คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 6
CHAPTER 6
แบคฮยอนสำรวจใบหน้าของเขาตั้งแต่ตอนมาถึง มือเล็กๆข้างนั้นจับเข้าที่คางพลางบิดไปมาเชิดใบหน้าขึ้นลงอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ๆ จุนมยอนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน้าตัวเอง เพราะวันนี้เขาตื่นสายที่สุดในประวัติศาสตร์ พอตื่นมาก็รีบสุดชีวิตล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบออกมาโดยที่ไม่ได้สำรวจตัวเองหน้ากระจกอย่างเคยๆ
กระนั้นคำว่าสายสำหรับจุนมยอนก็ค่อนข้างแตกต่างจากของคนอื่น เห็นรีบร้อนมีท่าทางลนลานขนาดนั้นก็ยังมาทันก่อนเวลานัดกว่าสิบนาที ผิดกันกับแบคฮยอนที่วันนี้ดันมาเร็วกว่าปกติแต่ก็ยังเลยเวลานัดมากว่าสิบกว่านาทีเช่นกัน โดยสรุปแล้วจุนมยอนก็มาเร็วกว่าแบคฮยอนอยู่ดี
“อะไรของนายเนี่ยเบค่อน”
เห็นท่าทางหงิ๋มๆหัวอ่อนยอมคนอย่างนี้ก็หงุดหงิดรำคาญใจเป็นเหมือนกันนะ ...ตอนนี้ใบหน้าหวานก็เลยเริ่มจะหงิกงอขึ้นมาบ้างแล้ว
“อดนอนเหรอ?” แบคฮยอนถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่มันกลับทำให้จุนมยอนตาเบิกโตขึ้นและสะอึก ก็จะไม่ให้รู้สึกว่าจุกคับอกได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคำถามที่แบคฮยอนยิงมาเป็นอะไรที่ถูกจุดพอดี
นอนไม่หลับ ...อาจจะจำกัดความอาการของเขาในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาได้ดี เขามีความสุขมากยิ้มเหมือนคนบ้าดิ้นพล่านอยู่บนเตียง ลืมปิดไฟปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะค่อนคืน กระนั้นพอในตอนที่นึกได้แล้วปิดไฟหมายจะนอนให้หลับจริงๆอาการเดิมๆนั้นก็วนซ้ำกลับมาอีก
มันคงเป็นอาการของคนมีความรัก จุนมยอนเคยอ่านเจอในนิยาย ต่อเมื่อมาประสบด้วยตัวเองเขาถึงได้รู้ ในยามอ่านอารมณ์ที่เคลิ้มไหวย่อมทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกของตัวละครได้ส่วนหนึ่ง เมื่อเจอเข้ากับตัวเองเมื่อคืนเขาถึงได้รู้ว่ามันต่างกันลิบลับ ก็ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาคือการบวกเข้าไปจากเดิมที่เคยรู้สึกกว่าสิบกว่าเท่าร้อย
ยังจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ดูนาฬิกาคือตีสี่เกือบครึ่งเข้าไปแล้ว นั่นเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปตอนไหนมารู้สึกตัวอีกทีก็เจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว
“ข้างห้องกวนหรือไง?” คำถามนี้ของพยอนแบคฮยอนเล่นเอาคนหน้าขาวซีดเซียวดวงตาละห้อยใต้ขอบตาดำคล้ำอันเนื่องมาจากนอนไม่พอ เกิดสีเลือดซับขึ้นมาทันที
จากคนที่กำลังงัวเงียงุ่นงงอยู่ก็เลยตื่นเต็มตาเลย...
และมันคงจะไม่เป็นอะไรหรอกนะถ้าแบคฮยอนไม่พยายามมองจ้องด้วยสายตาคาดคั้นชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ยอมลดละเลยสักนิด
เบค่อนน่า~
จุนมยอนกำลังครวญครางออดอ้อนในใจแต่รู้ว่ายังไงก็คงจะไม่เป็นผล เพราะแบคฮยอนไม่ใช่ไค ทำไปก็มีแต่จะเปล่าประโยชน์น่ะสิ
“เอ้อ ...แล้วไคล่ะ?”
“มันบอกเดี๋ยวตามไปที่คณะเลย ไม่รู้มีนัดกับใคร” ก็ได้แต่หวังว่าไคจะช่วยชีวิตเขาได้เหมือนคราวก่อนๆนะ แบคฮยอนคงจะสนใจตอบเรื่องไคและไม่น่าจะวกกลับมาถึงเรื่องที่คุยค้างกันไว้ก่อนหน้า
แต่ก็เปล่า ....
