คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๗ พบปะคนคุ้นเคย
บทที่ ๗
ร้านอาหารที่อีกฝ่ายนัดให้มาหามีลักษณะของบ้านไม้สีเขียวนมชั้นเดียวยกพื้นมากกว่าร้านตามแบบทั่วไป
หากจะแปลกตากว่าบ้านทั่วไปก็คงเป็นเพราะผนังด้านหนึ่งติดกระจกจากพื้นสูงจรดเพดานเกือบสามเมตร
ทัศนียภาพด้านนอกคือสวนย่อมขนาดเล็กที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับสวนอีกสองสามที่สำหรับแขกที่ปรารถนาจะได้ไอแดดไอลมจากธรรมชาติมากกว่าอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศด้านใน
ลานจอดรถด้านหน้าร้านเป็นลานหินกรวดมีรถจอดอยู่หลายคันเพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาก่อนเที่ยวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รถกระบะคันเก่าของเหมภาสกลายเป็นของแปลกเมื่อจอดรวมอยู่กับบรรดารถติดแบรนด์ชั้นนำทั้งหลาย
แม้แต่พนักงานต้อนรับที่คอยเปิดประตูให้เขายังทำท่าลังเลใจ
โชคดีที่เขาเลือกเสื้อผ้าอย่างดีนิดหน่อยสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่แต่ในสวนออกมาไม่ใช่นั้นคงไม่มีใครยอมให้เข้าไปแน่นอน
เมื่อกวาดสายตาไปทั่วทั้งร้าน
ภัทรลดาเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นแม้อยู่ท่ามกลางพวงดอกไม้ที่ตกแต่งทั้งเพดาน
แจกันตามทางเดินหรือแม้แต่บนโต๊ะ เสื้อเปิดไหล่สีเขียวขับผิวขาวให้ยิ่งผ่อง
ผสมยาวดัดเป็นลอนใหญ่สยายอยู่เต็มหลัง เขาเห็นเธอเป็นคนแรกโดยแทบไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวหันมายิ้มก่อนจะโบกมือเรียก
สายตาแขกไม่กี่คนในร้านจับจ้องผู้ชายในชุดเสื้อผ้าแสนโทรม
เชิ้ตสีน้ำตาลของเขาดูซีดเพราะผ่านการซักมาหลายครั้งและไม่ใช่ผ้าเนื้อดี
กางเกงยีนที่ปรากฏรอยขาวเพราะความเก่ามากกว่าแฟชั่น รองเท้าผ้าใบที่เชือกร้อยกลายเป็นสีเหลืองอ่อนเพราะไม่ได้ซักมานาน
ไรหนวดเขียวขึ้นเป็นตอบนใบหน้าค้ำกร้านแดด ผมแห้งชี้ฟูขาดการบำรุง
และด้วยรูปร่างใหญ่โตกับส่วนสูงที่แม้ในหมู่ผู้ชายด้วยกันก็ยังนับว่าสูงมาก
เหมภาสเหมือนพวกทวงหนี้หน้าเลือดมากกว่าคู่นัดของหญิงสาวผิวขาวผ่องรูปร่างสะโอดสะองเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดคนนั้น
“รอนานไหม”
เหมภาสกลั้นใจเดินเข้ามาทักทายโดยไม่สนสายตาแคลางใจระวาดระแวงของคนทั้งร้าน
บางทีพนักงานอาจจะเตรียมกดหมายเลขฉุกเฉินแจ้งตำรวจไว้ก่อนแล้วก็ได้
เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยปากเชิญ ภัทรลดายิ้มละไม
ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
“มาสักครู่เดียวค่ะ
สั่งน้ำไปยังไม่ทันได้เลย คุณเหมภาสจะรับอะไรดีคะฉันจะเรียกพนักงานให้”
“กาแฟเย็นไม่หวานสักแก้วก็พอ”
“อาหารล่ะคะ
สั่งได้เลยนะคะวันนี้ฉันเป็นเจ้ามือ”
“ร้านนี้จะมีข้าวไข่เจียวให้ผมไหมล่ะ”
เหมภาสตอบขอไปที เขาเห็นรูปเมนูอาหารที่ติดอยู่รอบร้านแล้วมีแต่พวกเลี่ยน ๆ
ที่ไม่ค่อยจะถูกจริตเท่าใดนัก “ถ้าไม่มีขอข้าวคลุกน้ำพริกสักจานก็ได้”
“สองจานนี้ขอติดหนี้ไว้ก่อนนะคะ ถ้าคุณเหมไม่ชอบอาหารฝรั่งที่นี่มีข้าวผัดแซลม่อนนะคะ”
เมนูอาหารที่นำเสนอมาทำเอาคนฟังแอบถอนหายใจ
