คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๕ ผู้หญิงผิดปกติ
บทที่ ๕
อธิกานต์นั่งมองทัศนียภาพรอบข้างตลอดสองข้างทางของถนนที่ตอนหลังของรถกระบะคันหนึ่ง
คุณลุงวานให้คนงานขับมาส่งที่วิทยาลัยหลังจากที่เพื่อนโทรศัพท์มาบอกว่าครูประจำภาควิชาดนตรีเรียกพบ
แต่ความคิดของเด็กสาวกลับไปวุ่นวายอยู่ที่ผู้หญิงคนเมื่อวาน สาวสวย หวานจัด
และดูทรงเสน่ห์ที่ได้เจอกันระหว่างทางที่เอาของไปให้คุณลุง
ภายหลังบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นคุณลุงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อ
ภัทรลดา เป็นลูกค้าที่ทำท่าจะติดพันกับเหมภาสถึงขนาดขอเบอร์โทรศัพท์กันต่อหน้า
คนถูกขอเบอร์ทำท่าไม่สบอารมณ์ตลอดมื้อนั้น
พอคุณลุงหันมาขอความคิดเห็นเธอเขาก็เอาแต่จ้องเขม่ง
อธิกานต์ไม่รู้ว่าคุณเหมของเธอต้องการคำตอบแบบไหน เขาดูไม่ชอบใจ
แต่ผู้หญิงคนนั้นก็สวยเสียจนผู้หญิงด้วยกันเองยังนึกหลง
ดังนั้นเธอก็เลยตอบออกไปแบบเป็นกลางเฉพาะความจริงที่รู้แน่คือ...คุณภัทรลดาเป็นคนสวยมาก
รถกระบะคันนั้นขับมาส่งถึงหน้าวิทยาลัย
เด็กสาวกล่าวลงพร้อมคำขอบคุณ จำต้องตัดเรื่องวุ่นวายในหัวทิ้งเมื่อเพื่อนเดินเข้ามาทัก
ระหว่างทางเดินถึงได้รู้เพิ่มเติมว่าครูเรียกนักเรียนอีกสองสามคนมาพบเช่นเดียวกัน
บางทีอาจจะเป็นการไหว้วานเรื่องงานบางอย่างของโรงเรียนก็เป็นได้
ห้องพักของครูอยู่ชั้นแรกของตึก
อธิกานต์รับเป็นทัพหน้าเคาะประตูขออนุญาตเข้าไปเพราะเพื่อนถือว่าเป็นศิษย์โปรด
สตรีสาววัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะ
กวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหาที่โต๊ะตัวในสุดของห้อง
ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
มีโต๊ะทำงานตั้งเรียงหันหน้าออกประตูเรียงกันสามแถว
ผนังด้านหนึ่งเป็นที่ตั้งของตู้เก็บเอกสารเรียงยาวตลอดแนว
ส่วนฝั่งประตูเป็นตู้กระจกที่บรรจุถ้วยรางวัลและใบประกาศมากมายอัดแน่น
โต๊ะของครูอยู่ติดกับตู้เอกสารมุมในสุด ชิดหน้าต่าง
“นั่งกันก่อนสิ”
นักเรียนสี่คน
เป็นผู้หญิงสามและผู้ชายสองยกมือไหว้แล้วนั่งพับเพียบลงที่พื้นส่วนทางเดิน
“ปิดเทอม ได้ซ้อมดนตรีกันบ้างไหม”
ทุกคนต่างก็พยักหน้า
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับสาขาดนตรี ครูพยักหน้ายิ้มพอใจ
ก่อนจะหันกลับไปไขตู้ข้างโต๊ะแล้วหยิบเอกสารบางอย่างออกมา
ยื่นแจกให้นักเรียนแต่ละคน อธิกานต์รับมาอ่านแล้วต้องแปลกใจ
แม้จะรู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็อดถามไม่ได้
“อะไรคะครู”
“ใบสมัครแข่งดนตรีเยาวชนระดับภาค
ครูเพิ่งได้มาเหมือนกัน เห็นว่าพวกเธอใกล้จะจบแล้วก็เลยคิดว่าจะให้ลงลองสนามกันสักหน่อย
เมื่อวานครูเรียกรุ่นน้องพวกเธอสองสามคนมารับไปแล้ว สนใจไหม ครูอยากให้สมัครนะ
ไม่ได้รางวัลเอาประสบการณ์ก็ยังดี”
“อีกสองอาทิตย์เขาก็จะคัดเลือกกันแล้วนะคะครู”
ใครบางคนร้องบอกเสียงหลง
“ครูถึงได้ถามว่าปิดเทอมไปใครซ้อมดนตรีอยู่บ้าง
อีกอย่างนี่แค่รอบคัดเลือก พวกเธอผ่านอยู่แล้วไม่ต้องกังวลไปหรอก
ครูว่ามันเป็นโอกาสที่ดีนะถ้าพวกเธอได้รางวัลติดไม้ติดมือกันมาบ้าง
บางคนอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยทางดนตรีโดยเฉพาะรางวัลพวกนี้ก็มีประโยชน์นะ
เอาเถอะ...ครูไม่ได้บังคับ แต่อยากให้สมัคร ลองไปอ่านรายละเอียดกันดูก่อนก็ได้แล้วค่อยตัดสินใจ”
การสนทนาเพื่อกล่อมลูกศิษย์ดำเนินไปอีกครู่หนึ่ง
ดูเหมือนจะมีหลายคนที่ตกลงใจจะสมัคร
เมื่อพวกเพื่อนลากลับอธิกานต์ก็ถูกเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
ครูรอจนกระทั่งนักเรียนคนสุดท้ายออกไปจากห้องจึงเอื้อมมือไปหยิบเอกสารอีกใบมายื่นให้เด็กสาว
“ครูอยากให้อ้อนสมัครก็ตอนที่เห็นรายชื่อคณะกรรมการ”
ใบนั้นเป็นรายละเอียดที่มากกว่าในใบสมัคร
รวมถึงรายชื่อของคณะกรรมการในรอบสุดท้าย
คณะกรรมการเจ็ดท่านอธิกานต์คุ้นชื่อเพราะล้วนแต่เป็นคนในวงการ
แม้แต่คณาจารย์จากวิทยาลัยแห่งนี้ก็มี แต่รายชื่อสุดท้ายดูเหมือนเธอจะรู้จักคุ้นเคยกันดีที่สุด
ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เหินห่างกันมากที่สุดเช่นกัน เด็กสาวรู้สึกว่ามือที่จับกระดาษใบนั้นสั่นระริกจนกระทั่งครูต้องเอื้อมมือมาจับ
“หนูไม่สมัครได้ไหมคะครู”
“อ้อนฟังครูนะ
หนูหนีคุณป้าไปตลอดชีวิตไม่ได้ หนูอย่าลืมว่าถ้าหนูอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยนั่นหนูต้องมีจดหมายแนะนำตัวจากศิษย์เก่า
แล้วมันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าคนเขียนจดหมายฉบับนั้นคือคุณป้าของหนู
นักเปียโนมือหนึ่งของประเทศ ศิษย์เก่าดีเด่นของที่นั่น”
ชื่อเสียงที่คุณป้าสั่งสมจะทำให้จดหมายแนะนำตัวฉบับนั้นมีน้ำหนักได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กระนั้นอธิกานต์ก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าคุณป้าจะไม่มีวันยอมจรดปากกาเขียนจดหมายแนะนำตัวให้แน่นอน
ดังนั้นชื่อของอินทุภาในส่วนของคณะกรรมประดุจกำแพงเพลิงที่ไม่มีวันจะฝ่าฟันเข้าไปได้
“คุณป้าไม่ยอมแน่ค่ะ”
“แต่ถ้าหนูชนะมันก็ไม่แน่จริงไหม
อย่างน้อยถ้าหนูได้เข้ารอบสุดท้าย คุณป้าจะได้เห็นว่าหนูเก่งแค่ไหน
และทางเดินชีวิตในฐานะนักเปียโนของหนูไม่ใช่เรื่องที่ผิด
หนูเป็นคนมีพรสวรรค์นะอ้อน หนูจะใช้พรสวรรค์กับความสามารถของหนูแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
อย่างนี้ไปทั้งชีวิตไม่ได้” ดวงตาหลังกรอบแว่นของครูแน่วแน่ มือที่กุมเอาไว้บีบกระชับมากยิ่งขึ้น
เด็กสาวรู้ว่าที่ครูพูดก็เป็นเรื่องที่ถูก
เธอวิ่งหนีป้ามาทั้งชีวิต แต่ใบหน้านั้น
ดวงตาคู่นั้นมันทรงอิทธิพลกับชีวิตของเธอเหลือเกิน แค่คิดหัวใจก็สั่นไหว
กระนั้นอธิกานต์ก็กลั้นใจตอบออกไป
“หนูจะลองเก็บไปคิดดูนะคะครู
ขอบคุณครูมากนะคะที่แนะนำ”
“ไม่เป็นอะไร
คิดดี ๆ นะอ้อน ครูไม่อยากให้หนูหนีอีกแล้ว”
ทางเดินของวิทยาลัยตอนปิดเทอมโล่งแทบไร้ผู้คน
เด็กสาวก้าวออกจากห้องนั้นเหมือนคนไร้ชีวิต
การที่คุณป้ากลายเป็นคณะกรรมการรอบสุดท้ายของการแข่งขันเหมือนกับประตูนรกเปิดรออยู่เบื้องหน้า
ต่อให้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายก็อาจถูกวิจารณ์เสียหายต่อหน้าผู้ชมมากมายก็ได้
คนเดินก้มลงมองกระดาษใบสมัครในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บางทีเธอน่าจะทิ้งมันไปแล้วบอกครูว่าทำหาย...
ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็เกิดแรงปะทะจากเบื้องหน้า
เด็กสาวเซถอยหลังไปหลายก้าว กระดาษก็หลุดจากมือลอยขึ้นฟ้าไป
เธอเงยหน้าพยายามคว้ามันเอาไว้ แต่มันก็ลอยห่างออกไปแค่ปลายนิ้ว
โชคดีที่มีมือขาวและยาว ของใครบางคนจับมันเอาไว้ได้ พอเลื่อนสายตาลงมามองก็ตกใจ
“ครูคะ”
เด็กสาวยกมือไหว้คนที่เก็บกระดาษให้
“มาทำอะไรที่นี่ล่ะอ้อน”
ตรีจักรยิ้มทักทาย แล้วยื่นกระดาษใบนั้นส่งคืนให้
“มาหาครูค่ะ
ครูภาควิชาดนตรีค่ะ แล้วครูล่ะคะ”
“มาเคลียร์งานนิดหน่อย
นี่กำลังจะกลับหรือเปล่า”
ระหว่างพูดเขาก็พาเธอเดินตามทางต่อไปยังส่วนหน้าของวิทยาลัย “จะกลับยังไง
มีใครมารับหรือเปล่า”
“เดี๋ยวโทรศัพท์คนที่ส่วนให้มารับได้ค่ะครู”
“อย่างนั้นก็ต้องรอน่ะสิ
เอาอย่างนี้ไหมเดี๋ยวครูไปส่งเองจะได้ไม่ต้องรอ
เด็กผู้หญิงมาอยู่แถวนี้คนเดียวคงไม่ดี” เขายิ้มสุภาพ เสนอตัวอาสาจะไปส่ง
แต่อธิกานต์ส่ายหน้าด้วยความเกรงใจ
แต่ดูเหมือนครูหนุ่มรูปงามจะไม่ได้อยากให้ปฏิเสธเท่าไหร่ “ถ้าไม่ไป
ครูจะยืนรอเป็นเพื่อนจนว่าจะมีคนมารับ”
“มันร้อนนะคะครู
แล้วก็อาจจะรอนานเสียเวลาครูเปล่า ๆ นะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ครูไปส่ง
มีสองทางเลือก จะยืนร้อนด้วยกันหรือตากแอร์เย็น ๆ ในรถกลับ”
ดูเหมือนทางเลือกนั้นจะเป็นข้อบังคับเสียมากกว่า
อธิกานต์คงไม่บ้าเกรงใจถึงขนาดต้องให้คุณครูหนุ่มรูปงามคนนี้ต้องมายืนตากแดดหน้าร้อนให้ผิวขาวของเขาเสียแน่
เด็กสาวเสียเวลาคิดเพียงครู่
จำยอมต้องพยักหน้ารับดังนั้นเป้าหมายจึงเปลี่ยนจากประตูวิทยาลัยสู่ลานจอดรถที่อยู่ถัดตึกด้านหน้าไป
รถคันหรูของตรีจักรจอดนิ่งสนิทอยู่ในโรงจอดรถของวิทยาลัย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้เหมือนภาพในละครที่อธิกานต์ไม่เคยนึกว่าจะมีใครทำในชีวิตจริง
และยิ่งเป็นการกระทำระหว่างครูกับศิษย์ก็ยิ่งแล้วใหญ่
“อย่าทำแบบนี้อีกนะคะครู”
“จะเป็นอะไรไป
สุภาพบุรุษเปิดประตูรถให้สุภาพสตรี ขึ้นรถเถอะ”
เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยอาการเกร็ง
ไม่ใช่แค่กิริยาสุภาพเรียบร้อยของเขาเท่านั้น
แต่เป็นเพราะความหรรูหราภายในตัวรถที่ทำให้เด็กสาวแทบไม่กล้าขยับตัวด้วยกลัวจะทำรอยเปื้อนให้กับรถ
คนขับอาจเห็นท่าทางตัวลีบติดเบาะของสุภาพสตรีเลยออกปากถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่าอ้อน”
“ไม่ค่ะครู
หนูแค่กลัวทำรถครูเลอะ”
ตรีจักรหัวเราะเสียงดังขณะที่เคลื่อนรถออกจากโรงจอดอย่างเชื่องช้า
เขาตบมือที่เบาะฝั่งคนขับให้เห็นรอยสีน้ำตาลซีดบนเบาะสีขาว มันปรากฏเป็นดวงเล็ก ๆ
