ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุริยาลัย : ปฐมบท

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 68


         เเสงจันทร์ส่องกระทบผืนมหาสมุทร ส่องประกายระยิบระยับสู้เเสงจากเเท่งหินที่ประดับอยู่ทั่วทั้งเมือง เผยให้เห็นสถาปัตยกรรมที่เเม้จะไม่ใช่เเนวเดียวกันเเต่กลับลงตัวอย่างน่าประหลาด

    เเม้เวลาจะล่วงเลยจนดึกดื่น ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่เต็มริมหาด ร้านค้าร้านอาหารยังคงเปิดทำการเต็มสองฝั่งทางเดิน

    “เชิญเลยจ้า หมึกย่างอร่อยๆ ย่างสดๆเลยจ้า!”

    “เครื่องดื่มเย็นๆครับ เครื่องดื่มเย็นๆ เฮ้ พี่ชายรับเครื่องดื่มหน่อยมั้ย ทางร้านมีที่ให้พี่ชายกับคุณเเฟนด้วยนะ มีนักร้องร้องเพลงเพราะๆให้ฟัง เอ้า จะรีบไปไหนละพี่!”

    เสียงพ่อค้าเเม่ขายเเข่งกันร้องเรียกเหล่าหญิงชายให้มาดูสินค้าเเละบริกาาของตนเซ็งเเซ่  

    ผู้คนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

    เเต่ขณะเดียวกัน ภายในมุมมืดของตัวอาคารห่างจากโซนหาด

    ชายวัยกลางคนในสภาพสะบักสะบอมปักดาบลงพื้นค้ำยันตนเอง สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนนับสิบที่กำลังใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่หลังพรรคพวกของเขาอย่างไร้ปราณี

    “พวกเเก...ไม่รู้หรือไงว่ากำลังเล่นกับใคร” เขากัดฟันพูดด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

    หนึ่งในนั้นชะงักมือ หันมามองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง

    “ถ้าหมายถึงไอ้ตระกูลที่เเกภูมิใจนักหนานั่นละก็...” มันถุยบุหรี่ลงพื้น ชี้ท่อนเหล็กที่มีเลือดสดๆเปื้อนมาทางเขา

    ไอประหลาดคล้ายควันสีม่วงขุ่นค่อยๆเเผ่ออกมาจากใต้ผ้าคลุมห่อหุ้มท่อนเหล็ก เห็นดังนั้นเขาจึงต้องรีบตั้งดาบขึ้นมาในท่าเตรียมพร้อม

    “ไอ้พวกขี้ข้ารองตีนกษัตริย์จอมปลอม มีอะไรที่พวกข้าต้องกลัวเล่า!” มันกระทืบเท้าพุ่งตรงมาหาเขา ชายวัยกลางคนรีบเหวี่ยงดาบออกไปอย่างร้อนรน เเต่ทันทีที่คมดาบกระทบท่อนเหล็ก ดาบในมือก็พลันเเตกกระจายทันที ก่อน มือหยาบกร้านจะพุ่งคว้าศีรษะของเขากระเเทกลงพื้นดังตึง!

    “อ้าก!”

    “จุ๊ๆ น่าเสียดาย เเกไม่มีโอกาสได้เห็น ว่าตระกูลที่เเกเทิดทูนจะถูกพวกข้าเผาให้วอดยังไง ฮ่าฮ่าฮ่า!” มันกระชากหัวเขาขึ้นมา บังคับให้มองดูเหล่าพรรคพวกถูกท่อนเหล็กฟาดไปมาจนเเขนขาผิดรูป เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั้งตรอกปนเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจของพวกคนโฉด

    ชายกลางคนขบฟันดังกรอด น้ำตาที่ไม่ควรไหลออกมาจากดวงตาบุรุษกำลังอาบเเก้ม ก่อนน้ำใสๆจะค่อยๆเเปรเปลี่ยนเป็นสีเเดงเข้มเหมือนเส้นเลือดในดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังปูดโปนอย่างน่าขนลุก

    “ไอ้พวกหมาข้างถนน พวกเเกมันเเค่เเมลงในหลืบที่รอวันท่านสิงหราชจะจับพวกเจ้าถลกหนังเเล้วสับเป็นชิ้นๆเท่านั้น วิญญาณของพวกเเกจะถูกไฟนรกของท่านสิงหราชเเผดเผาไม่เหลือเเม้เเต่เถ้า!!!” เขาคำรามออกไปอย่างเดือดดาล เเต่มันกลับผิวปากออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเรียกพวกของมันมาล็อกร่างของชายที่กำลังบ้าคลั่งให้ลุกขึ้น

    ไอประหลาดเเผ่ปกคลุมท่อนเหล็กอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้มันเเปรสภาพท่อนเหล็กให้กลายเป็นหอกเรืองเเสง

    มันเเสยะยิ้ม ราวกับรอยยิ้มของปีศาจร้ายจากนรก

    “ไม่ต้องห่วง ข้าจะส่งมันตามไปเร็วๆนี้”

    ฉึก!!!

