ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #16 : CHAPTER 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      2
      6 มี.ค. 56

    CHAPTER 14

     

     

     

     

     

    เหมือนวันนัดรวมญาติ...

     

    ญาติเขา...และก็ญาติของคริส

     

     

    จุนมยอนเล่าให้ทั้งไคและก็แบคฮยอนฟังว่าคริสต้องการให้เขาเจอกับคนๆนั้น คนที่พวกเขาเข้าใจกันว่าน่าจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนลึกซึ้งกับคริสมากกว่าใครอื่นในโลก

     

    พอเล่าให้ฟังไป แบคฮยอนก็ลั่นวาจาออกมาทันทีว่าไม่ไปด้วยไม่ได้ จุนมยอนเพื่อนเขาทั้งคนจะปล่อยให้ไปเผชิญกับความกดดันเพียงลำพังอย่างนั้นได้อย่างไร หรือไม่อย่างน้อย ...ก็เอาไปกันหมาสักหน่อยก็ยังดีล่ะว้า... (ไม่รู้ว่าจะโดนกัดหรือเปล่า...แต่แบคฮยอนก็ไม่มีทางให้เพื่อนตัวเองโดนกัดโดยที่ไม่รู้จักการต่อสู้ไม่ได้ ถึงได้คิดจะไปสู้แทน) สิ้นคำแบคฮยอนไม่ทันไร ไคก็อาสาแบบนั้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน

     

    และคราวนี้แบคฮยอนก็ไม่ได้แย้ง ...เห็นด้วยทุกประการ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ขั้นนี้แล้ว ...ยังไงเสียสามหัวก็คงจะต้องดีกว่ายิ่งๆขึ้นไปอีกแน่ๆ

     

    หืม...? นี่ใช่การไปทำสงครามหรือเปล่านะ...

     

    มันก็ไม่ใช่สักหน่อยนี่...

     

     

    “นัดไว้ที่ไหนนะ” แบคฮยอนถามคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหลังเขาไปนิดหน่อย ...สาบานว่าไม่รู้ คนไม่รู้เขาจะเดินนำกันอย่างนี้นี่นะ แต่นั่นแหละ...จำได้ว่าจุนมยอนเคยบอกแล้วแต่ว่าเป็นตัวเขาเองที่จำไม่ได้

     

    “ค๊อฟฟี่ช็อปของคณะบริหาร” อ่อ...จริงด้วย แบคฮยอนเคยถามจุนมยอนด้วยซ้ำว่าจะถ่อไปทำไมถึงคณะบริหาร แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ แบคฮยอนก็นึกคำตอบให้ตัวเองออกได้

     

    เหตุผลก็คงน่าจะเป็นเพราะร้านนั้นเป็นร้านชื่อดัง อาจจะที่สุดในมหาลัย ใครคนใดคนหนึ่งถึงได้เลือกที่นั่น หรือไม่ก็คงมีชื่อของที่นั่นเด้งขึ้นมาในสมองเป็นที่แรกก็ได้

     

    ด้วยเหตุผลข้อนั้นจึงไม่น่าแปลกว่าทำไมใครต่อใครถึงได้เลือกที่จะถ่อไปจิบกาแฟสดควบคู่ไปกับการทานเค้กเนื้อแป้งนุ่มๆหน้าตาน่ากินกันที่นั่น

     

    เถอะ...จะไปไหนก็ไปเถอะ...

     

    แบคฮยอนอยากเห็นหน้าคนของไอ้เจ๊กเอกเกาหลีชัดๆนั่นใจจะขาด อยากจะรู้นักว่าคนที่จะทำให้เพื่อนเขาเสียใจจะน่ารักมากกว่าจุนมยอนขนาดไหนกันเชียว กระนั้นแม้จะว่าอย่างนั้นก็เถอะแต่วันนั้นที่ร้านสเต็กก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายน่ารักมากขนาดไหน

     

    เฮ้อ

     

    อย่างจุนมยอนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างนี้นี่นะจะเอาอะไรไปสู้ใครเขาได้ แล้วยิ่งอีกฝ่ายที่ดูกันเพียงภายนอกก็ดูน่าจะเป็นคู่แข่งที่ดูเหนือกว่าในทุกๆด้านแล้ว เพื่อนตัวเล็กสูสีกันกับเขาก็คงยิ่งอยากจะถอยทัพ กลับห้องไปเอาหน้าทุ่มลงกับหมอนแล้วนอนร้องไห้มากกว่าเดิมอีก

     

    “นายโอเคมั้ยเนี่ย?” พอรู้จุดหมายที่แน่ชัดก็ได้แต่เดินดุ่มๆ จังหวะที่มีกะใจหันไปด้านหลังก็พบว่าจุนมยอนอาจจะเดินช้าลงเรื่อยๆ เขาถึงได้เห็นคนตัวผิวขาวเดินตัวเหี่ยวคอตกอยู่ในระยะที่ห่างจากตัวเขาพอสมควร แต่ก็คงไม่น่าจะห่วงอะไรมากนัก เมื่อมีไคอีกคนที่คอยเดินระวังหลังให้ คงจะช่วยดูนั่นแหละ เผื่อเพื่อนเดินๆอยู่แล้วเป็นลมไปจะได้ช่วยเอาไว้ได้ทัน

     

    จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาลอยๆ สภาพร่างกายราวกับคนเพลียแดด ทั้งที่เวลาตอนนี้คือเวลาสี่โมงจนเกือบจะห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว

     

    “อื้อ” หือ...? ตอบแบบนี้นี่คือโอเคนะ ...แต่สภาพดูไม่ได้นะจุนมยอน

     

    “กลับหลังหันมั้ย?”

