คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : CHAPTER 9
CHAPTER 9
เป็นความจริงที่ว่า...
คนเราเวลาอยากได้ยินอะไร ...ก็มักเลือกที่จะฟังแต่สิ่งนั้น…
พี่ซีวอนก็เลยเลือกที่จะโทรหาไคแทนที่จะเป็นแบคฮยอน
คนตัวเล็กนั่งอยู่ที่ปลายเตียงและพี่ชายของเขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่เข้าคู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ จุนมยอนได้ยินว่าพี่ซีวอนถามอะไรไคบ้าง แต่ก็ไม่ทางรับรู้ได้เลยว่า ...ฝ่ายนั้นตอบกลับมาอย่างไร
ที่จุนมยอนทำได้ ...ก็เพียงแค่มองดูรวมทั้งลุ้น ทั้งที่อยากจะห้ามแต่ก็ทำไม่ได้...
ไคจะบอกอะไรบ้าง ...มันจะบิดเบือนจากความเป็นจริงมั้ย... และถ้ามันตรงกับความเป็นจริงเกินไปล่ะ เขาควรทำยังไงดี...
“โอเค ...ขอบใจมากไค” พี่ซีวอนมองหน้าเขา ...และพวกเขาก็จ้องหน้ากัน
แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ...พี่ซีวอนทำเพียงลุกขึ้น ปรายตามามองส่งผ่านความรู้สึกชาวาบมาให้เขา ก่อนที่จะละสายตาออกไปพร้อมทั้งเดินตรงดิ่วไปทางประตูห้อง...
สัญชาตญาณกำลังบอกให้จุนมยอนรีบวิ่งตามไปทันที
แน่นอน ...เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่อยู่ในหัวของพี่ชายเขาตอนนี้
เห็นคนที่เดินลิ่วอยู่ตรงหน้าเปิดประตูห้อง จุนมยอนก็ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เขาก็แค่กำลังรู้สึกกังวลแค่เรื่องที่ว่า ...ถ้าเปิดประตูพรวดออกไปแล้วเจอคริสโผล่มาตัวเป็นๆตอนนี้ คิมจุนมยอนจะสามารถเอาตัวรอดได้เหมือนครั้งก่อนๆมั้ย...
แต่ก็ไม่ได้คิดถึงขั้นว่า ...พี่ชายตัวสูงชะลูดจะเอาท่อนแขนแข็งแกร่ง ทุบป้าบๆๆเข้าไปที่ประตูบานนั้น ประตูห้องที่อยู่ข้างๆกันซึ่งนั่นก็คือห้องของคริส เขาได้แต่ยืนตาค้างอยู่ที่หน้าประตูตัวเองและส่งเสียงร้องออกไปว่า “อย่า!”
แต่ไม่ทันแล้ว ...
จุนมยอนช็อคขาแข็งไปเลยในตอนที่เห็นว่าพี่ชายเขาทำแบบนั้น มิหนำซ้ำยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเล็กๆของเขาถูกพี่ชายดึงให้ไปยืนอยู่ข้างหน้า มันก็เลยกลายเป็นว่าถ้าคริสอยู่ในห้องและเปิดประตูออกมาจริงๆตอนนี้ หมอนั่นก็คงจะได้เห็นเขาก่อนเป็นอันดับแรกแน่ๆ
“พี่ซีวอน” ในทันทีที่ตระหนักว่าทุกอย่างลงเอยแบบนั้น คิมจุนมยอนก็แหงนใบหน้าหาพี่ชายตัวเองด้วยคิ้วที่ขมวด พอจะย้ายตัวเองออกไปจากตรงนี้กลับพบว่าไม่สามารถทำได้เลย เพราะพี่ซีวอนจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น
“พี่ต้องคุยกับเขาจุนมยอน”
นี่ไค... บอกถึงขนาดเรื่องที่ห้องติดกันเลยเหรอ... แล้วนอกเหนือจากนั้นล่ะ…หมอนั่นบอกอะไรไปอีกบ้าง โทรไปถามไคตอนนี้ทันมั้ย...