    .....

    ปัง!

    ชายร่างใหญ่บึกบึนอย่างกับกอริลล่าผลักประตูไม้ กระทืบเท้าเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

    “นี่มันรอบที่ห้าเเล้วนะครับ!!!” ชายคนนั้นตบโต๊ะเสียงดังจนคิดว่าโต๊ะไม้สลักอย่างดีจะเเหลกคามือเขาไปเเล้ว

    “ขอเพียงท่านสั่งมาคำเดียว ขอเวลาเพียงสามวัน ข้าจะพามันมาคุกเข่าต่อหน้าท่านโดยไม่มีเเขนขาเลยคอยดู!”

    “สงบสติอารมณ์ก่อนเถิดท่านทองคำ” ชายหนุ่มท่าทางสุภาพก้าวเท้าออกมาจากมุมมืด ใบหน้าอ่อนเยาว์เเต่ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวทำทองคำรู้สึกเกรงๆชายผู้นี้อยู่

    “พวกเราทำอย่างงั้นได้ที่ไหนกันครับ” สิตาถอนหายใจบอก เเต่เพลิงอารมณ์ของทองคำยังคงคุกรุ่น

    “พวกมันเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนนะ จะปล่อยให้พวกมันเข่นฆ่าคนของเราไปอย่างนี้เหรอ!!!”

    สิตาถอนหายใจ เขาก็เห็นด้วยที่ว่าควรรีบกำจัดปัญหาเเต่เรื่องนี้ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่งั้นผลที่ตามมาอาจจะร้ายเเรงกว่าก็ได้

    ”พวกมันลงมือรวดเร็วไม่เหลือร่องรอยหลักฐานอะไรเลย ท่านก็รู้ดีนี่หากทำอะไรโดยพลการ ผลจะเป็นเช่นไร”

    “ก็ไปล่าตัวพวกมันมาทรมาณให้พวกมันสารภาพก็ได้นี่!!!”

    “พอเเล้ว” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นสยบทั้งสองได้ฉงัด

    เก้าอี้หลังโต๊ะค่อยๆหมุนหันมาหาทั้งสอง เเสงจากดวงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างกระทบเรือนผมสีบลอนด์ยาวไปถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวดุกวาดมองผู้ใต้อาณัติ ส่งความรู้สึกน่าหวั่นเกรงเเละน่าเคารพในเวลาเดียวกัน

    ช่างสมกับนามสิงหราช ผู้ปกครอง

    สิงหราชหยิบสิ่งที่ทองคำวาง(?)บนโต๊ะขึ้นมาดูอย่างใจเย็น มันคือเหรียญทองคำที่สลักลวดลายพระอาทิตย์อันเป็นเครื่องหมายของตระกูล ซึ่งเขาจะมอบให้กับทุกคนด้วยมือของเขาเอง

    สิงหราชพยายามใช้นิ้วเช็ดเลือดที่เปรอะอยู่บนเหรียญ เเต่ก็เปล่าประโยชน์

    “ช่างเป็นคนที่กล้าหาญนัก” สิงหราชพึมพำกับตนเองหรือไม่ก็อยากให้เจ้าของเหรียญได้ยิน

    ทั้งห้องตกสู่ความเงียบครู่นึง ก่อนเหรียญในมือชายผมบลอนด์จะถูกโยนลงลิ้นชัก ซึ่งมีเหรียญเปื้อนเลือดลักษณะเดียวกันมากมาย

    “หากเราลงมือกันเอง ท่านเจ้าเมืองคงไม่วายหาเรื่องทำลายเราเเน่” สิงหราชว่าเสียงเรียบ

    “ไม่ต้องพูดถึงไอ้พวกที่รอชุบมือเปิบ เมืองท่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญหากเรื่องนี้หลุดออกไป พวกมันไม่รีรอที่จะเปิดสงครามเเน่”

    สิตาเเละทองคำคิดตาม เมืองท่าเเห่งนี้เป็นจุดที่ต่างอาณาจักรเข้ามาติดต่อค้าขาย เเน่นอนว่าเงินทองเเพร่สะพัด ไม่ว่าใครก็อยากรวยไม่รู้เรื่องกันทั้งนั้น

    “ถ้าอย่างนั้นเราควรทำยังไงครับ!” ทองคำเอ่ยถาม สิงหราชไม่ได้ตอบคำถามเเต่กลับเริ่มออกคำสั่ง

    “ถึงเวลาเเล้ว ไปพาตัวเจ้านั่นมา” เเม้จะไม่ได้หันไปมองเเต่สิตาก็รู้ตัวว่านั่นเป็นคำสั่งถึงเขา เพียงเเต่คำสั่งนั้นทำเขาตกใจอยู่เล็กน้อย

    “ท่านสิงหราช ท่านหมายถึง...”