แบคฮยอนมักจะทำให้รู้ว่าบางทีไคก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย...
“อ้อ ...งั้นเราไปกันเลยมั้ย?”
“ยัง” แบคฮยอนยิ้มเย็นและมันก็เสียดปราดเข้ามาถึงกระดูกสันหลังของเขา จุนมยอนไม่มีทางรอดแน่ๆ อยู่ที่ว่าแบคฮยอนจะเชือดเขาช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง
“เล่ามาเมื่อคืนนายกับคนข้างห้องทำอะไรกัน”
ตอนนี้ใบหน้าขาวใสของคิมจุนมยอนก็เลยร้อนวูบวาบขึ้นมาชนิดเฉียบพลัน
“บ ...บ้า!” เหมือนเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติก็ไม่ปาน คำนี้โพยพุ่งออกจากไปโดยที่คนพูดก็ยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
ในวินาที่ที่ตระหนักและทบทวนดูจริงๆก็ไม่เห็นว่าจะมีคำไหนเหมาะ ก็เรื่องนี้มันบ้าจริงๆนี่น่าจะว่าไปแล้ว
“หน้าไม่เหมือนคนอดนอนแล้วอ่ะ ผุดผ่องสดใสเจือสีขึ้นมาทันทีเลยอ้ะ” คราวนี้ไอ้เพื่อนตัวดีเอาตัวมาใกล้ไม่พอยังเอาไหล่มากระแซะไหล่จนร่างเขาเซไปเซมาจวนเจียนจะล้มอีก
“ไม่ต้องเลยเบค่อน”
เมื่อโดนล้ออีก จุนมยอนก็เลยลองงัดไม้แข็งขึ้นมาเสียเลย ใช่แล้ว ...เรื่องที่แบคฮยอนให้เบอร์เขาแก่คริสยังเป็นเรื่องที่ไม่ได้คิดบัญชีกันเลย แต่อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ...อย่างเขาเนี่ยจะใจแข็งแสร้งทำเป็นโกรธจงใจทำเป็นโมโหเพื่อนไปได้อีกสักกี่น้ำกันเชียว
“นาย ..น...นายน่ะ” กระนั้นมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่พูดได้อย่างยากลำบากมากอยู่ดี จุนมยอนพองลมในแก้มจนตุ่ยตูมปากบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย คิดหนักไม่ใช่เล่นถ้าจะต้องเป็นคนพูดประเด็นนี้ออกไปเอง
“นายให้เบอร์ฉันไปไม่มีปรึกษากันสักคำเลยนะ” เรื่องที่เขาพยายามขึ้นเสียง ซึ่งในความเป็นจริงก็ยังคงเป็นเสียงที่ง๊องแง๊งอยู่ดี ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวที่ทำให้พยอนแบคฮยอนสลดลงเลยสักนิด กลับกัน หมาน้อยจอมกวนยิ่งยิ้มกว้างส่งเสียงวี้ดวิ้วล้อเลียนในความรู้สึกเขาดังขึ้นมาแบบไม่หยุดหย่อนอีก
ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด …เพราะอย่างนี้ไงจุนมยอนถึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะ
“เบค่อนน่า ...ทำผิดแล้วยัง...”
“แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับโทรศัพท์ล่ะสิ ...เขาโทรมา?” แววตากลมบ็อกฉายแววอยากรู้อยากเห็นเสียสนิท สองคิ้วเลิกขึ้นจนจุนมยอนอดไม่ได้เลยที่จะเขี้ยงค้อนเข้าให้
“เปล่า...”
