ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักรัญจวนใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ งานวันเกิด

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 58


    บทที่ ๒

                เหมภาสยืนมองคนงานของบ้านหลังใหญ่ที่คราวก่อนเขามีปัญหาด้วยเรื่องไม่มีที่ร่มให้ต้นไม้ บัดนี้มีต้นไม้ขนาดกลางที่ให้ร่มเงาตั้งตระหง่านกันแดดกันลมให้พันธุ์ไม้ต่างประเทศที่แสนบอบบางกับอากาศร้อนร่ายรอยโคนต้น วันนี้หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของบ้านลงมาดูงานด้วยตัวเอง ท่าทางและคำพูดขอบอกขอบใจซ้ำหลายครั้งทำให้ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอรักชอบอะไรไม้ดอกพันธุ์นี้นักหนา

                “ผมจดวิธีการดูแลมาให้ มันแปลกว่าพวกไม้บ้านเรานิดหน่อย” เขายื่นกระดาษใบหนึ่งให้ มันคือข้อควรระวังและควรกระทำในการดูแลไม้พันธุ์นี้ ดูจากคราวก่อนก็ทราบว่าคนพวกนี้ไม่มีความรู้มากนัก ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีการที่สบายใจทั้งสองฝ่าย เขาเองจะได้ไม่ต้องกังวลว่ามันจะตายในเร็ววัน

                “ขอบคุณนะคะ ได้คุณช่วยไว้มากจริง ๆ”

                “ผมขายของได้เงิน ไม่ได้ให้ฟรี คุณไม่ต้องขอบคุณผมขนาดนั้นหรอก” ชายหนุ่มบอกปัด เขารู้สึกแปลก ๆ ถ้าจะมีใครสักคนขอบคุณที่ขายของให้ในเมื่อฝ่ายเขาเองก็ได้รับเงินก้อนโตมาเป็นของแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว “ไม่มีอะไรแล้วผมขอกลับก่อนแล้วกันนะ”

                ภารกิจในวันนี้สิ้นสุด เขามีงานวิจัยพันธุ์ไม้ที่ค้างเอาไว้เล็กน้อยต้องรีบกลับไปทำ แต่ขาที่เตรียมจะก้าวออกต้องชะงักเพราะหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง ทำไมเธอชอบรั้งเขาไว้นักก็ไม่รู้

                “คุณไม่มีนามบัตรหรือคะ”

                “ถ้าเบอร์สำนักงานมีในใบรับของแล้วนี่ ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มก็โทรศัพท์ไปที่สำนักงานได้เลย แต่ถ้าจะให้ดีไปเลือกเองจะดีกว่า ต้นไม้ก็เหมือนสัตว์เลี้ยง ต่อให้เป็นกุหลาบแต่ก็ไม่ได้เหมือนกันทุกต้นหรอกนะ” เขาพูดจากประสบการณ์ บางคนชอบไม้ที่กิ่งก้านเยอะ ๆ แต่บางคนชอบที่ดูเป็นระเบียบสะอาดตา คำว่าต้นไม้ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงคงไม่นับว่าเป็นการกล่าวเกินจริงไปนัก

                “ฉันแค่อยากสอบถามเผื่อมีเรื่องสงสัย คุณไม่มีเบอร์ส่วนตัวบ้างเหรอคะ” ท่าทางเหมือนอายที่จะพูดในส่วนท้ายทำให้เขาทั้งขำทั้งขัดใจ “ฉันคิดว่าคุณคงไม่ได้อยู่ที่สำนักงานตลอด”

                “คนที่สวนของผมทุกคนตอบคำถามคุณได้แน่นอนไม่ต้องเป็นห่วง แล้วคนที่ประจำสำนักงานส่วนใหญ่คือพ่อผม เขาเก่งกว่าผมเสียอีก แต่ถ้ามีปัญหาจริง ๆ เขาจะโอนสายมาให้ผมเอง ดังนั้นคุณโทรศัพท์ไปที่สำนักงานเถอะ” เหมภาสตัดบทแล้วขึ้นรถขับออกมา