     

    “ไม่ดี...” คนตัวเล็กส่ายหัวประกอบคำปฏิเสธทันที “รับปากเขามาแล้ว”

     

    ก็เป็นเสียอย่างนี้แหละนะ เคยถามตัวเองบ้างหรือยังว่าไหวมั้ย ...นี่ถ้าต้องไปร้องไห้ต่อหน้าเขานี่น่าอายนะจุนมยอนนะ เป็นแบคฮยอนหน่อยไม่ได้ ...

     

    ...เสียใจแต่ห้ามเสียฟอร์ม!

     

    “โอเค” ตามใจจุนมยอนเสร็จ แบคฮยอนก็มองเลยไปด้านหลังของจุนมยอน พยักหน้าให้ไค และพวกเขาก็เข้าใจกันทันที ไคเขยิบเดินเข้ามาใกล้ชิดจุนมยอน มือเข้าจับแขน จุนมยอนแค่มองหน้าแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะปล่อยให้ไคพาเดิน

     

    ไม่ใช่อะไรหรอก หลังจากที่คริสชวนไปวันนั้น จุนมยอนก็กลับมานอนไม่หลับอีกแล้ว และไม่ได้เป็นแค่วันเดียวด้วยไง มันคิดมากอยู่กับเรื่องคนๆนี้ วกไปวนมาอยู่นั่นแหละ พอไม่ได้นอนเร็วๆเพราะนอนไม่ค่อยหลับ มันจึงสะสม เดินไปไหนมาไหนก็กลายเป็นผีจีน หน้าขาวตาลอยๆ

     

    แต่ก็คงไม่ได้ผิดปกติมากกระมัง เพราะปกติจุนมยอนก็ตัวขาวๆใบหน้าซีดเซียว ไร้การแต่งแต้มใดๆที่ทำให้มองเห็นถึงสีสันอยู่แล้ว คงต้องมาอยู่ใกล้ชิดจริงๆถึงจะรู้ว่า ...ตอนนี้ร่างกายดูจะห่อเหี่ยว หมดแรง หมดกำลังหรือแม้แต่เพียงกำลังใจในการจะทำอะไรแต่ละอย่าง ทั้งนี้อาการที่ส่อแสดงออกให้เห็นอยู่ภายนอกก็คงจะผลักดันออกมาจากข้างใน ที่หัวใจมันกำลังฟีบลงทุกขณะ

     

    เพราะคริส...อีกแล้ว...

     

    ไม่ว่าจะพองฟูหรือฟีบแบน ...อิทธิพลหนึ่งเดียวก็คือ...คริส

     

     

    ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งที่ห้อยตกแต่งอยู่ที่บานกระจกถึงได้ทำให้จุนมยอนเงยหน้าขึ้น ชั่ววินาทีนั้น ...คนตัวเล็กถึงได้รู้ว่าเขาเดินตามแบคฮยอน และถูกไคกึ่งลากกึ่งจูงมาจนถึงร้านที่นัดกับคริสรวมทั้งกับใครอีกคนเอาไว้นั่นแล้ว

     

    ลูกแก้วกลมสีดำที่กลิ้งอยู่ในเปลือกตาพลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาดีไซน์แปลกที่ผนัง หากแต่สิ่งนั้นกลับไม่ได้เป็นที่สนใจ เข็มนาฬิกาที่บอกเวลาที่อยู่บนหน้าปัดนั่นต่างหากที่จุนมยอนกำลังบันทึกลงในสมองพร้อมทั้งคำนวณ

     

    ช้าไปกว่าเวลานัด...15 นาที

     

    “นั่นไง...ทางนั้น” เสียงดังของใครอีกคนเกิดขึ้นข้างหู วินาทีนั้นจุนมยอนถึงตระหนักได้ว่ามันคือเสียงของไค คนที่พาเขาเดินมาตลอดทาง วูบแรกคนตัวเล็กไม่ได้มองไปในทิศทางที่ไคบอก เพราะไม่รู้ว่าคำว่า ทางนั้นของไค หมายถึงทางไหน จุนมยอนถึงได้เลือกมองไคก่อนแล้วจึงค่อยมองตามไปในทางที่ไคชี้ชวน

     

    เป็นริมระเบียงด้านนอก ...ถ้าเดินโดยไม่ได้เปิดประตูเข้ามาในร้าน พวกเขาก็สามารถเดินเลี่ยงออกไปทางระเบียงที่ยื่นออกไปได้เลย แต่เพราะว่าเดินเข้ามาภายในร้านแล้ว แบคฮยอนที่ดูเหมือนจะรู้ว่ามีประตูเข้าออกกี่ทางเพราะมาที่นี่ค่อนข้างบ่อย ถึงได้รีบเดินกลับมาคว้าตัวคนตัวบางที่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่แม้ว่าไคจะคอยดันให้เดินแล้วก็ตามที เพื่อที่จะพาไปออกอีกประตูที่อยู่ด้านในจนเกือบจะสุดถึงเคาท์เตอร์

     

    มาถึงก็ฉุดเข้าที่ข้อมือ ทันทีที่จุนมยอนมองหน้า แบคฮยอนก็พยักหน้าแรงๆให้เพื่อนอีกที กระนั้นแม้จะส่งผ่านกำลังใจ บอกไปว่าไม่ต้องกลัวเพราะถึงยังไงแบคฮยอนก็อยู่ตรงนี้ ก็ยังเห็นความไม่มั่นใจที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของจุนมยอนมากอยู่ดี

     

    เชื่อว่าฝ่ายคนที่มากับคริสคงเห็นกันแล้ว ทั่วทั้งร้านเป็นกระจก แมกไม้ที่เติบโตโอบรอบร้านกาแฟเล็กๆส่งเสริมให้ทั่วทั้งร้านดูเย็นตาแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นรวมทั้งปลอดภัยผสานรวมเข้าด้วยกัน สีพื้นที่เหยียบอยู่ตอนนี้เป็นสีไม้สีเดียวกันกับสีของต้นไม้ กิ่งก้านที่แผ่อยู่รอบร้านให้ความรู้สึกประหนึ่งว่ามันเป็นบ้านต้นไม้

     

    จุนมยอนเห็น...แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่ก็ชัดเจนว่าแผ่นหลักว้างนั้นเป็นของใคร เมื่ออีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามคือคนที่วันก่อนเขาเพิ่งบอกออกไปว่าอิจฉา ใครคนนั้นไม่ใช่แค่มีใบหน้าที่น่ารักอย่างเดียว แต่เจ้าของตากวางประกอบไปซึ่งขนตางอนงามคนนั้น ยังคงรู้ด้วยว่าควรจะแต่งกายอย่างไรเพื่อที่จะขับให้ตัวเองยิ่งดูดียิ่งขึ้นไปอีก แม้จะมีแต่ความเป็นธรรมชาติมิได้มีสิ่งใดแต่งเติมบนใบหน้านั้น แต่ก็ดูรู้ได้อยู่ดีว่าคนน่ารักคนนั้นรู้จักวิธีที่จะดูแลตัวเอง บำรุงตัวเองไม่ให้ร่างกายที่มีเพียงหนึ่งเดียว ใบหน้าที่เป็นสมบัติเฉพาะตัวต้องดูย่ำแย่หรือทรุดโทรมไม่ว่าจะวันไหนๆ อาจรวมถึงในวันที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอย่างเขาในตอนนี้ ...วันนี้

     

    และเพราะอย่างนี้หรือเปล่า...

     

    เพราะดูดีอย่างนี้เสมอหรือเปล่าถึงได้มัดใจคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองได้อย่างอยู่หมัด

     

     

    “นั่งลงสิ” รู้ตัวอีกที ...ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวที่คริสนั่งแล้ว ชายหนุ่มยิ้มให้เขา ดูยังไงมันก็ช่างจริงใจเสียเหลือเกิน

     

    จุนมยอนไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว ...ยิ่งหันไปมองรอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งที่ส่งมาให้ เขาก็ยิ่งตัวเล็กอาจจะสูสีกับมด ไม่เพียงแค่นั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยิ่งเหมือนถูกเหยียบหรือบี้ จนถึงวาระที่ตาย เมื่อนั้นก็คงถูกสลัดทิ้งไปให้ไกล

     

    เพราะฉะนั้น...ควรไปก่อนที่จะถูกกระทำเช่นนั้นมิใช่หรือ...?

     

    พลันถึงได้มองหน้าแบคฮยอน ...และบอกผ่านแววตาออกไปว่าเขาไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นเจอความใกล้ชิดสนิทสนมที่เคยทำปากเก่งเอาไว้กับตัวเองว่าอยากจะเจอหรอก แค่สัมผัสได้ถึงรัศมีอะไรที่แผ่ขจรขจายจากสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วกำลังอบอวลอยู่รอบๆบริเวณนนี้นั้น จุนมยอนก็แทบอยากจะหายตัว

     

    ทว่ากับแบคฮยอนที่รู้ดี ...กลับบอกเพียงว่า...

     

    “ข้างคริสยังว่าง” ไม่พูดเปล่ายังยักคิ้วราวกับจะเปิดศึก เคยเห็นมั้ยล่ะ...ว่าคนที่เพิ่งจะคบเป็นแฟนกันได้ใหม่ๆเขาจะไม่นั่งมองหน้าฝั่งตรงข้ามกันหรอก

     

    เขาต้องนั่งข้างๆกันแบบนี้ต่างหาก

     

    แบบที่จุนมยอนกำลังจะนั่งลงข้างๆคริส

     

    แบคฮยอนต้องใช้แววตาบังคับขู่เข็ญกันอยู่ชั่วครู่กว่าจุนมยอนจะขยับแล้วนั่งลงดีๆ เขาเลือกที่นั่งให้กับตัวเองด้วยเก้าอี้เสริมที่เพิ่งจะลากมา กลายเป็นนั่งหัวโต๊ะตามประสาหัวโจก ส่วนไคก็ลงตัวพอดีเก้าอี้ข้างคนน่ารักที่มากับคริสคนนั้น

     

    “ลู่ฮาน...จุนมยอนไงที่เล่าให้ฟัง” แม้จะฟังไม่ออกว่าฝ่ายคริสพูดอะไรแต่ด้วยท่าทางตื่นเต้นกับแววตาที่มองมาทางเขาอย่างยิ้มๆ คนตัวเล็กก็สรุปได้ลวกๆว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเขา

     

    “แล้วก็นี่ไงลู่ฮาน คนที่ฉันบอกว่าเขาอยากจะรู้จักกับนายไงจุนมยอน”

     

    “หมอนี่พูดเกาหลีไม่ได้?” แบคฮยอนแทรกขึ้นกลางวงด้วยข้อสงสัยที่มี ทันใจการที่คริสพยักหน้าก็เท่ากับสิ่งที่เข้าใจนั้นถูก “อยากรู้จักไปทำไม...อยากมีเพื่อนใหม่เหรอ จุนมยอนคงไม่ว่างพอจะมาตอบโต้เรียนรู้ภาษาใบ้เพื่อที่จะคุยกับเขาด้วยหรอกนะ”

     

    “เบค่อน...”