แต่นี่คงเป็นเมนูธรรมดาที่สุดในร้านแล้ว เขาพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
หญิงสาวเรียกพนักงานในร้านมารับรายการ
ตลอดเวลาเหมภาสรู้ว่าพนักงานแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาเลือกที่หันไปคว้าหนังมือพิมพ์ที่แขวนอยู่ไม่ห่างนักมากางอ่านระหว่างรอให้คู่นัดสั่งอาหาร
ทันทีที่เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเขาก็ลดหนังสือพิมพ์ลง
“แล้วไหนล่ะคนที่คุณอยากให้ผมมาเจอ”
“คงอีกสักพักค่ะ
ฉันนัดเขามาตอนเที่ยงครึ่ง”
“เขาก็ไม่ได้มากินอาหารกับเราสิ
หรือผมต้องหิ้วท้องรอจนกว่าเขาจะมา”
ภัทรลดายิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องรอหรอกค่ะ ฉันแต่เรียกเขขามาคุยเท่านั้นคงไม่ได้ทานอาหารด้วยกันอยู่แล้ว
ฉันอยากคุยกับคุณก่อน อยากให้เราคุยกันแบบสบาย ๆ ทานไปคุยไปน่าจะดีกว่า”
รอไม่นานอาหารและน้ำที่สั่งไปก็มาวางอยู่ตรงหน้า
ข้าวผัดแซลม่อนมีเนื้อปลาชิ้นเท่านิ้วก้อยกองปนอยู่ไม่กี่ชิ้น
ขณะที่ของหญิงสาวเป็นเพียงแค่สลัดทูน่าจานเล็กและน้ำแตงโมปั่นหวานฉ่ำ
ทันทีที่คำแรกเข้าปากเหมภาสที่เหมือนจะรอจังหวะนี้มานานก็เปิดปาก
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับผม”
“คุณเหมภาสคงทราบดีอยู่แล้วว่าฉันสนใจคุณ”
“รู้
มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดในชีวิต” เหมภาสตอบกลับด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เขายังจดจำวินาทีที่ได้ยินเรื่องประหลาดนี้เป็นครั้งแรก
แม้จนวันนี้ชายหนุ่มก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร
ไอ้โจรเถื่อนอย่างเขาถึงไปเข้าตาคุณหนูไฮโซคนนี้ได้
ภัทรลดายิ้มรับ
หล่อนก้มหน้าลงมองมือของตัวเองอยู่ครูหนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยปากพูด “ฉันรู้ค่ะว่าคุณแปลกใจ
ฉันเองยังแปลกใจในความบ้าของตัวเองเหมือนกัน
สารภาพนะคะว่าตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไร โดยเฉพาะความประทับใจแรกพบที่มีต่อกัน
คุณเหมภาสคงไม่โกรธนะคะถ้าฉันจะบอกว่าฉันกลัวคุณมาก”
ชายหนุ่มเอนหลัง ส่ายหน้า
“ดีใจด้วยซ้ำ อย่างน้อยคุณก็มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเหมือนมนุษย์ปกติ”
“แต่บางครั้งสัญชาตญาณก็ไม่ได้น่าเชื่อถือเสมอไป
อย่างที่คุณไม่ได้น่ากลัวเหมือนภาพลักษณะภายนอก”
“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น ผมอาจจะดิบ
เถื่อน หยาบคาย แล้วก็โมโหร้ายเหมือนภาพลักษณะก็ได้”
“คงไม่มีคนนิสัยแบบนั้นยอมเสียเงินห้าหลักเพราะความรักต้นไม้หรอกค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นเหมภาสอดคิดไม่ได้ว่าความรักต้นไม้ดอกไม้ของเขามันชักจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรเสียแล้ว
“แค่นั้นเหรอที่ทำให้คุณสนใจผม”
“เปล่าค่ะ ก็...แค่จุดเริ่มต้น”
“ของอะไร”
“จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันเริ่มสังเกตคุณ
ลักษณะหลาย ๆ อย่างของคุณทำให้ฉันสนใจ
ที่ฉันอยากพูดคือฉันอยากให้คุณเหมภาสลองเปิดใจ เราสองคนมาลองคุยกันดีไหมคะ
