ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #23 : CHAPTER 21

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 631
      1
      16 มิ.ย. 56

     

    CHAPTER 21

     

     

     

     

    ลู่ฮานจะไม่พยายามมองไปข้างหลัง แต่ใช้วิธีการใช้หางตาหรือที่เรียกว่าเหล่เอาแทน มีใครบางคนกำลังตามมาแน่ๆ และก็มั่นใจมากว่าไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่เขาไล่ไปให้พ้น เป็นคนเดียวกับที่ทำตัวเป็นพระเอกดึงแขนเขาออกมาจากตอนที่คริสตอกคำพูดที่ทำร้ายจิตใจประโคมใส่หน้า

     

    แต่รู้มั้ย...การที่มีใครสักคนทำแบบนั้น แล้วเห็นว่าเขาเสียหน้าอย่างไร มันทำให้เขายิ่งรู้สึกพ่ายแพ้ เสียหน้า และยิ่งน่าสมเพชหากฝ่ายที่มาเห็นเหตุการณ์รู้สึกสงสาร  แล้วยิ่งเป็นไคคนที่เห็นว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองสูงขนาดไหนด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าอยากอยู่คนเดียวมากกว่า

     

    “จะตามไปถึงไหน” ลู่ฮานกวาดสายตาไปข้างหลัง ร่างหนึ่งที่น่าจะเดินตามกันมาตลอดทางผลุบหายเข้าไปหลังต้นไม้มีซึ่งมีขนาดไม่ได้ใหญ่ไปกว่าขาคนมากนัก ชัดเจนว่ามีหนึ่งคนพยายามจะสิงต้นไม้ต้นนั้น แต่ทำอย่างไรก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้

     

    ลู่ฮานอยากร้องไห้เหลือเกินแต่ก็ร้องไม่ได้...เขาต้องเข้มแข็งในขณะที่มีใครบางคนยังเฝ้ามองอยู่

     

    “ออกมาเดี๋ยวนี้เลย” ร่างที่เขาเห็นยังยืนนิ่ง

     

    “ถ้าไม่ออกมาก็ไม่ต้องคุยกันอีกเลย” ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าการพูดแบบนี้ออกไปมันจะได้ผล และมันก็ได้ผลจริงๆ ไคก้าวขาออกมาด้านหนึ่ง มองตรงมาไปที่ลู่ฮาน สบตาอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไคไม่รู้จะพูดอะไร เขารู้ว่าลู่ฮานคงรู้สึกแย่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็คงไม่ใช้วิธีการพูดปลอบหรือให้กำลังใจกัน เพราะมันคงจะแปลกจนทำให้เคอะเขินน่าดู

     

    “จะตามมาสมน้ำหน้าฉันหรือไง” นั่นไง...ลู่ฮานเปิดประเด็นฮาร์ดคอร์ก่อนซะงั้น ไคอ้าปากแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะตอบกลับไปด้วยประโยคที่ฮาร์ดคอร์พอกันหรือใช้คำพูดที่สวยหรูเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้หรือไม่ ไคกำลังแปลกใจอยู่กับตัวเองนี่เขาแคร์อีกฝ่ายถึงขนาดนี้แล้วเหรอ

     

    “ใครบอกฉันตาม...ฉันไม่ได้ตามนายซะหน่อย”

     

    “นายคิดว่าฉันโง่เหรอ ตัวก็ออกใหญ่ไปหลบหลังต้นไม้แบบนั้นคิดว่ามิดมากไง๊...” เชิดหน้าถามด้วยอารมณ์เหมือนคนหาเรื่องแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก ประโยคหลังนี่มากกว่าที่เขาอยากให้อีกฝ่ายตอบ

     

    “ตกลงตามไม่ตาม...ถ้าไม่ได้ตามฉันมา ถ้าไม่ได้นึกจะสนใจกัน ไม่ได้เป็นห่วงฉันสักนิด นายก็ไสหัวไป อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามากไปกว่านี้เลย”

     

    “อย่าคิดแบบนั้นสิลู่ฮาน” เสียงของไคดังขึ้นเบาหวิว

     