“ม...ไม่เห็นต้องคุยอะไรเลยนี่”
“อ้าว ...ก็ถ้าไม่คุยแล้วจะรู้เรื่องได้ไง ...จุนมยอนไม่ยอมบอกกับพี่ตรงๆเองนะ” สรุปแล้วไอ้ที่ทุกอย่างกำลังดำเนินอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเขาสินะ
“ฮื้ออออ ก็ได้ๆ ถ้าพี่อยากรู้เรากลับไปคุยกันที่ห้องเราเถอะ ผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังให้ ห...หมด” ไม่ทันขาดคำคนตัวสูงเจ้าของห้องก็โผล่ใบหน้าออกมาจากช่องประตูที่เพิ่งเปิดออก เล่นเอาจุนมยอนใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เฮ้ย...!
อยู่ได้ไง ...?
พอถามตัวเองได้แบบนั้น คำตอบก็พุ่งยิงเข้ามาใส่เขแบบไม่มีหยุดยั้งราวกับถูกโจมตีด้วยลูกธนูจากข้าศึก ไม่เห็นแปลกนี่จุนมยอน ...คริสก็มาด้วยกันกับเขา ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างแน่นอนว่าคนตัวสูงต้องกลับเข้าห้องมาทีหลัง แต่จากระยะเวลาที่พี่ซีวอนใช้ไปในการล้วงเอาทุกๆอย่างออกมาจากปากไคก็ใช้เวลาไปพักใหญ่ๆเหมือนกัน ถ้าคริสไม่ได้เถลไถลไปที่อื่นก่อนหรือว่าเดินช้าเป็นเต่าคลาน คนจีนตัวสูงก็ต้องถึงห้องหลังจากเขาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ
คริสมองรวมทั้งพยายามที่จะสบตา แต่ก็เล่นเอาจุนมยอนต้องรีบก้มหน้ามองพื้นทันที ในตอนนั้นก็เลยไม่ทันเห็นคริสที่ก้มหัวให้พี่ซีวอน แม้จะดูเงอะงะให้ความรู้แปลกๆไปบ้างกับท่าทางของคริส แต่ก็เล็งเห็นได้ไม่ยากว่านั่นคือความจริงใจรวมทั้งตั้งใจที่จะทำความเคารพกันจริงๆ
“ผมเป็นพี่ชายเขา” มือใหญ่ที่เคยล็อคแขนน้องไว้เลื่อนขึ้นมาจับบ่าจุนมยอนไว้สองข้าง การบีบเข้าที่ต้นแขนเบาๆเป็นการแสดงที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่ว่าหมายถึงใคร
คริสไม่ได้ต่อความอะไรหลังจากนั้น ชายหนุ่มก้มศีรษะให้อีกครั้งตามมารยาท ก่อนจะส่งสายตาถามต่อหาจุดประสงค์ ซีวอนเองยังนึกแปลกใจว่าทำไมถึงนิ่งได้ขนาดนั้น ทั้งๆที่ตอนนี้ก็รับรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว...
“มีคนบอกผมว่าพวกคุณเป็นแฟนกัน”
“พี่ซีวอน” จุนมยอนสะดุ้ง ส่งเสียงหวานค้านดังแว่วๆ
ซีวอนวางมาดผู้ใหญ่จนดูน่าเกรงขาม สำหรับจุนมยอน ได้ยินแค่เสียงนี่ก็รู้สึกขนพองจะแย่แล้ว คริสอึ้งๆไปนิด โดยที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอะไร เขาแค่ต้องการจะถามคนตัวเล็กตรงหน้าก่อนว่าอยากให้ตอบแบบไหน
แต่จุนมยอนก็ไม่ยอมมองมาบ้างเลย ...ถึงตรงนี้ก็เลยทำได้แค่อึกอัก… ซึ่งแปลกเพราะโดยบุคลิกแล้ว คงไม่มีใครมองคริสว่าชายหนุ่มอย่างเขาน่ะเหรอจะขาดเชื่อมั่นหรือมั่นใจ
ถ้ามองเผินๆ ...ประเมินเอาจากลักษณะภายนอก คนคงฟันธงกันได้แบบไม่มีลังเลเลย ...คริสกับซีวอนน่าจะเป็นคนที่มีอุปนิสัยคล้ายๆกัน
“แล้วจริงหรือเปล่า?”