หลายดวง แม้จะจางลงมากแล้วก็ยังเห็นได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน เจ้าของรถอธิบาย
“ครูชอบดื่มกาแฟบนรถ
ถ้าดูให้ดีรถครูก็มีรอยหยดกาแฟทั่วนั่นแหละ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลอะหรอกนั่งให้สบาย
รถมันมีไว้ใช้ไม่ได้มีไว้ดู ถ้าเลอะไม่ได้ก็คงไม่ต้องเอาออกมาขับกันพอดี”
คำอธิบายพอให้คลายใจ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้กำลังดื่มอะไรให้มันหยดเลอะ
“ใบสมัครน่ะ...”
ตรีจักรเปิดบทสนทนาใหม่ขึ้น “ครูแอบอ่านตอนยื่นให้อ้อน
เห็นว่าเป็นใบสมัครแข่งดนตรีใช่ไหม”
“ค่ะครู
แข่งระกับภาคน่ะค่ะ”
“อ้อนจะแข่งใช่ไหม”
เด็กสาวส่ายหน้าแม้จะรู้ว่าคนที่กำลังตั้งสมาธิกับการขับรถจะไม่ได้หันมามองก็ตาม
“ไม่แน่ใจค่ะครู หนูก็อยากจะลองนะคะ แต่ไม่อยากเสี่ยง”
แม้การเสี่ยงในความหมายของคนพูดกับคนฟังจะต่างกัน
แต่ก็อยู่ในขอบข่ายที่สามารถทำความเข้าใจได้
“มีการแข่งที่ไหนบ้างไม่เสี่ยง
ชีวิตมนุษย์ก็อยู่กับความเสี่ยงตลอดเวลานั่นแหละ” สายตาเขามองไปเบื้องหน้า
ความเร็วที่ใช้อยู่กำหนดของกฎหมาย “ขับรถก็เสี่ยง เดินถนนก็เสี่ยง
จะกินข้างยังเสี่ยงเลย ไม่รู้ว่าร้านนี้จะอร่อยหรือเปล่า สะอาดหรือเปล่า
จะท้องเสียท้องร่วงหรือเปล่า ชีวิตเราอยู่กับเสี่ยงทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ว่าหนูกลัวจะแพ้นะคะครู
หนูกลัวตัวเองจะเล่นไม่ได้มากกว่า”
“ซ้อมอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ
จะกลัวอะไร”
“มีบางสถานการณ์ที่อาจจะเล่นไม่ได้น่ะค่ะ”
คนขับรถนิ่งนึก
“นี่อาจจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของอ้อนใช่ไหม ครูคงให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้
ครูบอกได้แค่ถ้าอ้อนกลัวเสี่ยง กลัวผิดหวัง กลัวแพ้ก็อย่าเพิ่งท้อไป
ชีวิตกับการแข่งขันไม่ได้มีอยู่สองอย่างคือแพ้กับชนะ แต่มีเสมอด้วย
ก็คือทำดีที่สุดเสมอตัว ไม่มีแพ้ ไม่ชนะ ก็แค่พยายาม”
“หนูจะลองคิดดูนะคะครู”
“ครูเชียร์ให้อ้อนแข่งนะ”
ผู้โดยสายไม่ทันเอ่ยปากถาม คนขับรถก็อธิบาย “ครูอยากไปเชียร์อ้อน เดี๋ยวจะซื้อดอกไม้ช่อโต
ๆ ให้ไปเดินอวดคนในงาน เดินวนไปวนมาสักสองรอบให้คนอื่นอิจฉาเล่น
เท่านั้นพอ...แพ้ชนะช่างมัน เอาสะใจไว้ก่อน”
คำพูดของเชิงล้อเล่นทำให้บรรยากาศในรถผ่อนคลายลง
รถแล่นสู่จุดหมายในเวลาไม่นานนัก
ตรีจักรจอดส่งจนถึงหน้าหน้าหลังเล็กสีขาวของลูกศิษย์ เด็กสาวด้าวลงพร้อมเชื้อเชิญให้คนที่อุตส่าห์ลำบากมาส่งลงไปนั่งพัก
แต่เขาบอกปฏิเสธว่ามีธุระต้องไปจัดการต่อ
