คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 11
CHAPTER 11
วันรุ่งขึ้นหลังจากรู้ผลแพ้ชนะ การเรียนที่ภาควิชายังคงดำเนินไปตามปกติ แต่ที่ผิดแผกไปก็ตรงที่เจอปาร์คชานยอลมาอยู่ที่ภาควิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งที่เจ้าตัวมีเรียนตอนบ่ายโมงตรง มิหนำซ้ำร่างสูงยังไม่มีแผนที่จะต้องมาเหยียบตึกที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
พอมาถึงก็ปรี่เข้าหาคิมจงแดทันที...
“อ้าว...ชานยอล” เสียงของประธานรุ่นดังแหวกอากาศ และมันก็ดังพอที่จะทำให้เสียงเซ็งแซ่ที่ดังจากทั่วสารทิศสร่างซาลงได้บ้าง อาจเพราะชื่อนั้นที่หลุดออกมาจากปากของจงแด
ก่อนหน้านั้นไม่มีใครสนใจ มีหลายกลุ่มย่อยที่สุมหัวกันปรึกษาหารือกันถึงเรื่องงานที่อาจารย์ได้ฝากเอาไว้ให้เป็นภาระหนักบ่าพวกเขาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว จนวันนี้ที่ถึงกำหนดพรีเซ็นต์ ต่างคนต่างกลุ่มก็เลยเอาแต่สุมหัวกันอยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่แต่ละกลุ่มจะมีตัวแทนนำมันมา พวกเขาที่มาเร่งงานกันตอนวินาทีสุดท้ายจึงไม่มีเวลามาสนใจว่าใครจะไปหรือว่าจะมา นอกเสียจากว่าใครคนนั้นเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่ต่างฝ่ายต่างกำลังโทรตามกันให้จ้าละหวั่น
ก็แค่เหลือบขึ้นมองพอไม่ใช่...ก็ไม่ได้นึกจะสนใจอะไรต่ออีก
จงแดเป็นคนเห็นชานยอลคนแรกพอดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าคนที่มาใหม่จะมีธุระหารืออะไรกับตัวเอง ด้วยความเป็นคนเอ่ยทักแต่เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา จงแดก็เลยทำเพียงแค่ยิ้มแล้วจึงกลับมาถกประเด็นกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มต่อ ทว่า...ชานยอลก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองกี่ทีต่อกี่ทีชานยอลก็ยังคงมองมาที่เขา
แม้จะไม่ต้องพูดแต่ก็พอสงสัยได้บ้างแล้วว่า ชานยอลต้องมีบางอย่างที่จะคุยด้วยละมั้ง ตระหนักได้แบบนั้นเขาจึงขอตัวออกจากกลุ่มสักพักแล้วเดินตรงเข้าไปหาปาร์คชานยอลที่ก้าวพ้นเข้ามาในประตูห้องประชุมที่วันนี้ถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้กลายไปเป็นห้องพรีเซ็นต์มาเพียงไม่เท่าไรแบบยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรเลย
“มีอะไรหรือเปล่า?” มือถูกวางลงบนบ่าของชานยอล
“ก็มี...” จะบอกให้รีบพูดเพราะตอนนี้เขากำลังมีงานที่เร่งรัดรออยู่ก็ดูจะกระไรอยู่ พวกเขาเป็นเพื่อนกันก็จริงแต่ก็ไม่สนิทถึงขั้นที่ว่านึกอยากจะพูดอะไรก็พูดออกไปเลยโดยไม่ต้องมานั่งรักษาน้ำใจหรือพูดแบบปราศจากซึ่งความเกรงใจกันเลยขั้นนั้น
“มีอะไร?” จงแดถามด้วยน้ำเสียงปกติ แม้จะมีสัญญาณบอกเหตุว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแต่ประธานรุ่นก็ยังใจเย็นแสดงออกด้วยพฤติการณ์สุขุมเยี่ยงเดิม
“ฉันจะถอนตัว” เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรตงิดๆบ้างแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงได้เอ่ยขอความกระจ่างชัด
“ถอนตัวอะไร?”