“อ๊าว” ใบหน้าส่อแสดงออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“ข...ข้อความ ก็แค่ข้อความเท่านั้นน่ะ” จุนมยอนเล่าไม่หมด เพราะคริสเป็นคนบอกกับตัวเขาเองว่าจะโทรมาหา แต่หลังจากที่เขาพิมพ์ตอบชื่อตัวเองกลับไปด้วยมือตัวเอง จุนมยอนก็รีบปิดเครี่องมือสื่อสารหนีไปเลยเสียอย่างนั้น ทีนี้ก็เลยไม่รู้เลยว่าคริสโทรมาหรือเปล่า แต่ถ้าเปิดเอาไว้เขาก็คงได้รอผลลัพธ์ว่าฝ่ายนั้นจะโทรมาหรือไม่ทั้งคืน นี่ขนาดว่าตัดปัญหาทิ้งไปแล้วก็ยังนอนไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง
“แน่ะ ...เอามาอ่านบ้างสิ” ไม่พูดเปล่าแบคฮยอนยังทำเป็นมือยาวมาคว้าเป้บนหลังของเขาอีก
“ม่ายยย” จุนมยอนปฏิเสธเสียงยาว บ้าเหรอ? ให้ดูได้ยังไง เขินตายเลย แค่บอกแค่นี้ก็อยากจะเอาหัวซุกเป้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ
“ขอเพื่อนดูหน่อยนะ จะได้ช่วยนายคิดได้ไงว่าควรทำยังไงต่อไปดี”
ไม่ ...จุนมยอนไม่หลงกลง่ายๆหรอก ถึงขั้นนี้แล้ว ...เขารู้แล้วว่าแบคฮยอนไม่เคยช่วยเขาได้จริงๆ มีแต่จะซ้ำเติม หมอนั่นคงไม่เคยมีความรู้สึกว่าชอบใครจริงๆสินะ ถึงไม่รู้เลยว่ามันอันตรายแค่ไหนในยามที่คนที่เราแอบชอบเริ่มเห็นเราปรากฏขึ้นในสายตาบ้างแล้ว
ไม่ต้องหรอก แค่เมื่อก่อนคริสทะเล่อทะล่ามาโผล่อยู่ตรงหน้าเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวจุนมยอนก็แทบจะยืนไม่อยู่ แล้วคิดดู ...ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นแล้วนี่นา
คริสเริ่มต้นคุยกับเขา พูดจาด้วยประโยคดีๆ และไม่ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจะเป็นอะไร ทว่าสำหรับคนที่หวั่นไหวไปแล้ว เอาใจไปฝักใฝ่ไว้ที่เขาหมดแล้วแบบนี้จะไม่ตายจริงๆเข้าสักวันหรอกเหรอ
จุนมยอนจะอยู่ไหวไปอีกได้นานสักเท่าไร เขาชอบคริสมากก็จริง แต่ก็ไม่เคยคาดหวัง ที่ผ่านมาเขามีความสุขเพียงแค่เห็นคริสเดินอยู่บนพื้นดินไม่ว่าจะตรงไหนที่เขาเคยเห็นก็ตาม คนหน้าหวานคิดอยู่แค่นั้น เขาไม่เคยแม้จะจินตนาการว่าถ้าเกิดวันนึง เขาเกิดเห็นคริสไม่ได้เดินเพียงลำพังแต่มีใครเดินคู่เคียงข้างมาด้วยเขาจะรู้สึกอย่างไร
ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพราะความรู้สึกของเขามันไม่ได้เป็นเรื่องที่คาดหวัง ไม่ว่าคริสจะหันมาเห็นเขาหรือว่ามีคนอื่นอยู่ในสายตานั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร จุนมยอนแค่ขอให้เขามองเห็นคริสอยู่ในสายตาทุกๆวันแค่นั้นก็เกินพอแล้ว
“นิดนึงก็ไม่ได้เหรอ?” แบคฮยอนเริ่มทำเสียงอ้อน ในตอนที่เห็นว่าเขาไม่ได้ขัดขืนกลายเป็นยืนนิ่งๆประกอบไปด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง ใบหน้าเรียบตึงไร้แววเสแสร้งแสดง
จุนมยอนไม่ได้พูดอะไรและแบคฮยอนก็เข้าใจจากหลักฐานบนใบหน้าทั้งหมดว่าคงไม่สะดวก
“ก็ได้ๆ”
พยอนแบคฮยอนยอมจำนน(แต่ก็แค่ตอนนี้) รอบนี้มือเล็กยื่นออกมาคว้ามือขาวข้างหนึ่งของเพื่อนเอาไว้พร้อมพาเดินไปด้วยกัน
“โทรถามไคหน่อยมั้ยว่าหมอนั่นจะไปกี่โมง?” เปลี่ยนเรื่องเร็วทันใจ ทีเมื่อกี้ยังบอกแบบไม่ใส่ใจอยู่เลย ที่อย่างนี้ให้รีบโทรไปหาเลยนะ
