ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักรัญจวนใจ

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๗ พบปะคนคุ้นเคย

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 59


    บทที่ ๗

     

                ร้านอาหารที่อีกฝ่ายนัดให้มาหามีลักษณะของบ้านไม้สีเขียวนมชั้นเดียวยกพื้นมากกว่าร้านตามแบบทั่วไป หากจะแปลกตากว่าบ้านทั่วไปก็คงเป็นเพราะผนังด้านหนึ่งติดกระจกจากพื้นสูงจรดเพดานเกือบสามเมตร ทัศนียภาพด้านนอกคือสวนย่อมขนาดเล็กที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับสวนอีกสองสามที่สำหรับแขกที่ปรารถนาจะได้ไอแดดไอลมจากธรรมชาติมากกว่าอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศด้านใน ลานจอดรถด้านหน้าร้านเป็นลานหินกรวดมีรถจอดอยู่หลายคันเพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาก่อนเที่ยวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                รถกระบะคันเก่าของเหมภาสกลายเป็นของแปลกเมื่อจอดรวมอยู่กับบรรดารถติดแบรนด์ชั้นนำทั้งหลาย แม้แต่พนักงานต้อนรับที่คอยเปิดประตูให้เขายังทำท่าลังเลใจ โชคดีที่เขาเลือกเสื้อผ้าอย่างดีนิดหน่อยสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่แต่ในสวนออกมาไม่ใช่นั้นคงไม่มีใครยอมให้เข้าไปแน่นอน

                เมื่อกวาดสายตาไปทั่วทั้งร้าน ภัทรลดาเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นแม้อยู่ท่ามกลางพวงดอกไม้ที่ตกแต่งทั้งเพดาน แจกันตามทางเดินหรือแม้แต่บนโต๊ะ เสื้อเปิดไหล่สีเขียวขับผิวขาวให้ยิ่งผ่อง ผสมยาวดัดเป็นลอนใหญ่สยายอยู่เต็มหลัง เขาเห็นเธอเป็นคนแรกโดยแทบไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวหันมายิ้มก่อนจะโบกมือเรียก สายตาแขกไม่กี่คนในร้านจับจ้องผู้ชายในชุดเสื้อผ้าแสนโทรม เชิ้ตสีน้ำตาลของเขาดูซีดเพราะผ่านการซักมาหลายครั้งและไม่ใช่ผ้าเนื้อดี กางเกงยีนที่ปรากฏรอยขาวเพราะความเก่ามากกว่าแฟชั่น รองเท้าผ้าใบที่เชือกร้อยกลายเป็นสีเหลืองอ่อนเพราะไม่ได้ซักมานาน ไรหนวดเขียวขึ้นเป็นตอบนใบหน้าค้ำกร้านแดด ผมแห้งชี้ฟูขาดการบำรุง และด้วยรูปร่างใหญ่โตกับส่วนสูงที่แม้ในหมู่ผู้ชายด้วยกันก็ยังนับว่าสูงมาก เหมภาสเหมือนพวกทวงหนี้หน้าเลือดมากกว่าคู่นัดของหญิงสาวผิวขาวผ่องรูปร่างสะโอดสะองเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดคนนั้น

                “รอนานไหม”

                เหมภาสกลั้นใจเดินเข้ามาทักทายโดยไม่สนสายตาแคลางใจระวาดระแวงของคนทั้งร้าน บางทีพนักงานอาจจะเตรียมกดหมายเลขฉุกเฉินแจ้งตำรวจไว้ก่อนแล้วก็ได้ เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยปากเชิญ ภัทรลดายิ้มละไม ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เช่นกัน

                “มาสักครู่เดียวค่ะ สั่งน้ำไปยังไม่ทันได้เลย คุณเหมภาสจะรับอะไรดีคะฉันจะเรียกพนักงานให้”

                “กาแฟเย็นไม่หวานสักแก้วก็พอ”

                “อาหารล่ะคะ สั่งได้เลยนะคะวันนี้ฉันเป็นเจ้ามือ”

                “ร้านนี้จะมีข้าวไข่เจียวให้ผมไหมล่ะ” เหมภาสตอบขอไปที เขาเห็นรูปเมนูอาหารที่ติดอยู่รอบร้านแล้วมีแต่พวกเลี่ยน ๆ ที่ไม่ค่อยจะถูกจริตเท่าใดนัก “ถ้าไม่มีขอข้าวคลุกน้ำพริกสักจานก็ได้”

                “สองจานนี้ขอติดหนี้ไว้ก่อนนะคะ ถ้าคุณเหมไม่ชอบอาหารฝรั่งที่นี่มีข้าวผัดแซลม่อนนะคะ”