“ถอนตัวจากบทพระเอกละครเวทีของคณะ”
จงแดตกใจมากจนเผลอทวนประโยคนั้นด้วยเสียงดัง “ถอนตัวจากบทพระเอกละครเวทีของคณะ!”
เป็นผลให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว และที่ทุกคนมีปฏิกิริยาแบบนั้นคงจะเกิดความรู้สึกที่เหมือนกับจงแดเด๊ะๆราวกับลอกเลียนแบบมา ผิดกับหนึ่งคนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งกำลังยิ้มกริ่ม และคนที่เห็นอย่างจุนมยอนที่นั่งถัดไปจากเจ้าคนนั้นถึงกับเอาศอกกระทุ้งเข้าไปที่ตัวเชิงปรามว่าให้เก็บอาการต่างๆหน่อย
ถึงกระนั้นแบคฮยอนก็หาสนใจไม่...ร่างเล็กหันไปยักคิ้วให้จุนมยอนพลางนั่งไขว่ห้างกระดิกนิ้วเท้าต่อ
ชั่ววินาที ผู้คนก็ลุกฮือตรงเข้าไปล้อมกรอบบุคคลในความสนใจ
ทำไม อะไร เกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าต้องมีความสงสัยเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่แรกเริ่มเลยชานยอลไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะถอนตัวเลยสักนิด คนเดียวที่มีพฤติกรรมแบบนั้นและสร้างความวุ่นวายให้ไม่เว้นแต่ละวันก็เห็นจะมีแต่คนที่ได้รับบทบาทให้เป็นนางเอกในร่างชายอย่างพยอนแบคฮยอนคนเดียว ตอนนี้ถึงได้มีแต่ความแปลกใจ
จงแดที่ชัดเจนในสิ่งที่นักแสดงนำในละครของเขาปรารถนาแล้ว แม้ในความจริงจะไม่อยากขัด เพราะถ้าคนมันไม่มีใจทำงานกันไปก็ไม่มีทางส่งผลดี แต่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจเขาจึงมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่จะให้แก่ปาร์คชานยอล
“ไม่ได้” ความวุ่นวายหยุดลง แค่เพียงหนึ่งคำของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจดังโพลงขึ้นมา อีกอย่างชั่วขณะนี้ทุกคนต่างเอาใจจดจ่อเพื่อฟังเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นประเด็นถึงได้เงียบเพื่อการสอดรู้สอดเห็นจะได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ชานยอลกำลังจะอ้าปากอธิบายถึงเหตุผลที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ กระนั้นกลับไม่ได้รับโอกาส มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังปิดช่องทางเขาเสียหมดมิดชิด
“ไม่ว่าเหตุผลของนายจะคืออะไรก็บอกเลยว่าไม่มีผล”
“แต่ฉัน...”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรสักคำว่า ‘พวกนาย’รับผิดชอบไหวมั้ยหากสปอนเซอร์ขอถอนตัว” แบคฮยอนสะดุ้งเพราะคำว่า ‘พวกนาย’ ที่จงแดใช้ มันน่าจะหมายรวมถึงเขาด้วย ชัดเจนที่สุดก็ตรงที่ฝ่ายคิมจงแดจ้องมองมาจนให้ความรู้สึกหนาวสันหลัง
ก็ก่อนหน้านั้นเป็นเขาที่วุ่นวายอยากจะขอถอนตัว พอเริ่มทดท้อและไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกก็ดันเป็นชานยอลที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาและนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้ทุกฝ่ายที่เตรียมงานไม่น้อย แบคฮยอนก็รู้ แต่...ก็นะ มันก็ยากหากจะต้องฝืนใจทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ
“เพราะนาย” ครั้งแรกจงแดหันไปมองชานยอล “และก็นายเราถึงไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะใช้สำหรับจัดสรรในสร้างละครเวทีเรื่องนี้เลย” จงแดหยุดสายตาไว้ที่แบคฮยอน แต่แบคฮยอนดันเกิดแต่คำถามขึ้นว่าทำไม
“ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพูดเรื่องนี้กัน และฉันก็เชื่อว่าพวกนายไม่มี ถ้าแค่ไม่ชอบหน้ากันแล้วทำงานร่วมกันไม่ได้ก็ขอให้จบลงตรงนี้นะ ต่อจากนี้หลังจากที่ต้องคลุกคลีทำงานด้วยกัน ก็มีแค่สองอย่างถ้าความสัมพันธ์ไม่ดีขึ้นก็แค่เกลียดกันไปเลย...เชื่อว่าพวกนายเลือกได้ โตป่านนี้แล้ว คงคิดเองได้ว่าแบบไหนน่าจะส่งผลดีมากกว่ากัน ฉันยอมรับว่าอาจจะรับฟังพวกนายน้อยเกินไป แต่เพราะฉันปล่อยให้งานนี้ที่มีเกิดขึ้นทุกปี และยิ่งในตอนนี้ที่มันอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราทุกคนต้องพังลงไม่ได้จริงๆ”
ชัดเจนและเฉียบขาด
“เข้าใจนะชานยอล แบคฮยอน” แบคฮยอนสะดุ้งเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ ที่สุดจอมพยศอย่างเขาก็เผลอพยักหน้างึกงักไปในตอนที่ถูกจงแดจ้องมอง ทำไงได้...ก็เขาน่ะรู้สึกเกรงกลัวรัศมีความจริงจังของผู้นำรุ่นมากจริงๆ
เฮ้ย! แต่นี่มันก็เท่ากับว่าไอ้ที่เขาเหนื่อยไปเมื่อวานไม่เป็นผล!
เหมือนน้ำท่วมปากแบคฮยอนไม่สามารถพูดอะไรออกไปตอนนี้ได้ทั้งนั้น ไม่แค่กับชานยอลที่เขาอยากจะสู้เถียง แต่เป็นกับทุกคน สงสัยจะตายว่าสปอนเซอร์เกี่ยวอะไร ถ้าแค่ไม่มีเขากับชานยอลแค่นี้ถึงขั้นที่ทุกคนจะเดือดร้อนเลยหรือ
“ถึงขนาดนั้น” ได้แต่บ่นพึมพำพร้อมกับทำหน้าเบี้ยว เขาสะบัดหนีในตอนที่เห็นชานยอลมองมา
สบตากันแค่นี้ก็รู้สึกเอือมจะแย่แล้ว นี่เขาจะต้องยอมทนจริงๆน่ะเหรอ...
แต่พอหันไปอีกทีก็ไม่พบปาร์คชานยอลอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
เฮอะ! แม่งหนีปัญหานี่หว่า แบคฮยอนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับตัวเองแล้วก็หันไปสะกิดเพื่อนสนิทอย่างจุนมยอนยิกๆ
“นายรู้อะไรดีๆมั้ย”
“ฉันรู้” ไม่ใช่คนที่เขาสะกิดเรียกไป แต่เป็นอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คยองซูที่เป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกันที่นั่งเงียบมานานอยู่ๆก็เปิดปากพูด
เหรัญญิกนี่...แบคฮยอนลืมไปได้ยังไงว่าคยองซูนี่แหละคลังเก็บเงิน
“แค่ใช้ทำค่ายเงินก็หมดแล้ว รุ่นเราจนจะตายนายไม่รู้ไง เอาง่ายๆนะเก็บเงินแต่ละคนนี่ยากจะตายชัก ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดนายก็ยังจ่ายไม่ครบเลยนะแบคฮยอน” แบคฮยอนสะอึก ยิ้มแหยๆแล้วเกาหัว
ชิบหายละ เข้าตัวซะงั้น!