     

    “หยุด!” แบคฮยอนใช้เสียงหนักแน่นปิดปากเพื่อนทันที “ฉันพูดด้วยเหตุผล” พูดจบแบคฮยอนก็หันไปหาคริสเพื่อเอาคำตอบจากคำถามก่อนหน้า ...ถ้าคริสรู้จักหรือสนิทกับแบคฮยอนมากกว่าที่เป็นก็จะรู้ได้เลยว่าประโยคพวกนั้นที่ออกมาจากปากของแบคฮยอนก็เป็นเพียงประโยคธรรมดาๆเพียงประโยคหนึ่ง

     

    หากแต่...สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย...

     

    ก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าเป็นการหาเรื่องก็อาจจะเป็นไปได้

     

    โชคดีที่คริสคงไม่ได้เข้าใจแบบนั้น

     

    “อาจบอกไม่ได้ว่าสนิทที่สุด ...แต่ระหว่างฉันกับลู่ฮานเรารู้จักกันดีที่สุด” ถ้าไม่ถูกลูกตื๊อ พวกเขาก็อาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด แต่ก็เพราะลูกตื๊อที่ลู่ฮานมีนั่นแหละ ...พวกเขาถึงได้รู้ เข้าใจอย่างลึกซึ้งระหว่างกันและกันว่าเป็นอย่างไร

     

    ในมุมมองที่คนอื่นไม่เคยรับรู้ ...ทว่าพวกเขากลับรู้...

     

    มองหน้าจุนมยอนอีกที ถึงได้เห็นแต่ความกระอักกระอ่วนบนใบหน้า แบคฮยอนรู้ว่าจุนมยอนอาจจะไม่ไหวถ้าได้ยินอะไรที่แลดูจะลึกซึ้งเกินไปกว่านี้ แต่เชื่อเถอะ...แบคฮยอนรู้ว่าคริสยังพูดไม่จบ ...และประโยคถัดมาอาจจะเป็นอะไรที่น่ายินสำหรับเขากับเพื่อนก็เป็นได้

     

    “ถึงตอนที่มีแฟนก็แค่ต้องการแนะนำให้เพื่อนรู้จัก”

     

    นั่นไง!

     

    แบคฮยอนเก็บอาการไม่อยู่ถึงขั้นตบเข่าฉาด กว่าจะนึกเฉลียวใจว่าควรจะหันไปมองเพื่อนตัวเองว่าตายไปยัง เขาก็ถูกเสียงหนึ่งดึงความสนใจไป ไม่ใช่แค่เขาสิ ทั้งโต๊ะหันไปมองคนที่ฟังเกาหลีไม่รู้เรื่องที่จู่ๆก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง

     

    “อ๊าก” ฝ่ายที่ส่งเสียงร้องขึ้นมาเมื่อถูกจับตามองก็เลยทำได้แค่ยิ้มแหยๆ ไม่ได้ถูกมดกัด แมลงกัดต่อยหรืออยู่ๆเท้าก็เผลอไปเหยียบอะไรเข้าหรอกนะ หากแต่ความจริงเป็นเท้าของเขาที่ถูกเหยียบด้วยแรงมหาศาลเสียมากกว่า

     

    หลังจากปัดมือเพื่อบอกกับสายตาทุกคู่ที่มองมาว่าไม่ได้เป็นอะไร แล้วทุกคนเลิกสนใจ ลู่ฮานก็กัดฟันหันไปคาดโทษไอ้เจ้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันทันที

     

    คงจะฆ่าแกงกันต่อหน้าคนทั้งมวลเหล่านี้ไม่ได้ ลู่ฮานจึงทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ในความเงียบงันระหว่างพวกเขาทั้งคู่ กว่าจะเห็นว่าไคส่งสัญญาณอะไรให้บางอย่างก็ตอนที่เริ่มจะลืมๆไปแล้วว่าเท้าถูกเหยียบ แต่ถึงจะเห็นว่าไคกำลังบอกอะไรแกเขาบางอย่าง ลู่ฮานก็ทำได้แค่ตอบรับกลับไปด้วยอาการส่ายศีรษะเพราะไม่เข้าใจ

     

    วินาทีนั้น ...คนตัวบางถึงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...

     

    “ห้องน้ำไปทางไหนครับ?” เสียงนุ่มนวลเอ่ยด้วยภาษาจีนเสียงดังฟังชัดกับคนข้างๆซึ่งนั่นก็คือ...ไค ราวกับรู้มาก่อนว่าไครู้ภาษาจีน ลู่ฮานลืมตระหนักถึงความจริงข้อนั้นว่าไม่มีใครรู้ว่าเขากับไคแอบมีข้อตกลงอะไรกันอยู่

     

    “ไปครับเดี๋ยวผมพาไป” และไคก็แสดงความมีน้ำใจจนแบคฮยอนเองยังอดแซวตามประสาคนก๋ากั่นพูดไปเรื่อยไม่ได้

     

