คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 4
CHAPTER 4
หลังจากภาพของคริสกับผู้ชายหน้าจืดๆคนหนึ่งจูบกันต่อหน้า ลู่ฮานก็เอาแต่ยืนนิ่งงันก่อนจะส่ายหัวพรืดๆให้กับภาพที่เห็น กว่าจะค้นพบว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้อะไรมันกระจ่างแก่ใจจะได้รู้ว่าควรปักใจเชื่อกับภาพที่เห็นหรือไม่ ...
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็สลายโต๋กันหมดแล้ว...
บ้าจริง... ภาพของคริสจูบกับคนอื่นต่อหน้าทำให้สติหายจิตหลุดลอยได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?
กระนั้นแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่กับคริส ไม่ได้เห็นคริสอยู่ในสายตาแล้ว ทว่าสำหรับลู่ฮานผู้ที่มีความพยายามสูงลิบลิ่วในการเสาะแสวงหาคริส ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อยถ้าเขาต้องการอยากจะพบคริสจริงๆ
เพราะคนอย่างเสี่ยวลู่ฮานอ่ะนะไม่มีทางทำอะไรโดยไม่รอบคอบหรอก ...เขาน่ะวางแผนรวมทั้งเก็บเกี่ยวข้อมูลสำคัญต่างๆของอู๋อี้ฟานตั้งแต่ตัวเองยังสถิตย์อยู่ที่จีนแล้ว
และตอนนี้ก็ยังรู้ที่กบดานของหมอนั่นด้วย!
ปัญหามีอยู่เพียงเรื่องเดียวคือการสื่อสาร เพราะกว่าจะถามคนเกาหลีรู้เรื่องว่าเขาจะไปที่นี่ยังก็เล่นเอาฟ้าแทบมืดแน่ะ เป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่ ...สงสัยต่อไปนี้ลู่ฮานควรจะต้องหาหนังสือคู่มือการสนทนาภาษาเกาหลีติดกายไว้ซักเล่มล่ะมั้ง
หรือไม่อย่างนั้นก็คงต้องไปหาที่เรียนจริงจัง
แต่เอาล่ะ ...ยังไงวันนี้เขาก็ยังอุตส่าห์ดิ้นรนจนมาหาคริสถึงหอพักได้ ...เรื่องพวกนั้นเอาไว้วันหลังเถอะ!
จากหมายเลขห้องในมือ ตัวเลขสี่ตัวไม่ใช่สิ่งที่ลู่ฮานจะต้องจดให้รกสมองภายในเวลาอันรวดเร็ว สองตาจึงลอบมองลงไปที่กระดาษที่จดหมายเลขไว้แล้วก็ไล่มองไปตามตัวเลขสี่ตัวที่ติดหราอยู่หน้าประตูห้องที่เรียงราย
ทีนี้พอไล่มองแต่ในระดับสายตา เท้าก็ดันเผลอไปเตะอะไรเข้าบางอย่าง
“โอ๊ะ!” หลังจากถอยเท้าออกมาแล้วก้มลงมองข้างล่าง ลู่ฮานถึงเลิกคิ้วขึ้นทันทีราวกับเกิดคำถามขึ้นภายในใจ
ก็ก่อนที่จะก้มหน้าลงมอง ตัวเลขล่าสุดที่เขาเห็นหราบนบานประตูที่เพิ่งผ่านมาคือลำดับน้อยกว่าตัวเลขที่เขามีในมือเพียงหนึ่งลำดับ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะก็ ...ห้องนี้ที่มีตะกร้าบางอย่างวางอยู่ที่หน้าห้องก็น่าจะเป็นห้องคริสที่เขาตามหา
คราวนี้พอลองมองเพื่อยืนยัน ก็พบว่าตัวเลขที่บานประตูกับในกระดาษแผ่นจิ๋วที่เขาจดมาเป็นตัวเลขเดียวกัน ลู่ฮานอยากจะกระโดดตัวลอยให้ได้เลยตอนนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังสงสัยในสิ่งของที่อยู่ในตะกร้าไม้สานที่วางอยู่บนพื้นเจ้าตัวก็คงได้ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจจริงๆ
ว่าแต่ ...นั่นอะไร...?