“...” เป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครตอบอะไร
“ก็ถ้าจริง ...ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่จะทำอะไรก็ขอให้อยู่ในหูในตากันบ้างเท่านั้น” คริสพยักหน้ารับ เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆนี่ คนที่อยากจะให้พูดอะไรบ้างก็ไม่ยอมปริปากยอมเอ่ยอะไรออกมาบ้างเลย หนำซ้ำยังไม่มีวี่แววที่จะสนใจอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
“จุนมยอนเข้าห้องไปก่อนไป” ว่าแล้วก็ดันหลังน้องจนเจ้าของชื่อหันมามองด้วยดวงตากลมโต ท่าทางก็เหรอหราเต็มสูบ
จะไม่มีอะไรได้ยังไง...
พี่ซีวอนโกหกเขา แบบนี้มันน่าสงสัยมั้ยล่ะ...เพราะถ้าไม่มีอะไรจริงๆก็ต้องคุยต่อหน้าเขาได้สิ ...
“ไปสิ” แรงที่พี่ซีวอนใช้เพิ่มขึ้นจนกระเด้งตัวไปจนเกือบถึงหน้าประตูห้องตัวเองแล้ว จุนมยอนพยายามจะดื้อบ้างก็ตอนนี้ นี่คิดว่ารากฐานในการยืนมั่นคงแล้วเชียวแต่ก็สั่นคลอนจนได้เพราะตัวใหญ่ๆของพี่ซีวอนแท้ๆเชียว
ที่ดื้อเพราะเขาเดินเข้าห้องไปไม่ได้ต่างหาก ความลับที่เก็บมาสี่เดือนจะมาแตกโพล๊ะตอนสถานะระหว่างเขากับคริสเปลี่ยนไปแล้วแบบนี้เนี่ยนะ (จะเพราะอุปโลกน์หรืออะไรก็แล้วแต่ ...แต่คนเขาก็พูดกันไปจนทั่วแล้วนี่ว่าคือแฟนกัน) เกิดถ้าคริสอยากใช้สิทธิ์ในคำจำกัดความในความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเรียกร้องความใกล้ชิดมากกว่าที่จำเป็นขึ้นมา ...จุนมยอนไม่ถึงกับต้องเรียกคนมาเผาร่างไร้วิญญาณของเขาให้กลายเป็นเถ้าธุลีไปเลยเหรอ...
โอ๊ยยย บ้าเอ๊ย!
คิดอะไรเนี่ย ...คริสจะมาอยากใกล้ชิดเขาทำไมกัน ...นี่แค่ต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันฝ่ายนั้นยังนึกต้องการมันหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย
จุนมยอนไม่สามารถเปิดประตูแล้วเดินตรงดิ่วเข้าห้องไปอย่างสง่างามที่เคยทำปกติไม่ได้เลยจริงๆ
แกร่ก
มันคือเสียงเปิดประตู ...สำคัญกว่าตรงที่มันคือห้องเขาด้วยนี่แหละ จุนมยอนกำลังมองยืนใบหน้าที่สูงขึ้นไปด้วยดวงตาละห้อย แต่เชื่อได้แน่ว่าคนไม่มีหัวใจ(เพิ่งจำกัดความให้เดี๋ยวนี้)อย่างพี่ซีวอนไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่น้องชายที่โตมาด้วยกันอย่างเขาพยายามสื่อสารด้วยอย่างแน่นอน สังเกตได้จากแรงที่กำลังดันร่างเล็กๆของเขาให้จมหายเข้าไปหลังบานประตูก่อนปิดประตูดังปึง
ซีวอนจะรู้มั้ย ...ว่าจุนมยอนกำลังมีความคิดอยากจะกระโดดระเบียงหลังห้องแล้วตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด พี่ซีวอนจะต้องเสียใจที่ทำกับเขาแบบนี้ น้องชายคนเดียวจะโดดลงไปจริงๆด้วย
เพียงเพราะแค่...