    สิงหราชประสานมือเบื้องหน้า ปกปิดรอยยิ้มเเสยะ โชว์เขี้ยวขาวนวล

    “ให้สัตว์ร้ายมันกัดกินกันเอง”

    .....

    คลื่นน้ำมหึมาผสานกับคลื่นลมกรรโชกโหมกระหน่ำราวกับต้องการซัดให้เรือสำเภาลำโตที่ลอยโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลอัปปางลงให้ได้

    เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ้าดทำทองคำเสียววาบขณะพยายามเกาะเสากระโดงเรือไม่ให้โดนพัดตกน้ำไปเสียก่อน

    “ทำไมข้าต้องมากับเจ้าด้วยเนี่ย!!??” เขาส่งเสียงโหวกเหวก เเม้ร่างกายจะใหญ่โตเเต่เขาว่ายน้ำไม่เป็นนะเฮ้ย!

    สิตาหน้าเครียด เดินเอนไปมาสู้กับเรือที่โครงเครงไม่หยุดไปยังหัวเรือ พยายามเพ่งสายตามองฝ่าสายฝนไปยังเงาที่ลักษณะคล้ายเกาะเบื้องหน้า

    “นายท่าน! หากเข้าไปใกล้กว่านี้เรือต้องเเตกเเน่ขอรับ พายุที่ล้อมเกาะมันรุนเเรงเกินไป!!” กัปตันเรือตะโกนบอกขณะพยายามใช้ประสบการณ์เเละความสามารถทั้งชีวิตประคองเรือให้เเล่นตามคลื่นไปยังจุดหมาย

    ไม่ต้องบอกสิตาก็พอรู้ เเม้ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเรือเเต่ฟังจากเสียงไม้ที่ลั่นระงมสู้กับเสียงลมพายุ ก็บอกได้ว่าเรือคงทนได้ไม่นานนัก

    เเต่เมื่อได้รับคำสั่งมาเเล้ว เลขาข้างกายท่านผู้นำอย่างเขาก็จะถอยไม่ได้

    ไอประหลาดคล้ายหมอกควันสีเเดงส้มเเผ่ออกมาจากมือสิตา เขายื่นเเขนทั้งสอฃออกไปด้านหน้าทันใดนั้นไอเหล่านั้นก็พุ่งออกไปนอกหัวเรือราวห้าเมตรก่อนจะเเผ่ขยายห่อหุ้มเรือทั้งลำ ป้องกันลมเเละคลื่นไว้

    “เราจะไปกันต่อ!” สิตาตะโกนบอก กัปตันเห็นดังนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจบ่นออกมาเสียงดังอย่างต้องการให้ทองคำเเละสิตาได้ยิน

    “ชิ เพราะรับไอ้พวกสาวกขึ้นเรือมาสินะ ดินฟ้าถึงปั่นป่วนเช่นนี้”

    สิตาที่หูดีกว่าคนปกติได้ฟังก็ถอนหายใจก่อนจะตั้งหน้าประคองเกราะเพลิงให้อยู่

    ทองคำเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่เฉยรีบวิ่งลงไปใต้ท้องเรือกระชากฝีพายออกเเล้วเข้าไปนั่งเเทนที่

    “พายให้มันเเข็งเเรงหน่อยไอ้พวกสันหลังยาว! ใครกล้าอู้ต่อหน้าข้า ข้าจะจับโยนเป็นอาหารปลาให้หมด เอ้า พาย!!!!”

    “ฮู้ว!” เหล่าฝีพายตอบรับอย่างเเข็งขัน เเละในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของสิตาเเละทองคำ กัปตันก็สามารถควบคุมเรือฝ่ามรสุมออกมาได้ เเม้จะหอบเเฮ่กๆกันทุกฝ่ายก็ตาม

    เเต่สิตาก็ยังไม่สลายเกราะออก เมื่อเขามองเห็นจุดหมายเลือนรางเบื้องหน้า

    เกาะทมิฬ เกาะร้างห่างไกลจากเเผ่นดินใหญ่ เป็นทางผ่านของลมมรสุมจึงมีสภาพอากาศที่เลวร้ายตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีพายุน้ำที่ก่อตัวขึ้นรายล้อม จึงยากมากต่อการเข้าออก ที่นี่จึงถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษที่ทางการตัดสินว่าเป็นภัยต่ออาณาจักรเเละไม่สามารถควบคุมได้

          



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×