อธิกานต์จึงยืนรอส่งจนเห็นว่ารถคันนั้นแล่นไปลับสายตาแล้ว
ก่อนเข้าบ้านยังไม่วายหันมองโรงเพาะที่อยู่ถัดออกไป
ดูเหมือนวันนี้เหมภาสก็ยังคงหมกตัวทำงานอยู่ในนั้นเหมือนอย่างเคย
ชายหนุ่มที่กำลังเดินวนอยู่รอบแปลงทดลองเล็ก
ๆ
ในโรงเพาะก้มหน้าจดรายละเอียดการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ที่ผสมขึ้นมาด้วยตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา สีของใบ และดอกตูมที่กำลังทำท่าว่าจะผลิบานออกมาในเร็ววัน
เสียงรถที่เล็ดลอดเข้ามาฟังดูไม่คุ้นหู
เหมภาสวางสมุดจดลงบนโต๊ะทำงานริมหน้าต่างแล้วมองลอดช่องเล็ก ๆ
ที่แง้มเอาไว้ออกไปดู
บ้านหลังเล็กที่อยู่ถัดออกไปวันนี้ดูเหมือนมีแขกมาเยี่ยมเยือน
รถคันหรูที่มองแค่ครั้งเดียวก็จำได้ว่าเป็นของใคร
ร่างเล็กของเด็กในอุปการะก้าวลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่รถคันนั้นจะแล่นจากไป
วันนี้เขาจำได้ว่าอธิกานต์บอกจะไปวิทยาลัยตอนเช้า ขาไปพ่อใช้ให้คนงานขับรถไปส่ง
แต่ขากลับทำไมไอ้ครูนั่นถึงขับมาส่งได้
จะว่าไปเจอกันที่วิทยาลัยก็ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินคาด
หรือนัดแนะพบกันหลังจากพบอาจารย์ก็พอเข้าเค้า
สำคัญที่สุดคือไม่ได้ไปวิทยาลัยแต่แรก...อันนี้ชวนให้โมโห ไอ้ครูนั่นก็หน้าตาดี
ท่าทางจะเจ้าคารมไม่เบา หลอกกินเด็กเสียก็ไม่รู้ ยัยเด็กนั่นยิ่งไม่ประสีประสาอยู่ด้วย
“โง่จริง”
เขาออกปากด่ากับตัวเอง
แล้วก็เผลอกำหน้ากระดาษในสมุดบันทึกจนยับยู่
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังดึงสติกลับมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ
เขาปล่อยมันทิ้งไว้ในกองเอกสารที่สุ่มทับตั้งแต่เช้า
ถ้าจะรับต้องรื้อหาทั้งกองซึ่งเป็นเรื่องชวนให้เปลืองพลังงานอย่างยิ่ง
เหมภาสถือสุมดกลับไปทำงาน
ทิ้งความอื่นไว้เบื้องหลัง กระนั้นเสียงเรียกเข้าก็ยังดังเตือนอยู่ตลอดเวลา
เขานึกด่าตัวเองที่ไม่เปิดสั่นเอาไว้จะได้ไม่ต้องมาทนรำคาญ
แต่นาทีเดียวเสียงนั้นก็เงียบลง
เขาดีใจได้ครู่เดียวมันก็เริ่มต้นอีกครั้งและวนซ้ำอยู่สามรอบความอดทนของชายหนุ่มจึงสิ้นสุด
เขากวาดเอกสารที่กองสุมทั้งหมดออกเพื่อควานหาโทรศัพท์รุ่นเก่าจอสีมีปุ้มกดที่ถ่ายรูปไม่ได้ของตัวเอง
ตัวเครื่องสีฟ้าหม่นด้วยกาลเวลาสั่นระริกตะเบ็งเสียงเรียกอยู่เกือบใต้สุดของกอง
เขาหยิบขึ้นมากดรับโดยไม่ทันได้ดูเบอร์
“มีธุระอะไร”
“ยุ่งอยู่เหรอคะ”
พอได้ยินเสียงก็ยกโทรศัพท์ออกจากหูดูเบอร์ที่รับสาย ชื่อภัทรลดาหราบนหน้าจอ
“ทำงานอยู่”
เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
