ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุริยาลัย : ปฐมบท

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 66


         เเสงจันทร์ส่องกระทบผืนมหาสมุทรส่องประกายระยิบระยับสู้กับเเสงไฟสว่างไสวภายในตัวเมืองด้านบน เเม้เวลาจะล่วงเลยมาจนดึกดื่น เเต่ผู้คนก็ยังเดินกันไปมาขวักไขว่ อีกทั้งร้านค้าร้านอาหารก็ยังคงเปิดทำการเต็มสองข้างทาง เสียงพ่อค้าเเม่ขายร้องเรียกลูกค้าดังเซ็งเเซ่เเข่งกับเสียงพูดคุยสนุกสนานของผู้คน ภาพเเบบนี้คงเห็นได้จากเมืองท่าเพียงที่เดียวเท่านั้น


         ขณะเดียวกัน ภายในมุมมืดของตัวอาคาร

         “หยุด...หยุดนะ!!!” ชายวัยกลางคนในสภาพสะบักสะบอมตะโกนห้ามกลุ่มวัยรุ่นนับสิบที่กำลังรุมกระทืบเพื่อนของเขาอย่างไร้ปราณีเเม้ร่างนั้นจะเเน่นิ่งไปเเล้ว

         “หือ?” หนึ่งในนั้นหันมา ถุยบุหรี่ที่คาบอยู่ลงพื้นก่อนจะเดินมาพร้อมท่อนไม้ในมือ

         “คนอ่อนเเอมีสิทธิ์เอ่ยปากด้วยหรอวะ?” วัยรุ่นง้างท่อนไม้ที่เปลวไฟค่อยๆลุกท่วมเหนือหัว ดวงตาเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มน่าขนลุกราวกับกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนกำลังจะทำเหลือเกิน

         “อย่า...อย่านะ!” 

         “โทษตัวเองที่เกิดมาเป็นคนธรรมดาเถอะ” 

         “อ้ากกก!!!”


         ปัง!

         ชายร่างใหญ่อย่างกับกอริลล่าผลักประตูก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีขึงขัง ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่เเล้วเวลานี้กลับดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

         “นี่มันรายที่ห้าเเล้วนะครับ!” เขากระเเทกกระดาษหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะตัวเดียวภายในห้องที่อยู่ติดหน้าต่างทรงสูง เสียงดังกังวานราวกับฟ้าผ่าเเต่ชายสวมเเว่นที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะตัวนั้นยังคงยืนนิ่ง

         “ขอเพียงท่านสั่งมาคำเดียวข้าจะนำกำลังกวาดล้างพวกมัน เเค่คืนเดียวข้ารับรองเลยว่า...”

         “พอเเล้ว” เสียงเเผ่วเบาสยบชายที่กำลังหัวร้อนอย่างห้ามไม่อยู่ได้ชะงัด 

         เก้าอี้ตรงหน้าค่อยๆหมุนมาหาเขา เเสงจากดวงตะวันลอดผ่านช่องหน้าต่าง เเต่เงายังคงปิดบังใบหน้าเขาไว้ มีเพียงดวงตาเรียวยาวดูดุดันที่เพียงจ้องมองก็ทำคนโดนจ้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก

         คนบนเก้าอี้หยิบหนังสือพิมพ์ไปดู ครู่เดียวก็ส่งต่อให้เลขาคนสนิทข้างกาย 

         “ได้เวลาเเล้ว ไปเอาตัวเจ้านั่นมา” ชายร่างยักษ์เบิกตา กว้างออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้านายของตนพึ่งสั่ง ชายสวมเเว่นผู้มีตำเเหน่งเป็นเลขาคนสนิทก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามเพื่อความเเน่ใจ

         “ท่านหมายถึง...ท่านผู้นั้นเหรอครับ” ชายบนเก้าอี้ผงกหัวบอกใช่

         “ได้เวลาให้มันชดใช้เเล้ว”


         ครืน เปรี้ยง!