คุยแบบทดลองคบน่ะค่ะ” สีหน้าจริงจังของหล่อนไม่ได้บอกว่าพูดเล่นหรือแค่อำ
จะบอกว่าเป็นรายการแกล้งกันเขาก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงเสียด้วย
“มีใครจับหัวคุณกระแทกกับพื้นหรือเปล่า
หรือเพิ่งปะสบอุบัติเหตุสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงอะไรแบบนี้”
ภัทรลดาส่งเสียงขำเบา ๆ ในลำคอ
“เปล่าค่ะ ฉันปกติดีทุกอย่าง ตรวจสุขภาพครั้งสุดท้ายเมื่อครึ่งปีที่แล้วนี่เอง
ฉันยืนยันว่าตัวเองพูดจริง คิดจริงทุกประโยคที่บอกคุณไป ฉันอยากให้เราเริ่มทดลองคุยกัน
เปิดใจให้กัน ทดลองคบกัน เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ได้ก็ยิ่งดี”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ทำไมคุณต้องรีบขนาดนั้น”
“เพราะคนที่ฉันนัดให้มาเจอคุณวันนี้เป็นแฟนเก่าของฉันค่ะ”
จบประโยคนั้นเหมภาสก็ค้นพบอะไรหลายอย่าง
ทั้งความจริงที่เหมือนจะกระจ่างกับคำถามมากมาย บางเรื่องที่ยังคลางแคลง
รวมไปถึงความรู้สึกโกรธนิดหน่อยที่อธิบายไม่ค่อยถูก
เขาไม่โง่และหล่อนก็จงใจที่จะเปิดเผยอย่างจริงใจ
ไม่รู้...เรียกว่าจริงใจได้หรือเปล่า
“ผมเป็นแค่เครื่องมืออวดแฟนเก่าอย่างนั้นสิ”
“ขอโทษที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น
แต่ฉันไม่เคยคิดจะอวดใคร ฉันแค่อยากให้เขารู้ว่าถึงไม่มีเขาฉันก็อยู่ได้
และฉันก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีสิทธิ์จะเลือก เลือกคนที่จะคบ
เลือกคนที่จะรักด้วยตัวของฉันเอง”
ในน้ำเสียงนั้นหนักแน่นและจริงจังต่อคำพูดของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นผมคือตัวแทนความขบถในการปฏิวัติชีวิตของคุณใช่ไหม”
“ก็ไม่ผิดนักหรอกค่ะ”
ร้อยยิ้มนั้นเจือความละอายแก่ใจ
“ส่วนหนึ่งที่ฉันสนใจคุณก็เพราะคุณตรงข้ามกับแฟนเก่าฉันทุกอย่าง”
“พูดไปอาจจะเหมือนด่าตัวเอง แต่ผมเดาว่าแฟนเก่าคุณคงจะหล่อ
ขาว ตี๋ หน้าที่การงานดี ปากหวาน ช่างเอาใจ กิริยามารยาทดี แล้วก็รสนิยมเยี่ยม”
ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ถอนหายใจ “ไอ้ที่เงียบนี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ
ผมชักจะอิ่มแล้วก็อยากลุกหนีไปจากตรงนี้ซะแล้วสิ”
“อย่าเพิ่งไปสิคะ”
ดวงตาหวานหยดส่องประกายออดอ้อน
ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงหลงหน้ามืด แต่ประสบการณ์กับอธิกานต์ตลอดเวลาเกือบสามปีทำให้เขามีภูมิคุ้มกันสายตาเหมือนลูกแมวหิวนมแบบนี้เสียแล้ว
อธิกานต์จะเหนือกว่าด้วยซ้ำตรงที่เด็กนั่นตัวเล็กแล้วก็ท่าทางซื่อจนไม่รู้จะสงสารหรือหมั่นไส้ดี
“ถึงผมจะไม่ได้ชั่ว
แต่ก็ไม่ใช่คนดีขนาดจะยอมเป็นเครื่องมือให้ใครพิสูจน์อะไรแบบนี้หรอก”
“ฉันไม่ได้มองคุณเป็นเครื่องมือเลยนะคะ ฉันสนใจคุณจริง ๆ
ไม่ใช่แค่เพราะคุณต่างจากเขา แต่เพราะตัวคุณเอง คุณคุยสนุก จริงใจ
มีความคิดเป็นของตัวเอง ฉันคิดว่าเราไปด้วยกันได้ อย่างน้อยก็น่าจะลองคุยกัน
อีกอย่างตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้วด้วย” ฟังดูเหมือนหล่อนจะชักแม่น้ำครบห้าสายแล้วเพื่อให้เขานั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป
“บางทีคำพูดคุณมันก็ย้อนแย้งกันเองรู้ไหม
คุณบอกว่าคุณไม่ได้อยากจะอวดแฟนเก่า ไม่ได้ประชด
แต่พอผมจะไปไม่มีใครอยู่เจอแฟนเก่าคุณกลับมาทำท่าจะเป็นจะตาย
ถ้าให้เลือกระหว่างผมไปแล้วพรุ่งนี้เราเริ่มคุยกัน กับผมนั่งอยู่ตรงนี้
เจอหน้าแฟนเก่าคุณแล้วทุกอย่างจบ
งานเลิกก็ต่างคนต่างแยกย้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก คุณจะเลือกแบบไหน”
จบประโยคนั้น
เขามั่นใจว่าเห็นความลำบากใจอย่างชัดเจนในดวงหน้าของหญิงสาวประหลาดตรงหน้า
เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่หล่อนไม่ด่วนตัดสินใจเลือกข้อแรกโดยไร้เยื้อไย หรือเสียใจที่สุดท้ายความสนใจที่อธิบายมามากมายก็ไม่ได้อยู่เหนือความอยากประชดประชันแฟนเก่า
“ถ้าเลือกไม่ได้ผมจะเลือกให้...ข้อแรก
จบมือนี้ต่างคนต่างอยู่ ผมกลับไปอยู่ในที่ของผม
คุณกลับไปหาคนที่คุณจะรักโดยไม่สนใจว่าแฟนเก่าจะรู้หรือไม่ จะเป็นจะตายยังไง
เพราะมันดีทั้งกับตัวคุณเองแล้วก็แฟนในอนาคตของตัวคุณด้วย”
สรุปใจความสำคัญได้เขาก็ก้มหน้าทานอาหารในจานต่อ
ถือเสียว่าตอบแทนค่าข้าวผัดจานจะร้อยกว้าบาทนี่ก็ได้ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ
เสียงช้อนส้อมกระทบกับจาน
ต่างคนต่างลงมือทานอาหารในส่วนของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรต่อกันอีก
กระทั่งผ่านไปอีกหลายอึดใจ
ข้าวคำสุดท้ายยังไม่ทันได้เข้าปากก็ได้ยินเสียงกระซิบบอก
“เขามาแล้วค่ะ”
เหมภาสไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่น่าประหลาดใจเท่ากับเรื่องที่เขาพบเจอในวันนี้อีกหรือเปล่า
แฟนเก่าของภัทรลดาไม่ได้แตกต่างกับที่เขาจินตนาการเอาไว้ ร่างสูงในเชิ้ตสีขาว กางเกงผ้ามันเรียบสีกรมท่า
รองเท้าหนังหัวมนขัดจนขึ้นเงา ผมหวีเรียบจัดทรงอย่างดี ผิวขาวละเอียด
เครื่องหน้าเหมือนดาราเอเชียชื่อดัง เหมือนเห็นภาพเปรียบนรกกับสวรรค์อยู่รำไร
ส่วนที่ต่าง...เรียกว่าคาดไม่ถึงจะเหมาะสมกว่าก็คือเขาดันรู้จักอีกฝ่ายเสียด้วย
เมื่อร่างสูงที่แสนจะดูดีเหมือนนายแบบนั้นเข้ามาใกล้
คล้ายว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะแปลกใจไม่แพ้กันที่ได้พบเขานั่งอยู่ตรงนี้
ก่อนที่เขาจะได้สติภัทรลดาก็ขยับย้ายที่นั่งมาฝั่งเดียวกับเขา
ปล่อยให้อีกฝั่งของโต๊ะวางเปล่า เมื่อนั้นอดีตแฟนของหล่อนก็นั่งลง
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน ฉันดีใจนะคะที่คุณมาตามนัด”
ทั้งที่พยักหน้า
แต่ผู้มาใหม่ยังตรึงสายตาเอาไว้ที่ชายร่างสูงหน้าเถื่อนที่แปลกแยกกับสถานที่โดยสิ้นเชิง
หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะเลยเปิดประเด็น “ฉันอยากแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันนะคะ”
ยังไม่ทันได้เอ่ย คนหน้าเถื่อนก็ออกปากห้าม “ไม่ต้องหรอก
คนคุ้นเคย...ไม่คิดว่าจะพบกันที่นี่นะครับคุณตรีจักร”
ตรีจักรฉีกยิ้ม “เช่นกันครับคุณเหมภาส”
ดูเหมือนเวลานี้จะมีคนที่แปลกใจยิ่งกว่าเขากับตรีจักรเสียแล้ว
เหมภาสรู้สึกว่าเนื้อแขนของภัทรลดาที่มากระทบกันโดยบังเอิญนั้นเย็นเฉียบเสียจนต้องละสายตาหันมามอง
