ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักรัญจวนใจ

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๖ ชั่วโมงเรียนที่น่าอึดอัด

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 58


    บทที่ ๖

     

                ความงดงามของกุหลาบพันธุ์ใหม่ที่กำลังแบ่งบานดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้จิตใจของเหมภาสชุ่มชื่นเท่าใดนัก แม้ข่าวนี้จะทำให้คนในสวนยินดีปรีดาอย่างยิ่ง คนงานกรูกันไปดูที่แปลงทดลอง สอดส่องกลีบงามที่ไล่สีอ่อนจากโคนสู่ปลายกลีบที่เกือบจะขาวสนิท ความอ่อนโยนทำให้หลายคนคะเนว่ากุหลาบแปลงนี้จะบุกเบิกตลาดได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าคนที่ตรากตรำทดลองผสมพันธุ์มานานปีกลับปั้นหน้ายากอยู่กับบ้านตั้งแต่เช้า

                “ไม่ไปดูกุหลาบเหรอ คนงานเขาตื่นเต้นกันใหญ่” ภาสกรเอ่ยทัก เขาเองก็เพิ่งกลับจากแปลงที่ว่ามาถึงบ้านเจอลูกชายนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่ห้องรับแขก

                “ก็ดูอยู่ทุกวัน”

                “แกนี่แปลกคน ดูอยู่ทุกวันไม่เคยขาด มาขาดเอาอีวันที่มันสวยที่สุดนี่แหละ” คำบ่นแฝงความประหลาดใจ เหมภาสรักต้นไม้ของเขาเหมือนลูก ทะนุถนอมยิ่งกว่าอะไรดี โดยเฉพาะกุหลาบพันธุ์นี้ที่ทุ่มเทให้ทุกเวลา ทุกนาที เกิดประสบผลสำเร็จขึ้นมากลับทำเหมือนไม่สนใจ “เครียดเรื่องอะไรหรือเปล่า”

                “เปล่า”

                “แล้วจะทำหน้าเหมือนคนปวดหนักทำไม วันนี้ยังไม่ได้ออกไปไหน แกจะหงุดหงิดใครได้อีก”

                “คนบางคนแค่นึกถึงก็หงุดหงิด”

                “แกนี่เหมือนคนประจำเดือนมาไม่ปกติ หงุดหงิดมันได้ทุกวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ สามเวลาหลังอาหาร มันเป็นอะไรนักหนาฮะ อยากปรึกษาหมอไหมพ่อจะหาให้” คำพูดของภาสกรไม่จริงจังนัก แม้ความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่พูดออกไปจะมาจากใจก็เถอะ กระนั้นเหมภาสก็เหมือนคนที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะแยกเรื่องเล่นเรื่องจริงออกจากกันได้ เขาหันมาพูดเสียงดัง

                “ผมไม่ได้บ้า!

                “วะ ไอ้นี่” คนเป็นพ่อนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกตรงข้ามกับลูกชาย “แค่ปรึกษาหมอ ไม่บ้าก็ทำได้ พวกนักธุรกิจเมืองนอกเขาก็มีหมอปรึกษาปัญหาส่วนตัวกันทั้งนั้น เครียด ป่วยมันก็ได้ ถ้าพ่อคิดว่าแกบ้าจริงป่านนี้พ่อคงจับแกส่งศรีธัญญาไปนานแล้วไอ้เหม”

                “คนกำลังไม่สบอารมณ์ มาพูดกวนใส่ผมก็พาลเข้าให้ไงล่ะ”

                “รู้ตัวด้วยว่าพาล เออ...คงไม่บ้าหรอกอาการนี้ ว่าแต่แกหงุดหงิดเรื่องอะไร ขาไม่ยังทันก้าวออกจากบ้านแกจะไปทะเลากับหมากับแมวที่ไหน”

                “ไม่ต้องออกจากบ้านหรอกพ่อ แค่อยู่เฉย ๆ ก็มีคนเอาเรื่องมาประเคนให้ถึงที่ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดมากก็แล้วกัน มีแต่เรื่องปวดหัว แล้วนี่หลานสาวสุดที่รักของพ่อไม่ขึ้นมาทานอาหารเช้าที่บ้านเหรอ” ถามไปถึงอีกคนที่วันนี้ยังไม่เห็นหน้า