                เมนูอาหารที่นำเสนอมาทำเอาคนฟังแอบถอนหายใจ แต่นี่คงเป็นเมนูธรรมดาที่สุดในร้านแล้ว เขาพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ หญิงสาวเรียกพนักงานในร้านมารับรายการ ตลอดเวลาเหมภาสรู้ว่าพนักงานแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา เขาเลือกที่หันไปคว้าหนังมือพิมพ์ที่แขวนอยู่ไม่ห่างนักมากางอ่านระหว่างรอให้คู่นัดสั่งอาหาร

                ทันทีที่เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเขาก็ลดหนังสือพิมพ์ลง “แล้วไหนล่ะคนที่คุณอยากให้ผมมาเจอ”

                “คงอีกสักพักค่ะ ฉันนัดเขามาตอนเที่ยงครึ่ง”

                “เขาก็ไม่ได้มากินอาหารกับเราสิ หรือผมต้องหิ้วท้องรอจนกว่าเขาจะมา”

                ภัทรลดายิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องรอหรอกค่ะ ฉันแต่เรียกเขขามาคุยเท่านั้นคงไม่ได้ทานอาหารด้วยกันอยู่แล้ว ฉันอยากคุยกับคุณก่อน อยากให้เราคุยกันแบบสบาย ๆ ทานไปคุยไปน่าจะดีกว่า”

                รอไม่นานอาหารและน้ำที่สั่งไปก็มาวางอยู่ตรงหน้า ข้าวผัดแซลม่อนมีเนื้อปลาชิ้นเท่านิ้วก้อยกองปนอยู่ไม่กี่ชิ้น ขณะที่ของหญิงสาวเป็นเพียงแค่สลัดทูน่าจานเล็กและน้ำแตงโมปั่นหวานฉ่ำ ทันทีที่คำแรกเข้าปากเหมภาสที่เหมือนจะรอจังหวะนี้มานานก็เปิดปาก

                “มีเรื่องอะไรจะคุยกับผม”

     

                “คุณเหมภาสคงทราบดีอยู่แล้วว่าฉันสนใจคุณ”

                “รู้ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดในชีวิต” เหมภาสตอบกลับด้วยความรู้สึกหลากหลาย  เขายังจดจำวินาทีที่ได้ยินเรื่องประหลาดนี้เป็นครั้งแรก แม้จนวันนี้ชายหนุ่มก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร ไอ้โจรเถื่อนอย่างเขาถึงไปเข้าตาคุณหนูไฮโซคนนี้ได้

                ภัทรลดายิ้มรับ หล่อนก้มหน้าลงมองมือของตัวเองอยู่ครูหนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยปากพูด “ฉันรู้ค่ะว่าคุณแปลกใจ ฉันเองยังแปลกใจในความบ้าของตัวเองเหมือนกัน สารภาพนะคะว่าตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไร โดยเฉพาะความประทับใจแรกพบที่มีต่อกัน คุณเหมภาสคงไม่โกรธนะคะถ้าฉันจะบอกว่าฉันกลัวคุณมาก”

                ชายหนุ่มเอนหลัง ส่ายหน้า “ดีใจด้วยซ้ำ อย่างน้อยคุณก็มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเหมือนมนุษย์ปกติ”

                “แต่บางครั้งสัญชาตญาณก็ไม่ได้น่าเชื่อถือเสมอไป อย่างที่คุณไม่ได้น่ากลัวเหมือนภาพลักษณะภายนอก”

                “อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น ผมอาจจะดิบ เถื่อน หยาบคาย แล้วก็โมโหร้ายเหมือนภาพลักษณะก็ได้”

                “คงไม่มีคนนิสัยแบบนั้นยอมเสียเงินห้าหลักเพราะความรักต้นไม้หรอกค่ะ”

                พอได้ยินแบบนั้นเหมภาสอดคิดไม่ได้ว่าความรักต้นไม้ดอกไม้ของเขามันชักจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรเสียแล้ว “แค่นั้นเหรอที่ทำให้คุณสนใจผม”

                “เปล่าค่ะ ก็...แค่จุดเริ่มต้น”

                “ของอะไร”

                “จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันเริ่มสังเกตคุณ ลักษณะหลาย ๆ อย่างของคุณทำให้ฉันสนใจ ที่ฉันอยากพูดคือฉันอยากให้คุณเหมภาสลองเปิดใจ เราสองคนมาลองคุยกันดีไหมคะ คุยแบบทดลองคบน่ะค่ะ” สีหน้าจริงจังของหล่อนไม่ได้บอกว่าพูดเล่นหรือแค่อำ จะบอกว่าเป็นรายการแกล้งกันเขาก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงเสียด้วย