    “อู๋ฟานทำขนาดนั้น นายจะให้ฉันคิดยังไง เขาไม่ต้องการฉันขนาดนั้น นายจะให้ฉันรู้สึกยังไงได้หรือไค” แม้จะไม่มีน้ำตาสักหยด แต่น้ำเสียงที่สั่นเครือและดังขึ้นด้วยอารมณ์ก็มากจากความเสียใจ ...ไครู้ดี

     

    พอมองหน้ากันไคก็รู้ว่าลู่ฮานต้องกลั้นกลืนความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ข้างในไม่ให้เอ่อล้นออกมามากขนาดไหน เขารู้ว่าต่อหน้าเขาลู่ฮานที่ดูไม่เคยพ่ายแพ้แก่อะไรสักอย่างจะแสดงถึงความอ่อนไหวอ่อนแอไม่ได้ ด้านเดียวที่มีและต้องคอยแสดงออกมาตลอดนั้นคือเข้มแข็ง

     

    และไคก็คงไม่ทำให้ลู่ฮานต้องสูญเสียความตั้งใจ เขาจะไม่พยายามคาดคั้นเอาความเจ็บปวดเสียใจของลู่ฮานออกมาจนอีกฝ่ายต้องเผลอแสดงออกในด้านที่ตัวเองไม่ต้องการอยากจะให้มันเป็น

     

     

    “ฉันจะพานายไปที่ๆหนึ่ง” พูดไม่พอ...คนที่มีสีผิวคล้ำกว่าเดินเข้าไปหาลู่ฮานพร้อมกันนั้นก็คว้าแขนเรียวของอีกฝ่ายไว้แน่นหนา

     

    “นายจะพาฉันไปไหน” ในขณะที่ถูกลากให้เดินตามไปลู่ฮานก็มีคำถามมากมายอยู่ในใจไม่พอยังได้โพลงถามออกไปด้วย

     

    “ถึงแล้วนายก็จะรู้เอง”

     

     

    ลู่ฮานเชื่อว่ามันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการเลย...

     

     

     

     

     

     

     

     

    ที่เส้นขอบน้ำทะเลมองเห็นเป็นสีส้มสลับแดงแซมเหลืองจาง แผ่นฟ้าทั้งผืนแทบไม่หลงเหลือสีฟ้าอย่างชื่อของมันอีกต่อไป ตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าจมหายไปเบื้องหลังของผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาแล้วพรุ่งนี้ถึงจะโผล่ขึ้นมาใหม่จากทิศทางที่ตรงกันข้ามกันอย่างเป็นสัจธรรม

     

    ไคละสายตาออกจากขอบฟ้าเบื้องหน้า หันพร้อมทั้งกดใบหน้าลงมองคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นทราย ตั้งแต่มาถึงลู่ฮานก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ถามต่อด้วยซ้ำว่านั่งรถมาไกลถึงอินชอนเพื่อนที่จะมาดูพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้ทำไม

     

    พอไคลากมาจนถึงตรงนี้ ลู่ฮานก็ทิ้งตัวนั่ง ทำท่าเหมือนไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก มองตรงไปเบื้องหน้าที่มีทั้งผืนฟ้าและน้ำทะเลที่มีเส้นแบ่งให้เห็นว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คนน่ารักนั่งฟังเสียงคลื่นอย่างเงียบเชียบสัมผัสถึงสายลมที่ไม่ว่าจะยังไงก็แฝงมลพิษได้ไม่เท่ากับการเดินถนนอยู่กลางเมืองแน่นอน ไม่รู้ว่าลู่ฮานรู้สึกอะไร แต่ก็คงจะดีกว่าวินาทีนั้นที่เขามองเห็นน้ำตาจากดวงตาคู่นั้น

     

    แต่ไคก็ค่อนข้างเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนตัวเขาแล้ว หากได้มาอยู่เงียบๆที่ซึ่งห่างไกลจากผู้คนขวักไขว่ บอกได้เลยว่ามันจะทำให้ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    “โฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ลู่ฮานสะดุ้งตกใจ หันไปหาอีกคนที่ตะโกนออกมาด้วยปากอ้าค้างก่อนจะฟาดแขนเข้าไปกลางข้อพับของอีกคนที่ยืนอยู่

     

    “เป็นบ้าอะไร อยู่ๆก็ตะโกน ตกใจหมด”

     

    “ตัวเบาเลยแฮะ” นอกจากจะไม่ว่าอะไรที่ตัวเองโดนฟาดเข้ามาเสียเต็มแรงแล้วไคยังมีหน้าจะมายิ้มกว้างให้อีกแน่ะ

     

    “บ้าเหรอ!” คนตาโตตะโกนว่าออกไปบ้าง

     

    “แต่ทำแบบนี้มันจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนะนายลองดูสิ” แนะนำอีกฝ่ายเสร็จไคก็ป้องปากตะโกนใส่ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาลนั่นอีกที

     

    “ฉันน่าจะซัดหน้าหล่อๆของมันอีกซักเปรี้ยงสองเปรี้ยงเว้ยยยยยยยย!!!!