ร่างบางย่อตัวลงจนกลายเป็นว่านั่งยองๆ ลู่ฮานเอียงคอมองตามด้วยความสงสัย ภาษาอังกฤษที่ปรากฏอยู่บนหน้าปกหนังสือเขาอ่านแล้วก็พอจับใจความได้แม้จะไม่แตกฉานห็เถอะ แต่ไอ้โพสอิทสีชมพูที่แล่บออกมาให้เห็นนี่มันยังไง...
ตัวหนังสือมันขยุกขยุยไม่สวยเอาเสียเลย กระนั้นพอจ้องใกล้ๆเขาก็รู้ได้โดยพลันว่ามันคือภาษาที่เขาอ่านออกเขียนได้รวมทั้งใช้พูดสื่อสารมาตั้งแต่แบเบาะ
แต่นั่นไม่ใช่ลายมือคริส
...ไม่ใช่แน่ๆ
มือบางยื่นออกไปหยิบมันขึ้นมา ...
คิ้วขมวดเข่นเข้าหากันเรื่อยๆ ลู่ฮานอ่านข้อความเหล่านั้นทวนในใจซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบก็ยังไม่เข้าใจ เขาก็เลยอ่านออกเสียงเผื่อมันจะช่วยให้เขาคิดอะไรออกได้มากขึ้น
“ไม่สนจูบห่วยๆของนายหรอกนะ! ถือว่า ...ทำทานให้แล้วกัน ...แล้วก็ไม่ต้อง ...มา มา...รับผิดชอบด้วยการ ...เป็นแฟนกัน ถ้าให้ได้เห็นหน้ากันตลอดฉันคงได้อ้วกแตกแน่ เพราะแค่นาย ....เอาปากมา...แตะปากฉันนั่นก็ขยะแขยงจะแย่อยู่...”
แล้ว...
“เฮ้ยยยย!” ในตอนที่อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจช้าๆเพื่อจับใจความและไม่ทันจบ ก็มีอีกมือพยายามเอื้อมมาคว้าโพสอิทที่เขากำลังอ่านอยู่
แต่ลู่ฮานก็เร็วพอที่จะยื้อมันเอาไว้รวมทั้งไม่มีทางให้ใครมาคว้าเอามันไปได้ง่ายๆหรอก กระนั้นโพสอิทรูปหัวใจสีชมพูดมันก็ดันแผ่นเล็กเกินไปกว่าที่มือของอีกฝ่ายจะคว้ารวมทั้งจับจุดได้ถูกต้องพอดี ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าอีกฝ่ายที่โผล่มาจากทางไหนก็ไม่รู้กุมมือของเขาเอาไว้ด้วยมือทั้งข้าง
“ปล่อย!!!” เสียงหวานตวาดกลับไปด้วยภาษาจีน
คนที่ผิวคล้ำกว่า ยิ่งในตอนที่มองลงไปที่มือที่กุมกันอยู่ก็เห็นได้ชัดว่าสีตัดกันจนแยกได้อย่างง่ายดายว่ามือใครเป็นมือใคร ตาโตมองฝ่ายลู่ฮานด้วยความตื่นตะลึง
“เอ๊ะ! ไอ้นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงกันห๊า!” ลู่ฮานคงลืมไปแล้วว่านี่ไม่ใช่บ้านเขา การที่จะโวยวายภาษาจีนออกไปไม่ใช่ว่าใครต่อใครจะฟังรู้เรื่องเสียหน่อย
แต่ ...ไม่ไหว....
เสี่ยวลู่ฮานไม่สนหรอก ...
ไม่สนหรอก!!