ดวงหน้าสวยหวานซีดเผือด
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกตกใจและประหลาดใจเอาไว้เลย
“รู้จักกันเหรอคะ” เสียวสั่นระริกแผ่วเบาและแหบแห้ง
“แบบผิวเผินน่ะ เคยเจอหน้ากันสองสามครั้ง”
เขาออกปากตอบออกไป ท่าทางคนฟังคลายความกังวนใจไปได้มาก
ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะคิดว่าผู้ชายคนใหม่กับแฟนเก่าจะรู้จักกัน
มิหนำซ้ำด้วยหน้าที่การงานและรสนิยมนานาประการ เขาและตรีจักรเหมือนคนที่อยู่ต่างจักรวาล
ไม่ควรจะได้มารู้จักหรือเกี่ยวข้องกันเลย
“รู้จักกันได้ยังไงเหรอคะ”
ภัทรลดาดูเหมือนจะยังไม่ทิ้งความประหลาดใจทั้งหมดไป
ตรีจักรเอนหลังพิงพนักทั้งโต๊ะเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่งเสมือนผู้ร่วมสนทนาไมมีลมหายใจ
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ทอดยิ้มประวิงเวลาสั่งของกับพนักงานที่เดินเข้ามารับรายกายอย่างเชื่องช้า
ก่อนจะสั่งอะไรสั่งอย่างเป็นภาษาประหลาดเร็วรัวจนเหมภาสฟังไม่ทัน
พนักงานร้านยิ้มละไมรับคำสั่งแล้วถอยจากไป
“ผมเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้น้องสาวคุณเหมภาสน่ะ”
“เด็กที่ฉันเจอวันนั้นเหรอคะ”
ประโยคหลังหันมาถามผู้ชายที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกาย
ริมฝีปากหน้าขยับเม้มแล้วพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“อธิกานต์
ก็แค่เด็กที่พ่อขอมาเลี้ยงไม่ใช้น้องเนิ้งอะไรหรอก” เขาบอกปัด
ไม่รู้ขุ่นมัวเพราะอธิกานต์ถูกยกฐานะเป็นน้องสาว หรือหงุดหงิดรอยยิ้มสุภาพบุรุษอันน่าหมั่นไส้ของครูภาษาเยอรมันตรงหน้ากันแน่
เขาไม่ค่อยยิ้มเพราะไม่ได้รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างสวยงาม
หรือมีอารมณ์สุนทรีชื่นชมสายลมแสงแดดอะไรตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่เข้าใจคนที่ยิ้มได้เสมอ
ตรีจักรแจกจ่ายรอยยิ้มพร่ำเพรื่อจนท้ายที่สุดก็คงนึกไม่ออกว่าความสุขที่แท้จริงควรแสดงออกอย่างไร
เขาเกลียดคนแบบนี้... เหมภาสเสมองออกไปนอกร้าน
เศษหินบนดินกรวดหน้าร้านยามสะท้อนแสงแดดจัดยังดูรื่นรมย์มากกว่า
“แล้วตกลงว่าวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ฉันอยากให้เพื่อน...” คำนั้นของภัทรลดาทอดยาว
ปลายเสียงแผ่วลงแต่ยังชัดเจน เหมภาสไม่ได้เห็นว่าสายตาของหญิงสาวจับจ้องไปที่ใครด้วยอารมณ์อย่างไร
แต่เนื้อแขนที่แตะสัมผัสผิวหยาบกร้านของเขาเย็นเฉียบ
“อยากให้เพื่อนสนิทกับว่าที่แฟนได้รู้จักกันค่ะ”
“ว่าที่แฟน?” น้ำเสียงตรีจักรฟังดูประหลาดใจ
แน่ละ...ไม่มีใครนึกฝันหรอกว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้
“ค่ะ” ภัทรลดาสอดแขนตัวเองเข้ามากอดแขนของเขาเอาไว้
เหมภาสต้องหันกลับมามอง เขาสูงกว่าเธอมากแม้ในยามนั่งก็ยังสามารถมองข้ามศีรษะไปได้
การจ้องมองใบหน้านั้นจึงต้องกดสายตาลง
ใบหน้าด้านข้างที่แทบจะแนบติดกับเสื้อของเขาแสดงให้เห็นพวงแก้มสีเข้มจัด
แพขนตางอนยาวกระพริบถี่ “เรากำลังเริ่มศึกษาดูใจกัน