                                                                                                                

     

    “โมโหโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!

                                     

     

    “นี่” ลู่ฮานกระตุกขากางเกงของไคอีก ราวกับอยากจะเรียกสติคนที่ดูท่าจะไม่ไหวแล้วให้กลับคืนมา แต่แล้วกลับกลายเป็นไคที่ดันโน้มตัวลงมาดึงแขนลู่ฮานพร้อมทั้งฉุดให้ลุกยืนขึ้นไปด้วยกัน

     

     

    “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”

     

    “ว้ากกกก” ไคตะโกนออกไปอีกครั้งก่อนจะหันหน้ามามองลู่ฮานแล้วส่งรอยยิ้มบางเบาให้ และลู่ฮานก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด

     

    “ลองดูสิลู่ฮาน...ถ้านายอึดอัดอยากระบายก็ตะโกนออกมาเถอะ มันช่วยได้มากเลยนะ”

     

    “ไม่เอาด้วยหรอก อยากจะบ้าก็บ้าไปคนเดียวสิ” แอบมีกะใจอยากจะลองอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าบอกว่าสนใจง่ายๆมันก็ดูไม่ดีสิ ไม่เอาด้วยหรอก เสียเชิงหมด

     

    “เขาว่าผมเป็นบ้า!!” ไคตะโกนอีก

     

    “เขาเองก็บ้าเหมือนกันนนนนนน”

     

    “ไอ้บ้านี่ นายก็บ้าไปคนเดียวสิ มาว่าฉันบ้าด้วยทำไม” ฟาดมือเข้าไปที่ท่อนแขนของอีกคนเต็มแรงด้วยความโมโหที่รื้อขึ้นมา แต่มันก็ทำให้แทบลืมเรื่องเกี่ยวกับคริสไปได้แทบทั้งหมดแน่ะ

     

    “ว่าอะไรนะ ฉันไม่ได้ยินเลย”

     

    “ประสาท!!” รอบนี้ลู่ฮานตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย

     

    “อะไรนะ”

     

     

    “หูหนวกหรือไง...ฉันบอกว่านายอ่ะประสาททททททททท” ไคยิ้มกริ่ม เพราะการยั่วให้ลู่ฮานรู้สึกโมโหจนต้องแสดงท่าทีกลับมาในรูปเดียวกัน มันก็หมายความว่าเขาทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

     

     

    “ยิ้มอะไร” นั่นไง...เริ่มมีแรงหาเรื่องกันแล้ว

     

     

    “แล้วดีขึ้นบ้างยังล่ะ” ไคหันมาถามด้วยความจริงใจกับรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของเขา ลู่ฮานลองยืนนิ่งๆทบทวน ลองหายใจเข้าออกช้าๆแล้วก็พบว่าหัวใจเต้นปกติ แต่มันกำลังจะเร็วขึ้นเมื่อเขาถือโอกาสลอบมองไปที่ดวงหน้าของไคอีกครั้ง                                               

     

    “อื้ม” ก้มมองปลายเท้าตัวเองพลางพยักหน้า

     

    “อยากรู้สึกดีกว่านี้อีกมั้ย” ลู่ฮานไม่รู้ว่าหน้าไคใกล้หูเขาแค่ไหน แต่เขาสัมผัสได้ว่าเสียงนี้มันดังมากกว่าประโยคก่อนหน้านั่นนัก พอตัดสินใจหันไปมองก็พบว่าริมฝีปากที่เปิดกว้างของไคนั้นอยู่ใกล้จนเขาต้องผละออกห่างทีเดียว                                                                             

     