    “เฮ้ย!...ไม่ใช่ว่าจะงาบนะมึง เห็นคนน่ารักหน่อยเป็นไม่ได้ เอาจุนมยอนไปเก็บไว้ไหนเนี่ย” ก็เย้าไปงั้นแหละ รู้ว่าคงไม่มีอะไร แต่มันก็ตงิดๆในใจอยู่เหมือนกัน

     

    แต่ช่างเถอะ...ประเด็นของไคไม่ได้น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว เมื่อตอนนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่า ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีเขานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน จุนมยอนจะล้วงเรื่องราวที่มันทำให้ตัวเองเสียใจไปแล้วได้หมดหรือกระจ่างแก่ใจได้อย่างไร

     

    “ขอถามอะไรตรงๆเลยนะคริส” คริสสบตาแบคฮยอน ด้วยความแน่วแน่เหมือนตกลงว่าจะตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ตรงอย่างสัตย์จริง และเมื่อมองตา แบคฮยอนก็ทราบได้ทันทีว่ามันหมายถึงความจริงจังจริงใจมากแค่ไหน แล้วสิ่งนั้นก็ทำให้แบคฮยอนพึงพอใจได้อย่างบอกไม่ถูก

     

    หันไปสบตาจุนมยอนอีกที ...เพื่อบอก บอกว่า...ไม่ว่าคำไหนที่จะออกมาจากปากของคริส ก็จงยอมรับ และแม้มันอาจไม่ตรงกับใจมากนักก็ขอให้เพื่อนทำใจให้ได้

     

    “จุนมยอนน่ะคิดมากเรื่องนาย...ขอคำตอบให้มั่นใจทีได้มั้ยว่ากับลู่ฮานอะไรนั่นไม่ได้มีอะไรกัน ...คือฉันหมายถึงว่าความสัมพันธ์ของพวกนายนั้นเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ...อย่างนั้นใช่มั้ย?”

     

    คริสออกจะสับสนกับคำถามที่แบคฮยอนถามเล็กน้อย แต่ต่อมาในดวงตาก็ปรากฏแววลิงโลดเล็กๆเมื่อตระหนักได้ว่าใครเป็นคนที่คิดมากเรื่องนี้ จากคำพูดของเขาที่ผ่านมา มันไปสะกิดให้จุนมยอนคิดมากงั้นเหรอ นี่คิดถึงไหนแล้วล่ะ ...แอบขันด้วยความเอ็นดูอยู่เหมือนกัน เข้าใจผิดๆทำให้คิดมากแต่ก็ไม่ยอมปริปากถามด้วยนะ เขาก็ลืมถึงความจริงข้อนี้ไป ข้อที่ว่า...เมื่อไรก็ตามที่เขาอยู่กับลู่ฮานมักจะมีการเข้าผิดแบบนี้ขึ้นบ่อยๆ และคงไม่แปลกหรอกหากมันจะเกิดขึ้นกับจุนมยอน คนที่เขากำลังสนใจ ที่สมควรจะอธิบาย

     

    ทว่า...มันกลับไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ

     

    “กับลู่ฮานไม่มีอะไรหรอก” จะว่าเพื่อนเหมือนในคราวแรกที่บอกก็ไม่เชิง ครานี้พอมาฉุกคิด เขาถึงได้หลีกเลี่ยงที่จะพูดคำว่าเพื่อนออกไป เพราะลู่ฮานกับเขาอาจจะเข้าใกล้คำว่าญาติเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

     

    ซึ่งในมุมมองของคนอื่นที่มองมา อาจจะให้ความรู้สึกว่าเหมือนจะมี...

     

    แต่สำหรับเขา ...ในส่วนของความรู้สึกทั้งมวลของเขาแล้วนั้น...มันไม่มีอะไรเลย...

     

     

    “งั้นขอคุยกับคนที่จะมีอะไรด้วยตามลำพังได้มั้ย?” คริสมองไปที่แบคฮยอนราวกับจะขออนุญาต คราวนี้แบคฮยอนเอนแผ่นหลังไปติดกับพนักเก้าอี้ยิ้มๆยกไหล่ข้างหนึ่ง ประหนึ่งว่าอนุญาต

     

    พอย้ายสายตากลับมาหาคนข้างๆก็พบว่าจุนมยอนมองอยู่ด้วยดวงตากลมโต เม้มริมฝีปากราวกับไม่พอใจในคำพูดของเขา หรือจะเพราะเขินก็ไม่รู้ แต่ก็น่าเอ็นดูจนเขานึกอยากจะฟัดเสียให้ช้ำ

     

    “ไม่ต้องห่วงจะส่งให้ถึงห้องเลย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน พลางดึงแขนบุคคลที่อยู่ข้างๆให้ลุกยืนขึ้นมาด้วย

     

    “ห้องใคร?” แล้วแบคฮยอนก็เย้าขึ้นมาอีก

     

    “เบค่อนอ่า...”