                “มีใครจับหัวคุณกระแทกกับพื้นหรือเปล่า หรือเพิ่งปะสบอุบัติเหตุสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงอะไรแบบนี้”

                ภัทรลดาส่งเสียงขำเบา ๆ ในลำคอ “เปล่าค่ะ ฉันปกติดีทุกอย่าง ตรวจสุขภาพครั้งสุดท้ายเมื่อครึ่งปีที่แล้วนี่เอง ฉันยืนยันว่าตัวเองพูดจริง คิดจริงทุกประโยคที่บอกคุณไป ฉันอยากให้เราเริ่มทดลองคุยกัน เปิดใจให้กัน ทดลองคบกัน เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ได้ก็ยิ่งดี”

                ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ทำไมคุณต้องรีบขนาดนั้น”

                “เพราะคนที่ฉันนัดให้มาเจอคุณวันนี้เป็นแฟนเก่าของฉันค่ะ”

                จบประโยคนั้นเหมภาสก็ค้นพบอะไรหลายอย่าง ทั้งความจริงที่เหมือนจะกระจ่างกับคำถามมากมาย บางเรื่องที่ยังคลางแคลง รวมไปถึงความรู้สึกโกรธนิดหน่อยที่อธิบายไม่ค่อยถูก เขาไม่โง่และหล่อนก็จงใจที่จะเปิดเผยอย่างจริงใจ ไม่รู้...เรียกว่าจริงใจได้หรือเปล่า

                “ผมเป็นแค่เครื่องมืออวดแฟนเก่าอย่างนั้นสิ”

                “ขอโทษที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น แต่ฉันไม่เคยคิดจะอวดใคร ฉันแค่อยากให้เขารู้ว่าถึงไม่มีเขาฉันก็อยู่ได้ และฉันก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีสิทธิ์จะเลือก เลือกคนที่จะคบ เลือกคนที่จะรักด้วยตัวของฉันเอง” ในน้ำเสียงนั้นหนักแน่นและจริงจังต่อคำพูดของตัวเอง

                “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นผมคือตัวแทนความขบถในการปฏิวัติชีวิตของคุณใช่ไหม”

                “ก็ไม่ผิดนักหรอกค่ะ” ร้อยยิ้มนั้นเจือความละอายแก่ใจ “ส่วนหนึ่งที่ฉันสนใจคุณก็เพราะคุณตรงข้ามกับแฟนเก่าฉันทุกอย่าง”

                “พูดไปอาจจะเหมือนด่าตัวเอง แต่ผมเดาว่าแฟนเก่าคุณคงจะหล่อ ขาว ตี๋ หน้าที่การงานดี ปากหวาน ช่างเอาใจ กิริยามารยาทดี แล้วก็รสนิยมเยี่ยม” ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ถอนหายใจ “ไอ้ที่เงียบนี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ ผมชักจะอิ่มแล้วก็อยากลุกหนีไปจากตรงนี้ซะแล้วสิ”

                “อย่าเพิ่งไปสิคะ”

    ดวงตาหวานหยดส่องประกายออดอ้อน ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงหลงหน้ามืด แต่ประสบการณ์กับอธิกานต์ตลอดเวลาเกือบสามปีทำให้เขามีภูมิคุ้มกันสายตาเหมือนลูกแมวหิวนมแบบนี้เสียแล้ว อธิกานต์จะเหนือกว่าด้วยซ้ำตรงที่เด็กนั่นตัวเล็กแล้วก็ท่าทางซื่อจนไม่รู้จะสงสารหรือหมั่นไส้ดี

    “ถึงผมจะไม่ได้ชั่ว แต่ก็ไม่ใช่คนดีขนาดจะยอมเป็นเครื่องมือให้ใครพิสูจน์อะไรแบบนี้หรอก”

    “ฉันไม่ได้มองคุณเป็นเครื่องมือเลยนะคะ ฉันสนใจคุณจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพราะคุณต่างจากเขา แต่เพราะตัวคุณเอง คุณคุยสนุก จริงใจ มีความคิดเป็นของตัวเอง ฉันคิดว่าเราไปด้วยกันได้ อย่างน้อยก็น่าจะลองคุยกัน อีกอย่างตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้วด้วย” ฟังดูเหมือนหล่อนจะชักแม่น้ำครบห้าสายแล้วเพื่อให้เขานั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป

    “บางทีคำพูดคุณมันก็ย้อนแย้งกันเองรู้ไหม คุณบอกว่าคุณไม่ได้อยากจะอวดแฟนเก่า ไม่ได้ประชด แต่พอผมจะไปไม่มีใครอยู่เจอแฟนเก่าคุณกลับมาทำท่าจะเป็นจะตาย ถ้าให้เลือกระหว่างผมไปแล้วพรุ่งนี้เราเริ่มคุยกัน กับผมนั่งอยู่ตรงนี้ เจอหน้าแฟนเก่าคุณแล้วทุกอย่างจบ งานเลิกก็ต่างคนต่างแยกย้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก คุณจะเลือกแบบไหน”

    จบประโยคนั้น เขามั่นใจว่าเห็นความลำบากใจอย่างชัดเจนในดวงหน้าของหญิงสาวประหลาดตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่หล่อนไม่ด่วนตัดสินใจเลือกข้อแรกโดยไร้เยื้อไย หรือเสียใจที่สุดท้ายความสนใจที่อธิบายมามากมายก็ไม่ได้อยู่เหนือความอยากประชดประชันแฟนเก่า

    “ถ้าเลือกไม่ได้ผมจะเลือกให้...ข้อแรก จบมือนี้ต่างคนต่างอยู่ ผมกลับไปอยู่ในที่ของผม คุณกลับไปหาคนที่คุณจะรักโดยไม่สนใจว่าแฟนเก่าจะรู้หรือไม่ จะเป็นจะตายยังไง เพราะมันดีทั้งกับตัวคุณเองแล้วก็แฟนในอนาคตของตัวคุณด้วย”

    สรุปใจความสำคัญได้เขาก็ก้มหน้าทานอาหารในจานต่อ ถือเสียว่าตอบแทนค่าข้าวผัดจานจะร้อยกว้าบาทนี่ก็ได้ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ เสียงช้อนส้อมกระทบกับจาน ต่างคนต่างลงมือทานอาหารในส่วนของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรต่อกันอีก กระทั่งผ่านไปอีกหลายอึดใจ ข้าวคำสุดท้ายยังไม่ทันได้เข้าปากก็ได้ยินเสียงกระซิบบอก

    “เขามาแล้วค่ะ”

     

    เหมภาสไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่น่าประหลาดใจเท่ากับเรื่องที่เขาพบเจอในวันนี้อีกหรือเปล่า แฟนเก่าของภัทรลดาไม่ได้แตกต่างกับที่เขาจินตนาการเอาไว้ ร่างสูงในเชิ้ตสีขาว กางเกงผ้ามันเรียบสีกรมท่า รองเท้าหนังหัวมนขัดจนขึ้นเงา ผมหวีเรียบจัดทรงอย่างดี ผิวขาวละเอียด เครื่องหน้าเหมือนดาราเอเชียชื่อดัง เหมือนเห็นภาพเปรียบนรกกับสวรรค์อยู่รำไร ส่วนที่ต่าง...เรียกว่าคาดไม่ถึงจะเหมาะสมกว่าก็คือเขาดันรู้จักอีกฝ่ายเสียด้วย

    เมื่อร่างสูงที่แสนจะดูดีเหมือนนายแบบนั้นเข้ามาใกล้ คล้ายว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะแปลกใจไม่แพ้กันที่ได้พบเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก่อนที่เขาจะได้สติภัทรลดาก็ขยับย้ายที่นั่งมาฝั่งเดียวกับเขา ปล่อยให้อีกฝั่งของโต๊ะวางเปล่า เมื่อนั้นอดีตแฟนของหล่อนก็นั่งลง

    “ไม่ได้เจอกันเสียนาน ฉันดีใจนะคะที่คุณมาตามนัด” ทั้งที่พยักหน้า แต่ผู้มาใหม่ยังตรึงสายตาเอาไว้ที่ชายร่างสูงหน้าเถื่อนที่แปลกแยกกับสถานที่โดยสิ้นเชิง หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะเลยเปิดประเด็น “ฉันอยากแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันนะคะ”

    ยังไม่ทันได้เอ่ย คนหน้าเถื่อนก็ออกปากห้าม “ไม่ต้องหรอก คนคุ้นเคย...ไม่คิดว่าจะพบกันที่นี่นะครับคุณตรีจักร”

    ตรีจักรฉีกยิ้ม “เช่นกันครับคุณเหมภาส”

    ดูเหมือนเวลานี้จะมีคนที่แปลกใจยิ่งกว่าเขากับตรีจักรเสียแล้ว เหมภาสรู้สึกว่าเนื้อแขนของภัทรลดาที่มากระทบกันโดยบังเอิญนั้นเย็นเฉียบเสียจนต้องละสายตาหันมามอง ดวงหน้าสวยหวานซีดเผือด ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกตกใจและประหลาดใจเอาไว้เลย