“แล้วไงต่ออ่ะคยอง” ทีอย่างนี้นะ เสียงอ่อนเสียงหวานเชียว
“ปกติงานใหญ่ระดับละครเวทีมันก็ต้องไปขอสปอนเซอร์อยู่แล้ว ตอนแรกก็ลองร่างๆรายชื่อเอาไว้ว่าจะไปขอที่ไหนบ้าง แล้วก็ไปมันหมดแทบจะทุกที่นั่นแหละ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆก็ได้โรงพิมพ์ของคุณน้าของชานยอลน่ะ รายนั้นเห่อหลานชายจะตายไปใครๆก็รู้ ลองบอกไปว่าชานยอลได้รับบทเด่นฝั่งนั้นก็พร้อมที่จะทุ่มทุกอย่าง”
“....” อ่อ ...อย่างนี้เองสินะ
“คือเราสามารถตัดงบของรายจ่ายที่เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ที่จะใช้โปรโมตทั้งหมดและอยากได้เท่าไรบอกได้ไม่มีปัญหา เงินสนับสนุนก็ให้มาอีกแบบไม่อั้นเลยล่ะ คงรู้อยู่นะว่าถึงตอนนี้เราคงเปลี่ยนชานยอลออกไม่ได้อยู่แล้ว”
“งั้นก็เปลี่ยนฉัน” พอสบโอกาสก็โพลงพูดออกไปอีกครั้งด้วยความดื้อรั้น
“แผนโปรโมทเตรียมไว้หมดแล้วแบคฮยอน ทั้งโปสเตอร์และใบปลิวที่จะใช้ในการป่าวประกาศ ไฟล์ทั้งหมดอยู่ที่โรงพิมพ์หมดแล้ว” ในใจแบคฮยอนกำลังถามว่า...รวมถึงรายชื่อนักแสดงด้วยน่ะเหรอ
“ชื่อนักแสดงก็พิมพ์หราอยู่บนนั้น” คยองซูตอบข้อสงสัยในใจเขาได้อย่างแจ่มชัด ปวดหัวอีกแล้ว เหมือนถูกมัดมือชกเลยอ่ะ
แต่มันก็ทำให้เขาชะงักคิด
เอ๊ะ!
ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ชานยอลรู้อยู่แล้วหรอกนะ
ก็อะไรจะประจวบเหมาะพอดีขนาดนี้ ทั้งเรื่องคุณน้าที่เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ไหนจะเรื่องที่มาท้าแข่งบาส ถึงขนาดที่แพ้แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ชานยอลตั้งใจอย่างนั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่แพ้ในเกมการแข่งขันบาสง่ายๆก็เป็นเรื่องที่ยอมให้กันอย่างนั้นสิใช่มั้ย?
นี่แค่ต้องการปั่นหัวกันเล่นหรือไง...
แบคฮยอนรับรู้ถึงแรงบีบเบาๆที่ต้นแขน เพื่อนตัวเล็กคงสังเกตอาการเดือดพล่านที่กำลังกรุ่นอยู่ในใจของเขาได้แล้วกระมัง แบคฮยอนเห็นแววตาที่มองมาราวกับขอร้อง ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในใจเขาในตอนนี้จุนมยอนก็คงกำลังภาวนาไม่ให้เขาระเบิดมันออกมา
จุนมยอนกำลังบอกอีกด้วยว่า...ให้เขาทำใจยอมรับทุกอย่างให้ได้
ก็ได้...แบคฮยอนพยายามจะนึกถึงส่วนรวมให้มาก
แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวแค่ระหว่างเขากับชานยอล หมาน้อยก็ไม่รับประกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาจะประคับประคองงานได้ดีหรือจะทำให้มันพัง
แบคฮยอนถือว่าเขาได้ส่งสัญญาณเตือนบอกออกไปแล้วตั้งแต่ต้น ถึงตอนนั้นก็ยอมรับให้ได้บ้างละกัน
“แสดงว่าไม่ตอนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว?”
