวอน
“ไปไหนต่อล่ะครับพี่”
“อ๋อ ...ตรงไปข้างหน้าก็ถึงหอพักของจุนมยอนแล้ว”
.”ครับ” โจคยูฮยอนรีบรับคำทันที เลียรอบริมฝีปากอย่างที่ชอบทำเป็นประจำก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองที่กระจกมองหลังอีกครั้ง ทว่าคราวนี้คยูฮยอนกลับพบแต่ความเหม่อลอยของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เบาะหลัง
กระนั้นก็ไม่อาจบังคับให้ตัวเองไม่มองมันบ่อยๆได้เลย ด้วยระยะทางแค่เพียงสั้นๆจากตรงที่คนตัวเล็กขึ้นมาอาศัยรถของเขาเพื่อไปนั่งกลับไปยังหอพักของตัวเองแค่เพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร โจคยูฮยอนยังไม่อาจนับรอบที่ตัวเองคอยลอบมองใบหน้าขาวๆที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยองค์ประกอบที่ถึงแม้จะไม่ได้หมดจดสวยงามมากนักในสายตาของคนอื่นๆ แต่กลับแตกต่างในความคิดของโจคยูฮยอน เขาคิดว่านี่แหละที่เรียกว่าสมบูรณ์รวมทั้งน่ามองจนไม่อาจละสายตา
ถ้าจะให้จำกัดความกับคนนี้ ...สั้นๆง่ายๆก็ ...’น่ารัก’ นั่นแหละ
“ขอบใจมากคยูฮยอน” คนเป็นพี่ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ “ถ้าไม่ได้นายพี่คงแย่มากจริงๆ”
“อ่ะ ...ไม่เป็นอะไรเลยพี่ เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก” เขายิ้มด้วยความจริงใจและก็อดไม่ได้ที่มองผ่านกระจกมองหลังไปอีกครั้ง คราวนี้คนที่ชื่อจุนมยอนยิ้มให้เขาก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถลงตามพี่ซีวอนที่เปิดประตูลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว
และซีวอนที่มือยังจับประตูรถอยู่ก้มตัวลงมาอีกครั้ง
“กลับดีๆล่ะคยูฮยอน”
บอกแค่นั้น ก่อนจะถอยตัวเองออกไป คยูฮยอนเห็นเพียงพี่ชายตัวสูงโอบบ่าแคบของน้องชายตัวเองเอาไว้ ส่งยิ้มรวมทั้งโบกมือให้เขาหยอยๆ
เด็กหนุ่มส่งมือขึ้นมาลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด อีกมือก็ใช้มันจับพวงมาลัยรถยนต์สำหรับบังคับทิศทางล้อหมุน เขานึกเสียดายอยู่เล็กน้อยที่ก่อนหน้านั้นดันปากไวบอกกับพี่ซีวอนว่าตัวเองมีธุระต้องสะสางต่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้มีเวลาตั้งตัวมากกว่านี้
มันคงต้องให้เวลากับตัวเองมากกว่านี้ ...คยูฮยอนรู้สึกว่าตัวเองถูกจู่โจมอีกทั้งยังไม่ได้ตั้งตัว ก็เลยทำให้การแค่จะยิ้มในตอนนั้นเขายังคิดไม่ได้เลย อย่าถึงขั้นให้ต้องมีคำพูดอะไรเอื้อนเอ่ยออกไปเลย ...เรื่องนั้นมันหนักหนาเกินความสามารถมากจริงๆ
แต่ก็สาบานได้ ว่าอย่าให้เจอกันคราวหน้า
เพราะเขารับรองได้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้นอีกแล้ว
การทำตัวซื่อบื้อๆแบบวันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาอีก โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ต้องเกิดร่วมกับคนที่ทำให้หัวใจเขาเต้นผิดปกติได้อย่างคิมจุนมยอน
คยูฮยอนยังไม่ค่อยแน่ใจในความรู้สึกตัวเอง ...แต่ก็รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง
ทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้คนคนนี้อยู่ในสายตาได้ตลอดเวลานับต่อจากนี้เป็นต้นไป
ซีวอนยังคงอยู่กับความสงสัยตั้งแต่ทีแรกเรื่อยๆมาจนถึงตอนที่กลับเข้ามาในห้องพักห้องเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่ตอนสมัยเรียน ชายหนุ่มยังคอยมองดูพิรุธที่ยังคงแผ่กระจายออกมาจากตัวของน้องชายเขา และมันก็ทำให้เขาคิดไปว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่ตรงกับสิ่งที่จุนมยอนได้บอกกับเขาไปก่อนหน้านี้แหงๆ
“จุนมยอน” หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่ประกอบอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ
ดูดิ่ ...นี่แค่เรียกก็สะดุ้งขนาดนี้นี่นะ
“หมอนั่นมันมาจีบเหรอ?” พยายามมองตาเค้นคำตอบ แล้วเขาก็ได้คำตอบที่เป็นประโยคพูดกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ม...ไม่ ...มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ ไม่ใช่เลย...”