    “รู้จักกันเหรอคะ” เสียวสั่นระริกแผ่วเบาและแหบแห้ง

    “แบบผิวเผินน่ะ เคยเจอหน้ากันสองสามครั้ง” เขาออกปากตอบออกไป ท่าทางคนฟังคลายความกังวนใจไปได้มาก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะคิดว่าผู้ชายคนใหม่กับแฟนเก่าจะรู้จักกัน มิหนำซ้ำด้วยหน้าที่การงานและรสนิยมนานาประการ เขาและตรีจักรเหมือนคนที่อยู่ต่างจักรวาล ไม่ควรจะได้มารู้จักหรือเกี่ยวข้องกันเลย

    “รู้จักกันได้ยังไงเหรอคะ” ภัทรลดาดูเหมือนจะยังไม่ทิ้งความประหลาดใจทั้งหมดไป

    ตรีจักรเอนหลังพิงพนักทั้งโต๊ะเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่งเสมือนผู้ร่วมสนทนาไมมีลมหายใจ ชายหนุ่มผู้มาใหม่ทอดยิ้มประวิงเวลาสั่งของกับพนักงานที่เดินเข้ามารับรายกายอย่างเชื่องช้า ก่อนจะสั่งอะไรสั่งอย่างเป็นภาษาประหลาดเร็วรัวจนเหมภาสฟังไม่ทัน พนักงานร้านยิ้มละไมรับคำสั่งแล้วถอยจากไป

    “ผมเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้น้องสาวคุณเหมภาสน่ะ”

    “เด็กที่ฉันเจอวันนั้นเหรอคะ” ประโยคหลังหันมาถามผู้ชายที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกาย ริมฝีปากหน้าขยับเม้มแล้วพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

    “อธิกานต์ ก็แค่เด็กที่พ่อขอมาเลี้ยงไม่ใช้น้องเนิ้งอะไรหรอก” เขาบอกปัด ไม่รู้ขุ่นมัวเพราะอธิกานต์ถูกยกฐานะเป็นน้องสาว หรือหงุดหงิดรอยยิ้มสุภาพบุรุษอันน่าหมั่นไส้ของครูภาษาเยอรมันตรงหน้ากันแน่

    เขาไม่ค่อยยิ้มเพราะไม่ได้รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างสวยงาม หรือมีอารมณ์สุนทรีชื่นชมสายลมแสงแดดอะไรตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่เข้าใจคนที่ยิ้มได้เสมอ ตรีจักรแจกจ่ายรอยยิ้มพร่ำเพรื่อจนท้ายที่สุดก็คงนึกไม่ออกว่าความสุขที่แท้จริงควรแสดงออกอย่างไร เขาเกลียดคนแบบนี้... เหมภาสเสมองออกไปนอกร้าน เศษหินบนดินกรวดหน้าร้านยามสะท้อนแสงแดดจัดยังดูรื่นรมย์มากกว่า

    “แล้วตกลงว่าวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องอะไรเหรอครับ”

    “ฉันอยากให้เพื่อน...” คำนั้นของภัทรลดาทอดยาว ปลายเสียงแผ่วลงแต่ยังชัดเจน เหมภาสไม่ได้เห็นว่าสายตาของหญิงสาวจับจ้องไปที่ใครด้วยอารมณ์อย่างไร แต่เนื้อแขนที่แตะสัมผัสผิวหยาบกร้านของเขาเย็นเฉียบ “อยากให้เพื่อนสนิทกับว่าที่แฟนได้รู้จักกันค่ะ”

    “ว่าที่แฟน?” น้ำเสียงตรีจักรฟังดูประหลาดใจ แน่ละ...ไม่มีใครนึกฝันหรอกว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้

    “ค่ะ” ภัทรลดาสอดแขนตัวเองเข้ามากอดแขนของเขาเอาไว้ เหมภาสต้องหันกลับมามอง เขาสูงกว่าเธอมากแม้ในยามนั่งก็ยังสามารถมองข้ามศีรษะไปได้ การจ้องมองใบหน้านั้นจึงต้องกดสายตาลง ใบหน้าด้านข้างที่แทบจะแนบติดกับเสื้อของเขาแสดงให้เห็นพวงแก้มสีเข้มจัด แพขนตางอนยาวกระพริบถี่ “เรากำลังเริ่มศึกษาดูใจกัน ก็เลยอยากบอกเอาไว้เดี๋ยวจะหาว่ามีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อน”

    “เหรอครับ” ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามหันมาถามเขาเหมือนต้องการคำยืนยัน

    “ฝ่ายหญิงออกปากแล้วนี่ ก็ตามนั้นแหละ” ถ้าเขาเป็นฝ่ายพูดคงไม่มีใครอยากจะเชื่อ แต่ลองผู้หญิงพูดเองแบบนี้ก็คงหมดสิ้นคำถามกันเสียที