                ไม่ใช่ว่าจะเรื่องมากอะไร แต่เขาไม่ชอบให้เบอร์ส่วนตัวกับใคร ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากมีโทรศัพท์เสียด้วยซ้ำ มันน่ารำคาญในหลาย ๆ ความหมายเสียจนคิดว่าการไม่มีเป็นความสุขประการหนึ่งของชีวิต เขาเกลียดเสียงโทรศัพท์ที่รบกวนเวลาทำงาน บางครั้งก็แกล้งลืมไว้ที่ห้อง ขณะที่บางครั้งเขาก็จงใจปิดเครื่องหนีความวุ่นวาย สวนของเขาไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดที่จะหาตัวกันไม่เจอ

                เหมภาสครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทางที่ขับรถ ไม่ใช่แค่เรื่องโทรศัพท์อีกต่อไป แต่เป็นเพราะเหตุใดผู้หญิงคนนั้นถึงได้เจาะจงจะขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาต่างหาก ถ้าชายหนุ่มเป็นพระเอกละครไทยเขาอาจเข้าข้างตัวเองก็เป็นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีใจให้ เสียแต่เขาไม่ได้เป็นพระเอกละครหรือนิยายของใคร ปากร้ายหน้าโจรอย่างนี้คุณหนูผู้ดีคนนั้นคงไม่แลหรอก ชายหนุ่มนึกขำตัวเองกับความคิดแบบนั้น บางทีอากาศที่ร้อนเกินไปอาจทำให้เขาสติแตกก็เป็นได้

                ความเร็วของรถและการไม่จอดแวะพักที่ไหนเลยทำให้ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงจุดหมาย วันนี้อากาศร้อนจัดในยามสายทำให้ไม่ค่อยมีลูกค้ามาที่สวนมากนัก ช่วงเวลานี้เขาจะได้ทำงานของตัวเองได้อย่างรื่นรมย์ไร้สิ่งรบกวน แต่ระหว่างที่เอารถไปจอดในโรงจอดรถสายตาก็เหลือบไปเห็นรถหรูลักษณะแปลกตาที่คิดว่าไม่มีใครในสวนแห่งนี้จะซื้อหามาได้ เขาสรุปเอาเองก่อนในใจว่าคงเป็นแขกของพ่อ

                “ในบ้านมีแขกเหรอ” เขาถามคนงานที่เดินผ่าน เพราะโรงจอดรถแห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคล ถ้าเป็นลูกค้าหรือคนนอกน่าจะจอดแถวหน้าสำนักงานมากกว่า เจ้าของรถจึงน่าจะอยู่ในบ้านกับพ่อ

                “เปล่าครับ” สำเนียงไทยกลางปนอีสานตอบชัดถ้อยชัดคำ “แขกคุณอ้อนครับ เข้ามาตั้งแต่เก้าโมงเช้าแล้วครับ”

                “อยู่บ้านเล็กนั่นเหรอ” เขาถามย้ำ ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาจวนสิบเอ็ดโมง “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

                “ผู้ชายครับคุณเหม หล่ออย่างกะพระเอกหนัง” คำขยายที่ไม่ต้องการทำให้เส้นคิ้วกระตุก

    เด็กนั่นเริ่มออกลายแล้วหรือ ทำตัวเรียนร้อยมาสามปีดีแตกจนได้ พาผู้ชายเข้ามาในบ้านเขาไม่พอยังหายไปสองชั่วโมง เห็นทีจะต้องอบรมความประพฤติเสียหน่อย แต่ร่างสูงใหญ่ของเหมภาสก็ชะงักกลางอากาศเมื่อสำนึกได้ว่าเขากำลังแสดงความใส่ใจเกินควร แม้อีกส่วนหนึ่งของใจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดมหันต์เขามีสิทธิ์ที่จะตักเตือนหากว่าเด็กนั่นจะทำเรื่องไม่ดีในบ้านของเขา