    “....” ยังไม่ทันได้ตอบ ไคก็จับมือของลู่ฮานเอาไว้ทั้งสองข้างด้วยสองมือของตัวเอง ก่อนจะยกมือสองข้างนั้นขึ้นมาวางป้องไว้ระหว่างปากของลู่ฮาน

     

    “ท...ทำอะไรของนายเนี่ย”

     

    “ตะโกนเลย” ไคปล่อยมือออกจากลู่ฮาน แต่บิวต์แทนด้วยการปัดสองโบกไวๆกระตุ้นอีกฝ่าย “เอาสิ ...เอาเลย ด่าฉันก็ได้อ่ะ”

     

    “นายนี่มันบ้าจริงๆเลย”

     

    “ฉันก็เป็นห่วงนายนั่นแหละ ...ไม่อยากให้นายคิดมาก” ตอนไคพูดไม่ได้มองหน้าลู่ฮาน แต่หลังจากพูดจบลู่ฮานจึงหันไปมองไค เขาแทบจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

     

    พวกเขาเริ่มต้นแปลกๆ จากตอนแรกที่คบกันก็เพื่อผลประโยชน์ ร่วมมือกันเพื่อทำให้คนที่อยู่ในความสนใจของพวกเขาแตกแยกกัน ความสัมพันธ์ผัสแทบจะไม่อยู่ในขอบข่ายของคำว่าเพื่อนด้วยซ้ำ มองไคแล้วก็พบว่าไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะก้าวผ่านการเริ่มต้นรู้จักกันด้วยจุดประสงค์ที่ย่ำแย่กันทั้งคู่ จนมาตอนนี้ก็กลายมาเป็นเพื่อนที่เห็นใจอย่างไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

     

    ลู่ฮานแอบยิ้มบางเบา หลังจากคิดถึงเรื่องระหว่างเขากับไค เขาไม่โต้ตอบกลับในสิ่งที่ไคพูดก่อนหน้า เอาเป็นว่าเขารับรู้ สัมผัสได้ถึงความจริงใจของไคแล้วกัน

     

    คนตัวบางกว่าสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนที่จะตะโกนออกมาบ้าง

     

    “พอกันที!!!!!!!” ไคถึงกับยิ้มกว้าง เมื่อหันไปเห็นมือของลู่ฮานที่ป้องปากไว้ กับเสียงดังพุ่งออกไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

     

    “ฉันจะไม่ไปตามง้องอนนายอีกแล้วอู๋อี้ฟานนนนน”

     

    “นายมันหล่อไม่ได้ครึ่งฉันหรอก!!!

     

    “อู๋ฟาน...นายจะเสียใจ นายต้องเสียใจนายแน่ๆที่ไม่เลือกช้านนนนนนนนนน อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” เห็นคนที่เพิ่งตะโกนหอบแฮ่กแล้วก็อดขำไม่ได้

     

    การทำแบบนี้คงช่วยระบายความอัดอั้นออกไปได้บ้าง แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียพลังงานไปมากมายอยู่เหมือนกัน ลู่ฮานเองก็หอบจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด

     

    เหนื่อยหอบจนเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรออกมาอีกแล้วด้วยซ้ำ

     

    “หมดแล้วเหรอ...เอาอีกสิ” จนไคถาม ลู่ฮานถึงได้หันไปถามไคด้วยดวงตาที่โตขึ้นอีกนิด เหมือนอยากรู้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะถามจริงๆ

     

    “ฉันพูดได้ด้วยเหรอ” เจอคำถามนี้เข้าไปไคถึงกับงง แต่ก็คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการเออออแล้ววินาทีนี้

     

    “เอาเลย....ตะโกนออกมาอีกเลย”

     

    ลู่ฮานยังนิ่งทำหน้าราวกับครุ่นคิด จนเมื่อไคพยักหน้าให้อีกครั้ง เขาจึงเริ่มพูดออกไป รอบนี้มันไม่ถึงขั้นตะโกน

     

    “คิมจุนมยอนมีดีกว่าฉันตรงไหนกัน” ไม่ใช่ว่าจะไม่พยายามยั้งตัวเองนะ พูดออกไปแล้วก็มองไคไปเสียอีกที เห็นหน้าอึ้งๆไป คงไม่ค่อยดีแล้วกระมังน่ะ

     