“ถูกต้อง...ก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง”
“ไม่ถามความสมัครใจกันเลย ความรู้สึกของฉันมันไม่สำคัญเลยสินะ” ดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่ากระนั้นก็มั่นใจว่าคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงนี้ได้ยินทุกคน
“โธ่...แบคฮยอนอ่า ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแต่...” ทว่ายังไม่ทันนึกเหตุผลที่จะมาคัดค้านออก ฝ่ายคนที่พูดแสดงอาการตัดพ้อก็แทรกขึ้นมา
“ก็ทำได้เท่าที่ทำได้อ่ะนะ ไม่รับปากแต่จะพยายามละกัน”
คยองซูดูหน้าเจื่อนๆ ผิดกับอีกคนที่รู้จักนิสัยของพยอนแบคฮยอนดีที่ยิ้มกว้างและโผเข้ากอดเพื่อนตัวเองอย่างเต็มรัก
“แบบนี้สิเบค่อน ฉันเป็นกำลังใจให้นายนะ” จุนมยอนยิ้มตาหยี พูดจาด้วยประโยคแพทเทิล เป็นอย่างนี้ก็เลยถูกแบคฮยอนเขวี้ยงค้อนวงใหญ่ให้เสียหนึ่งวง
“ไม่ใช่เพราะนายหรือไง”
“ง่า” เห็นจุนมยอนยู่หน้าแล้วก็อดไม่ได้เลยที่จะเอื้อมไปโอบบ่าของอีกคนเอาไว้พร้อมกันนั้นจึงส่งมือไปยีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยวมันเสียเลย
“น่าโกรธ แต่ก็ไม่เคยโกรธลงซะที”
แบกฮยอนชะโงกหน้ามองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอก มองแล้วก็มองอีกอยู่อย่างนั้น จนเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันอีกสองคนต้องหันมองหน้ากันเพราะมีคำถาม
“เบค่อนหาอะไรเหรอ?” ที่สุดแล้วจุนมยอนก็เป็นคนเอ่ยปาก
“ฝนก็ไม่ตกนี่หว่า” ไม่ได้ตอบคำถามของจุนมยอนซะอย่างนั้น
“เห?”
“นายว่าไม่แปลกเหรอจุนมยอนที่จู่ๆไอ้ไคก็เลี้ยงข้าว ฉันว่าอีกไม่นานฝนจะตกเทกระหน่ำลงมาห่าใหญ่แน่ๆ” ทันทีที่รับฟังทุกคำในประโยคครบ จุนมยอนที่ก่อนหน้านั้นมีใบหน้าที่เหรอหราเพราะเข้าใจอะไรย๊ากยากเป็นปกติ โดยเฉพาะมุกที่มักจะตามใครเขาไม่ทันถึงกับหลุดหัวเราะ
“เว่อร์ เดี๋ยวก็ให้จ่ายส่วนของตัวเองซะเลยนี่” แบคฮยอนตาโตกับคำขู่ ถัดจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีจอมเซี้ยวก็เปลี่ยนท่าทีโดยพลัน
“ไม่นะครับเสี่ย ขอโทษครับ แบคฮยอนแค่ล้อเล่นเฉยๆเอง เสี่ยอย่าคิดมากนะครับ”
“เดี๋ยวกูเตะ เงียบปากมึงป่ะ ถ้าอยากกินอย่างสงบสุข”
ฟังแล้ว แบคฮยอนก็ต้องเบะปาก “ดุจังอ่ะเสี่ยอ่ะ”
“เดี๋ยวให้ชานยอลมาจัดการแม่ง”
แค่ได้ยินชื่อแค่นี้อารมณ์ก็ขึ้นแล้ว แบคฮยอนคิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วเชียว ขอร้องได้ป่ะล่ะ อย่ามาสะกิดเชียวล่ะ “ไคเงียบปากมึงไปเลยนะถ้ายังไม่อยากตายน่ะ!”
“ไม่เอาน่า เบค่อนน่า” นี่ถ้าไม่มีจุนมยอนมาคอยตามห้ามทัพ คงได้มีใครสักคนกลายเป็นศพไปเสียแล้ว
เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า...
จุนมยอนต้องส่ายหัวจนเมื่อยคอทุกครั้งที่ไคกับแบคฮยอนปะทะกัน
“เออ ว่าแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าทำไมถึงนึกอยากจะเลี้ยงข้าวขึ้นมาน่ะ” ไคที่เตีรยมคำตอบเอาไว้อยู่แล้วกอดอกผึ่งผาย
“ก็เห็นร้านเปิดใหม่ อยากชวนมากินแต่เห็นว่าช่วงนี้แต่ละคนก็ต่างยุ่งอยู่อ่ะ ถ้าแค่ชวนมาเฉยๆฉันก็ไม่รู้ว่าพวกนายก็ยอมมาหรือเปล่า ก็เลยเสนอตัวว่าจะเลี้ยงกลัวไม่มีเพื่อนกินน่ะ” จุนมยอนมองรอบๆอย่างสนใจ และก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรขึ้นมาอีก เพราะมันคือร้านสเต็ก ซึ่งสเต็กก็เป็นอาหารจานโปรดของคนที่เอ่ยปากว่าจะเลี้ยงอยู่แล้ว จึงไม่แปลกหากว่าไคจะดูเต็มใจมากขนาดนี้
“โหย เห็นเพื่อนเป็นคนเห็นแก่กินไง?” ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะอยากเปิดศึกอีกรอบแล้วกระมัง
“แล้วไม่ใช่?”