    แต่แล้วก็ตัดใจ ไม่ใช่ธุระของเขาหากว่าเด็กนั่นจะทำอะไรไม่คิด “เดี๋ยวจะไปอยู่โรงเพาะนะ ใครมีธุระอะไรก็ไปเรียกแล้วกัน”

     

    “เก่งมากเลยนะวันนี้” ผู้พูดเป็นชายหนุ่มผิวขาวสะอาดสะอ้าน โครงหน้าแบบพิมพ์นิยมปัจจุบันคือเป็นผู้ชายออกไปทางหน้าหวานท่าทางเจ้าสำอาง จะให้เรียกว่ามีรูปลักษณ์ที่ตรงกันข้ามกับเหมภาสทุกประการก็คงไม่เกินไป “อย่าลืมดูหนังเรื่องนั้นด้วยนะ เดี๋ยวครั้งหน้าเราจะได้มีเรื่องคุยกัน”

    อธิกานต์ยิ้มหวานยกมือไหว้อีกฝ่ายแล้วเดินไปส่งจนถึงรถที่จอดอยู่ ก่อนขึ้นรถชายคนนั้นยังยกมือขึ้นลูบหัวด้วยท่าทางสนิทสนมที่คนมองขัดใจจนบอกไม่ถูก แม้แลเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ดูเหมือนจะการหยิบของจากในรถออกมาส่งให้ คล้ายถุงอะไรสักอย่างขนาดไม่ใหญ่นัก คนรับเปิดดูของข้างในแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไหว้ลาอีกครั้งก่อนชายแปลกหน้าจะขับรถจากไป

    ตอนที่เด็กสาวเดินกลับมาถึงได้พบว่ามีใครบางคนก้าวพ้นจากแนวรั้วไม้อันกางกั้นอาณาเขตโรงเพาะชำที่ใครก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างหากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ บัดนี้เจ้าของนั้นก็ปรากฏตรงหน้าแล้ว เธอยกมือไหว้ด้วยความเคยคุ้นอย่างคนอยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ได้เสวนากันมากนัก จึงมีระยะห่างไกล...กว่าคนที่เพิ่งจากไป

    “คุณเหมทำงานเสร็จแล้วเหรอคะ”

    “แล้วเธอเห็นว่าฉันทำงานอยู่รึเปล่า” เหมภาสตอบกลับ  หงุดหงิดในอารมณ์

    “ก็ปกติคุณเหมเลิกงานเวลาอาหารเย็นพอดี”  เสียงหวานอ่อนลง ก้มหน้ามองแต่พื้นแล้วก็ถุงหิ้วที่ถือแนวลำตัวตลอดเวลา

    “จะเลิกตอนไหนก็ไม่ใช่ธุระ ฉันเป็นเจ้าของบ้านจะเดินไปไหนมาไหนหรือทำอะไรก็ได้ แต่คนอาศัยจะพาใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านล่ะก็เป็นธุระของฉันแน่” เสียงเขาเหมือนหมีคำรามแม้จะยังไม่ใช่การตะโกนด้วยความโกรธก็ตามที เขาเป็นคนน่ากลัว พูดเสียงดังนิดหน่อยก็เหมือนตะคอกแล้ว

    “หมายถึงใครคะ” พอโดนถามกลับหน้าซื่อก็ยิ่งโมโห

    “ไอ้ที่เห็นเดินออกจากบ้านไปส่งกันถึงรถนี่เขาเรียกว่าคนหรือเปล่าล่ะ”

    “อ๋อ...” ทำท่าเหมือนเข้าใจแต่ไม่ยอมตอบคำถาม “คุณเหมดูอยู่ตลอดเลยเหรอคะ”