                “เดี๋ยวก็มามั้ง แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงถามหา”

                “ช่างเถอะ ว่าแต่วันนี้ผมอาจไม่ลงไปข้างล่างนะ ใครมาดูต้นไม้พ่อก็จัดการเองแล้วกัน”

                “ไม่สบายเหรอ” คำถามนั้นห่วงใย ถึงจะอึด ถึก ทนแค่ไหน แต่พ่อก็ยังอดห่วงลูกไม่ได้ โดยเฉพาะลูกชายที่ร้อยวันพันปีทำงานไม่เคยขาด อยู่ดี ๆ มาขอลางานแบบไม่มีสาเหตุมันก็น่าเป็นสงสัย “หรือจะป่วยเป็นโรควัยทอง อายุยังไม่ทันถึงเลขสามแกจะรีบแก่ไปไหน นี่ล่ะโทษของการหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา เขาว่าเครียดมากมักอายุสั้น”

                “พ่อ!” เหมภาสคำรามลั่น แต่คนที่ทำท่าเหมือนจะเป็นห่วงกลับเดินผิวปากหายกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง ถ้าไม่บ้าตายเพราะคนอื่นก็คงจะบ้าตายเพราะพ่อตัวเองนี่แหละ เขาระบายอารมณ์ที่โดนกวนให้ขุ่นคลั่กด้วยการหยิบหมอนอิงข้างตัวเขวี้ยงออกไปเบื้องหน้า แต่คนรับกรรมไม่ใช่บานประตูบ้านที่หมายตากลับเป็นเด็กสาวที่เปิดประตูเข้ามาแทน ทั้งคนปาและคนถูกปาชะงักกันไปทั้งคู่

                อธิกานต์ก้มลงเก็บหมอนอิงที่ร่วงตกตรงหน้าขึ้นมาถือเอาไว้ ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองร่างสูงบนโซฟาได้ไม่เต็มที่นัก เหมภาสมองปฏิกิริยานั้นด้วยความหงุดหงิด เขาก็อยู่ของเขาเฉย ๆ เด็กสาวก็เดินเข้ามาโดนหมอนที่เขาปาเข้าไปเต็มแรง เขาคงดูเหมือนปีศาจในสายตาเด็กนั่นมากขึ้นทุกที

     

                เหมภาสในยามนี้น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ปกติเขาก็มักจะทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เช้าวันนี้อธิกานต์ได้รับการต้อนรับด้วยหมอนอิงเข้าเต็มหน้า นี่อาจเป็นโทษที่เธอสะเออะเดินเข้าทางหน้าบ้านแทนที่จะเป็นประตูด้านข้างเหมือนทุกที แต่เพราะวันนี้ก่อนมาเธอแวะไปดูแปลงกุหลาบพันธุ์ใหม่ที่ชายหนุ่มตั้งใจดูแลมานานหลายเดือนเริ่มเบ่งบานก็เลยถือโอกาสเข้าทางหน้าบ้านเสียเลย วันนี้อาจไม่ใช่วันที่ดีนักก็เป็นได้

                “สวัสดีค่ะคุณเหม” มือยกพนมไหว้แต่แขนสองข้างยังหนีบหมอนอิงไว้แน่น อย่างน้อยถ้าเขาปาอะไรมาใส่อีกเธอยังพอมีเกราะไว้กำบัง

                “ทำไมวันนี้มาช้า” เสียงถามต่ำลึก

                “ไปดูแปลงกุหลาบมาค่ะ คุณเหมไม่ไปดูเหรอคะ”

                “เห็นอยู่ทุกวัน”

                “แต่วันนี้สวยมากเลยนะคะ”

                “ชอบเหรอ” เขาเอ่ยถาม แววตาคู่นั้นบอกไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นอธิกานต์จึงนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด คำตอบที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายเกิดหงุดหงิดขึ้นมา และเธอไม่ต้องโดนดุแต่เช้า

                “พวกคนงานชอบกันมากเลยค่ะ”

                “ฉันถามถึงพวกคนงานเมื่อไหร่” เขาดุอีกจนได้ เด็กสาวหลบสายตา ก้มลงมองพื้นไม้ขัดเงาสีน้ำตาลแก่ของเรือนใหญ่ ตริตรองหาคำตอบอีกครั้ง บางทีเธอควรจะบอกเขาไปตามตรงเพราะเหมภาสไม่ใช่คนชอบอะไรอ้อมค้อม ถ้าชอบก็ควรบอกเขาว่าชอบ