“ไหนว่าเดี๋ยวก็ตามไปเองไงล่ะ” จุนมยอนที่เดินตามไปต้อยๆค้านขึ้นมาเบาๆ
“อ้อ ...จริงด้วย ลืม” เจ้าตัวทำเป็นแสร้งหัวเราะแหะๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วจุนมยอนรู้อยู่แล้วหรอกว่าแบคฮยอนไม่ได้ลืม ที่ทำก็เพียงแค่สร้างสถานการณ์ใหม่ขึ้นมาในตอนที่ที่เขาดูมีแววจริงจังในเรื่องเล่นๆตามความคิดของแบคฮยอน
แต่สำหรับจุนมยอนแล้วมันไม่ใช่ …เรื่องคริสเป็นเรื่องที่จริงมากเรื่องหนึ่งในชีวิตของเขา
“ปกตินายก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วนี่ว่าไคจะไปจะมาเมื่อไร”
“น่า ...เพื่อนกันเนอะ ไม่สนใจได้ไง”
“อ่า”
หลังจากนั้นก็แทบจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีกหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป จุนมยอนยอมให้แบคฮยอนจูงมือให้เดินตามไปเรื่อยๆ จนไปถึงใต้ตึกใหญ่ของคณะ บรรยากาศระหว่างพวกเขามันมาดีขึ้นเรื่อยๆหลังจากพวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยความเป็นธรรมชาติ จนในตอนสุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็ลืมกันไปเลยว่ามีเรื่องติดใจอะไรกันอยู่
วันนี้วันหยุด แต่ก็ถูกนัดให้มาชุมนุมกันตั้งแต่เช้า เก้าโมงสำหรับเด็กในวัยมหาวิทยาลัยนี่คงนับได้ว่าเช้ามาก แต่ว่ามันถือเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งชั้นปี วันนี้ที่นี่ก็เลยจอกแจกจอวุ่นวายอะไรไม่แตกต่างกับวันปกติที่มีเรียนเลย
ละครมนุษย์เป็นงานใหญ่ที่นักศึกษาปีสามต้องร่วมกันรับผิดชอบ เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเนิ่นนาน พอถึงคิวก็เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้
ประธานรุ่นเป็นคนนัดพวกเขามารวมตัวกันวันนี้ จุนมยอนกวาดสายตาไปทั่วหลังจากได้ที่นั่งแล้วก็นึกโล่งใจที่ไม่มีคนจีนตัวสูงนั่นมาปรากฏอยู่ที่นี่ ส่วนตัว ...เขาก็ไม่คิดว่าคริสจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้ เพราะนักศึกษาแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้ถูกกำหนดในหลักสูตรว่าต้องเข้มงวดกับกิจกรรมเท่าพวกเขาเท่าไร และที่ผ่านมาเท่าที่มีแวะเวียนผลัดเปลี่ยนมาคนพวกนั้นก็มักไม่ได้วุ่นวายสุงสิงมากมายนัก
มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังไม่วายจะกวาดตาหาอยู่ดีนั่นแหละ
บ้าจริงเลย ...จุนมยอนอ่า
“นี่พวกเรามารวมตัวกันตรงนี้ก่อน” เขาจำเสียงทรงพลังนั้นได้ดี รูปร่างก็พอๆกันกับเขาแต่จงแดมีพลังเสียงที่ไม่ได้เล็กลงตามตัวเลย
ไม่ผิดหรอก ...คิมจงแดคนนี้นี่แหละที่เป็นประธานรุ่น
ในตอนที่ได้ยินเสียงนั้นทุกคนก็ค่อยๆขยับตัวตามไปนั่งยังโต๊ะที่ใกล้ๆกับที่ประธานรุ่นยืนอยู่ ช้าบ้างเร็วบ้างก็ไม่มีใครเร่งกัน ด้วยมิตรภามพวกเขาจึงพูดคุยกันอย่างถ้อย ทีถ้อยอาศัยไม่ได้บังคับขู่เข็ญเฉกเช่นรุ่นพี่เรียกแถวในตอนสมัยที่พวกเขาอยู่ปีหนึ่ง
“ที่เรียกมาคุยกันวันนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าเรื่องอะไร” ไม่มีใครตอบอะไร และจงแดก็สรุปในใจโดยเสร็จสรรพว่าทุกคนทราบโดยตรงกัน