    เหมภาสชะงักการเดินออกจากบ้านไปส่งที่รถไม่ใช่เวลาแค่นาทีหรือสองนาทีเพราะยังมีการพูดคุยกันอีกพอสมควร ใบหน้าสีคล้ำเข้มเริ่มแดงจัดด้วยอากาศร้อน...หรือประการอื่นไม่แน่ใจ แค่รู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่ามายืนคอยจ้องอยู่ตั้งนานสองนานก่อนจะออกมาจากบ้านเสียอีก แต่เพราะหลุดปากไปแล้วก็ต้องยอมรับ “ก็แค่ผ่านมาเห็น ฉันก็อยากรู้ว่าใครจะเข้าออกบ้านฉันได้บ้าง โดยเฉพาะคนแปลกหน้า”

    “นั่นครูค่ะ ครูสอนพิเศษภาษาเยอรมัน เคยบอกคุณเหมแล้วนี่คะว่าปิดเทอมนี้จะมีเรียน”

    ดวงหน้าเข้มขรึมที่บึ้งตึงอยู่เป็นนิตย์ค่อยคลายลงเพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่คู่รัก ถึงอย่างนั้นก็คลายไม่หมด เพราะครูดูท่าทางจะดีงามเกินคำว่าครูไปสักหน่อย บอกว่าเป็นดาราหรือนายแบบยังเชื่อถือมากกว่า แม้ไม่เห็นหน้าใกล้ ๆ แต่พอเข้าใจว่าทำไมคนงานถึงชมนักหนาว่า...หล่ออย่างกะพระเอกหนัง ลองเขาเป็นคนแปลกหน้าบ้างสิจะพูดกันยังไง

    “ทำไมถึงมาเรียนที่นี่ นึกว่าจะไปเรียนข้างนอก”

    “ครูอยากมาค่ะ ครูชอบดอกไม้ที่นี่มาก ก่อนสอนก็ไปยืนคุยกับคุณลุงอยู่ตั้งนาน เห็นว่าจะซื้อกลับไปที่บ้านด้วย” พูดไปยิ้มไปท่าทางจะหลงใหลได้ปลื้มกันอยู่ไม่น้อย

    “เรื่องอื่นช่างมันเหอะ โตแล้วไปอยู่กับผู้ชายสองต่อสองต้องระวัง อีกอย่างเธอก็อายุเท่านี้จะไปทันอะไรกับผู้ชาย” ประโยคพูดขัดแย้งกันเองของเขาทำเอาคนฟังเอียงคอ

    “ตกลงคุณเหมจะให้โตหรือจะให้เด็กกันแน่คะ”

    “เออน่า ก็โตบางเรื่องเด็กบางเรื่องนั่นแหละ อย่างเถียงสิ!” เขาแถจนเจ็บสีข้างก่อนจะเดินหนีออกไปจากตรงนั้น

     

    งานวันเกิดของภาสกรกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั้งนครปฐม ไม่ใช่ความใหญ่โต แต่เป็นศักดิ์ของคนมางานมากกว่าที่หลายคนเล่าลือว่าเป็นงานการเมือง อนึ่งตำแหน่งนายกสมาคมไม้ดอกไม้ประดับก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรสัก ทว่าเกียรติในฐานะเศรษฐีนครปฐมต่างหากที่เรียกแขกได้มหาศาล

    วันนี้เหมภาสแต่งตัวด้วยชุดที่ดูดีกว่าปกติเพราะมีผู้ว่ามาเป็นประธานร่วมยินดี พื้นที่ว่างใกล้โรงจอดรถที่เคยเป็นพื้นโล่งบัดนี้คับคั่งไปด้วยผู้คนและโต๊ะอาหารมากมาย ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิตสีเทาเข้มกับทรงผมที่หวีแต่งเรียบร้อยยืนปั้นหน้ารับแขกอยู่หน้างานมานานสองนาน

    “ผมไปนั่งได้ไหมพ่อ”

    “ยืนเป็นเพื่อนกันก่อนสิ”