                “ชอบมากค่ะ สีสวยแปลกตาดีค่ะ”

                “ก็ดี” ชายหนุ่มพึงพอใจในคำตอบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่แทบจะต้องแหงนหน้ามองยามที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด “ไปกินข้าวกันได้แล้ว ฉันนั่งรอเธอจนไส้แทบขาด รอที่โต๊ะฉันจะไปตามพ่อก่อน” เขาพูดแล้วก็หายเข้าไปในตัวบ้านอีกส่วนหนึ่ง

                อธิกานต์เดินมานั่งที่ประจำคือตำแหน่งซ้ายสุดของโต๊ะอาหารข้างภาสกร ปกติเหมภาสไม่อยู่รับอาหารเช้าที่บ้านมากนัก เขามักจะไปหมกตัวอยู่ที่โรงเพาะแต่เช้า นานครั้งถึงจะยอมมาร่วมโต๊ะ แต่ดูเหมือนตั้งแต่ปิดเทอมคราวนี้ชายหนุ่มดูจะเข้าร่วมโต๊ะทุกเช้า เจอกันบ่อยขึ้น พูดคุยกันมากขึ้น อาจจะมากกว่าเวลาสองปีที่ผ่านมารวมกันเสียด้วยซ้ำ แม้ลึก ๆ แล้วเธอจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจร้ายแต่ก็เป็นคนน่ากลัวอยู่ดี ช่วงหลังมานี่แม้จะโดนเขาดุบ่อยครั้งเพราะพูดคุยกันมากขึ้นทว่าความกลัวก็ลดลงไปพอสมควร ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ลำพังแต่โดนเขาถามคำสองคำก็ตัวสั่นแล้ว

                ความคิดหยุดลงเมื่อผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนมาถึงแล้ว ข้าวในโถถูกตักแบ่งให้แต่ละคน อาหารเช้าง่าย ๆ ไม่กี่อย่างที่แม่บ้านจัดการให้จัดเสิร์ฟพร้อมอยู่ตรงหน้า ภาสกรต้องเป็นคนแรกที่เริ่มทานก่อนคนอื่นในโต๊ะจำลงมือทานตามเป็นลำดับต่อมา บนโต๊ะอาหารโดยปกติเป็นมากกว่าแค่การทานอาหาร แต่หมายถึงสถานที่พูดคุยเสวนาชีวิตประจำวันระหว่างกันด้วย

                “วันนี้มีเรียนพิเศษใช่ไหม ครูเป็นยังบ้างละ เห็นเมื่อวันก่อนมีคนเห็นเขาขับรถมาส่งด้วยนี่” ภาสกรเปิดประเด็น

                “ค่ะ พอดีเจอครูที่วิทยาลัย ครูเห็นว่าอากาศร้อนก็เลยขับมาส่งน่ะค่ะ ส่วนเรื่องเรียนครูเขาสอนดีมากเลยค่ะคุณลุง ให้ดูหนัง จำคำศัพท์จากหนังเอามากกว่าเลยเรียนไม่ค่อยเบื่อ” เด็กสาวกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น ครูตรีจักรเป็นหนึ่งในความดีงามของชีวิต สักกี่ครั้งที่จะเจอครูที่สอนสนุกและใจดีมากขนาดนี้

                “ท่าทางสนุกกันน่าดูนะ” เสียงเอ่ยของเหมภาสต่ำลึก คนฟังไม่กล้าสบตาตรง ๆ

                “ครูเขาสอนสนุกค่ะ”

                “เหรอ” แม้เขาจะทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่เด็กสาวก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างที่คิด

     