“คือจริงๆก็คุยกันมาสักระยะแล้วล่ะเนอะ แล้วที่เรียกมาประชุมกันวันนี้ก็เพื่อที่จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าเราสรุปแล้วว่าจะแสดงในเรื่องอะไร แล้วก็จะได้แบ่งหน้าที่กันไปเลยให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ เพราะในช่วงระยะเวลาสองเดือนเศษๆที่เหลือนี่เราก็ไม่ได้มีแค่งานนี้งานเดียวที่ต้องทำ” จงแดยิ้มน้อยๆให้แก่คนข้างๆแล้วจึงเริ่มร่ายต่อ
“คือจริงๆแล้วเรื่องนี้พี่มินซอกเขาเขียนบทไว้ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ผมลองอ่านทั้งหมดดูทั้งหมดก็คิดว่าโอเค อีกอย่างเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเริ่มต้นคิดกันใหม่หมด”
ก็ว่าแล้ว ว่าทำไมรุ่นพี่มินซอกถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เริ่มแรกก็คิดแค่ว่าอาจจะมาให้กำลังใจจงแดแค่นั้น ที่แท้ก็มีบทบาทสำคัญในงานใหญ่ครั้งนี้นี่เอง แล้วก็ไม่มีใครขัดหรือว่าแย้งอะไรขึ้นมา ดีซะอีกได้พี่มินซอกคนที่ได้รับการยอมรับล้นหลามเมื่อปีที่แล้วกับพลอตเรื่องที่ยังคงเป็นเรื่องกล่าวขานจนมาถึงวันนี้มาช่วย จะยิ่งทำให้งานราบรื่น ส่งผลดีเสียขนาดนี้ใครๆก็ยินดีทั้งนั้น
“จะแจกเรื่องย่อให้ลองอ่านดูแล้วกัน แบ่งๆกันนะ” จงแดกับพี่มินซอกรวมถึงเพื่อนสนิทของหมอนั่นอีกสองสามคนช่วยกันเดินแจกกระดาษกันเสียให้ว่อน
“อ่านไปก่อนนะ”
จุนมยอนกับแบคฮยอนได้มาแค่แผ่นเดียว คนตัวขาวต้องชะโงกหน้าเข้าไปอ่านตัวอักษรเต็มพรืดเกือบหน้ากระดาษในมือของแบคฮยอน เขาไล่สายตาอ่านไปได้ไม่เท่าไรเสียงของจงแดก็ดังขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง
“โอเคกันมั้ย?” จุนมยอนที่ยังไม่ทันได้จับใจความอะไรหน้าเหรอหรา แต่ในขณะเดียวกันเขากลับพบว่าประชาชีพยักหน้ากันเป็นลูกคลื่นเชียว
“เห็นแล้วเนอะว่าตัวละครหลักมันมีใครบ้างและเราต้องเลือก ผมไม่อยากใช้สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจก็เลยยกให้ทุกคนช่วยกัน อยากให้ได้คนที่ทุกคนเลือกแล้วจริงๆว่าเหมาะ” คราวนี้ก็พยักหน้าตามกันเป็นลูกคลื่นกันอีกครั้ง
“โอเค ...งั้นเรามาเริ่มที่บทแรกเลยนะพระเอกเรื่องของเรา” มีเสียงดังโหวตชื่อเพื่อนตัวเองเพื่อแกล้งกันดังขึ้นมาเซ็งแซ่ ถึงตรงนี้แบคฮยอนก็อยากที่จะเอาบ้าง เขาเอาไหล่กระแซะจุนมยอนหลึ่งครั้งจนคนตัวเล็กหันมามองถามตาโต
“ไคเป็นไง?” หลังจากนั้นเจ้าคนพูดก็ปล่อยเสียงหัวเราะก๊าก อย่างไคนี่นะให้ไปเป็นลูกสมุนของตัวร้ายเห็นจะเหมาะกว่าเป็นไหนๆ
“ลองเสนอดูดิ” พูดไปขนาดนี้แบคฮยอนก็ยังคงหัวเราะไม่หยุดหย่อนเสียที ร่างบางหัวเราะจนท้องขัดท้องแข้งไปหมดตอนนึกภาพไคเป็นพระเอก อาการพวกนั้นดำเนินไปสักพักจนแบคฮยอนได้ยินชื่อนึงลอยเข้ามากระทบโสตประสาท
“ชานยอลล่ะ ชานยอลไปไหน?”
“เออ ...ใช่ๆ ปาร์คชานยอล” แบคฮยอนหันขวับไปหาบรรดาหลากหลายเสียงที่ได้ยินตาขวาง ให้ตาย ...นี่ขนาดตัวไม่มาชื่อก็ยังตามมาให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจได้อยู่ดี
“จงแด ...ฉันว่าปาร์คชานยอลน่ะเหมาะสุดๆ” มีเสียงเห็นด้วยดังกระหึ่มขึ้นมา มันขัดใจแบคฮยอนจนหน้างี้เป็นตูดไปแล้ว
“เฮอะ!”