ไอ้รำคาญมันก็ใช่แต่อารมณ์ตกใจมีมากกว่าเพราะไม่คิดว่าหญิงสาวคนนั้นจะโทรศัพท์มาหาเขาจริง
“แล้วพอจะมีเวลาว่างบ้างไหมคะวันนี้
ก่อนช่วงเย็นก็ได้ค่ะ”
“วันนี้ผมต้องคุมคนงานลงต้นไม้ให้ลูกค้าทั้งวัน
มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า” เขาโกหกคำโต
“เหรอคะ”
ฟังจากเสียงดูเหมือนปลายสายจะผิดหวัง “แล้วคุณเหมภาสพอจะมีเวลาว่างวันอื่นไหมคะ
พอดีมีคนอยากแนะนำให้รู้จักน่ะค่ะ เลยว่าจะนัดออกมาหาอะไรทานกันข้างนอก แถว ๆ
นครปฐมนี่แหละค่ะไม่ต้องเข้าไปถึงกรุงเทพฯ แต่ถ้าคุณไม่ว่างก็คงไม่รบกวน
แต่วันอื่นพอจะมีเวลาใช่ไหมคะ”
“ผมไม่แน่ใจ”
“ถ้าคุณเหมภาสไม่แน่ใจ
ฉันอาจจะต้องถามคุณพ่อคุณ”
คนฟังสะดุ้ง
“เกี่ยวอะไรกับพ่อผม”
“คุณบอกเองนี่คะว่าไม่แน่ใจ
บางทีคุณพ่อคุณท่านน่าจะพอทราบเวลาว่างของคุณบ้าง ยังไงท่านก็อยู่ที่สำนักงานตลอด
ฉันอาจขอร้องให้ท่านส่งตัวคุณมาให้ฉันสักชั่วโมง
ดูจากเมื่อวานฉันว่าท่านคงเต็มใจนะคะที่จะลดภาระทางการงานให้คุณบ้างสักวัน”
เขารู้สึกเหมือนกำลังพ่ายแพ้
“ไม่ต้อง ก็ได้...ผมว่างวันมะรืน คุณนัดเวลามาแล้วกัน ผมให้แค่ชั่วโมงเดียวนะ”
“วันมะรืนก็ดีค่ะ
นัดเป็นมื้อเที่ยงก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์ไปบอกร้านคุณอีกทีนะคะ”
“นี่...ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ”
“คุณกำลังจีบผมอยู่หรือเปล่า”
มันอาจฟังดูโง่ หรือเหมือนหลงตัวเอง แต่ถ้าไม่รู้
ไม่แน่ใจเขาก็รับมือไม่ถูกเหมือนกัน ดังนั้นการถามออกไปตรง ๆ
น่าจะมีประโยชน์ที่สุด
“จีบสิคะ”
ปลายสายตอบกลับโดยไม่ทิ้งช่วงลังเล “ไม่ใช่ว่าคุณเหมภาสรู้อยู่แล้วเหรอคะ”
“ผมไม่แน่ใจ
เป็นใครก็ต้องสงสัย เราไม่เห็นจะเหมาะสมกันสักนิด”
ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดผ่านรูปลักษณ์และความเป็นอยู่ ใครคิดว่าเหมภาสเหมาะสมกับลูกคุณหนูอย่างภัทรลดาก็บ้าเต็มทน
“ความเหมาะสมไม่ได้การันตีความรักนี่คะ
คนต่างกันอาจจะเข้ากันได้ดีมากกว่า”
“เรื่องนั้นมันก็ใช่
คุณเป็นคนสวย ผมจะชอบจะจีบคุณมันไม่แปลกหรอก แต่...ไอ้สภาพของผมเนี่ยมันใช่แบบที่คุณจะต้องมาจีบเหรอ
คนปกติเห็นผมก็วิ่งหนีกันทั้งนั้น”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝั่งของสาย
“คุณไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกค่ะ ผู้ชายที่รักต้นไม้
ดอกไม้อย่างคุณคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าว่ากันตามตรงที่ฉันตัดสินใจจีบคุณก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของคุณนั่นแหละค่ะ”
เหมภาสรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องเหลือเชื่อเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเรื่อง
“คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“นั่นสิคะ
พอเจอคุณฉันก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองยังปกติอยู่หรือเปล่า”
“บ้า
บ้าแน่ ๆ เชียวล่ะ” เขายืนยันด้วยความมั่นใจ
จีบเขาเองไม่พอยังบอกว่าชอบเพราะรูปลักษณ์อีก ไอ้คนลักษณะโจรอย่างเขาเนี่ยบอกว่าชอบเพราะจิตใจภายในที่แสนจะน้ำเน่ายังน่าเชื่อถือว่าอีก
ถึงความชอบคนเราจะไม่เหมือนกัน แต่นี่ก็แปลกเกินไป
“ค่ะ
อาจจะบ้าจริง ๆ ก็ได้ ยังไงวันนี้ขอรบกวนแค่นี้นะคะ วันมะรืนนี้เจอกันค่ะ”
ภัทรลดาวางสายไปแล้ว
เหมภาสทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เอาหลังพิงกำแพงด้วยสิ้นเรี่ยวแรงไปจริง ๆ
ทุกวันนี้ถูกผู้หญิงสวยเหมือนนางฟ้าจีบก็ว่าไม่ปกติแล้ว
นี่เจ้ากรรมยังเป็นคนโรคจิตจิตเสียอีก มันออกจะเกินรับได้ไปอยู่ไม่น้อย
ในชีวิตเขาถึงไม่ใช่คนดีเด่นอะไร ก็ไม่เคยชั่วช้าผิดลูกผิดเมียใครที่ไหน
ทำไมชีวิตต้องเจออะไรประหลาดขนาดนี้ก็ไม่ทราบ
เห็นทีชั่วชีวิตนี้จะต้องแต่งงานอยู่กันกับดอกไม้ใบหญ้าในสวนเนี่ยแหละ
ความจริงเหมภาสอยากเลื่อนเวลาให้มันเร็วกว่านี้
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากพบเธอเสียวันพรุ่งนี้เลย ถ้าดูลักษณะท่าทางจะไม่ไหวจริง ๆ
ก็ต้องออกปากปฏิเสธไปตรง ๆ ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มจะได้ไม่เป็นปัญหาใหญ่โตตามมาในภายหลัง
แต่เพราะวันพรุ่งนี้เขามีภาระสำคัญต้องทำจึงจำต้องเลื่อนเวลาออกไป
คิดไปแล้วก็นึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเกือบสามปี
เห็นกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กสวมคอซอง บัดนี้เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวในวัยสะพรั่ง
เหมือนกุหลาบที่กำลังแย้มบาน ไอ้แมลงภู่มันถึงได้บินตอมกันหึ่ง สาเหตุที่ทำให้พรุ่งนี้เขาไม่ว่าง
เพราะไอ้ครูตรีจักรนั่นจะมาสอนพิเศษที่บ้านน่ะสิ!
มาส่งงานให้อ่านอีกหนึ่งบท
จากนี้ไปเรื่องจะค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นนะคะ เพราะบอกภูมิหลังตัวละครเกือบครบแล้ว
เข้าสู่ช่วงดำเนินเนื้อเรื่องจริงจัง ยังไงก็อยากให้ติดตามกันต่อไปนะคะ
วันนี้เขียนคุณเหมแล้วตลกตัวเอง เป็นเราก็คงกังวล มีคนบ้ามาจีบอย่างนี้
แต่ภัทรลดาจะบ้าจริง ๆ หรือ แล้วถ้าไม่บ้าทำไมถึงเลือกจีบคุณเหมที่รูปลักษณ์โจรภายนอกกันล่ะ
ติดตามกันต่อไปค่ะ
ความคิดเห็น