“บ้าเหรอ! แกแต๊ะอั๋งฉันใช่มั้ย! ไอ้โรคจิต! ไอ้โรคประสาท!” คนตัวเล็กดิ้นรน ในขณะที่ริมฝีปากก็ขยับโปรยปรายถ้อยคำสาดเสียเทเสียไม่หยุด
“มึงแม่งเชี่ย ไร้สามัญสำนึก ขยะสังคม คนจัญไร พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนหรือไงหา! ถึงเที่ยวมาจับมือชาวบ้านแบบนี้น่ะ แม่ง ฮืออออออออ ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ” เมื่อพบแต่ความเรียบนิ่งจากอีกคน ลู่ฮานก็นึกกริ่งเกรงขึ้นมา โวยวายไปก็กลัวว่ามันจะคิดทำอะไรรุนแรงเพื่อปิดปากขึ้นมา ในตอนที่ตระหนักได้แบบนั้นเสียงเล็กก็เลยครวญครางยาวออกมาด้วยความท้อแท้
“แงงง ไม่พูดอะไรกูเตะผ่าหมากนะ” ไอ้บ้านี่มันคนเกาหลี...และคนเกาหลีไม่มีทางฟังเขารู้เรื่องหรอก ว่าแล้วก็ง้างขาขึ้นมาเตรียมจะเตะ แต่ก็ต้องชะงักกึก ไม่พอเสียงที่โพลงดังออกมายังพาช็อคได้อีก
“หยุดและก็หุบปากซะ!”
ภาษาจีน ...ไอ้ดำนี่พูดภาษาจีนได้
หรือว่าความจริงแล้วหมอนี่คือคนจีนกันแน่นะ!
“ส่งโพสอิทในมือมานี่ ...แล้วฉันจะไม่ถือโทษโกรธเคืองคิดแค้นเรื่องที่นายด่าว่าฉันเสียหายเละเทะขนาดนั้น”
ลู่ฮานยืนนิ่งมองตาขวางพลางใช้ความคิด มันจะอะไรกันนักหนาล่ะห๊ะกะอีแค่โพสอิทที่มีข้อความแผ่นเดียวนี่อ่ะนะ เขาชักจะสนใจมันแล้วสิ กระนั้นก็มีเหตุผลอีกประการที่สำคัญไม่แพ้กันในกรณีที่เขาจะไม่ยอมคืนของสิ่งนี้ให้คู่กรณีนั่นก็เพราะว่าคนอย่างลู่ฮานไม่เคยชอบให้ใครมาออกคำสั่ง ผิดแล้วล่ะ ...ที่แสดงพฤติกรรมแบบนี้ใส่กัน เพราะลู่ฮานไม่มีทางยอมทำตามใจง่ายๆหรอก
เชิญกลับไปนอนฝันเอา ...ท่าจะง่ายกว่าละมัง
“ทำไมต้องเชื่อ ...ในเมื่อมันอยู่หน้าห้องของเพื่อนฉัน ฉันมีสิทธิ์!” ลู่ฮานยื่นมือข้างที่ว่างออกไปหยิกเข้าที่หลังมือของคนที่ยังกุมมือเขาอยู่
“ย่าห์! นี่มันเจ็บนะ!” เขาปล่อยมืออกมาสะบัดๆเพื่อไล่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
“เอ๊ะ! …ก็ทำให้เจ็บนี่”
“ส่งมานี่!” คนเขียนข้อความยื่นมือไปคว้า คราวนี้ได้เนื้อกระดาษติดมือมาด้วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมต่างคนต่างยื้อกันไปมาด้วยสองมือ และในสุดท้ายมันก็...
แคว่ก
“อ๋า...” ลู่ฮานมองโพสอิทส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือ ขณะเดียวกันก็ยื่นมืออกไปฟาดคนที่อยู่ตรงข้ามกันไม่ยั้ง
“มันขาดเลยเห็นมั้ยอ่ะ”
“เพราะนายนั่นแหละ เสียเรื่องหมด” ชายหนุ่มคนที่ผิวเข้มกว่ายกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะอย่างหัวเสีย
ไคเซ็ง ...เพราะหลังจากที่จุนมยอนมอบหมายให้เขาเขียนข้อความบางอย่างเพื่อบอกกับคริส เขาก็พบหนทางที่จะทำให้สองคนนั้นผิดใจกันได้ในทันที ทั้งยังเป็นคนอาสาที่จะเอามันมาวางไว้หน้าห้องของคริสเอง หลังจากส่งให้แบคฮยอนกลับบ้านไปแล้วเขาก็ย้อนกลับมาดูผลลัพธ์
แต่มันกลับเป็นไปตามอย่างที่เห็น...