ความลับของจุนมยอนที่มีต่อคริสมานาน ...
มัน! แตก! แล้ว!
หลังจากส่งน้องชายตัวเล็กกลับเข้าห้องไปเสร็จ ซีวอนก็หันมาพูดกับอีกคน “จะไม่เชิญเข้าไปข้างในหน่อยเหรอ?” คนพูดยักคิ้วแต่สีหน้าเรียบนิ่งจนเดาไม่ออก
“มีเรื่องจะคุยกับผมมากมายขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” แง่หนึ่ง ...ถ้าพอมีทัศนคติที่ดีเหลืออยู่บ้าง ก็อาจจะมองได้ว่าคริสเป็นคนจีน ดังนั้นการเลือกใช้ภาษาวัฒนธรรมหรือมารยาทในการที่จะยกมาใช้นั้นคงยังไม่มีขีดความสามารถในการคัดกรองที่ดีนักถึงได้เลือกที่จะเปล่งประโยคที่ดูกวนประสาทไม่น้อยพวกนี้
แต่ถ้ามีแนวโน้มว่าจะอคติ ...ประโยคประเภทนี้ ...มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับการหาเรื่องนักหรอก
โชคดี ที่ซีวอนเองกำลังพยายามคิดในแง่ดี ไม่งั้นงานนี้คงได้วางมวยกันแน่ ...เพราะถ้านับรวมในเรื่องที่ฟังจากไคด้วยแล้ว ถ้าเขาจะเป็นฝ่ายตั๊นหน้าคนตรงหน้าก่อนก็ไม่ถือว่าเกินไปจริงๆ “ก็มาก”
คริสลังเลอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่แล้วก็ตัดสินใจอ้าบานประตูให้กว้างมากกว่าเดิม พร้อมทั้งส่งให้ซีวอนเดินเข้าไปก่อน “เชิญครับ”
ซีวอนประหลาดใจเล็กน้อยที่แววตาที่คริสเวลามองมาที่เขา ทำไมถึงไม่ยักกะเป็นแบบที่เขาหรือใครๆต่างก็คาดไว้เลย จะใครก็เถอะ ...ในยามที่ต้องเจอเข้ากับญาติผู้ใหญ่ของคนรัก ไม่มากก็น้อยก็ต้องมีแววประหม่าที่เปล่งเป็นรัศมีออกมาบ้าง ...แต่นี่ไม่มี...
หมอนี่นิ่งมาก ...แต่อยู่ๆก็นึกขันขึ้นมาไม่น้อย ในตอนที่ลองสังเกตดูดีๆ เขากลับรู้สึกเหมือนได้ส่องกระจก ซีวอนเหมือนกำลังเห็นตัวเองยังไงก็ไม่รู้
ในจังหวะที่ละสายตาจากคนที่สูงแตกต่างกันได้ไม่เท่าไรแล้วกวาดไปรอบๆห้องบ้าง ก็มีเรื่องให้ต้องนึกแปลกใจอีก
เป็นระเบียบกว่าที่คิดเยอะแฮะ แม้แต่ผ้าห่มยังพับเก็บเรียบร้อย แม้จะรู้สึกชื่นชม แต่ซีวอนไม่ได้แสดงออกซึ่งอาการพอใจมากนัก ชายหนุ่มยังคงวางมาดนิ่งเฉยได้เหมือนเดิม
เขาก้าวอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะใช้สำหรับทำงานอ่านหนังสือ แต่แทนที่จะนั่งลงไปบนเก้าอี้ ซีวอนกลับยืนแล้วเอตัวอิงไปกับโต๊ะตัวเดียวที่มีอยู่ในห้อง
“จะไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะ” คริสที่ลงนั่งบนปลายเตียงตัวเองก่อนหน้านั้นแล้วยังคงไม่ส่อแววสะทกสะท้านอยู่เหมือนเดิม
“ได้ยินมาว่า ...อยู่ๆคุณก็ฉกน้องชายผมมาจูบ” บางทีซีวอนก็นึกอยากจะทำเรื่องที่พี่ชายสมควรทำจริงๆเมื่อรู้ว่าน้องตัวเองถูกฉวยโอกาส ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนที่สุขุมพอเกินกว่าจะทำเรื่องป่าเถื่อนโดยที่ไม่คิดจะฟังอะไรใครเลย แล้วยิ่งเห็นท่าทีของคู่กรณีตอนนี้ด้วยแล้ว เป็นใครก็คงอดใจไม่ไหวต่อยเข้าให้สักป้าบแน่
มันขัดหูขัดตาแปลกๆ
“มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ย” คริสนิ่งไปราวกับกำลังใช้ความคิด แต่ถ้าต้องให้เดาบอกได้เลยว่าซีวอนก็เดาไม่ถูก
ในจังหวะที่เหมือนจะมีคำตอบให้แล้ว เจ้าของเรือนผมสีเหลืองทองก็สบตากับแขกแล้วก็ตอบด้วยทีท่าเดิมๆ ดูไม่ออก เดายากจนน่าถอดใจ
“ไม่คำอธิบาย” ชะงักไป ...ก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ “ผมแค่....”