     

    แบคฮยอนหัวเราะกับท่าทางของเพื่อน ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ทันที

     

    “โอเคๆ”

     

    “รับรองไม่ว่าจะห้องไหนก็ปลอดภัยเหมือนกัน” ทันทีที่ออกเดินก็ฉุดให้คนตัวบางที่อยู่ข้างๆให้เดินตามกันกันมา แต่คริสก็รู้สึกได้ถึงแรงรั้นหน่อยๆ ทว่าแรงที่จุนมยอนใช้ดึงดันให้ตัวเองหยุดอยู่กับที่นั้นกลับไม่ได้อยู่ในความสนใจของคริสเสียเท่าไร ชายหนุ่มหันกลับมาอีกครั้งเพื่อต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับคนที่เหลืออยู่ต่างหาก

     

     

    “เอ้อ...บอกลู่ฮานให้ด้วยนะว่าไปก่อน ต้องเคลียร์กับแฟนตัวเล็กซะหน่อย เพราะหมอนั่นเชียวที่ทำให้เกือบจะเข้าใจผิดกัน”

     

     

    แบคฮยอนยิ้มออกมาอีกทีอย่างพึงพอใจ

     

    ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า ...แน่นอนว่าเขารักและก็หวังดีกับจุนมยอน กระนั้นเขาก็ไม่สามารถมองออกได้ทะลุปรุโปร่งหรอกว่าคริสเป็นคนอย่างไร ...ดีหรือไม่ดี แต่ในเมื่อคริสคือคนที่จุนมยอนเลือกแล้ว แบคฮยอนก็คงจะเป็นได้เพียงสะพานให้เพื่อนเดินข้ามไปหาจุดหมายที่รออยู่อีกฝั่ง

     

    ที่เหลือ...ก็แล้วแต่จุนมยอน...

     

    จะเลือกเดินฝ่าอะไรมากมายบนเส้นทางนั้น ...หรือจะหันหลังกลับ จะเพราะกลัว ไม่กล้าหรืออะไรก็สุดแท้แต่ แบคฮยอนก็จะเป็นสะพานที่แข็งแรงที่สุดให้เพื่อน ที่ไม่ว่าจะอย่างไร จุนมยอนจะเจ็บจะล้ม ตัวเขาก็ยังยินดีที่จะรองรับเอาไว้

     

    นั่งยิ้มอยู่ที่เดิม ...มาคิดๆดูก็น่ารักดีนะ...

     

    จุนมยอนชอบคริส ...แบคฮยอนมารู้หลังจากพบว่าจุนมยอนมีท่าทีแปลกๆทุกครั้งที่เจอใครคนนั้น แล้วมีหรือเพื่อนที่สนิทรวมทั้งรู้ใจกันที่สุดจะมองไม่เห็นความผิดปกติเหล่านั้น...

     

    จุนมยอนลนลานทุกครั้งที่เห็นคริส...

     

    ง่ายตรงที่คริสเองก็เป็นคนที่ตกอยู่ในความสนใจ แบคฮยอนถึงจับสังเกตได้ในระยะเวลาสั้นๆว่าคนที่จุนมยอนแปลกๆด้วยก็คือเจ๊กเอกเกาหลีที่เขากับไคร่วมกันตั้งๆขึ้นมา ยังอดคิดไม่ได้เลยว่าที่จุนมยอนเกิดสนใจหมอนั่นขึ้นมามันเป็นเพราะเขาพูดถึงบ่อยๆด้วยหรือเปล่า ...จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าใช่มั้ย...

     

    เพราะจุนมยอนบอกแค่ว่า...หัวใจเต้นแรง...

     

    อาจแค่เพราะหมอนั่นหน้าตาดีหรือเปล่า...ถ้าเพียงแค่นั้น ...เหตุผลช่างไม่แตกต่างจากคนอื่นที่เขารู้จักที่ปลาบปลื้มคริสด้วยเหมือนกัน

     

    แต่ช่างเถอะ ...บางทีการตกหลุมรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมานักนี่ มันอาจเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน ในตอนที่รู้จักถึงจะรู้กันในตอนนั้นว่าจะดิ่งลึกอยู่ในหลุมหรือเลือกที่จะตะกายหนีออกมา

     

    อยู่มาวันหนึ่ง...จุนมยอนก็ดันถูกคริสจับเข้าไปจูบโดยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ตรงนั้น...กลับกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผูกพันกันจนถึงวินาทีนี้

     

    แต่ที่ไม่รู้ก็คือ...ก่อนหน้าที่คริสจะจับจุนมยอนเข้าไปจูบ ฝ่ายนั้นสนใจเพื่อนเขาบ้างหรือเปล่า...

     

    แต่มันจะสำคัญอะไรเล่า เพราะถึงวินาทีนี้ ...แบคฮยอนกลับรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจเพื่อนเขามากเพียงใดและความรู้สึกพวกนั้นอาจจะกำลังสะสมให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ

     

    แน่นอนสิ...ก็จุนมยอนน่ะน่ารักจะตาย...

     

     

     

     

    “สองคนนั้นหายไปไหนซะล่ะ?” เสียงที่คุ้นเคยดึงเขาให้ออกจากห้วงคำนึง แบคฮยอนย้ายสายตากลับมามองหลังจากที่ใช้มันจับจ้องไปที่สีเขียวของใบไม้ที่ผุดออกมาจากกิ่งก้าน

     

    ไคและอีกคนที่มีชื่อว่าลู่ฮานมองมาอย่างรอคอยคำตอบ...