                เหมภาสลงไปทำงานหลังอาหารมื้อเช้าจบลง เขาหมกตัวอยู่ในโรงเพาะเหมือนอย่างเคย ขณะที่อธิกานต์นั่งทบทวนบทเรียนคราวก่อนอยู่ที่บ้าน จนเที่ยงวันถึงเวลาอาหารที่ปกติแล้วต่างคนจะแยกย้ายกันไปทานตามสถานที่เฉพาะ ภาสกรอยู่ที่สำนักงาน เด็กสาวทานที่บ้าน และเหมภาสจะคนเอาไปให้ที่โรงเพาะ แต่ว่าวันนี้เธอถูกเรียกตัวให้ไปทานร่วมกับเหมภาสที่บ้านใหญ่ เขาสั่งให้เตรียมอุปกรณ์การเรียนไปให้พร้อม ทำให้หวนคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนต่อหน้าของคุณครูหนุ่มคนนั้น ใครเลยจะคิดว่าชายหนุ่มจะจริงจังกับคำพูดนั้นถึงเพียงนี้

                “คุณเหมมีเรื่องอะไรกับครูเขามาก่อนรึเปล่าคะ” อธิกานต์กลั้นใจถามระหว่างที่รอชั่วโมงเรียน

                คนที่นั่งเอกเขนกอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ไกลเหลือบตาขึ้นมอง “ไม่”

                “แต่ดูท่าทางคุณเหมไม่ชอบครูนี่คะ”

                “ก็แค่ไม่ถูกชะตา” คำตอบตรง เรียบง่าย ชัดเจน แต่ยากที่จะทำความเข้าใจ

                “แต่ครูเขาเป็นคนดีนะคะ นักเรียนที่วิทยาลัยทุกคนก็ชอบครูกันทั้งนั้น”

                “รวมถึงเธอด้วยรึเปล่า”

                “แน่นอนสิคะ” เด็กสาวตอบโดยไม่ยั้งคิด คุณครูตรีจักรคนนั้นทั้งรูปหล่อ ใจดี และสอนเก่งขนาดนั้นจะมีใครที่ไหนไม่ชอบบ้าง เธอเองก็ชอบเหมือนที่ทุกคนในวิทยาลัยชอบ

                “ตรงนั้นแหละที่ไม่ชอบ” เหมภาสปิดหนังสือพิมพ์ที่อ่าน เขาขยุ้มมันก่อนจะยัดเข้าใต้โต๊ะรับแขกแทนที่จะพับเก็บให้เรียบร้อย เวลานี้จึงมีก้อนกระดาษขนาดใหญ่อัดอยู่ใต้โต๊ะที่ปูด้วยกระจกใสแลเห็นสภาพข้างในชัดเจน เด็กสาวเย็นสันหลังวาบ รู้ตัวว่าทำให้เขาหงุดหงิดไม่พอใจเข้าให้อีกแล้ว แต่เรื่องอะไรล่ะ...

              วินาทีน่าอึดอัดถูกช่วยเอาไว้ด้วยเสียงรถยนต์ที่แล่นผ่านถนนหน้าบ้าน อธิกานต์แทบกระโดดด้วยความดีใจ มีคนมาช่วยเธอจากความอึดอัดจากความผิดที่ตัวคนทำยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร แต่ดูเหมือนท่าทางดีใจนั้นใช่จะแสดงออกแต่เพียงในใจ มันคงสื่อชัดผ่านสายตาและรอยยิ้มกว้างเปิดเผย

                “ดีใจอะไร”

                “เสียงรถครูน่ะคะ” เธอตอบไม่เต็มเสียงนัก และเห็นเขาหรี่ตาจ้องหน้านิ่ง พยักหน้ารับแล้วเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่มุมปาก มันดูชวนสยองมากกว่าน่ารัก

                “เดี๋ยวนี้ถึงขั้นจำเสียงรถกันได้เชียวหรือ”

                โดยปกติเสียงรถยนต์ประเภทรถกระบะและรถเก๋งนั้นแตกต่างกันอยู่แล้ว ทั้งความดัง เบา และลักษณะเสียง รถของตรีจักรเองก็แตกต่าง ด้วยราคาที่แพงระยับมันจะมีทั้งความนุ่มนวลและหนักแน่นในเวลาเดียวกัน ได้ฟังไม่กี่ครั้งจะจำได้ และละแวกนี้ก็ไม่มีใครใช้รถประเภทนี้ ดังนั้นจะแปลกอะไรหากอธิกานต์จะรู้ในทันทีที่ได้ยินมัน ทว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ควรจะตอบ เหมภาสอาจหาว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง...เธอผิดเสมอในทุกเวลา