“ .....ชอบเขา”
แทนที่จะพึงพอใจ ...แต่ซีวอนกลับทำได้เพียงแค่นยิ้มเย็น
“อย่างนี้ก็หมายความว่า ...ไม่ว่าจะใครที่คุณชอบ คุณก็จับเขามาจูบแบบนี้เสมองั้นสิ?”
เอาแล้ว ...คริสแค่คิดจะเอาตัวรอดด้วยการบอกตรงๆว่าเขาชอบ เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจไม่ได้คิดแค่ว่าอยากจะแสดงให้ลู่ฮานเห็นว่าเขามีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งอันที่จริงแล้ว ...เรื่องจริงก็มีเพียงแค่เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียวนั่นแหละ แต่ก็กลัว...ถ้าขย้อนออกไปทั้งหมด ด้วยความมักง่ายและเห็นแก่ตัวก็อาจจะทำให้เขาถึงขั้นตายได้เลย ซึ่งตอนนี้คริสก็ไม่ได้อยากตายเลยจริงๆ เขายังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นและยังอยากจะทำอยู่
กระนั้นแม้จะโกหกเพื่อเอาตัวรอดไปแล้ว แต่ทว่าอาการของอีกฝ่ายที่แสดงออกก็ทำให้รู้เลยว่าไม่ว่าคำตอบจะปากของเขาจะออกมาในลักษณะไหน คนที่มีท่าทีว่าหวงน้องขนาดนั้นก็คงจะไม่พอใจวันยันค่ำอยู่ดี
“ผมไม่เคยชอบใครมาก่อน” แต่เรื่องนี้เรื่องจริง ...ซึ่งนั่นก็หมายรวมจุนมยอนเข้าไปด้วย
“แล้วต่อไป...?” มันหมายความว่า ...ถ้าเกิดต่อไปในอานาคตแล้วคริสเกิดรู้สึกดีกับใครขึ้นมาอีก เขาก็จะใช้วิธีการเดิมๆแบบนี้อีกใช่หรือเปล่า... นั่นคือความหมายของซีวอน
“ต่อไป...” คริสพึมพำออกมากับตัวเอง ไม่นานหลังจากนั้น ...ชายหนุ่มก็ใช้ดวงตาคมสบเข้ากับลูกแก้วสีดำในตาของอีกฝ่ายที่อายุมากกว่า ซึ่งครั้งนี้ความรู้สึกของซีวอนสามารถจับได้เลยว่ามันมีความหมายว่าจริงจังแฝงอยู่มากมายเลยทีเดียว
“ต่อไป ...ผมก็จะชอบน้องคุณ”
ไม่ใช่ตอนนี้ ...คริสมั่นใจว่ายังไม่ใช่...
แต่ต่อไป...
คนที่เพียงทำให้นึกถึงแล้วยิ้มได้ ...คริสก็คิดว่าน่าจะต้องเป็นคนนี้แล้วล่ะมั้ง...