ก็เลยอยากบอกเอาไว้เดี๋ยวจะหาว่ามีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อน”
“เหรอครับ”
ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามหันมาถามเขาเหมือนต้องการคำยืนยัน
“ฝ่ายหญิงออกปากแล้วนี่ ก็ตามนั้นแหละ”
ถ้าเขาเป็นฝ่ายพูดคงไม่มีใครอยากจะเชื่อ แต่ลองผู้หญิงพูดเองแบบนี้ก็คงหมดสิ้นคำถามกันเสียที
รอยยิ้มที่แสนเกลียดหายวับไปครู่ใหญ่คล้ายกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
มันกลับมาปรากฏอีกครั้ง “ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ยินดีด้วยนะครับ
ลำบากคุณเหมภาสแล้วนะครับ เพื่อนผมค่อนข้างจะเอาแต่ใจอยู่สักหน่อยก็อย่าถือสานะครับ”
“ไม่ต้องห่วง เขาว่าคนที่ไม่ค่อยเหมือนกันมักจะอยู่กันได้ยืด
คุณภัทรลดาเขาคงเจอพวกผู้ดีแต่เปลือกมามาก
เจอคนถึงแก่นอย่างผมเข้าไปเราอาจจะเป็นคู่สร้างคู่สมกันก็ได้ จริงไหม”
เขายิ้มมุมปาก หันมองคนที่เงยหน้าขึ้นสบตาพอดิบพอดี ดวงตาหวานซึ้งพราวระยับจับใจ
จังหวะนั้นอาหารที่สั่งเอาไว้ก็ยกมาเสิร์ฟ
โต๊ะอาหารกลับมาเงียบอีกครั้งเพราะไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีกนานหลายนาที
ก่อนตรีจักรจะเปิดบทสนทนา
“เจอกันได้ยังไงเหรอครับ”
“ผมไปส่งต้นไม้ที่บ้านเขาแล้วทะเลาะกันนิดหน่อย
แต่ก็นะ...กลายเป็นความประทับใจแรกพบไปเสียได้” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตา
สนใจแต่อาหารของตัวเอง
“ประทับใจยังไงครับ”
“คุณเหมภาสเป็นคนจริงใจค่ะ”
คราวนี้เป็นภัทรลดาที่เอ่ยปากตอบ
“แค่นั้น?”
“แค่นั้นก็เกินพอ บางทีเขาอาจจะไม่เคยเจอคนจริงใจมาก่อนไง
พอได้เจอก็เลยประทับใจไม่เห็นจะแปลก” เขาวางช้อนหลังจากทานคำสุดท้าย
ดื่มน้ำอีกครั้งแก้วจนหมดแล้วเงยหน้า สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ผมมันคนดิบ
ปากหมา หน้าตาก็ไม่หล่อแต่ก็มีข้อดี
คือผมไม่เคยใช้คำพูดสุภาพหวานหูกับหน้าตาที่ดูเหมือนจะดีไปหลอกใคร”
ดูเหมือนประโยคนั้นทำให้ตรีจักรนิ่งไปอึดใจ
แต่ภัทรลดาก้มหน้าซ่อนยิ้มเอาไว้ “เอาล่ะผมอิ่มแล้ว ขอกาแฟเย็นไม่หวานให้ผมอีกสักแล้วได้ไหม”
“ได้สิคะ” หญิงหันกลับไปมองแล้วยกมือเรียกพนักงาน
อาหารมื้อนั้นดูท่าจะมีรสชาติฝืดเฝื่อนสำหรับตรีจักรเต็มทน
รอยยิ้มน่าหมั่นไส้ถึงได้ดูเหี่ยวแห้งลงไปถนัดใจ
เหมภาสต่างหากที่เป็นฝ่ายตีหน้าระรื่นสุขสมอย่างไม่รู้ร้อนหนาว
ออกจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับการได้กลั่นแกล้งพ่อคนเพียบพร้อมคนนั้น อีกฝ่ายจึงแยกกลับโดยไม่ได้สนทนาสิ่งใดกันอีก
มีเพียงแต่เขาและภัทรลดาเท่านั้นที่ยังพูดคุยกันต่อเมื่อหญิงสาวมาส่งเขาถึงที่รถ
“ไม่นึกว่าจะโลกกลมขนาดนี้นะคะ”
“เรียกเวรกรรมน่าจะเหมาะกว่ามั้ง” เหมภาสเอนหลังพิงรถคันเก่าคร่ำของตัวเอง
“ผมไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่
ไม่นึกว่านอกจากจะต้องเจอกันเพราะเขาสอนเด็กนั่นแล้วยังต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”
“ทำไมถึงไม่ชอบเขาขนาดนั้นละคะ
ถึงเขาจะดูมั่นใจในตัวเองไปสักนิดแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”