                ทว่าการเลือกที่จะเงียบของเด็กสาวกลับทำให้คนถามยิ่งหงุดหงิด เหมภาสไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เขาไม่ชอบครูนั่น แต่ก็ไม่ได้เกลียด แค่...ไม่ถูกชะตาด้วยเหตุผลที่อธิบายไม่ได้ แล้วเด็กนี่ก็ดูเหมือนจะเทิดทูลบูชา ชื่นชมกันมากเหลือเกิน ขณะที่เจอหน้าเขาทีไรไม่ตัวสั่นก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

                “ถามแล้วเงียบ ไม่อยากตอบหรือไม่รู้จะตอบยังไง” พออีกฝ่ายเงียบจากหงุดหงิดจะเริ่มกลายเป็นโมโห “ไม่ตอบใช่ไหม เดี๋ยวจะตัดลิ้นให้ จะได้ไม่ต้องตอบอะไรอีกเลย”

                นั่นไง...เหมภาสจับจ้องใบหน้าที่เริ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้ อยู่กับเขาทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกที แม้จะดูน่าสงสารมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่าอยากจะจับมาฟาดก้นสั่งสอนสักสิบที รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครเงียบเวลาถาม ไม่รู้คือไม่รู้ ไม่ได้จะฆ่าแกงกันสักหน่อย

                “ตัดลิ้นใครเหรอครับ”

    เสียงทุ้มนุ่มมาแต่ไกล ร่างที่ปรากฏขึ้นคือชายหนุ่มเจ้าที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่ ตรีจักรอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงผ้าสีขาว ผมเผ้าจัดทรงเรียบร้อยเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร เหมภาสอดก้มลงมองดูตัวเองไม่ได้ เขาอยู่ในชุดทำงาน คลุกปุ๋ยและชุ่มเหงื่อมาตลอดครึ่งวัน ผมเผ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาหวีผมนับครั้งได้ ยิ่งอุปกรณ์แต่งผมก็เหมือนคนแปลกหน้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลิ่นน้ำหอมของแขกฟุ้งไปทั่ว ตัวเจ้าภาพมีแต่กลิ่นเหงื่อกลิ่นปุ๋ย ที่เจ็บใจยิ่งกว่าคือเด็กในปกครองยิ้มร่ารีบถลันออกไปต้อนรับด้วยความยินดี

    “สวัสดีค่ะครู”

                ตรีจักรยิ้ม รับไหว้ลูกศิษย์ตัวเองก่อนจะหันมองคนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง “สวัสดีครับคุณเหมภาส ไม่เจอกันหลายวันสบายดีนะครับ แล้วตกลงเมื่อครู่ใครจะตัดลิ้นใครเหรอครับ”

                ชายหนุ่มหมั่นไส้เพราะคนถามทำหน้าซื่อ คำว่าตัดลิ้นแทบจะอยู่กลางประโยค ถ้าได้ยินคำนี้มีหรือจะไม่ได้ยินคำอื่น แต่เหมภาสก็เลือกที่จะนิ่ง ถ้าเขาโวยวายอย่างที่ใจอยากก็เหมือนลงไปดิ้นอยู่กลางเวทีให้คนหัวเราะ เขาไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้ แม้...ตัวเองจะด้อยกว่าในทุก ๆ ด้านก็ตาม

                “ประโยคในหนังน่ะ ผมกำลังคุยเรื่องหนังที่ดูด้วยกันเมื่อวาน จริงไหมอธิกานต์”

                ประโยคคำถามทำให้เด็กสาวไร้ทางเลือก “ใช่ค่ะ”

                “เรื่องอะไร ครูจะหามาดูบ้าง ท่าทางจะเป็นหนังเกี่ยวกับคนโรคจิตสินะ ประเภทที่เป็นบ้าแล้วไล่ตัดลิ้นคนอื่นไปทั่ว” ตรีจักรหัวเราะเล็กน้อยราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนุก แต่อธิกานต์ทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าคุณครูกำลังพูดถึงหนังเรื่องไหน แต่คนฟังอีกคนกำมือแน่น

                “จะเริ่มเรียนกันได้รึยัง”