    “ยังได้อยู่มั้ย” ถามเสียงอ่อย ก็สิ่งที่เขาอัดอั้นมันเรื่องของจุนมยอนเพื่อนสนิทไค มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่อีกฝ่ายหลงรักอีกด้วย

     

    “เกือบไม่ได้...” ไคยิ้มแหย ก่อนจะว่าต่อ “แต่ก็ได้นั่นแหละ ให้นายวันหนึ่งแล้วกัน” ลู่ฮานถึงกับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

     

     

    “แต่ไม่แล้ว...ฉันจะไม่โทษอะไรเพื่อนนายอีกแล้วหรอก” จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจุนมยอนเลย เรื่องรักคงไม่มีใครที่ผิด มีแค่รักกับไม่รัก และเขาก็ควรยอมรับความจริงได้ตั้งนานแล้วว่าคริสไม่เคยรัก ถ้าหากยอมรับความเป็นจริงที่เห็นมาตลอดได้ตั้งแต่ก่อนหน้านู้น วันนี้ก็ตัวเขาเองก็คงจะไม่ดูไร้ค่าขนาดนี้ในสายตาของคริส  

     

    ลู่ฮานถอนหายใจ “มันเหนื่อยนะ...วิ่งตามทั้งที่ก็รู้ว่าไม่มีทางทันน่ะ ...คงถึงเวลาที่ต้องหยุดแล้วล่ะ....”          

     

    “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เราคงเบรกกันตายล่ะเนอะ” ไคพูดติดตลก ก้ตามที่ตกลงกันพวกเขาสู้ดะไม่ฟังใครอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เมื่อผ่านการเรียนรู้ด้วยตัวของเราเอง คนเราทุกคนก็จะรับรู้ไปโดยปริยายว่าควรไหนควรหยุดหรือพอได้แล้วกับพยายามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

     

    “อืม...”

     

     

    แล้วมันก็เงียบไป ...มีเพียงแค่เสียงคลื่นของทะเลที่ซัดเข้าฝั่ง

     

     

    “ลู่ฮาน...” ไคมองอีกฝ่ายที่เอาแต่มองไปยังผืนท้องทะเลเบื้องหน้าที่กำลังถูกฉาบไปด้วยสีทึมเทาที่กำลังโรยราเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดก็อาจจะมืดมิด

     

     

    “นายอยากทำอะไรมั้ย” ลู่ฮานหันมองสบตาไคก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

     

     

     

    “ฉันจะกลับจีน”

     

     

     

     

     

                              

     

    จุนมยอนไม่ได้กลับมาอยู่ที่หอ เขายังใส่เฝือกอยู่คงไม่สะดวกหากต้องเดินขึ้นเดินลงชั้นสี่ทุกวัน และอาจจะทำให้หายช้าขึ้น พี่ซีวอนก็เลยมารับไปอยู่ด้วย โดยที่ฝ่ายพี่ชายจะเป็นคนคอยมาตามรับส่งเอง นี่ก็สามวันเข้าไปแล้วที่จุนมยอนแทบจะไม่ได้เจอคริสเลย พวกเขาไม่ได้เรียนในวิชาเดียวกัน กินข้าวด้วยกันก็นับมื้อได้ พี่ซีวอนแทบจะมารับเขาหลังจากเลิกเรียนแทบจะทันทีทุกครั้ง เคยมีครั้งหนึ่งที่ต้องประชุมดึกยังส่งเด็กฝึกงานที่ชื่อคยูฮยอนมารับเขาแทนเลย

     

    ซึ่งคริสไม่ชอบ...วันนี้ที่พี่ซีวอนไม่ว่างมารับ คริสถึงกับขันอาสาว่าจะไปส่งเอง ไม่มีรถขับก็พยายามหามาจนได้ เพราะพี่ซีวอนไม่มีทางให้จุนมยอนต้องกลับรถประจำทางเป็นอันขาดเพราะเจ็บอยู่แบบนี้

     

    จุนมยอนนั่งรอคริสอยู่ใต้คณะ ครึ่งชั่วโมงก็แล้วแต่ก็ไม่เห็นมาสักที หมุนคอมองหาจนจะครบร้อยสามสิบองศาอยู่แล้ว เขาเห็นคยองซูเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของตึก จุนมยอนยิ้มหวานให้ รอยยิ้มนี้ก็เลยเหมือนเรียกให้อีกฝ่ายเดินมาหาอย่างไม่มีข้อแม้เลย