“เสียเรื่องอะไร! ฉันทำเสียเรื่องอะไรไม่ทราบ!”
ไคก้มลงมองส่วนหนึ่งของโพสอิทในมือแล้วก็นึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เดี๋ยวนะ” ดวงตาคมหรี่มองอีกคนด้วยความคลางแคลงใจ “เมื่อกี๊ ฉันได้ยินนายบอกว่านายเป็นเพื่อนกับคริสงั้นเหรอ?”
“มีไร” เชิดหน้าถาม แต่พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไป ลู่ฮานก็นึกคันปากอยากพูดบางอย่างขึ้นมาเสียนี่
“ความจริง ถ้าจะเรียกว่าคนรักก็คงจะไม่ผิดนักหรอก” คราวนี้เป็นไคที่หูตั้งขึ้นมาทันที
คนรักงั้นเหรอ...?
ทั้งที่มีคนรักอยู่แล้วแต่ดันเสล่อมาจูบจุนมยอนของกูนี่นะ!
คิมจงอินอารมณ์ทะยานพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง
“รู้มั้ยว่าแฟนตัวทำอะไร?” อย่างน้อย ...ถ้าไอ้หมอนั่นมีแฟนหรือกำลังจีบกันอยู่กับคนที่หน้าตาน่ารักน่าชังตรงหน้าเขาตอนนี้จริงๆ ไคแค่เริ่มต้นยุแยงทำให้มันมีปัญหากันสักหน่อยก็ยังดี
จะได้รู้เสียบ้างว่าอาการเดือดเนื้อร้อนใจที่เขาเป็นอยู่นี้มันเป็นยังไง พอเป็นแล้วจะรู้สึกยังไง
“อู๋ฟานทำอะไร!?” ไคไม่รู้หรอกว่าไอ้อู๋ฟานนี่มันเป็นใคร แต่ก็เดาว่าน่าจะใช่คริสแหละ
“ก็มันจูบ...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ...ฉันเห็นแล้ว!” เขาไม่อยากฟัง ลู่ฮานไม่พร้อมที่จะฟัง และประโยคนี้เล่นเอาไคหยุดชะงัก เขาพิจารณาใบหน้าตรงหน้าอีกครั้งแล้วก็ต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที
ไอ้ตัวกระเปี๊ยกนี่มันคือคนที่เขาชนจนตัวแทบปลิวที่ห้องอาหารตอนที่วิ่งไปแยกคริสกับจุนมยอนออกจากกันนี่นา
“ถ้างั้นก็จัดการคนของนายด้วยนะ” เขากล่าวออกไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะยื่นออกไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ส่งมานี่” ไคพยักพเยิดใบหน้าไปที่อีกครึ่งหนึ่งของโพสอิทในมือลู่ฮาน คราวนี้ลู่ฮานยู่ปากใส่แบบดื้อๆแต่ก็ยอมส่งคืนให้แต่โดยดี
“มีกระดาษอะไรพอจะเขียนได้บ้างมั้ย?” ไคเลิกคิ้วถาม นอกจากแท็กที่ยืมมาจากห้องสมุดในกระเป๋าไคก็ไม่มีโน๊ตบุ๊ค สมุดเลคเชอร์ หรืออะไรที่สามารถฉีกออกมาเพื่อเขียนได้บ้างเลย
“เอาไปทำไมอ่ะ”
“อย่าถามอะไรมากความได้มั้ย ไม่เห็นเหรอว่ามันขาดหมดแล้วนี่” ลู่ฮานรื้อๆดูในกระเป๋าคู่กาย แล้วก็ได้สมุดโน๊ตเล่มเท่าฝ่ามือมาเล่มหนึ่ง เขากำลังจะยื่นมันให้ไคแต่แล้วก็ชะงักมือกลับมาดื้อๆ
“เดี๋ยวนะ ...ข้อความในนั้นนายเขียนเหรอ?” ไคไม่ตอบแถมยังหน้าด้านยื่นมือไปคว้าสมุดเล่มเล็กนั่นมาไว้ในมือ