พยอนแบคฮยอนยิ้มทะเล้นก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง “ใช่” ถึงตอนนี้แล้วก็หัวเราะร่วนทีเดียว
“งั้นไม่เกรงมึงเลยนะเว้ยไค!”
ฝ่ายไคตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งพอกัน “เออ!”
หลังจากนั้นพวกเขาก็สนใจแต่กับเมนูอาหารที่มีเพียงเล่มเดียวสำหรับหนึ่งโต๊ะ แบคฮยอนได้ของที่อยากจะกินไปแล้วสองอย่าง ที่สั่งไปมีแต่เนื้อกับเนื้อ ไม่มีของกินเล่นหรือไว้เรียกน้ำย่อยเลย ร่างเล็กกะปอกลอกไคเต็มที่
ขณะที่ละจากเมนูเพราะตัวเองสั่งสิ่งที่ตอนนี้นึกออกว่าอย่างกินไปเรียบร้อย เจ้าตัวก็หันมารินชาเขียวที่อยู่ในเหยือกลงในแก้วสามใบสำหรับเขาและก็เพื่อนสนิทอีกสองที่เหลือ แบคฮยอนทำแบบนั้นจนเสร็จก็เลือกที่จะละสายตามองไปรอบๆเพื่อเก็บรายละเอียดร้านเพิ่งเปิดใหม่นี้บ้าง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนมาใหม่สองคนที่กำลังตกลงอะไรสักอย่างกับพนักงานเสิร์ฟของร้าน ไม่นานก็ได้ที่นั่งบริเวณด้านนอก
เขาสะกิดเรียกจุนมยอนทั้งที่ดวงตายังไม่ละจากภาพตรงหน้า “จุนมยอน...”
ดวงตากลมหันมองเพื่อนตัวเองก่อนที่จะหันสายตาไปตามเป้าหมายดวงตาของแบคฮยอนที่ไม่วอกแวกไปไหน
พวกเขานั่งอยู่จนเกือบจะด้านในสุดของร้านและคนก็เนื่องแน่น ทว่ากลับไม่ได้เป็นอุปสรรคในการที่จะมองหาสิ่งที่แบคฮยอนต้องการจะบอก อาจเพราะความโดดเด่นของเป้าหมายและการที่มองจากตรงนี้ทะลุกระจกตรงไปเขาก็เห็นคนสองคนที่อยู่ฝั่งเดียวกันโดยที่หันหลังเข้ามาทางร้านสเต็ก
ไม่ต้องเห็นหน้าจุนมยอนก็จำได้แม่นว่านั่นคือคริส
“นั่นคริส” แบคฮยอนบอกเขาเสร็จสรรพ เกิดคำถามอยู่ในใจว่าคนที่มาด้วยกันกับฝ่ายนั้นคือใครได้ไม่นานเท่าไร คนที่นั่งตัวติดกันกับคริสในทีแรกก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเปลี่ยนให้ตัวเองไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งตรงกันข้ามกัน
อยู่ๆใจจุนมยอนก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาในตอนที่เห็นใบหน้าของใครอีกคนนั้นชัดแจ่มแจ๋ว
“ใครน่ะ? น่ารักว่ะ” จุนมยอนหันมองหน้าคนพูดอย่างแบคฮยอน หัวใจของเขากำลังสั่นคลอนมากขึ้นทุกที
ผู้ชายอีกคนนั้นน่ารักจริงๆ น่ารักมากๆ น่ารักจนทำให้เขากลัว...