     

    โดยไม่ได้คิดสักนิดว่าคยองซูอาจจะมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่แล้ว

     

    “มานั่งรอใครอ่ะ”

     

    “อ๋อ...” โดนถามอย่างนี้ก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที “คริสน่ะ” ก้มหน้าพูดเสียงค่อยซ่อนความอาย

     

    “ตอนนี้คงอยู่ห้องคณบดีล่ะมั้ง...เห็นว่าโดนเรียกเข้าไปพร้อมไค นายรู้มั้ยว่าสองคนนี้เขามีเรื่องอะไรกัน” จุนมยอนนั่งฟังนิ่งตาค้าง คนตัวเล็กค่อยๆทบทวนในสิ่งที่คนมาใหม่พูดอีกที

     

    “ว่าอะไรนะ”

     

    “ก็คริสกับไคน่ะสิโดนคณบดีเรียกเข้าไปพร้อมกันเลย นายไม่รู้หรอกเหรอว่าสองคนนี้เขามีเรื่องหรือปัญหาอะไรกัน” ยิ่งคยองซูพูดจุนมยอนก็ยิ่งไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

     

    “ม...ไม่รู้” จุนมยอนส่ายหัว พูดออกไปตามความจริง

     

    “ฉันคิดว่าถ้ามถามนายแล้วจะได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุดซะอีก ...แต่ก็ไม่รู้ว่าเชื่อได้มั้ย...แต่เท่าที่ได้ยินมาเขาบอกว่าสองคนนี้ชกต่อยกัน เรื่องถึงหูคณบดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่....นายไม่รู้เรื่องนี้หรอกเหรอ”

     

    จุนมยอนไม่รู้...ไม่รู้อะไรเลย...

     

    เขาจะฟังจากปากของใครได้บ้าง ถ้าเป็นจริงอย่างที่คยองซูพูด เรื่องนี้เกิดขึ้นนานหรือยัง แล้วมันเกิดขึ้นเพราะอะไร เป็นเพราะใครกัน...

     

    เขาควรทำอย่างไรดีเพราะอีกคนหนึ่งก็เพื่อน...อีกคนนึงก็......

    ...แฟน

     

     

    “แต่สงสัยจะต่อยกันจริงๆ...นายไม่เห็นรอยฟกช้ำบนหน้าคริสเหรอ” นั่นสิ...รอยช้ำขนาดนั้น เขาพลาดเองที่ไม่เอะใจ หลังจากที่คริสบอกเพียงว่าเดินชนประตู

     

    จุนมยอนลุกขึ้นทันที เขาใช้ค้ำช่วยในการลุกขึ้นยืนและการเดินโดยมีคยองซูช่วยมาพยุงช่วย จากที่ที่เขามานั่งรอคริสต้องเดินไปยังอีกตึกที่ตั้งอยู่ข้างๆกันเพราะห้องคณบดีอยู่ที่นั่น

     

    “ให้ฉันช่วยมั้ย” เมื่อเห็นว่าจุนมยอนกำลังพยายามจะเดินด้วยตัวเองออกห่างไปจากเขา คยองซูจึงร้องถามออกไป

     

    “ไม่เป็นไรคยองซู”

     

     

    จุนมยอนเดินต่อไปด้วยตัวเอง เดินไปเรื่อยๆยังไม่ทันถึงห้องคณบดี เป็นโถงทางเดินที่ใช้เชื่อมไปยังห้องที่เขาต้องการจะไปที่อยู่ริมสุดของตึกชั้นล่าง บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนักหากต้องเทียบกับอาคารที่ใช้ในการเรียนการสอน ตรงไปข้างหน้าคือห้องที่ว่า แต่ก่อนหน้านั้นมีทางแยกออกไปยังโรงอาหารของคณะและเป็นที่นั่งยาว จุนมยอนเดินชิดฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เขายังไม่ทันเห็นว่าใครนั่งอยู่จนกระทั่งได้ยินเสียง เสียงที่คุ้นกับบทสนทนาที่น่าสนใจ เขาจึงหยุดฟังโดยที่เอาตัวเองแนบผนังเอาไว้ก่อนจะถึงทางเลี้ยวไปโรงอาหาร มีคนคู่หนึ่งกำลังคุยกันอยู่ตรงนั้น