“ฮึ ขนาดแก้ตัวให้แฟนเก่าขนาดนี้สมัยก่อนคงรักกันมากสินะ”
อดเหน็บไม่ได้ “ไม่เคยได้ชินคำว่าไม่ถูกชะตาเหรอ
อารมณ์แบบแค่เห็นก็ไม่ชอบขี้หน้าแล้วน่ะ”
“ฟังดูเหมือนพาลเลยนะคะ”
“ข้อเสียผมเยอะ ถ้ายิ่งรู้จักก็ยิ่งเจอ”
“ข้อดีคุณก็มีเยอะนะ”
“พูดเอาใจผมไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก กลับไปเถอะ
เป็นอันว่าผมช่วยคุณเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรต้องมาวุ่นวายกันอีก
อย่าลืมที่ตกลงกันไว้แต่แรก”
“คุณทำให้ฉันประทับใจคุณมากขนาดนี้แล้วจะมาทิ้งกันไปง่าย
ๆ เหรอคะ” คำพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ทำให้เหมภาสสะทกสะท้าน
เขามีภูมิคุ้มกันผู้หญิงสูงจนน่าตกใจเชียวละ
ขนาดที่ผู้หญิงสวยระดับนางเอกอย่างภัทรลดายังเอาเขาไว้ไม่อยู่ “คุณใจร้ายเหลือเกิน
คงมีผู้หญิงหลายคนต้องเสียใจเพราะคุณ”
“ผมชัดเจนเสมอ
ถ้าใครจะเสียใจก็เพราะคิดกันไปเองไม่ใช่ผมให้ความหวัง
แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นมีใครเขาเสียใจนะ
ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะมีผู้หญิงมาหลงรักหรอก” ฟังดูอาจเหมือนการตัดพ้อโชคชะตา
แต่เหมภาสไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคนั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่เคยเรียกร้องหรือโหยหาความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนเป็นแบบคุณมาก่อน”
เสียงหญิงสาวอ่อนหวาน นุ่มลึก “ฉันหวังจริง ๆ ว่าคุณจะเปิดโอกาสให้ฉันบ้าง
ถ้ามีโอกาสนั้นฉันคงนับว่าเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ฉันก็ยังอยากให้เราเป็นเพื่อนกันนะคะ
อย่างน้อยเราก็เคยได้พบได้รู้จักกันแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็พอได้” ชายหนุ่มนิ่งนึก “แต่ผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นผู้หญิงมาก่อน
คงไม่ใช่ประเภทจะมานั่งรอรับโทรศัพท์คุยกระหนุงกระหนิงกับใครได้”
“ฉันก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ” ภัทรลดายิ้มหวาน
ยืดตัวขึ้นตรง “รบกวนเวลาคุณมามากแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วยกันในวันนี้
ฝากสวัสดีคุณลุงกับก็เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“นี่ผมต้องเดินไปส่งที่รถไหม”
คนฟังหัวเราะ “แค่เดินในลานจอดรถฉันไม่หลงหรอกค่ะ
เดินทางดี ๆ นะคะ”
ชายหนุ่มโบกมือลา
เสียงเปิดประตูน่ากลัวเหมือนโครงเหล็กนั้นจะหลุดออกมา แต่ดูจากแรงกระแทกปิดแล้วมันคงจะแข็งแรงพอสมควรทีเดียว
กระบะเก่า ๆ คันนั้นเคลื่อนตัวจากไปพร้อมกับเหมภาสที่ยังคงเหลือบมองกระจกด้านข้าง
หญิงสาวยืนส่งเขาจนกระทั่งรถเลี้ยวออกจากถนนไปลับจากสายตา เขาหันกลับมามองชาเย็นเต็มแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย
หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่รอบแก้วปล่อยไอเย็นให้สัมผัสถาดพลาสติกหน้ารถ
นี่อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์วันนี้ไม่ใช่ละครข่าวภาคค่ำหลังสองทุ่มครึ่งของคนงานในสวน
“เป็นไงบ้าง เดทครั้งแรก”