แต่แล้วจุนมยอนก็มี่แต่คำถามที่ว่า กลัวอะไร? กลัวทำไม?
เกิดว่าคริสจะมีใครสักคนที่ดีกว่าเขาแล้วยังไง...
ก็ไม่แล้วไงไง ...นั่นดิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย เขามันก็แค่คนแอบชอบที่อีกฝ่ายไม่มารู้เรื่องอะไรด้วยเลย
“ความจริงก็พอได้ยินมาอยู่บ้างอ่ะนะ” ไคพูดขึ้นมาลอยๆ แต่กลับทำให้สองคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันตั้งแต่ที่แรกหันกลับมามองขวับ
มีเพียงแววตาคาดคั้นจากแบคฮยอน ขณะเดียวกันจุนมยอนกลับมองด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนไคก็ไม่อาจที่จะคาดเดาความรู้สึกได้จริงๆ “เฮ้! นี่ฉันก็แค่ได้ยินมาจากคนอื่นอีกต่อหนึ่งเฉยๆ ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความจริงมันเป็นไงอ่ะนะ”
“ก็เล่าดิ หลังจากนั้นกูจะตัดสินใจเองว่าเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้”
“คือว่างี้...” ไคมองแบคฮยอนที่ตั้งใจมากถึงขนาดเม้มปากฟัง พอมองแล้วก็เลยรู้สึกกลัวที่จะเล่าต่อจัง ดวงตาเหลือบไปมองที่จุนมยอนเสียอีกที แม้จะทำท่าทีเหมือนไม่อยากรับรู้แต่ไคก็เชื่อว่าฝ่ายนั้นคงอยากฟังหากว่านั่นคือเรื่องของคริส
ยิ่งเห็นจุนมยอนเป็นอย่างนี้ไคก็ยิ่งอยากจะพูดต่อ...
“นั่นอ่ะชื่อลู่ฮานเป็นคนจีนเหมือนคริสนั่นแหละ คือฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นเป็นยังไงสมัยอยู่ที่นั่น แต่เท่าที่ได้ยินมาก็เหมือนจะมีอะไร”
“อ๊าว! แล้วมันมีอะไรอ่ะ” เห็นจะมีแต่แบคฮยอนคนเดียวเท่านั้นล่ะมั้งที่เดือดร้อน
“ก็ไม่รู้ว่ะ ถึงกับบินตามมาถึงที่นี่ทั้งที่ก็ไม่ใช่ญาติมิตรกัน นายคิดว่าไงล่ะ” ไคไม่สรุปแต่ดันหันกลับมาถามพวกเขาสองคน
“ไม่เอาดิไค เอาที่มึงได้ยินมาดิ” ยิ่งซักก็ยิ่งเข้าทางไค
“เห็นว่าทะเลาะกัน ไม่รู้ว่ารุนแรงมากมั้ยนะ แต่ก็ทำให้ไอ้เจ๊กนั่นหนีมาถึงเกาหลีได้และที่คนที่ชื่อลู่ฮานตามมาถึงนี่ก็คงจะตามมาง้องอนตามประสา”
“ตามประสา? ตามประสาอะไร? แฟนเหรอวะ?” พูดจบแบคฮยอนก็อ้าปากค้าง ให้ตาย! เขาล่ะอยากตบปากตัวเองสักสี่เปรี้ยงจริงๆ ความอยากสอดรู้สอดเห็นทำให้ลืมไปว่าจุนมยอนนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน
เสี้ยวหนึ่งไคแอบเหลือบมองจุนมยอนที่ยังคงนั่งนิ่งเฉย ก่อนจะตอบรับเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากไม่เต็มคำทำราวกับเห็นใจเพื่อนเสียเต็มประดา ต่างจากในใจที่กำลังโห่ร้องยินดี
“อื้ม...ก็ประมาณนั้นแหละ”
“ไม่จริง! จุนมยอนอย่าไปเชื่อ!” แบคฮยอนโพลงออกไปเสียงดัง จะมากลัวว่าเพื่อนจะเสียใจตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว
ไม่วาย...ยังจะหันไปยกกำปั้นทำราวว่าอยากจะทุบไคเอาเสียอีก ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นคนคาดคั้นอยากจะรู้แท้ๆเองนี่นะ
“จุนมยอนนาไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก ไปถามคริสกัน”
ยิ่งได้ฟังในสิ่งที่แบคฮยอนเพิ่งเอ่ยจุนมยอนก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาไปมีสิทธิ์อะไรแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน คริสก็แค่จูบเขาด้วยความไม่ตั้งใจ สองครั้งเท่านั้นเอง
แค่นั้น...แล้วก็จบ...