“เหรอ?”
“ค...ครับ” หือ ...รับคำตะกุกตะกักขนาดนี้เนี่ยนะ
“แต่ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนเพื่อนกันธรรมดาเลยล่ะ” ซีวอนกำลังใช้ความคิด “แล้วเป็นไปได้มั้ยว่าเราไปจีบเขาก่อนน่ะ” ถึงตรงนี้ บางทีเขาก็แค่นึกอยากจะแกล้งน้องเล่น จุนมยอนคงจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างถึงที่สุดในตอนที่โดนทักอย่างนี้
และมันก็จริง ...และท่าทางแบบนี้ก็เป็นอะไรที่น่ารักน่าชังสุดๆเลยล่ะ
“พูดอะไรบ้าๆ พี่ก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง” ซีวอนถึงกับหลุดหัวเราะ
“โทรถามแบคฮยอนดีกว่าถ้างั้น” ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจ เมื่อมันสนุกเขาจึงแกล้งน้องต่อซ้ำๆ
“อย่า” เสียงห้ามห้วนของจุนมยอนทำให้ซีวอนถึงกับยกคิ้วข้างหนึ่งถาม พี่ชายกำลังใช้สายตาบอกไปตรงๆว่าพบพิรุธมากมาย
คนตัวเล็กคิดหนัก ก้มใบหน้าลงปิดเปลือกตาแน่นพลางส่ายศีรษะ เขาจะสามารถปิดบังพี่ซีวอนได้มั้ย และถ้าได้มันจะนานเท่าไรกัน กระนั้นความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะปิดบังหรอก แต่ก็ไม่รู้จะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง คริสเป็นอะไรกับเขางั้นเหรอ...? ทว่าเรื่องนั้นไม่เท่าไร แต่ถ้าพี่ซีวอนรู้ว่าเขาเสียจูบแรกไปแล้ว แถมยังเสียไปแบบไม่น่าเสียอีก จะเป็นยังไง...
นี่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะจินตนาการถึงเลยด้วยซ้ำ
ถ้าพี่ซีวอนรู้จุนมยอนก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า ...ว่าคนที่ตายจะเป็นเขาหรือว่าคริส
“พี่ชอบเขามั้ย?” อยู่ๆก็โพลงถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซีวอนหรี่ดวงตามองหน้าน้องชายตนที่เอ่ยถามคำถามแปลกๆออกมา
“ถามทำไม?” สองคิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน ซีวอนกำลังคิดว่าคำตอบคงไม่เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเขาเท่าไรแล้วล่ะมั้ง
“ป...เปล่า” หลบตาเลย ท่าทีที่ซีวอนเพิ่งจะแสดงออกมาทำให้จุนมยอนนึกเกรงจนไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งที่ตัวเองนึกอยู่ในใจได้ต่อไป
“ความจริงก็รู้สึกทั่วๆไปอ่ะนะ”
“พี่ไม่ได้ไม่ชอบเขาใช่มั้ย?”
“อือ” ซีวอนรับคำนิ่ง
ถึงตรงนี้จุนมยอนก็สูดลมหายใจเข้าไป เม้มริมฝีปากปิดตาแน่นก่อนจะตัดสินใจลืมขึ้นอีกครั้งและมองไปที่พี่ชายตัวเองด้วยความรู้สึกขลาดๆ
“แต่ผมชอบเขา”
ชอบ...
และชอบมาตลอด...
ไม่มีใครเคยทำให้เขารู้สึกได้แบบนี้...
ก็ได้แต่หวังว่าพี่ซีวอนจะเข้าใจ ...
เพราะรายนี้คือคนที่เขาชอบ ...ไม่ได้ชอบเขาเหมือนอย่างที่เคยมีมา
TBC…
------------------------
คยูมาทำไม? นี่ตอน 8 ละ เรื่องยังไม่เดินไปไหนไกลเลย ฮา
ขอโทษค่า หายไปซะนานเลย ฮี่ๆ
ไม่มีอะไรจะบอกเกี่ยวกับตอนนี้ ดูมึนๆงงๆเนอะ แฮ่ๆ
ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า~
ความคิดเห็น