“ดี ...จริงใจดี แต่เพียงแค่นี้ ...ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะปลาบปลื้มนายหรอกนะ” สรรพนามผิดหูผิดตาจนคนฟังยังตาโตขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกแปลกใจ
“ถ้าจะจีบก็ไม่ได้ห้าม หรือถ้าจะพูดกันตรงๆก็คือห้ามไม่ได้” คริสดูจะสนใจในสิ่งที่ซีวอนพูดไม่น้อย
“....”
“แต่!” คำนี้ดูมีอำนาจจนคนฟังตกใจ “แค่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าจะจูบได้”
“แล้วถ้าผมรัก...” คริสไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดแบบนั้นออกไป …เขารู้ว่าความหมายที่แท้จริงของซีวอนอาจจะไม่ได้หมายถึงเรื่องของความรู้สึก แต่มันหมายถึงสิ่งที่เขาได้ทำพลาดไปแล้วต่างหาก มันก็คงเหมือนเป็นการเตือนไม ให้เขาทำแบบนั้นเป็นครั้งที่สอง
“จุนมยอนก็ต้องรักนายด้วย” คำตอบเป็นอะไรที่เกินคาดจริงๆ คริสรู้สึกเหมือนว่ากำลังได้รับโอกาสรวมทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดถึงจนอดที่จะตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
แปลกใจอยู่กับตัวเองจริงๆ
นี่เขาจะตื่นเต้นไปกับมันทำไมนะ...
“อืม ...จะทำอะไรก็ขอให้รู้ว่าฉันกำลังมองอยู่ก็พอ แต่บอกตรงๆนะว่าไอ้เรื่องอยู่ๆก็บุ่มบ่ามจูบเลยน่ะมันไม่ได้หล่อเลยนะไอ้น้อง” เขาพูดติดตลก ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินลากเท้าเข้าไปใกล้อีกคนพอถึงตัวก็วางมือลงบ่า ตบด้วยแรงที่มากพอสมควรจนคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงถึงกับสะอึก
“แต่ในเมื่อมันเสียไปแล้ว ...ยังไงก็คงเรียกคืนกลับมาไม่ได้ บอกตามตรงว่าถ้าฉันไม่กลัวว่าจะเสียประวัติเสียค่าปรับแล้วล่ะก็... ความจริงก็อยากจะซัดหน้านายสักสามสี่ครั้งด้วยซ้ำ” ซีวอนหัวเราะหึจนคริสนึกเสียวสันหลังวาบ
“แล้วจะบอกต่ออีกว่า ...จุนมยอนถึงเขาจะดูอ่อนไหวต่ออะไรง่ายๆแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะโอนเอนหรือมีใจให้ใครได้ง่ายๆ แต่ถ้านายทำได้ ...ก็บอกได้เลยว่าโชคดี” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ...ถึงได้เดินจากไปเลย
คริสกำลังใช้ความคิด นานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่ทั่วห้องว่างเปล่าทั้งที่ความจริงก็มีเฟอร์นิเจอร์มากมายเต็มห้องไปหมด ตั้งแต่พี่ชายของฝ่ายคนที่เขากำลังเห็นภาพอยู่เต็มสมองตอนนี้หายไปจากห้อง
ภาพของจุนมยอนในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันกลับกำลังให้เขาคลี่รอยยิ้มและมันก็กำลังกว้างขึ้นเรื่อยๆ
คงต้องเป็นความโชคดีอย่างซีวอนบอกจริงๆนั่นแหละ
ถ้าจะมีเพียงคนเดียวที่โชคดี …
ถ้านับจากตรงนี้ ตอนนี้ ...คริสก็นึกอยากจะให้เป็นเขาเสียแล้ว
TBC…
ความจริงแล้วพี่ซีวอนก็ไม่ได้ดุอย่างที่คิด
แต่งมาถึงตรงนี้แล้ว...
เริ่มจะรู้สึกว่าฟิคมันต้องยาวมากแน่ๆเลย 555555555
แต่งเรื่องไหนก็อยากให้มันจบ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน~
จะพยายามมาต่อเรื่อยๆนะคะ ฮี่~
ความคิดเห็น