    “ยืนทำไม๊” คำสุดท้ายลากเสียงสูง “งานวันเกิดเราเขาอยากจะมาอวยพรก็ให้เขาเดินไปหาสิ เรื่องอะไรต้องมายืนปั้นหน้ารับเหมือนอยากได้ของขวัญของฝากนัก ไอ้ที่ให้ ๆ มาพ่อก็มีหมด ไม่มีก็หาซื้อเอาง่ายจะตาย ไปรอรับของเขาทำไมก็ไม่รู้” เสียงเจ้าตัวบ่นไม่ดังนัก แต่ก็ไม่เบาพอที่ปล่อยให้ผ่านไปได้ ภาสกรยกเท้าสะกิดขาลูกชายเสียเต็มแรงหนึ่งที เหมภาสแค่เกือบเซแล้วก็กลับมายืนหลังตรงเหมือนเดิม “หรือจริง ๆ ไม่ได้มายืนรอของขวัญ”

    ท่าทางจะใช้เพราะคนฟังนิ่งไปอึดใจเหมือนโดนจับได้ ลูกชายเลยไล่ต่อ “ใครล่ะ”

    “เพื่อน” คำตอบขอไปที

    “เพื่อนอะไร สำคัญขนาดไหนต้องมายืนรอรับเขาอยู่หน้างาน”

    “เอ๊ะ! ไอ้นี่...ถามยุ่งยากจริง อยากไปนั่งนักก็ไปไป๊ พ่อชักรำคาญแกแล้ว”

    ชายหนุ่มหัวเราะในคำคอแล้วเดินทอดน่องไปนั่งที่โต๊ะจีนชุดพิเศษในงานสำหรับเจ้าภาพที่จัดมาอย่างดี ถึงจะงานใหญ่แต่พ่อเขาก็เลือกเชิญแขกไม่มาก คงแค่ต้นร้อยเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่ามองไปทางไหนก็มักเป็นคนคุ้นเคย กระนั้นเหมภาสก็ไม่ประสงค์จะลุกจากที่นั่งไปเสวนากับใคร

    บรรยากาศในงานเริ่มคึกคักเมื่อใกล้เวลาหนึ่งทุ่มตรง แต่เจ้าของงานยังยืนคอยแขกหน้างานจนไม่สามารถเริ่มลงมือทำอะไรได้ เหมภาสนึกตัดรำคาญด้วยการเดินไปตามพ่ออยู่ไม่กี่อึดใจ ร่างสูงใหญ่ของภาสกรก็เดินหน้าบ้านยิ้มแฉ่งเข้ามาในงาน พร้อมด้วยร่างของสตรีนางหนึ่งที่เขาสาบานได้ว่าไม่เคยพบกันมาก่อน เพราะชายหนุ่มมั่นใจว่าหากเคยได้พบผู้หญิงวัยกลางคนที่หน้าตาสะสวยขนาดนี้มาก่อนคงไม่เลือนไปจากความทรงจำง่าย ๆ

    อายุของผู้มาเยือนไม่น่าเกินสี่สิบ รูปร่างผอมบางแต่สมส่วนในชุดผ้าเนื้อดีสีครามฟ้า เมื่อร่างนั้นเข้ามาใกล้จึงได้พินิจว่าเครื่องหน้าถูกจัดไว้อย่างพอเหมาะพอดีกับรูปหน้า แม้วัยจะล่วงเลยแต่เขาพนันได้ว่าหากย้อนเวลากลับไปสักยี่สิบปีคนตรงหน้าก็ควรนับได้ว่าเป็นผู้หญิงสวยจัดจ้านคนหนึ่ง

    “นี่เหมภาส ลูกผมเอง” ภาสกรแนะนำสตรีข้างหลังแล้วหันมาหาลูกชาย “ไหว้สิ นี่เพื่อนพ่อชื่อคุณอินทุภา”

    เหมภาสยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็รับแต่ไม่ได้มอบรอยยิ้ม ใบหน้าสวยจัดนั้นบึ้งตึงเหมือนโดนบังคับมา ดวงตาเรียวเล็กดุเหมือนกับเสือ ความเย็นชานั้นปรากฏชัดแม้ในยามที่พ่อเขาเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งก็ไม่ปริปากเอ่ยคำขอบคุณ ความประทับใจแรกพบติดลบไปหลายค่า

    “ภาเอาอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวผมสั่งให้” เจ้าของงานวันเกิดนั่งลงข้างกันคอยเอาใจ แต่ความเงียบที่ได้กลับมาเพราะคนฟังไม่ใส่ใจ ก็ถือวิสาสะสั่งให้ “เอาน้ำเปล่าเย็น ๆ มาสักแก้วนะ”

    ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปสะกิดพ่อระหว่างที่กำลังสั่งการคนงานที่เดินผ่านไปผ่านมา “เพื่อนเหรอ” เขาชักไม่ค่อยแน่ใจ เพราะถ้าเป็นเพื่อนจริงก็น่าจะเคยพบกันมาบ้าง

    “เพื่อนเก่าเพื่อนแก่” ภาสกรกระซิบ ชายตามองเพื่อนที่กำลังมองผ่านผู้คนขึ้นไปบนเวทีไม้ยกพื้นสูงหนึ่งฟุตสำหรับการแสดงของค่ำวันนี้ “รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนหนังสือ”

    “ทำไมผมไม่รู้จัก”

    “เขาไม่ค่อยอยู่เมืองไทย เทียวไปเทียวมาหลายที่”

    จบคำนั้นก็แสดงให้รู้ว่าคงไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่การงานหรือการท่องเที่ยวแต่ที่ต้องเทียวไปเทียวมาคงจะร่ำรวยอยู่พอสมควร เขาอาจดูข้างของเครื่องใช้ผู้หญิงไม่เป็น หากเครื่องประดับและของใช้ที่สวมร่างผู้หญิงคนนั้นบอกชัดว่ามีราคาไม่น้อย เหมภาสชะเง้อมองเพราะนั่งห่างกันแค่พ่อกั้น ฉะนั้นจึงไม่ยากจะแลเห็นนิ้วเรียวที่มือข้างซ้ายเกลี้ยงเกลา เธอไม่สวมเครื่องประดับอะไรที่นิ้วไม่ว่าขวาหรือซ้าย มีแต่กำไรเพชรเส้นเล็กที่ข้อมือ เดาเอาไว้ก่อนว่าน่าจะโสด เค้าลางบางอย่างเริ่มมาเยือน

    “นี่ใช่หรือเปล่าที่อยากให้รู้จัก ในฐานะอะไร” กระซิบถามพ่ออีกครั้งให้แน่ใจ แสงไฟในงานไม่มากนัก แต่เห็นว่าหน้าพ่อออกแดงนิด ๆ ทั้งที่เหล้ายังไม่ทันเข้าปากสักหยด

    “เพื่อน แล้วก็...” คนฟังกลั้นหายใจ “เขาเป็นป้าของหนูอ้อน”

    “ป้า...เด็กนั่น” ชายหนุ่มแทบตบเข่าฉาดแต่ยั้งไว้ได้ทัน เพราะมานั่งพิศดี ๆ ก็พอเห็นเค้าว่าคล้ายกัน เลยอดนึกไปไม่ได้ว่าเด็กนั่น...ถ้าโตเต็มที่จะสวยจัดอย่างป้าไหมหนอ ช่างเถอะเพราะไม่ใช่ธุระต้องใส่ใจ แต่ถ้าเด็กคนนั้นไม่มีพ่อมีแม่ เหลือแต่ป้าที่เทียวไปเทียวมาพ่อถึงต้องรับมาดูแลก็พอเข้าใจ แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมาดูเหมือนอธิกานต์จะไม่เคยไปไหนนอกจากวิทยาลัยแล้วก็ที่บ้านเขา ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยโผล่มา แถมยังไม่เคยถูกพูดถึงด้วยซ้ำ