     

    “จุนมยอนกับคริสอ่ะเหรอ?” เว้นไปนิดก่อนจะเอ่ยต่อ “ไปปรับความเข้าใจกันตามลำพัง” เห็นได้ชัดว่าประโยคหลังจงใจมองไปทางลู่ฮาน แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าลู่ฮานจะเป็นคนที่ทำให้เพื่อนเขากับคริสมีปัญหากันในเวลาต่อไปหรือไม่ แต่เขาก็ขอสังหรณ์ใจเอาไว้สักนิดนึงแล้วกัน

     

    ลู่ฮานไม่เข้าใจเขาถึงได้หันหาไคคนที่กลายเป็นล่ามส่วนตัวให้ตั้งแต่พวกเขาเริ่มต้นติดต่อวางแผนกัน ไคมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เล่นเอาลู่ฮานหน้าเสียไปตามๆกัน

     

    “พวกเขาไปแล้ว” ไคกระซิบ “ฉันบอกแล้วว่านายพลาด”

     

    “เอ๊ะ!” ลู่ฮานไม่ยอม ไคได้แต่บอกว่าเขาพลาดตั้งแต่จงใจหลบเลี่ยงขอไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน ถึงตอนนี้ก็ยังจะเอาแต่โทษกันต่ออีก “นายจะมาโทษฉันคนเดียวได้ยังไง ...ฉันเองก็ไม่เห็นว่านายจะทำอะไรเหมือนกัน”

     

    ลู่ฮานพลั้งพูดออกไปด้วยเสียงอันดังเพราะความฉุนเฉียว แม้ว่าไคจะใช้มือกระตุกเข้าที่แขนของเขาเพื่อบอกว่ามีใครบางคนมองพวกเขาอยู่ วินาทีที่ตระหนักว่ามีบางคนกำลังมองดูความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ในแบบเดียวกับที่ไครู้สึก ลู่ฮานจึงทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่กับเก้าอี้พลางฉีกยิ้มทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    “เขาว่าอะไรหรือมึง?”

     

    “ก็โวยวายตามประสาที่คริสดันทิ้งเขาไว้ที่นี่” โชคดีที่ไคหัวไว คำพูดที่ได้ยินถึงไม่ได้ทำให้แบคฮยอนสงสัยหรือติดใจมากนัก

     

    “ตายแล้วมึง!” แบคฮยอนที่คิดอะไรเพลินๆเมื่อครู่ จู่ๆก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา จนไคกับลู่ฮานที่เพิ่งนั่งลงยังตกใจ

     

    “กูมีซ้อมละคร” ว่าไปก็รวบกระเป๋าสะพายข้างมาไว้กับตัวรีบลุกขึ้น “ไปก่อนนะมึง ...เดี๋ยวจงแดแม่งเล่นกูตาย สายแล้วด้วย”

     

    ไม่รอให้ถามอะไรมากกว่านั้น เพื่อนตัวเล็กอย่างแบคฮยอนก็ทิ้งไว้เพียงลมหวิวๆเพียงแค่เพราะการเคลื่อนไหวที่เร็วรี่ ก่อนที่เจ้าของร่างนั้นจะหายลับไป ไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้อีก มีเพียงลมหายใจหนักๆที่ผ่อนออกมาของคนทั้งคู่ที่เหลืออยู่

     

    การที่หายไปห้องน้ำพร้อมกันทำให้พวกเขาเถียงกันไปแล้วหลายตลบ ไคแค่อยากรู้ต่อเท่านั้นว่าหลังจากที่สองคนนั้นดูจะมีความสัมพันธ์ที่อาจจะคืบหน้าขึ้นทุกวัน ลู่ฮานจะทำอย่างไร

     

    “ไหนบอกมาซิว่านายจะทำยังไงต่อไป”

     

    ลู่ฮานสบตาอีกฝ่ายนิ่ง และมันก็ยังเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอยู่อย่างเคย

     

    “ไม่ต้องห่วง รักได้ก็เลิกได้ ถึงจะไม่สามารถยืนกรานในความเป็นคนรักกับคริสได้ต่อไป ...แต่ความสนิทสนมนี่แหละที่จะทำให้พวกเขาแตกกัน”

     

     

    แม้ความต้องการของไคคือยืนข้างๆจุนมยอนในฐานะคนรัก

     

    ทว่าลึกๆแล้ว...

     

    ไคกลับไม่อยากเห็นจุนมยอนเสียใจแม้เพียงสักนิด

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความอบอุ่นที่ส่งต่อจากมือสู่มือ ยิ่งทำให้ใบหน้าเห่อร้อน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ...เมื่อไรไม่รู้ที่คริสเลื่อนมือที่จับอยู่ที่ข้อมือเล็กนั้น ลงมาจับมือ กอบกุมและประสานจนแทบไม่ให้เห็นรอยต่อจนเหมือนได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แม้จะรั้นดึงมือออกในคราวแรกแต่เมื่อไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง จุนมยอนจึงทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ก้มหน้างุด ยอม...ไม่ว่าคริสจะจับจูงเขาให้เดินไปในทิศทางไหน

     

    มันจะไมอึดอัดเลยหากว่าการทำแบบนั้นแล้วไม่ถูกจับตามอง แต่ความรู้สึกแบบนั้นก็เกิดและวนเวียนอยู่ในใจของเขาเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะคริสคนที่เดียวกับที่จับมือเขา ส่งผ่านความรู้สึกเชื่อมั่น มั่นใจได้อย่างประหลาด จุนมยอนรู้สึกปลอดภัยอบอุ่นในหัวใจได้อย่างบอกไม่ถูก และไม่ว่าสายตาจะกี่คู่ต่อกี่คู่ที่มองมา เขาก็เชื่อว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไรเพราะตอนนี้ที่อยู่เคียงข้างคริส เขาเหมือนมีเกราะคุ้มกันภัยที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรก็ไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

     

    ความรู้สึกที่เกิดและทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความกังวลต่อเสียงต่างๆที่รุมเร้าต่อว่าเขาเสียๆหายๆในยามที่ต้องเกาะกุมมืออยู่กับคริส หรือแค่เพียงยืนอยู่ข้างๆอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น

     

    จุนมยอนรู้ดี...ที่มันเกิดและเป็นอยู่ตอนนี้...เพราะเขินต่างหาก

     

    ตลอดทางที่เดินกุมมือกันจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของคนตัวเล็ก คนทั้งคู่ไม่มีคำใดต่อกัน จุนมยอนนึกสงสัยว่าที่คริสบอกว่าจะเคลียร์ความจริงแล้วต้องการแบบนั้นจริงๆหรือไม่...