แล้วจุนมยอนก็จับอาการต่างๆได้ “ทำไม ...อยากเป็นเหรอพระเอกน่ะ เดี๋ยวฉันเสนอชื่อนายให้เอามั้ย?”
“ไม่ต้อง!” แบคฮยอนหันไปตวาดเพื่อนหน้าขาวอย่างไร้เหตุผล
แบคฮยอนพยายามทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ได้ยินทั้งหมดอยู่ดีตั้งแต่ตอนที่จงแดขอความคิดเห็นว่าใครเห็นสมควรตามนั้นบ้าง แล้วทุกคนก็ยกมือกันพรึบพรับนี่อาจจะเว้นเขาไว้คนเดียวก็ได้มั้ง จนถึงตอนสรุปแล้วชานยอลก็ได้รับมติว่าให้รับบทนั้นไปโดยปริยายทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดยังไม่ครบวันดีเลยแท้ๆ
หมั่นไส้ว่ะ ...
หมั่นไส้...
หมาน้อยไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ตอนนั้น บทนางเอกแม้จะถูกยกให้คนที่เขาปลาบปลื้มมาโดยตลอดอย่างซอลลี่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกระดี๊กระด๊าปรีเปรมใจขึ้นมาเลย
“บทนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะ เป็นบทที่นางเอกถูกสาปให้เป็นผู้ชายอาจจะเด่นกว่านางเอกอย่างซอลลี่จริงๆด้วยซ้ำ” คราวนี้เป็นพี่มินซอกที่พูดขึ้นมาอย่างติดตลก ในตอนนั้นเองจุนมยอนก็รีบคว้าเรื่องย่อที่แบคฮยอนกำซะยู่ยี่ส่วนหนึ่งมาถือไว้ ดวงตากลมไล่อ่านทันทีด้วยความรวดเร็วอย่างสนใจ
“ใครดีเอ่ย?”
เงียบ ...ทุกคนต่างมองไปมองมาอย่างครุ่นคิด แต่แล้วหนึ่งคนที่ไม่ค่อยมีความคิดเห็นในการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมาก็โพลงขึ้นมา
“แบคฮยอน”
พยอนแบคฮยอนเบิกตากว้างที่สุดในชีวิต นึกอยากจะปฏิเสธแต่มันก็ไม่มีสิ่งไหนผลักดันให้เสียงออกมาจากริมฝีปากของเขา นอกจากหัวใจที่เต้นระรัวแล้วแบคฮยอนก็พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
“คิมจุนมยอน” กว่าจะเอ่ยชื่อตัวต้นเหตุด้วยน้ำเสียงราวกับคาดโทษได้ ก็หลังที่ทุกคนมองมาเขาเหมาะกับบทนี้ไปแล้ว
“แบคฮยอนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่!!” เขาปฏิเสธเสียงดังแล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปทันที จุนมยอนคาดไม่ถึงกับท่าทีของเพื่อน คนตัวเล็กรีบลุกตามก้มหัวให้ทุกคน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าการเสนอชื่อแบคฮยอนเป็นเรื่องที่ไม่สมควรหรอกนะ
“แบคฮยอนแค่กำลังจะบอกว่าไม่มีปัญหาน่ะ ตามนี้เลยนะจงแด” เขาก้มหัวให้เพื่อนร่วมรุ่นก่อนจะหันไปโค้งให้รุ่นพี่มินซอกแล้วเดินตามเพื่อนตัวเองไป
“เบค่อน!” ในขณะที่วิ่งตามไปเขาก็ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายไปด้วย
“เบค่อนน่า”
“เบค่อนนนนนนน”
แบคฮยอนเองก็คงเหนื่อยถึงได้เริ่มเปลี่ยนจากการวิ่งเป็นเดินเร็วแทน ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นจุนมยอยก็ยังวิ่งตามอยู่ไม่นานนักมันก็เลยทัน จนสามารถคว้าแขนคนที่เดินดุ่ยๆนำหน้าได้
“แบคฮยอนอ่า”
“นายก็รู้ว่าฉันเกลียดหมอนั่นเข้าไส้” พยอนแบคฮยอนใส่กลับมาด้วยอารมณ์ล้วนๆ