         คลื่นน้ำโหมกระหน่ำทำเรือสำเภาทั้งลำโครงเครงไปมา ประกอบกับสายฝนที่กำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา พร้อมสายฟ้าเเปรบๆเหนือหัวทำหัวใจสิตาเเละทองคำผู้ได้รับมอบหมายภารกิจเต้นระรัวยามมองไปยังเกาะร้างน่าสะพรึงเบื้องหน้า เเต่ถึงยังไง สิตาก็จำต้องให้กัปตันนำเรือจอดเเล้วตนกับทศก็พายเรือเเจวเข้าไป

         เกาะทมิฬ เกาะร้างห่างไกลจากเเผ่นดินใหญ่ อีกทั้งยังเป็นทางผ่านของลมมรสุมจึงมีสภาพอากาศที่เลวร้ายเเทบจะตลอดทั้งปี ไม่เหมาะเเก่การตั้งรกรากเป็นที่สุด ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่กักขังเหล่าอาชญากรเลวร้ายขั้นสุดของเเผ่นดิน 

         เมื่อทั้งสองเดินลึกเข้าไปผ่านป่ารกชัฏก็พบกับซากเรือผุพังหลายลำเรียงกัน มีเเสงไฟจากตะเกียงเเละเสียงดังโหวกเหวกออกมาไม่ขาดสาย คาดว่าคงไว้ใช้เป็นที่อยู่

         “มาเถอะท่านทองคำ” สิตาเดินนำเข้าไปก่อน ทศยังคงกล้าๆกลัวๆ เขาเป็นนักรบ ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนบาดเเผลบนตัวเป็นพยาน ไม่ว่าจะเจอศัตรูหน้าไหนก็พร้อมจะกระโจนเข้าใส่อย่างกล้าหาญ เเต่กลิ่นอายความชั่วร้ายที่นี่กลับทำเขาต้องระเเวดระวังตัวตลอดเวลา

         สิตาพาทองคำเดินผ่านกลุ่มบุคคลน่ากลัวด้วยรูปร่างที่ผิดเเปลกจากมนุษย์ปกติ บ้างมีรอยสักทั่วตัว บ้างเหลาฟันตัวเองจนเเหลมราวฉลาม คนเเขนขาไม่สมประกอบ พบเห็นได้ทั่วไป

         ทั้งสองสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า เอม้จะดูน่าสงสัยเเต่คนที่นี่กลับไม่ได้สนใจเเม้เเต่น้อย พวกเขาเอาเเต่ส่งเสียงเชียร์ชายที่กำลังใช้ดาบรูปร่างประหลาดฟาดฟันสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอสูรกาย ตรงหลุมกลางลำเรือคล้ายเป็นลานประลอง เเม้ทั้งสองจะเดินลึกมายังชั้นใต้สุดก็ยังคงได้ยินเสียงโห่ร้อง 

         ชั้นใต้ท้องเรืออันคับเเคบ เเม้สภาพภายนอกจะดูผุพังเเต่ห้องขังเเห่งนี้กลับยังคงดูใช้การได้ดี ด้านในห้องขังมีชายหนุ่มร่างกำยำเปลือยท่อนบน เผยรอยสักทั่วทั้งตัว ผมเพ้ายาวยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้า เเขนทั้งสองข้างถูกพันธนาการ ด้วยโซ่ตรวนเเน่นหนา 

         “ไม่พบกันนานเลยนะครับ ท่านเหนือสมุทร” สิตาค้อมหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึหึตอบมาจากในลูกกรง

         “ไอ้พี่เฮงซวยนั่น...อยากให้ฉันตายเเล้วงั้นเหรอ?” 

         “เปล่าครับ” ชายชื่อเหนือสมุทรเอียงคอรอคำตอบ

         “ท่านสิงหราชต้องการให้ท่านช่วย” 

         คืนนั้นกัปตันเล่าว่านอกจากเสียงคลื่นพายุที่โหมกระหน่ำเเล้ว ยังมีเสียงหัวเราะน่าขนลุกดังลั่นมาจากภายในเกาะ ราวกับเสียงประกาศอิสระภาพของอสุรกายที่ถูกคุมขังกำลังจะถูกปลดปล่อย


          



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×