     

    และแม้ว่าเขาจะมีสิ่งที่อยากถามหาความมั่นใจอยู่ตั้งมากมาย จุนมยอนก็ไม่กล้าที่จะโพลงถามออกไปอยู่ดี ตลอดเส้นทางจึงทำได้แค่เงียบ

     

    จวบจนถึงกระทั่งปล่อยมือและกำลังจะเดินกลับเข้าห้อง ถึงได้มองหน้าคริสอีกครั้ง และคาดว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับวันนี้ จุนมยอนเห็นแค่ว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากเล็กๆ และก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ต้องหลบตาเอาอีกแล้ว รักใคร่หรือเอ็นดูก็ไม่กล้าด่วนสรุป

     

    แต่ใจก็ดันเผลอคิดไปแล้ว...

     

    ไม่เอาแล้ว...

     

     

    คนตัวเล็กกำลังจะหมุนตัวกลับเข้าห้อง...แต่กลับทำไม่ได้ เมื่อถูกมือที่คิดว่าน่าจะเป็นข้างเดียวข้างเดิมกันนั้นดึงฉุดไว้ที่แขนอีกแล้ว

     

     

    จุนมยอนหันกลับมาด้วยดวงตากลมโตที่ฉายแววสงสัย

     

     

    “ไม่ว่าจะอะไรที่นายสงสัย ขอเพียงถามฉันก็บอก” แววตาของคริสบอกแบบนั้นจริงๆ และมันก็ทำให้คนมองหัวใจแกว่งไกวราวกับชิงช้าที่ได้รับแรงผลักดัน

     

    เหมือนสะกดจิตให้เชื่อ ...และผลักดันให้ปากเปิดพูดออกไปอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ...และทำให้เชื่อ เชื่อหมดใจว่าเขาจะได้รับคำตอบที่จริง

     

    “ยืนยันอีกครั้งได้มั้ย...ว่ากับคนนั้นไม่ได้มีอะไรจริงๆ” คริสยิ้มพลางพยักหน้ารับ

     

    “ไม่มีอะไรจริงๆ” ยังไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะเล่าโดยละเอียดว่าลู่ฮานคือคนที่ตามตื๊อเขาแต่เขาไม่สนใจ

     

    จุนมยอนไม่ได้ว่าอะไรต่อ คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่น เชื่อว่าคริสคงเห็นเขาหมดเปลือกแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกดเก็บความรู้สึกที่มีต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจจะแสดงออกถึงความรู้สึกล้นอกที่มีมากมายได้มากนักเพราะความเอียงอายนั้นมีมากกว่า

     

    ด้วยหัวใจที่พองโต คนตัวเล็กหมุนตัวกลับอีกครั้ง แต่ก็ดันถูกฉุดไว้ด้วยมือที่ยังไม่ได้ปล่อยออกจากแขน คราวนี้จุนมยอนกลับแสดงท่าทีแสนงอนออกไปด้วยสองแก้มที่ตุ่ยตูม ก็ไม่รู้นี่น่าว่าอีกฝ่ายยังต้องการอะไรจากเขาอีก...

     

     

    เพราะแค่บังคับให้ถามคำถามน่าอายพวกนั้นออกไปมันก็เป็นอะไรที่ขับขันมากแล้ว...

     

     

    ทว่าคริสกลับไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเอื้อมมืออีกข้างออกมาจับเข้าที่ศีรษะก่อนโน้มเข้าหาตัวเอง แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนที่ระไปด้วยเส้นผมที่มีกลิ่นหอมกรุ่นน่าจดจำ

     

     

    “คืนนี้ฝันดีนะครับ”

     

     

     

    ถึงไม่บอก...

     

    จุนมยอนก็เชื่อว่าคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่แสนหวานที่สุดสำหรับเขา

     

     

     

    TBC…

     

     

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    ไม่คิดว่าตัวเองจะมีพลังมาต่อได้ อ่ากกกก (หลังจากที่ไปหมกมุ่นอยู่กับไคโฮ แฮ่~)

    ตอนนี้ดูเหมือนอะไรจะรุดหน้าไปเยอะนะคะ เหมือนได้เห็นมุมมองของพี่คริสกันบ้างแล้วว่าปลาบปลื้มตัวเล็กไปแล้วถึงขั้นไหน เอ๊ะหรือว่าไม่อย่างไร

    เขาเข้าใจกันแล้วนะคะ จุนมยอนเลิกคิดไปเองได้แล้วสิแบบนี้ ต้องขอบคุณแบคฮยอนอีกแล้วสิ ไม่ได้แบคฮยอนนี่ตัวเล็กแย่น่าดู

    แต่อย่าวางใจลู่ฮานค่ะ เอิ้กกก

     

    โอเค...ขอบคุณที่อ่านเรื่องนี้นะคะ

    มานั่งนับนิ้วดูแล้วน่าจะสักประมาณอีก 8 ตอน หรือไม่ก็มากกว่านั้นก็คงจะจบ หือ...เยอะนะนั่นว่าไป... 555555

     

    #ขอบคุณอีกที ไล่กอดเรียงคน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×