                “ได้เลยครับ ผมจะนั่งสอนตรงไหนได้บ้าง” คุณครูหนุ่มเอ่ยถาม

                “ตามแต่คุณจะสะดวก เก้าอี้ โซฟา หรือพื้นก็ได้”

                ตรีจักรยิ้ม ฉุดมืออธิกานต์ให้นั่งลงที่พื้นกลางโถงของบ้าน เด็กสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ รั้งแขนร่างนั้นเอาไว้เพราะกลัวจะลงไปนั่งที่พื้นจริง ๆ แล้วก็หันมาหาเจ้าของบ้าน แม้ดวงตาคู่นั่นจะฉายรอยประหม่า เกรงใจ แต่ก็มีรอยตำหนิที่เขาบอกให้คุณครูสุดที่รักนั่งลงกับพื้น

                “คุณเหมคะ หนูขอยืมโซฟาได้ไหม แต่ถ้าคุณเหมไม่สะดวก หนูพาครูกลับไปที่บ้านก็ได้นะคะ”

                “ไม่ต้อง!” เสียงเขาดังจนเหมือนจะตะโกน “นั่งที่โซฟานี่แหละ ไม่ต้องมองฉันแบบนั้น ใครจะนึกว่าครูเธอจะบ้านั่งที่พื้นจริง ๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะเรียนเสร็จ” คำสั่งของเขาดุจประกาศิตกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับเด็กสาวตรงหน้า เธอยืดตัวตรงประหนึ่งทหารรับคำสั่งจากผู้บัญชาการ และจะปฏิบัติตามจนกว่าจะเปลี่ยนแปลง

                “ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่ครับ เอาล่ะอ้อน ไปนั่งเถอะครูสัญญาว่าไม่ทำแบบนี้กับอ้อนแน่นอน” น้ำเสียงและคำพูดเชิงตำหนิของตรีจักรขัดกับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ปรากฏ มันยั่วเขาแน่นอน...

                “เชิญเรียนกันได้ตามสบาย อธิกานต์...เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปทำธุระด้านบนครู่หนึ่ง เธอเดินไปเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ ใครเดินผ่านไปผ่านมาเขาจะได้เห็นว่าคนในบ้านทำอะไรกัน แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นให้ร้องตะโกนเสียงดัง ๆ เข้าใจใช่ไหม” เขาไม่อยู่รับคำตอบ แต่เลือกเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านอันเป็นส่วนของที่พัก ห้องนอนของเขาอยู่ลึกเข้าไปข้างใน

                เขาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวร่วมสิบนาที นานที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เขาไม่มีน้ำหอมส่วนตัว เลยต้องเดินไปเอาที่ห้องพ่อมาใช้ ชุดที่ดูดีที่สุดคือชุดที่เหมือนกับที่ใส่ทำงานอยู่ประจำทุกวัน แต่คัดเอาจากกองที่สียังไม่ซีดมากนัก กางเกงยีนขายาวเหมือนกันแทบทุกตัว ผมได้แตะหวีเป็นครั้งแรกของรอบสัปดาห์

                การปรากฏตัวครั้งนี้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อครู่ อาจจะเทียบฝ่ายนั้นไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก ครูและลูกศิษย์คู่นั้นยังนั่งอยู่ที่เดิมก่อนที่เขาจะจากไป เปลี่ยนแต่ภาษาที่พูดคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นภาษาประหลาดที่ฟังไม่เข้าใจ บางครั้งก็มีบางคำที่คล้ายภาษาอังกฤษหลุดออกมาบ้าง แต่ไม่ได้ช่วยให้จับใจความสำคัญของเรื่องได้แต่อย่างใด

                “พูดภาษาอะไรกัน” เขาอดถามขึ้นมามาได้ อธิกานต์หันกลับมาตอบ

                “ภาษาเยอรมันค่ะคุณเหม”

                “ทำไมไม่คุยกันเป็นภาษาไทย”

                “เรากำลังเรียนภาษาเยอรมันอยู่นะครับ ก็ต้องหัดพูดภาษาเยอรมันอยู่แล้ว อ้อนเป็นเด็กเรียนรู้ไว พื้นฐานภาษาดี ผมก็เลยลองให้พูดเลยน่าจะเร็วกว่า คุณเหมภาสมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