เปิดหน้ากระดาษแล้วเขียนมัน เขาก็แค่เห็นว่าไม่ความสำคัญอะไรที่จะต้องใส่ใจรวมทั้งรายงานกับคนตรงหน้าว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรหรือว่าทำไปเพื่ออะไร ไคก็แค่ทำให้บรรลุจุดประสงค์ของตัวเองแค่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“เฮ้! นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน” ไคไม่ได้สนใจกับเสียงของลู่ฮานและบรรจงเขียนมันต่อไป
เสี้ยววินาทีนอกจากเสียงของลู่ฮานที่ถามดังขึ้นซ้ำๆเขาก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ภาษาเกาหลีแปร่งๆทำให้ไคตาโต หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน ในตอนนั้นเองสมองของเขาก็สั่งอย่างรวดเร็วให้ปิดสมุดในมือลงทั้งยังเขียนข้อความเดิมไม่เสร็จดี ชายหนุ่มลุกขึ้นพรวดพร้อมทั้งฉุดแขนอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ใกล้กันไปอีกทาง ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามที่เขาได้ยินเสียงดังมา
สำเนียงแบบนั้นเป็นของคริสแน่เขาจำได้แม่น แต่ที่ทำให้คนที่บอกว่าเป็นคนรักของคริสไม่เอะใจก็อาจเพราะว่ามันเป็นภาษาที่ฝ่ายนั้นฟังแล้วไม่เข้าใจแหง
“ลากทำไม ไอ้บ้า ปล่อยนะโว้ย!” เหมือนเดิมที่เอาแต่โวยวาย เขาไม่รู้ว่าคริสจะเห็นหรือสนใจพวกเขาสองคนที่วิ่งป่าราบหนีออกมามั้ย แต่ชั่วขณะนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะหันไปมอง
ไคพลาด ...เพราะข้อความที่เขาจงใจเขียนมันให้คริสอ่านในตอนนี้คงไม่มีโอกาสให้หมอนั่นได้เห็นอีกแล้ว เพราะต่อไปมันจะหาโอกาสเหมาะๆแบบนี้ได้ยากยิ่งขึ้น
ในตอนที่ลากกันเข้ามาจนพ้นบานประตูบันไดหนีไฟ ฝ่ายไคก็ปล่อยให้ลู่ฮานเป็นอิสระ คนตัวสูงกว่าใช้สองมือจับเข่าพลางหอบแฮ่ก และสภาพไม่ได้แตกต่างจากลู่ฮานเลย
“บ้าเอ๊ย! พาฉันวิ่งมาทำไมนี่ นายนี่ท่าจะประสาทนะ!”
“หรือว่านายอยากจะซวยอยู่ตรงนั้นล่ะ”
“ซวยอะไร?” ลู่ฮานกำลังหัวเสียแบบสุดๆ
“ก็คริสเพิ่งจะกลับมาน่ะสิ ไม่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์หรือไงนะ อ้อ ...นายมันเพี้ยนเกินคนแล้วสินะ นี่ถึงขนาดจำเสียงแฟนตัวเองไม่ได้ ไม่ไหวแล้วนะ”
“อู๋ฟานงั้นเหรอ? นั่นใช่ห้องอู๋ฟานจริงๆใช่มั้ย ฉันจะไปหาเขา มารั้งฉันเอาไว้ทำไม” ว่าเสร็จ ...ร่างเพียวก็สะบัดก้นเตรียมเดินออกไปจริงๆ
“เดี๋ยว” แล้วไคก็ยื่นมือออกไปคว้าไว้ “ใช่แฟนหมอนั่นแน่เหรอ ...ทำไมนายพูดเหมือนไม่เคยมาที่นี่ แล้วไหนจะทำเหมือนไม่รู้ห้องเขาอีก เป็นไปได้เหรอที่คนเป็นแฟนกันจะไม่รู้ว่าแฟนตัวเองพักอยู่ที่ไหน” ความจริงไคสัมผัสได้ว่ามันแปลกๆตั้งแต่นึกออกว่ารายนี้คือคนที่ยืนตัวแข็งทื่อมองเห็นภาพของจุนมยอนกับคริสจูบกันแล้ว
เป็นเรื่องที่แน่นอนเสียยิ่งกว่าแน่นอน ....ไคฟังภาษาจีนรู้เรื่อง...