    รอยยิ้มที่แสนเกลียดหายวับไปครู่ใหญ่คล้ายกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง มันกลับมาปรากฏอีกครั้ง “ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ยินดีด้วยนะครับ ลำบากคุณเหมภาสแล้วนะครับ เพื่อนผมค่อนข้างจะเอาแต่ใจอยู่สักหน่อยก็อย่าถือสานะครับ”

    “ไม่ต้องห่วง เขาว่าคนที่ไม่ค่อยเหมือนกันมักจะอยู่กันได้ยืด คุณภัทรลดาเขาคงเจอพวกผู้ดีแต่เปลือกมามาก เจอคนถึงแก่นอย่างผมเข้าไปเราอาจจะเป็นคู่สร้างคู่สมกันก็ได้ จริงไหม” เขายิ้มมุมปาก หันมองคนที่เงยหน้าขึ้นสบตาพอดิบพอดี ดวงตาหวานซึ้งพราวระยับจับใจ

    จังหวะนั้นอาหารที่สั่งเอาไว้ก็ยกมาเสิร์ฟ โต๊ะอาหารกลับมาเงียบอีกครั้งเพราะไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีกนานหลายนาที ก่อนตรีจักรจะเปิดบทสนทนา

    “เจอกันได้ยังไงเหรอครับ”

    “ผมไปส่งต้นไม้ที่บ้านเขาแล้วทะเลาะกันนิดหน่อย แต่ก็นะ...กลายเป็นความประทับใจแรกพบไปเสียได้” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตา สนใจแต่อาหารของตัวเอง

    “ประทับใจยังไงครับ”

    “คุณเหมภาสเป็นคนจริงใจค่ะ” คราวนี้เป็นภัทรลดาที่เอ่ยปากตอบ

    “แค่นั้น?”

    “แค่นั้นก็เกินพอ บางทีเขาอาจจะไม่เคยเจอคนจริงใจมาก่อนไง พอได้เจอก็เลยประทับใจไม่เห็นจะแปลก” เขาวางช้อนหลังจากทานคำสุดท้าย ดื่มน้ำอีกครั้งแก้วจนหมดแล้วเงยหน้า สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ผมมันคนดิบ ปากหมา หน้าตาก็ไม่หล่อแต่ก็มีข้อดี คือผมไม่เคยใช้คำพูดสุภาพหวานหูกับหน้าตาที่ดูเหมือนจะดีไปหลอกใคร”

    ดูเหมือนประโยคนั้นทำให้ตรีจักรนิ่งไปอึดใจ แต่ภัทรลดาก้มหน้าซ่อนยิ้มเอาไว้ “เอาล่ะผมอิ่มแล้ว ขอกาแฟเย็นไม่หวานให้ผมอีกสักแล้วได้ไหม”

    “ได้สิคะ” หญิงหันกลับไปมองแล้วยกมือเรียกพนักงาน

     

    อาหารมื้อนั้นดูท่าจะมีรสชาติฝืดเฝื่อนสำหรับตรีจักรเต็มทน รอยยิ้มน่าหมั่นไส้ถึงได้ดูเหี่ยวแห้งลงไปถนัดใจ เหมภาสต่างหากที่เป็นฝ่ายตีหน้าระรื่นสุขสมอย่างไม่รู้ร้อนหนาว ออกจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับการได้กลั่นแกล้งพ่อคนเพียบพร้อมคนนั้น อีกฝ่ายจึงแยกกลับโดยไม่ได้สนทนาสิ่งใดกันอีก มีเพียงแต่เขาและภัทรลดาเท่านั้นที่ยังพูดคุยกันต่อเมื่อหญิงสาวมาส่งเขาถึงที่รถ

    “ไม่นึกว่าจะโลกกลมขนาดนี้นะคะ”

    “เรียกเวรกรรมน่าจะเหมาะกว่ามั้ง” เหมภาสเอนหลังพิงรถคันเก่าคร่ำของตัวเอง “ผมไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ไม่นึกว่านอกจากจะต้องเจอกันเพราะเขาสอนเด็กนั่นแล้วยังต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”

    “ทำไมถึงไม่ชอบเขาขนาดนั้นละคะ ถึงเขาจะดูมั่นใจในตัวเองไปสักนิดแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”

    “ฮึ ขนาดแก้ตัวให้แฟนเก่าขนาดนี้สมัยก่อนคงรักกันมากสินะ” อดเหน็บไม่ได้ “ไม่เคยได้ชินคำว่าไม่ถูกชะตาเหรอ อารมณ์แบบแค่เห็นก็ไม่ชอบขี้หน้าแล้วน่ะ”