“แต่ฉันอ่านไปนิดเดียว ฉันก็รู้แล้วว่ามันเหมาะกับนาย” จุนมยอนพยายามพูดด้วยเหตุผล ที่พูดไปก็แค่ส่วนหนึ่งแต่ความเป็นจริงแล้วเขาแค่อยากเห็นสองคนนี้รักกัน จุนมยอนไม่อยากจะจินตนาการถึงเขายังนึกภาพไม่ออกจริงๆ ขอแค่เห็นบทบาทในตัวละครก็ยังดี
“แก้แค้นหรือเปล่า? เพราะว่าฉันทำให้นายได้ใกล้ชิดกับคริสอย่างนั้นเหรอนายถึงทำกับฉันแบบนี้” จุนมยอนคาดไม่ถึงในสิ่งที่แบคฮยอนพูด ไม่อยากจะเชื่อว่าในหัวของแบคฮยอนมีเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนกันนะ ทำไมถึงได้คิดแบบนี้
“แก้แค้นงั้นเหรอ? งั้นนายก็ชอบชานยอลเหมือนอย่างที่ฉันชอบคริสงั้นสิ”
“ไม่!!!” แบคฮยอนได้พ่นคำนั้น
“งั้นขอร้องอย่าพูดแบบนี้ ...นายคิดได้ยังไงว่าฉันคิดอยากจะแก้แค้น ฉันเป็นยังไงนายจะบอกว่านายไม่รู้ได้อย่างนั้นเหรอ?” ประโยคนี้ทำให้แบคฮยอนสะอึกและถึงกับฉุกคิด ชั่วขณะเด็กหนุ่มก็มีความรู้สึกผิดตีขึ้นมาจริงๆ
“จุนมยอน” แบคฮยอนอ่อนลงมาก เขาใช้อารมณ์ไปมากกว่าเหตุผลจนเผลอทำร้ายความรู้สึกเพื่อนไปแล้วจริงๆ
พยอนแบคฮยอนมีท่าทีลังเลเหมือนกับกำลังรู้สึกว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีกับเรื่องนี้ แต่แล้วก็ตัดสินใจค่อยๆขยับปากเผยมันออกไป
“แต่ว่ามันมีฉากที่ต้องจ..จูบ” ถ้าตั้งใจมองดีๆก็จะพบว่ามีริ้วแดงๆแต้มขึ้นมาที่ข้างแก้มด้วยล่ะ
“ไม่ชอบใช่มั้ย ...? กัดปากเลยเป็นไงล่ะ”
“ย่าห์ ฉันว่าฉันไม่เล่นเลยง่ายกว่า”
“คงยากเพราะว่าเขาสรุปไปแล้ว มองๆดูก็ไม่เห็นว่าจะมีใครน่ารักเท่านายอีกแล้วด้วย” ได้ทีก็อวยกันซะเลย
“หล่อเหอะ”
“หล่อก็หล่อ” จุนมยอนถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว “นี่ ...ก็ใช้มันเป็นช่องทางซะ บทนี้นายต้องเด่นกว่าชานยอลแน่ๆ เล่นให้ดีทำให้เป็นที่จดจำ ดังชัวร์เชื่อฉัน”
“อะไรเล่าก็บอกว่าไม่ได้อิจฉาที่หมอนั่นดังซะหน่อย”
“รู้แล้วน่า~ มันก็เพื่อตัวนายทั้งนั้นแหละเบค่อนน่า เล่นๆไปเหอะ”
“โอ๊ยยย คิดดูก่อนนะ ได้มั้ย?”
“อ่าๆ”
ทะเลาะกันชนิดที่เรียกได้ว่าตดยังไม่ทันหายเหม็นก็กลับมาหยอกล้อกันใหม่เสียแล้ว
เนี่ยแหละความสัมพันธ์ของจุนมยอนกับแบคฮยอน
จุนมยอนกำลังนั่งคิดเรื่องของแบคฮยอนไปเรื่อยๆแล้วก็นึกขำ วันนี้เป็นวันหยุดอีกวันแล้วเขาก็เลยปลีกวิเวกมาอ่านหนังสือคนเดียว ความจริงก็ชวนเพื่อนสนิทสองคนนั่นมาด้วยแล้ว แต่แบคฮยอนมีนัดกับดอท ส่วนไคก็นัดกับใครก็ไม่รู้ ไคนี่ชักจะแปลกๆแล้วนะเมื่อวานก็ไม่ไปตอนเขานัดประชุมรุ่นกัน แล้วไหนยังจะกล้าปฏิเสธคำชวนอ่านหนังสือเขาของอีก
จุนมยอนนั่งเปิดหนังสือบนโต๊ะในมือกำดินสอกดจำสิ่งที่ควรจำใส่ไว้ในสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่มีไว้สำหรับทำโน๊ตย่ออีกที
สวนภายในมหา’ลัยที่ได้ร่มเงาของต้นไม้ปกคลุมทำให้ค่อนข้างเป็นที่นิยมของนักศึกษา ทั้งโต๊ะไม้และโต๊ะหินอ่อนถูกจัดเรียงรายอยู่ในสวนเดียวกันแบบกระจัดกระจายไม่ได้เนืองแน่นอะไรมากนัก แต่เพราะว่าเขามาคนเดียวในตอนนี้ก็เลยต้องแชร์โต๊ะร่วมกับคนอื่น