และก็ได้ยินลู่ฮานประกาศก้องตั้งแต่อยู่ในห้องอาหารตอนเวลากลางวันแล้ว...
“ก็บอกแล้วไง ....ว่าตราบใดที่ฉันยังไม่เห็นนายกับเขาจูบกัน ลู่ฮานคนนี้ก็ไม่มีวันเชื่อหรอก นี่! ได้ยินมั้ยอู๋อี้ฟาน”
ประโยคนี้แหละนะ
“นายแค่ชอบเขา ตามตื๊อเขา?” สำหรับลู่ฮานมันช่างจี้ใจดำ มันถูกจุดจนเขารู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอก
“ยุ่ง!!!” เวลานี้จึงทำได้แค่ตวาดกลับเท่านั้น
“โอเค้ ...แต่แค่อยากจะบอกไว้เอาว่ายังสองหัวมันก็ยังดีกว่าหัวเดียวนะ” ไคทำเหมือนกำลังเกลี่ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม ในตอนที่เข้าเค้าสถานการณ์เริ่มเอนเอียงมาทางฝ่ายเขา ลู่ฮานที่นิ่งและยอมรับฟังเงียบๆก็ทำให้ไคค่อยๆเผยความต้องการออกไป
เขาไม่ได้คิดมานานแล้ว ...แต่ไคก็หัวไวมาก ไวมากจนบางทีก็เหมือนได้มีการตระเตรียมความคิดกระบวนการต่างๆไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยหมดแล้ว มันก็เหมือนอย่างตอนที่จุนมยอนวานให้เขาเขียนข้อความบนโพสอิทนั่นล่ะ เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะพลิกแพลงข้อความที่จุนมยอนบอกให้เขียน
“ฉันแอบชอบจุนมยอนมานานแล้ว ถ้าจะให้ขยายความเพิ่ม ...จุนมยอนก็คือคนที่คริสจูบนั่นแหละ”
“....”
“ก็ในเมื่อเราสองคนต่างก็ชอบพวกเขาทั้งคู่ ทำไมไม่ลองร่วมมือกันแยกพวกเขาออกจากกันดูล่ะ”
ลู่ฮานนิ่งคิด ร่างเพียวเลียรอบริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง คนหน้าหวานค่อยๆหันทั้งร่างกลับมา ในตอนนั้นเองไคก็รับรู้พร้อมทั้งยอมคลายมือที่รัดรึงเรียวแขนนั้นและลู่ฮานก็เป็นอิสระได้ในที่สุด
เจ้าของใบหน้าน่ารักเอียงคอเล็กน้อย ยักคิ้วหนึ่งข้างก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ฉันลู่ฮาน” ลู่ฮานยื่นมือออกไป ไคยิ้มอย่างรับรู้พร้อมทั้งยื่นมือออกไปจับมือบางข้างนั้นเอาไว้แกว่งเบาๆสองสามครั้งราวกับยืนยันคำมั่นสัญญา
“ฉันไค”
คริสกลับหอพักเข้ามาในช่วงเย็นจนเกือบจะค่ำ เขาแบกเท็กซ์ภาษาอังกฤษสองสามเล่มและมันก็หนักเกินกว่าที่จะหิ้วมันไปเรียนพิเศษด้วย และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้กลับห้องมาก่อนทั้งที่การทำกิจวัตรในหนึ่งวันของเขายังไม่ทันเสร็จดี
แม้จะเอาของเก่าไปคืน แต่เขาซึ่งเป็นคนชอบหาความรู้ใส่ตัวก็อดไม่ได้ที่จะยืมหนังสือที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมาอ่านในเวลาว่าง
ระหว่างโถงทางเดินเขาคุยโทรศัพท์ไปด้วย ความที่จดจ่ออยู่กับบุคคลปลายสายทำให้เขาไม่ทันใส่ใจว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่หน้าห้องของเขา เขาเดินมาเรื่อยๆก่อนจะถึงห้องถึงได้กดตัดสายจากเพื่อนร่วมคลาส เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมบางอย่างเอาไว้ในห้องเรียนถึงได้โทรไปถามเสียหน่อยว่าฝ่ายคนที่ออกมาทีหลังเห็นมันบ้างหรือเปล่า
คริสเอามือลงไปควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าสัมภาระในระหว่างเดิน แล้วเขาก็สังเกตว่ามีอะไรบางอย่างวางอยู่หน้าห้องของเขามาได้สักพักแล้ว
ในตอนที่หยุดเท้าอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับสิ่งนั้น เขาก็ย่อตัวลงพลางใช้มือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในกะตร้าไม้สานขึ้นมา เขาอ่านข้อความภาษาอังกฤษในใจและก็สรุปได้ว่าชานยอลคงจะเป็นคนเอามาทิ้งไว้ให้แน่ๆ
ก็หมอนั่นเริ่มดูแลกันมาตั้งแต่เขามาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนตั้งแต่วันแรก หนังสืออะไรหรือสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ ชานยอลก็มักจะเป็นคนแนะนำให้เขาได้เสมอ
คริสหยิบมันขึ้นมาทั้งหมดทั้งตะกร้ารวมทั้งหนังสือแหละ
หลังจากเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง คริสก็จัดการวางหนังสือทั้งหมดลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง เขานั่งตามลงไปบนเก้าอี้ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง
“เอ้อ ...หนังสือวัฒนธรรมเกาหลีนี่นายเอามาวางไว้ให้ที่หน้าห้องเหรอ?” ขณะที่กรอกเสียงผ่านสายโทรศัพท์ไปอีกมือที่ว่างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์อยู่ก็เปิดหน้าหนังสือเล่มนั้นไปเรื่อย
[ใช่... พอดีว่าไปที่ห้องแล้วไม่เจอนายน่ะ แต่ว่าฉันไม่ได้วางมันไว้นะ ฉันฝากมันไว้กับจุนมยอนน่ะ] คริสฟังแล้วถึงกับทวนชื่อนั้น
“จ...จุนมยอน”
[ทำไม? จุนมยอนก็แฟนนายไง] ปลายสายหัวเราะเอิ้กอ้ากออกมาชุดใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่สามารถเรียกความงุนงงได้จากคริสมากทีเดียว
“แฟน?”
[คนที่คุณไปจูบเขาแน่ะครับ]
อ้อ...
รู้แล้วคนไหน ...ว่าแต่ทำไมถึงไปฝากหมอนั่นได้ล่ะ...
[พอดีว่าเจอที่หน้าห้องพอดี บังเอิญว่าจุนมยอนเองก็อยู่ห้องข้างๆนายด้วยก็เลยวานเป็นธุระให้เลย อีกอย่างฉันไม่ว่างรอเจอนายด้วยไง] คริสรับฟังและกำลังประติดประต่อเรื่องราว
จุนมยอน...?
แฟนเขา...?
ห้องข้างๆ...?
เดี๋ยวนะ ...อู๋อี้ฟานรู้อะไรบ้าง...
“นายว่าอะไรนะ ห้องข้างๆงั้นเหรอ?”
[อาฮะ ...ขวามือห้องนายน่ะ]
ใช่แน่เหรอ...? คริสไม่เคยรู้เลยนะว่าห้องนั้นจะมีคนอยู่จริงๆ เขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาสี่เดือนแล้วนะ ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ
“จริงเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไร?”