                ความคิดของเขาถูกหยุดด้วยแรงสะกิดของบิดา เวลานี้ไฟบนเวทีเล็ก  ๆ นั่นสว่างขึ้นมาแล้ว ด้านบนมีเปียโนไฟฟ้าตั้งอยู่ คงสำหรับการแสดงในคืนนี้ ไม่นานร่างเล็กในชุดกระโปรงบานสีม่วงอ่อนก็เดินขึ้นมา ผมยาวมัดรวบไว้ด้านหลัง อธิกานต์ยามนี้ดูสวยสมวัย ได้ยินเสียงพ่อกระซิบแขกคนสำคัญ

                “ภาคอยดูหลานนะ”

     

                วินาทีที่ร่างนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังเปียโนเวลาก็หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัด อธิกานต์ยกมือไหว้ โปรยรอยยิ้มกระจ่างสดใสไปทั่วทั้งงาน ก่อนจะวางมือลงบนคีบอร์ดแล้วเริ่มบรรเลง แล้วเด็กสาวก็ลืมสิ้นทุกสิ่งรอบกาย ดวงตาคู่นั้นหลับพริ้ม ปล่อยร่างกายไปเลื่อนไหลไปตามเสียงเพลง

                เหมภาสอดนึกถึงวันแรกที่พบกันไม่ได้ ภาพเด็กผู้หญิงในชุดเด็กมัธยมต้นกับแกรนด์เปียโนสีขาวตัวใหญ่ยังติดตา เสียงเพลงอ่อนหวานเพราะยังติดหู แม้ไม่ใช่เพลงเดียวกันกับค่ำวันนี้ แต่ความนุ่มนวลเสมอกัน บทเพลงในวันนี้ดูจะไพเราะลื่นไหลกว่าเสียด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร แต่สามารถสะกดทุกคนในงานให้หยุดนิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม แล้วก็ได้ยินเสียงรำพึงจากแขกของพ่อแว่ว ๆ

                “Liebestraum no.3...” แววตาผู้พูดไม่ได้ชื่นชมยินดี และเพราะฝ่ายนั้นนั่งหันหลังให้เวที ฟังได้ไม่ถึงนาทีก็หมุนตัวกลับมานั่งที่เดิม บางทีนั่นอาจเป็นชื่อเพลง เหมภาสลอบมองคนที่นั่งหลังตรง จิบน้ำจากแก้วทีละนิดเหมือนกลัวว่ามันจะหมด

                คนที่ปลาบปลื้มกลับเป็นพ่อของเขาเสียอย่างนั้น เหมือนลูกสาวคนโปรดกำลังแสดงเดี่ยวเปียโนในงานโรงเรียน แม้แต่เขาเองก็รู้ดีว่าเด็กคนนั้นสมควรได้รับคำชื่นชม ดนตรีอันไพเราะกินเวลานานแค่เพียงสี่นาที แต่เรียกปรบมือได้ทั่วทั้งงาน ใคร ๆ ก็เอ่ยปากชม เว้นคนเดียวที่พ่อถาม

                “ภา...หลานเป็นยังไง”

                “จะให้ตอบจริง ๆ เหรอ” แววตาที่จับจ้องผู้ถามคมกริบเหมือนมีดเฉือนเนื้อ ภาสกรสะอึกนิ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่อธิกานต์เดินลงจากเวทีมาร่วมโต๊ะ เมื่อสองป้าหลานพบหน้าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความยินดีปรีดา เพราะอินทุภาไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่ยืนยกมือไหว้ ดวงตาที่เคยสุกใสของหลานสาวก็ตระหนกเศร้าในทันทีที่พบว่ามีใครร่วมโต๊ะ

                “สวัสดีค่ะคุณป้า” เมื่อผู้เป็นป้าไม่ตอบพ่อเขาก็ยิ้มแก้ขัดบอกให้มานั่งที่เก้าอี้ว่างข้างเขา