     

    “มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงล่ะคริส”

     

    “หมอนั่นคงโกรธที่ได้ยินฉันพูดว่าที่ฉันจูบจุนมยอนเพียงเพราะต้องการให้ลู่ฮานเลิกยุ่งกับฉัน”

     

    “นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ”

     

    “อืม...ก็ฉันทำทุกวิธีแล้ว ทำมาหมดทุกอย่างแล้วจริงๆแต่ลู่ฮานก็ไม่ยอมตัดใจไปซะที ฉันก็เลยต้องใช้วิธีนี้เพราะฝ่ายนั้นพูดเองว่าเมื่อไรที่เห็นว่าฉันมีแฟน แล้วจูบกับแฟนฉันต่อหน้าเขาก็จะเลิกยุ่งกับฉัน ตอนนั้นคว้าใครได้ฉันก็คว้ามาก่อน แต่แล้วลู่ฮานก็เหมือนผิดคำพูดที่ให้ไว้นั่นแหละ...หมอนั่นยังคงพยายามเข้าใกล้ฉันต่อไป”

     

    “นายทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ”

     

    “ฉันรู้....”

     

     

    ยิ่งกว่าถูกตบหน้าด้วยของแข็ง จุนมยอนยืนนิ่งอยู่กับที่ บทสนทนาที่ได้ยินเป็นของคริสกับชานยอลแน่นอน แต่คงไม่มีอะไรทำร้ายจิตใจได้เท่ากับประโยคที่ได้ฟัง

     

    มันหมายความว่าคริสไม่เคยจริงใจกับเขาเลย...จุนมยอนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกหยิบมาเดินในเกม เมื่อชนะได้ตามประสงค์ ถึงเวลาก็ต้องสลัดทิ้งไป

     

    น้ำนัยน์ตาหยดลงมาอาบแก้มแล้ว จุนมยอนก้าวขาเดินกลับไปทางเดิม เขาคงทนไม่ได้หากได้ยินอะไรที่ทำร้ายจิตใจไปมากกว่านี้

     

    จุนมยอนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว...

     

    เขาไม่อยากจะเชื่อว่าการโดนล้อเล่นที่หัวใจมันจะเจ็บมากมายขนาดนี้...

    มันเจ็บ...เจ็บมากๆเลย...

     

     

     

    “ตอนแรกฉันก็คิดแค่นั้นจริงๆ”

     

    “แล้วตอนนี้ล่ะ”

     

     

     

     

    “ฉันคิดว่า...ฉันคงชอบเขาแล้วจริงๆ”

     

     

    “....”

     

     

    “จุนมยอนน่ะ เขาเกิดมาเพื่อที่จะให้คนที่ได้อยู่ใกล้หลงรัก”

     

     

    คริสพูดออกไปในตอนที่จุนมยอนไม่ได้อยู่ฟังมันแล้ว...

     

     

     

     

    TBC…

     

    ขอโทษ นานมากค่าาาาาาา ไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้นนนน ว่าแต่มีคนรออยู่มั้ยเอ่ยยย

    ฟิคมันดราม่าพอดีกะที่พี่จุนร้องไห้พอดีเยยย

    โอ้ยยยย ดีใจกะน้องๆจริงๆค่า

    และจุดประสงค์หลักของเราเลยก็คืออยากกอดปลอบพี่จุน #ผิด ๕๕๕๕๕๕

    .ให้พี่คริสไปกอดปลอบกันเองดีกว่าวุ้ย นั่งรอโมเม้นท์ทุกวัน เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะมีฉากกอดปลอบซะที ไม่มีก็เลยต้องมานั่งมโนแบบนี้ ๕๕๕๕๕๕๕ เอ๊ะ หรือเขาจะไปปลอบกันเองแบบที่เราไม่มีทางเห็นกันน้า #นี่ก็มโน

    เอาตรงๆนะ ขอเห็นเถอะ ตัวฟิคไม่มีไรจะพูดอะ มาอัพแย้วนะ ร้องดังไปถึงดาวพลูโตชวนเพื่อนฝูงมาอ่านกันให้เยอะๆดั้ว

     

    แต้งค่ะ

    มั้วะๆ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×