ภาสกรนั่งยิ้มปลื้มอยู่ในบ้านก่อนแล้วและเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นว่าลูกชายคนเดียวเดินฝ่าแดดร้อนเข้ามาด้านใน
เหมภาสไม่ได้ตอบในทันที เขาเดินถือแก้วชาเย็นหายเข้าไปในครัวก่อนจะกลับออกมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา
ถลกแขนเสื้อแล้วปลดกระดุมออกสองสามเม็ด
“พ่อคิดว่ายังไง”
“ถ้าเอาแบบโลกแห่งความฝันก็คงเป็นแกกับคุณหนูคนนั้นตกลงเป็นแฟนกัน
วางแผนจะแต่งงานกันในอนาคต
ฉันจะได้ตายตาหลับว่าลูกชายได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที
แต่ถ้าเอาแบบโลกความเป็นจริงแกคงปฏิเสธคุณหนูคนนั้นไปแล้วใช่ไหม”
ลูกชายยิ้ม “สมกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ”
“ทำไมวะ นางฟ้าร่วมลงมาหาซาตานขนาดนี้แกยังกล้าปฏิเสธ”
“ไม่ได้รักไม่ได้ชอบจะไปทนเสียเวลาด้วยกันทำไม”
ภาสกรตีสีหน้าจริงจัง วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ “ไม่มีใครเขารักชอบกันมาตั้งแต่เกิดหรอก
มันต้องอาศัยการทำความรู้จัก ทดลองคบหา เรียนรู้กันก่อนสิวะไอ้ลูกชาย
แต่แกเล่นปิดโอกาสผู้หญิงทุกคนแบบนี้ชาตินี้แกจะหาเมียกับเขาได้เหรอ”
“ไม่ได้ก็ไม่มีไงพ่อ ยากอะไร”
เหมภาสก้มหัวหลบหมอนอิงที่บิดาปาใส่ ขณะที่คนปาพูดอย่างเหลืออด
“ไอ้บ้า แล้วต่อไปแกจะอยู่ยังไง พ่อไม่ได้อยู่ค้ำฟ้ากับแกหรอกนะ
อีกสิบปียี่สิบปีพ่อก็ตายลงโลงแล้ว ถึงเวลานั้นแกจะอยู่ยังไง อยู่กับใคร
แก่ตัวไปใครจะดูแลแกวะไอ้เหม แกอายุจะสามสิบแล้วนะไอ้ลูกชาย แฟนแกก็ไม่เคยมี
เงาผู้หญิงสักคนฉันก็ไม่เคยเห็น
นอกจากจะเปิดซิงใครไม่ได้แล้วยังไม่เคยถูกใครเปิดซิงด้วยใช่ไหม
แกจะเก็บซิงไว้ชิงโชคหรือไง”
“ได้ทองสักบาทผมก็พอใจนะ”
เพราะหาอะไรใกล้มือปาไม่ได้
ภาสกรเลยหยิบหนังสือที่อ่านปาออกไปแทน
ลูกชายตัวดีตะปบอย่างแม่นยำก่อนถึงหน้าไม่กี่นิ้ว “ไอ้เวร พ่อจริงจังนะโว้ย”
“จะเครียดให้เส้นเลือดในสมองมันแตกหรือไง
ถึงเวลาถ้าหาไม่ได้เดี๋ยวผมก็เอาคนแถว ๆ นี้แหละ
ไม่อยากไปเริ่มต้นทำความรู้จักใครใหม่ เสียดายเวลา มันไม่ใช่แนว พ่อเลือก ๆ เอาแถวนี้แล้วกันว่าอยากได้ใคร
เดี๋ยวผมจับปล้ำทำเมียให้พ่อเองดีไหม”
“มันจะมีใครนอกจากคนงาน อ้อ...หนูอ้อนอีกคน คุกนะโว้ยคุก
เด็กมันเพิ่งสิบเจ็ด”
คนฟังชักสีหน้าใส่ “ก็เว้นเด็กนั่นไว้สิ
ผมไม่เอาเด็กม.หกทำเมียหรอก ตัวก็เท่าลูกหมา จับทีเดียวก็กระดูกหักแล้วมั้ง
จะเอามาทำไมให้เป็นภาระ”
“พูดดีไป หนูอ้อนเขายิ่งโตยิ่งสวยนะแกไม่เห็นเหรอ”
“สวย เด็กนั่นนะเหรอสวย อวยกันไม่ลืมหูลืมตา”
เขาเบะปากใส่ มองท่าทางโมโหของบิดาที่ขัดใจยามที่ไม่สามารถหาอะไรปาใส่ลูกชายได้อีกแล้ว
เหมภาสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเกือบร้อยเก้าสิบ “ผมไปอาบน้ำก่อนนะ
แล้วถ้าลูกหมาขนสวย เอ้ย...คนสวยของพ่อมาให้ไปเอาชาเย็นในตู้เย็นด้วย”
“เดี๋ยวนี้ชักมีน้ำใจแปลก ๆ แกซื้อมาฝากหนูอ้อนเหรอ”
“ของเหลือ!”
หายไปนาน
ไม่มีอะไรจะแก้ตัว
ขอโทษค่ะ >\\\<
ข่าวดีสำหรับคนเคยอ่าน “ซ่านเสน่หา” เดี๋ยวจะได้ชมแบบคนแสดงกันแล้วเนอะ ช่องไหน ยังไง เมื่อไหร่ จะมาอัพเดตเรื่อย ๆ นะคะ >///<
ความคิดเห็น