    “ฟังดูเหมือนพาลเลยนะคะ”

    “ข้อเสียผมเยอะ ถ้ายิ่งรู้จักก็ยิ่งเจอ”

    “ข้อดีคุณก็มีเยอะนะ”

    “พูดเอาใจผมไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก กลับไปเถอะ เป็นอันว่าผมช่วยคุณเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรต้องมาวุ่นวายกันอีก อย่าลืมที่ตกลงกันไว้แต่แรก”

    “คุณทำให้ฉันประทับใจคุณมากขนาดนี้แล้วจะมาทิ้งกันไปง่าย ๆ เหรอคะ” คำพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ทำให้เหมภาสสะทกสะท้าน เขามีภูมิคุ้มกันผู้หญิงสูงจนน่าตกใจเชียวละ ขนาดที่ผู้หญิงสวยระดับนางเอกอย่างภัทรลดายังเอาเขาไว้ไม่อยู่ “คุณใจร้ายเหลือเกิน คงมีผู้หญิงหลายคนต้องเสียใจเพราะคุณ”

    “ผมชัดเจนเสมอ ถ้าใครจะเสียใจก็เพราะคิดกันไปเองไม่ใช่ผมให้ความหวัง แต่เท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นมีใครเขาเสียใจนะ ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะมีผู้หญิงมาหลงรักหรอก” ฟังดูอาจเหมือนการตัดพ้อโชคชะตา แต่เหมภาสไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาไม่เคยเรียกร้องหรือโหยหาความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    “ฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนเป็นแบบคุณมาก่อน” เสียงหญิงสาวอ่อนหวาน นุ่มลึก “ฉันหวังจริง ๆ ว่าคุณจะเปิดโอกาสให้ฉันบ้าง ถ้ามีโอกาสนั้นฉันคงนับว่าเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ฉันก็ยังอยากให้เราเป็นเพื่อนกันนะคะ อย่างน้อยเราก็เคยได้พบได้รู้จักกันแล้ว”

    “ถ้าอย่างนั้นก็พอได้” ชายหนุ่มนิ่งนึก “แต่ผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นผู้หญิงมาก่อน คงไม่ใช่ประเภทจะมานั่งรอรับโทรศัพท์คุยกระหนุงกระหนิงกับใครได้”

    “ฉันก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ” ภัทรลดายิ้มหวาน ยืดตัวขึ้นตรง “รบกวนเวลาคุณมามากแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วยกันในวันนี้ ฝากสวัสดีคุณลุงกับก็เดินทางปลอดภัยนะคะ”

    “นี่ผมต้องเดินไปส่งที่รถไหม”

    คนฟังหัวเราะ “แค่เดินในลานจอดรถฉันไม่หลงหรอกค่ะ เดินทางดี ๆ นะคะ”

    ชายหนุ่มโบกมือลา เสียงเปิดประตูน่ากลัวเหมือนโครงเหล็กนั้นจะหลุดออกมา แต่ดูจากแรงกระแทกปิดแล้วมันคงจะแข็งแรงพอสมควรทีเดียว กระบะเก่า ๆ คันนั้นเคลื่อนตัวจากไปพร้อมกับเหมภาสที่ยังคงเหลือบมองกระจกด้านข้าง หญิงสาวยืนส่งเขาจนกระทั่งรถเลี้ยวออกจากถนนไปลับจากสายตา เขาหันกลับมามองชาเย็นเต็มแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่รอบแก้วปล่อยไอเย็นให้สัมผัสถาดพลาสติกหน้ารถ นี่อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์วันนี้ไม่ใช่ละครข่าวภาคค่ำหลังสองทุ่มครึ่งของคนงานในสวน

     

    “เป็นไงบ้าง เดทครั้งแรก” ภาสกรนั่งยิ้มปลื้มอยู่ในบ้านก่อนแล้วและเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นว่าลูกชายคนเดียวเดินฝ่าแดดร้อนเข้ามาด้านใน เหมภาสไม่ได้ตอบในทันที เขาเดินถือแก้วชาเย็นหายเข้าไปในครัวก่อนจะกลับออกมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ถลกแขนเสื้อแล้วปลดกระดุมออกสองสามเม็ด

    “พ่อคิดว่ายังไง”

    “ถ้าเอาแบบโลกแห่งความฝันก็คงเป็นแกกับคุณหนูคนนั้นตกลงเป็นแฟนกัน วางแผนจะแต่งงานกันในอนาคต ฉันจะได้ตายตาหลับว่าลูกชายได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาเสียที แต่ถ้าเอาแบบโลกความเป็นจริงแกคงปฏิเสธคุณหนูคนนั้นไปแล้วใช่ไหม”