                ชายหนุ่มหมดคำจะกล่าว มันเรื่องจริงที่พวกนี้เรียนภาษาเยอรมัน การจะคุยกันด้วยภาษานี้ก็ไม่แปลก แต่มันน่าหงุดหงิดที่เห็นสองคนนี้คุยกันไปหัวเราะไปในเรื่องที่เขาไม่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาเองก็มีพื้นฐานพอใช้ได้ พูดไม่คล่องแต่ก็ฟังรู้เรื่อง แต่นี่...ไม่ว่าจะคุยอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่องเลยสักคำ

                แม้จะมีเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับปล่อยให้พวกนั้นอยู่กันสองต่อสอง แต่เขาโวยวายอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของวิธีการเรียนที่เขาเข้าไปยุ่มย่ามอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มก้มลงหยิบก้อนหนังสือพิมพ์ที่ขยำเอาไว้ขึ้นมาคลี่อ่านต่อรอเวลา ต่อให้ฟังไม่รู้เรื่องเขาก็จะไม่ลุกไปจากตรงนี้แน่นอนจนกว่าการสอนจะจบลง

              เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาเปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์ไปอ่านนิตยสารเกี่ยวกับต้นไม้ที่วนจบเป็นรอบที่สาม นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น เวลาสี่โมงเย็นดูเหมือนจะนานเท่ากับชาติหนึ่งของชีวิต เมื่อมีคนงานมาเรียกให้เขาลงไปดูงานข้างล่างเหมภาสทั้งลิงโลดที่จะได้เลิกนั่งเบื่อ แต่อีกใจก็กังวล

                “ฉันจะรีบไปรีบกลับ อย่าลืมที่บอก มีอะไรให้ร้องเสียงดัง ๆ” เขาสั่งย้ำเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะก้าวเท้าตามคนงานออกไป แต่พอเข้าใกล้เขาก็ได้ยินเสียงมันชม

                “โอ้โห วันนี้คุณเหมใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งเลยนะครับ”

                เขาประเคนฝ่ามือไปที่หัวมันหนึ่งทีโทษฐานที่ปากมากแล้วก็เดินนำลิ่วไปยังด้านหน้าของสวน ยัยเด็กนั่นจะสังเกตไหมว่าเขาใส่น้ำหอม จะรู้รึเปล่าว่าเขาหวีผมจัดทรงใหม่ เขาไม่อยากคาดหวังและไม่รู้ว่าจะต้องไปคาดหวังกับเด็กนั่นเพื่ออะไร

     

                “คุณเหมภาสเขาเป็นคนตลกดีนะ” ตรีจักรเอ่ยขึ้นหลังจากที่เจ้าของบ้านหายออกไปสักพัก อธิกานต์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจที่บทสนทนานี้เริ่มต้นขึ้น

                “หนูคิดว่าครูจะไม่ชอบคุณเหมเสียอีกค่ะ”

                “ทำไมครูต้องไม่ชอบเขาล่ะ”

                “คุณเหมเขาไม่ชอบครูนี่คะครูก็น่าจะรู้”

                “ตรงนั้นแหละที่ครูชอบ เพราะเขาไม่ชอบครูเขาถึงได้ตลก แล้วอ้อนรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบครู”

                “ไม่ทราบค่ะ” อธิกานต์ไม่อาจเอาบทสนทนาก่อนหน้านั้นมาบอกครูได้ มันจะไม่ดีกับใครเลยไม่ว่าจะเหมภาส ครู หรือแม้แต่ตัวเธอเอง

                “แต่ครูว่าครูรู้นะ” ชายหนุ่มยิ้ม เขาไม่ได้ตอบอะไรแม้จะถูกซักหลายครั้งก็ตาม เขายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น อธิกานต์ยังเด็ก ไม่ใช่แค่เพียงอายุหรือการศึกษา ประสบการณ์ชีวิตเองก็ด้วย เด็กคนนี้เป็นคนซื่อบริสุทธิ์ ไม่ได้โง่ แต่ช้าเกินกว่าจะตามคนอื่นทันในเรื่องของชีวิต การจับอารมณ์ความรู้สึก ตรงนี้ที่ทำให้เขาทั้งเอ็ดดูและสงสารไปพร้อม ๆ กัน