[อะไรคือตั้งแต่เมื่อไร?]
“ตัวเล็ก ...เอ่อ...” คริสรู้สึกลำบากที่จะเรียกชื่ออีกฝ่ายนิดหน่อยอาจเพราะไม่ค่อยคุ้นเคย “จุน ..จุนมยอนน่ะ อยู่ห้องข้างๆฉันมาตั้งแต่เมื่อไร”
[เฮ้ยยย จุนมยอนอยู่มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว แต่ก่อนก็อยู่กับพี่ชายแต่ว่าตอนนี้พี่เขาจบไปแล้วไง ตอนนี้ก็เลยอยู่คนเดียว อย่าบอกนะว่าไม่เคยเห็นเลยว่าใครเป็นเพื่อนบ้าน] คริสกำลังจะตอบว่าใช่แต่ก็มีบางอย่างมาหยุดเขาไว้เสียก่อน
คนตัวสูงลุกออกจากเก้าอี้ย่องเดินไปที่หลังห้อง
“อ่า ...โอเค” คริสเอามือป้องปากเพื่อไม่ให้เสียงกระจายดังออกไป “ยังไงก็ขอบใจมากนะชานยอลเรื่องหนังสือน่ะ แค่นี้แหละ”
เขาหย่อนเครื่องมือสื่อสารลงไปในกระเป๋ากางเกง คริสค่อยๆคลี่ม่านออกเพื่อจะได้มองออกไปข้างนอกผ่านกระจกได้ชัดๆ กระนั้นการทำแค่นี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาเห็นระเบียงห้องข้างๆได้ ชายหนุ่มใช้มือเลื่อนกระจกบานเลื่อนอย่างเบามือที่สุด ถ้าจะจับผิดใครสักคนเขาก็ไม่ควรผลีผลามออกไปเหมือนคราวก่อนๆ
คริสคลานเข่าพาตัวเองออกไปจนพ้นบานกระจก แล้วก็พบขาคู่หนึ่งของคนที่ยืนตากผ้าอยู่ริมระเบียงข้างๆ เพื่อที่จะเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่านั้น เขาจึงค่อยๆแหงนศีรษะมองไปยังระเบียงห้องข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นหน้าอยู่ดี ระเบียงห้องเป็นอุปสรรคค่อนข้างมาก กระนั้นก็ไม่ต้องเห็นหน้าหรอกแค่วาบแรกความรู้สึกของเขามันก็บอกว่าใช่แล้ว
เคร้ง!
เท้าเขามันดันปัดไปโดนกระถางต้นกระบองเพชรจนล้มคว่ำ เขาตกใจแต่ก็คิดว่าคงไม่เท่ากับคนที่ตากผ้าอยู่อีกฝั่งที่วิ่งป่าราบหายเข้าห้องไปแล้ว
รู้แล้ว...
ว่าทำไมถึงไม่เคยเห็น...
ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้...
ก็ที่ไม่เห็นก็เพราะว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขารับรู้ถึงการมีตัวตนของตัวเองน่ะสิ
TBC…
--------------
คริสโฮน่าจะมาตอนหน้าแล้วเนอะ สำหรับคนรอคู่หลักของเรา
ไคลู่นี่แบบ ร้ายนะ ท่าจะร้ายทั้งคู่ 555555555555
แต่ย้ำนะคะ ว่าการทำร้ายของทั้งคู่นี่คงไม่พาดราม่าหรอกค่ะ มันไม่ใช่คอนเซปฟิคเรื่องนี้นะ
เฮียเรารู้แล้วเน้อว่าตัวเล็กอยู่ใกล้แค่นี้เอง คราวนี้จะปีนไปปล้ำหรือไม่ต้องติดตามกันค่า
#มีอะไรผิดพลาดขออภัยด้วยค่ะ บังเอิญรีบมาก ไม่ได้ตรวจทานเลย
ความคิดเห็น