    ลูกชายยิ้ม “สมกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ”

    “ทำไมวะ นางฟ้าร่วมลงมาหาซาตานขนาดนี้แกยังกล้าปฏิเสธ”

    “ไม่ได้รักไม่ได้ชอบจะไปทนเสียเวลาด้วยกันทำไม”

    ภาสกรตีสีหน้าจริงจัง วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ “ไม่มีใครเขารักชอบกันมาตั้งแต่เกิดหรอก มันต้องอาศัยการทำความรู้จัก ทดลองคบหา เรียนรู้กันก่อนสิวะไอ้ลูกชาย แต่แกเล่นปิดโอกาสผู้หญิงทุกคนแบบนี้ชาตินี้แกจะหาเมียกับเขาได้เหรอ”

    “ไม่ได้ก็ไม่มีไงพ่อ ยากอะไร”

    เหมภาสก้มหัวหลบหมอนอิงที่บิดาปาใส่ ขณะที่คนปาพูดอย่างเหลืออด “ไอ้บ้า แล้วต่อไปแกจะอยู่ยังไง พ่อไม่ได้อยู่ค้ำฟ้ากับแกหรอกนะ อีกสิบปียี่สิบปีพ่อก็ตายลงโลงแล้ว ถึงเวลานั้นแกจะอยู่ยังไง อยู่กับใคร แก่ตัวไปใครจะดูแลแกวะไอ้เหม แกอายุจะสามสิบแล้วนะไอ้ลูกชาย แฟนแกก็ไม่เคยมี เงาผู้หญิงสักคนฉันก็ไม่เคยเห็น นอกจากจะเปิดซิงใครไม่ได้แล้วยังไม่เคยถูกใครเปิดซิงด้วยใช่ไหม แกจะเก็บซิงไว้ชิงโชคหรือไง”

    “ได้ทองสักบาทผมก็พอใจนะ”

    เพราะหาอะไรใกล้มือปาไม่ได้ ภาสกรเลยหยิบหนังสือที่อ่านปาออกไปแทน ลูกชายตัวดีตะปบอย่างแม่นยำก่อนถึงหน้าไม่กี่นิ้ว “ไอ้เวร พ่อจริงจังนะโว้ย”

    “จะเครียดให้เส้นเลือดในสมองมันแตกหรือไง ถึงเวลาถ้าหาไม่ได้เดี๋ยวผมก็เอาคนแถว ๆ นี้แหละ ไม่อยากไปเริ่มต้นทำความรู้จักใครใหม่ เสียดายเวลา มันไม่ใช่แนว พ่อเลือก ๆ เอาแถวนี้แล้วกันว่าอยากได้ใคร เดี๋ยวผมจับปล้ำทำเมียให้พ่อเองดีไหม”

    “มันจะมีใครนอกจากคนงาน อ้อ...หนูอ้อนอีกคน คุกนะโว้ยคุก เด็กมันเพิ่งสิบเจ็ด”

    คนฟังชักสีหน้าใส่ “ก็เว้นเด็กนั่นไว้สิ ผมไม่เอาเด็กม.หกทำเมียหรอก ตัวก็เท่าลูกหมา จับทีเดียวก็กระดูกหักแล้วมั้ง จะเอามาทำไมให้เป็นภาระ”

    “พูดดีไป หนูอ้อนเขายิ่งโตยิ่งสวยนะแกไม่เห็นเหรอ”

    “สวย เด็กนั่นนะเหรอสวย อวยกันไม่ลืมหูลืมตา” เขาเบะปากใส่ มองท่าทางโมโหของบิดาที่ขัดใจยามที่ไม่สามารถหาอะไรปาใส่ลูกชายได้อีกแล้ว เหมภาสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเกือบร้อยเก้าสิบ “ผมไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วถ้าลูกหมาขนสวย เอ้ย...คนสวยของพ่อมาให้ไปเอาชาเย็นในตู้เย็นด้วย”

    “เดี๋ยวนี้ชักมีน้ำใจแปลก ๆ แกซื้อมาฝากหนูอ้อนเหรอ”

    “ของเหลือ!

     

     

                หายไปนาน ไม่มีอะไรจะแก้ตัว

                ขอโทษค่ะ >\\\<

                ข่าวดีสำหรับคนเคยอ่าน “ซ่านเสน่หา” เดี๋ยวจะได้ชมแบบคนแสดงกันแล้วเนอะ ช่องไหน ยังไง เมื่อไหร่ จะมาอัพเดตเรื่อย ๆ นะคะ >///<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×