และเขาก็คงจะรู้สึกยินดีไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรเลยถ้าไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทา และจะไม่อะไรเลยถ้าเสียงแว้ดๆนั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
เหมือนจะชิน เพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาถูกคริสจูบก็กลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต บางเสียงก็ยินดีวงเล็บว่าบางเสียงจริงๆเพราะเสียงส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้หญิงไม่มีใครพูดถึงเขาในแง่ดีเลย
หน้าจืดบ้าง ผอมแห้งบ้าง ไม่น่ารักบ้าง บางเสียงถึงขั้นบอกว่านิสัยก็ไม่ดี อะไรกัน คนพวกนั้นรู้จักเขาหรือไงถึงได้ว่ากันเสียขนาดนั้น
เขาอาจจะผิดที่ดันไปชอบคนที่มีชื่อเลื่องลือในเรื่องความหล่อจนใครๆต่างหลงใหล แต่แล้วยังไงจุนมยอนก็ไม่ได้ไปโน้มคอคริสลงมาจูบซะหน่อยนี่ หมอนั่นต่างหากที่จู่ๆก็...
“จูบลงไปได้ยังไงกันดูสิ...”
“ดูสิ ...ฉันยังน่ารักกว่าเลยอ่ะ”
เกรงใจกันหน่อยได้หรือเปล่าล่ะ ...คิมจุนมยอนได้ยินในสิ่งที่พวกคุณพูดทุกอย่างนะ
กระนั้นก็เก่งได้แค่ในใจเท่านั้นแหละ คนอย่างเขาน่ะเหรอจะไปสู้รบต่อกรกับใครเขาได้ น้ำตามันจะไหลอยู่แล้วนี่ น้อยใจก็น้อยใจ ...ก็ทำไมล่ะ?
“น้องพี่ซีวอนน่ะ ...แต่เธอดูพี่ซีวอนนะรายนั้นเริ่ดจะตายฉันยังชอบแอบมองอยู่บ่อยๆเลย แล้วนี่อะไร...” เหยียดหยามสุดๆ จุนมยอนจะร้องไห้เพราะเสียงหัวเราะเย้ยหยันให้ได้เสียเลยจริงๆ
มือเล็กกำดินสอแน่นพยายามไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เขาเขียนสิ่งที่ควรจำลงในสมุดโน้ต ผ่านไปแค่นาทีกว่าๆข้อความภายในนั้นดันเป็นข้อความตอบโต้ยายผู้หญิงพวกนั้นไปได้
“เนอะๆ คริสเขาก็คงไม่คิดจะจริงจังอะไรหรอก ควงไปคงอายเขาจะแย่”
จุนมยอนเริ่มขีดลายเส้นมั่วๆลงบนเนื้อกระดาษ พยายามที่จะไม่สนใจชั่วขณะก็เหมือนจะลืมมันไปได้จริงๆ และมันก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่เขารู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ศีรษะของเขา
สัมผัสที่ยุ่มย่ามและถือวิสาสะทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาเลยนะ”
เฮดโฟนครอบลงมาบนหัวอย่างระมัดระวัง จุนมยอนตาค้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงของบทเพลงที่ส่งตรงมาจากเฮดโฟนที่คนตัวสูงเอามาครอบหูผ่านตรงเข้าสู่โสตประสาทของเขา
หลังจากนั้นจุนมยอนก็ไม่ได้ยินเสียงนินทาต่อหน้าพวกนั้นอีกเลย
เสียงที่สะท้อนก้องในหูและกำลังลามไปถึงหัวใจมีแต่คำว่า ‘รัก’
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนตรงหน้าหรือเพลงที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้ ....
เพลงรัก หรือ แค่เพราะว่าเขารัก ...
สุดท้ายเสียงหวานก็ดันพึมพำชื่อนั้นออกไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน...
“ค...คริส”
TBC…
-------------
ตัวเล็กกับตัวโตโผล่มาเพียงนิด... 555555
ตอนหน้าน่าจะมาเต็มแล้ว บอกอย่างนี้อีกแล้ว 555555
ความคิดเห็น