“จุนมยอน” คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง เขาไม่อยากที่จะสบตากับแบคฮยอนหรือแม้กระทั่งไค เพราะสองคนนั้นสามารถอ่านความรู้สึกของเขาได้หมดแน่ๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอกน่าเบ่ค่อน” แต่แล้วก็จำใจเงยหน้าขึ้นมาแล้วฝืนยิ้ม
“อื้ม” แบคฮยอนพยักหน้าพลางส่งมือขึ้นมาลูบผมของจุนมยอน
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่นะเบค่อน” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบรื่น กระนั้นคนฟังก็ยังจับได้อยู่ดีว่าปลายเสียงออกจะสั่นเล็กๆ เพราะความรู้สึกน้อยใจที่เขาเริ่มสะสมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้กำลังผลักดันให้น้ำตาไหลออกมา
จุนมยอนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้...
ถ้าเขายังยืนยันจะอยู่ที่เดิมก็ต้องร้องไห้ให้คนอื่นเห็นและสุดท้ายทุกคนก็คงจะหัวเราะเยาะ
“กลับก่อนนะ”
ไม่มีทางเลือกอะไรเลยด้วยซ้ำ หากว่าต้องการจะไปให้พ้นก็มีทางออกเพียงแค่ทางเดียวคือจุนมยอนต้องเดินตรงออกไปทางหน้าร้าน และแน่นอนว่าทางนั้นก็ต้องผ่านคริสพร้อมทั้งใครอีกคน
คนตัวเล็กลุกขึ้นและเดินตรงไปทางหน้าร้าน จุนมยอนมองแต่เท้าตัวเองจึงไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าคริสจะเห็นเขา หรือเพียงคิดที่จะมองกันบ้างหรือไม่ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้เลย
“จุนมยอน!”
แบคฮยอนหัวเสียอยู่กับตัวเอง แล้วก็ทำได้แค่มองหน้าไคเพียงเสี้ยวเศษวินาที เพราะเขาไม่มีเวลาแม้จะต่อว่าอีกฝ่ายแม้เพียงสักเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ก็สำหรับตอนนี้มีสิ่งที่สมควรที่จะทำมากกว่าซึ่งนั่นก็คือการตามไปดูจุนมยอน
แบคฮยอนไปแล้ว...
และ...ในที่สุดก็เหลือไคเพียงคนเดียว...
เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไคตามไปยังทางที่เพื่อนของเขาทั้งสองเดินออกไป และไม่นานหลังจากที่หยุดดวงตาไว้ที่ใครอีกคน ใครคนนั้นก็รู้ตัวแล้วก็ส่งยิ้มกลับมา
ยิ้ม ...ยิ้มให้กันแค่นั้นแล้วต่างฝ่ายก็ต่างรออาหารจานโปรดต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่านี่คือแผน...
นอกเสียจาก ไคและลู่ฮาน
TBC…
เค้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอโทษ...
มันนานมากกก พอดีว่าหลบไปแต่งฟิคโปรเจ็คมาค่ะ
จะมีใครคิดถึงตัวป่วนสองคนนี้บ้างนะ
หลังจากนี้ไคกับลู่ก็คงจะมีบทบาทในการสร้างความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นนะคะ
อิอิ ว่าแล้วก็ฝากลิ้งค์โปรเจ็คด้วย หะหะ http://chanbaekmania.exteen.com/20121214/chan-baek-turned-into-infinity-book-project-1
ขอบคุณที่ยังตามอ่านแม้ไรท์เตอร์จะดองบ้างอะไรบ้าง *กอดเรียงตัว*
ความคิดเห็น