                “อ้อนเป็นเด็กดี ยังไม่ต้องรู้หรอก” เขาพูดได้แต่คำนั้น “เรามาเรียนกันต่อเถอะ อ้อนลองเขียนประโยคพวกนี้เป็นภาษาเยอรมันนะ”

                เวลาของพวกเขาสองคนเลื่อนไหลรวดเร็ว การเรียนจบลงโดยไม่รู้ตัว คนที่เข้ามาเตือนก็คือเหมภาสที่กลับมาจากข้างนอกในสภาพที่แทบไม่ต่างจากตอนแรกที่พบกัน ตรีจักรแกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงบอกหมดเวลาจากหน้าประตู จนกระทั่งเงาของร่างสูงใหญ่ทาบลงบนโซฟากลางห้อง อธิกานต์เป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เด็กสาววางปากกาในมือลงบนโต๊ะ

                “หมดเวลาเรียนแล้ว” เสียงเหมภาสดังลั่น

                “แหม...เรียนกันเพลินจนลืมเวลา เราจะต่อเวลากันอีกสักชั่วโมงไหม ครูไม่รีบอยู่แล้ว”

                “ได้เหรอคะครู” คนขยันเรียนดีใจ แล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน

                “แค่สามชั่วโมงก็พอ จะเรียนอะไรกันนักหนา หนักสมอง” เจ้าของบ้านออกปากเสียขนาดนี้ ทั้งคู่ก็เลยต้องยุติบทสนทนาไปทันที

                อธิกานต์ช่วยเขาเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋า ตรีจักรมอบหนังสือเล็มเล็กให้เธอหนึ่งเรื่อง แม้จะเป็นนวนิยายก็เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่อ่านง่ายเอาไว้ฝึกภาษาเพิ่มเติม  เขาไม่มีเวลาที่จะกล่าวลาอะไรมากนักเพราะเจ้าของบ้านยืนกอดอกจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ทุกขณะ ลูกศิษย์ที่น่ารักยืนส่งได้แค่ประตูบ้านหลังใหญ่

     

                ชายหนุ่มและเด็กสาวในอุปการะของพ่อยืนส่งจนเห็นรถหรูคันนั้นแล่นออกไปลับสายตา อย่างน้อยวันนี้ทุกอย่างก็ราบรื่นไปด้วยดี แต่เขาเองก็มีพรุ่งนี้ให้ต้องเป็นกังวล การนัดทานข้าวกับภัทรลดาเป็นเรื่องน่าหนักใจที่แก้อย่างไรก็ไม่หายเพราะเขายังไม่รู้จะรับมือกับผู้หญิงคนนั้นอย่างไร ระหว่างที่กำลังคิดก็เหลือบเห็นเหมือนเด็กสาวข้างตัวเหมือนมีเรื่องจะพูด ได้แต่ทำท่าทางอ้ำอึ้ง

                “มีอะไรจะพูดก็พูดมา” พอถามก็เงียบ เขาเลยต้องเอ่ยซ้ำ “ถ้าไม่พูดฉันจะจับตัดลิ้น”

                “อย่านะคะ” ท่าทางเด็กนี่จะกลัวเขาจริง ๆ “แค่คิดว่าวันนี้กลิ่นคุณเหมเหมือนคุณลุงเลยนะคะ แล้ว...ผมทรงนี้ของคุณเหมก็ดีนะคะ” ตัวคนพูดลีบเหมือนถูกประตูทับ เขาง้างมือขึ้นด้วยสัญชาตญาณเหมือนกับที่ทำกับลูกน้องบ่อยครั้ง อธิกานต์หลับตานิ่งเตรียบรับ แต่แรงที่สัมผัสศีรษะกลับเบาจนเหลือเชื่อ พอลืมตาเหมภาสก็เดินไปไกลแล้ว

                “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!

     

     

              ก่อนอื่นคงต้องขอโทษที่หายไปนาน ยอมรับว่าที่หายไปเพราะว่าพล็อตเรื่องนี้ยังหลวมจนไม่อยากจะเขียนต่อ ช่วงที่หายไปก็ไปจัดการกับพล็อตแล้วเรียบร้อย พยายามคิดว่าจะทำยังไงให้มันสนุก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เขียนแปลกไปกว่านิยายที่เคยเขียนมาทั้งหมด หวังว่าคนอ่านคงจะชอบนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×