                ความเงียบเกาะแน่นอยู่นาน ก่อนที่เจ้าของงานวันเกิดทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แขกคนสำคัญก็ชิงตัดหน้า “เมื่อครู่ ถามใช่ไหมว่าฉันคิดยังไงกับเพลงนั้น Liebestraum no.3 ของฟรานซ์ ลิซท์ เลือกเพลงได้เข้ากับบรรยากาศดี” อธิกานต์ยิ้มเมื่อได้รับคำชม แต่ก็แทบหุบยิ้มไม่ทัน “เพลงดีแต่คนเล่นไม่ได้เรื่อง จังหวะพลาด คุมโน้ตไม่ได้ เวลาเบาก็เบาไป เวลาดังก็น่าหนวกหู หาความพอดีไม่เจอเหมือนเด็กเพิ่งหัดเล่น”

                แต่ละประโยคหน้าคนเล่นยิ่งซีดลงทุกขณะ ภาสกรหน้าเสียจึงรีบปราม “ผมก็ว่าเพราะออกนะภา อาจเพราะเป็นลานโล่งก็ได้นะ เสียงเลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูอ้อนเล่นเก่งจะตายใคร ๆ เขาก็ชมกันเห็นไหม”

                รอยยิ้มเหยียด แค่เหลือบมองแค่หางตา “จะบอกว่านักเปียโนอย่างฉันฟังเพลงไม่เป็นงั้นหรือ”

                “เปล่า ผมไม่ได้หมายความถึงแบบนั้น แค่...”

                “ฉันเล่นเปียโนมาทั้งชีวิต อะไรดี อะไร...เลว ทำไมจะไม่รู้” อินทุภาเน้นหนัก ย้ำทุกคำพูดอย่างชัดเจน อธิกานต์ได้แต่ก้มหน้าทำอะไรไม่ถูก ขอบตาร้อนผ่าวทั้งที่คิดว่าซ้อมมาดีที่สุด แต่...กับอินทุภาไม่เคยมีอะไรดีพอ มันแย่...แย่ไปหมดมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ

                “ผมไม่ได้เป็นนักเปียโน” เหมภาสเอ่ยปาก ในช่วงเวลาที่คนอื่นไม่รู้จะทำอย่างไร โชคดีที่โต๊ะนี้ไม่มีแขกท่านอื่น บรรยากาศงานโดยรอบจึงดำเนินไปตามปกติ แต่โต๊ะเจ้าของงาน แม้อาหารที่ทยอยยกมาวางไว้ก็ยังไม่มีใครแตะต้อง “ผมไม่ค่อยชอบฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงพวกนี้ ผมไม่รู้จักโน้ตเพลง เป็นพวกหลงจังหวะเสมอ แต่ผมมีหู รู้ว่าเพลงไหนเพราะ ไม่เพราะ และถ้าความหมายของเพลงคือการเล่นให้เพราะ ให้จับใจคนฟัง ผมว่าเพลงนี้ก็ทำหน้าที่ของมันดีแล้ว”

                “ก็อย่างที่เธอพูด” อินทุภาใจเย็น เสียงหวานละมุนแต่เชือดเฉือน “เธอไม่ใช่นักดนตรี และเธอฟังเพลงไม่เป็น”

                ชายหนุ่มยิ้ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอก “ถ้าเพลงมีไว้สำหรับคนที่ฟังเป็น ก็คงต้องเล่นกันเองฟังกันเองในหมู่นักดนตรี ชาวบ้านอย่างผมคงรู้จักแต่เพลงที่เพราะกับไม่เพราะ ทุกคนที่นี่เขาก็คิดว่าเพลงเมื่อครู่มันเพราะกันทั้งนั้น ถ้าคุณจะเป็นคนเดียวที่คิดว่ามันไม่เพราะ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนที่นี่หูหนวก หรือฟังเพลงไม่เป็นกันหมด คุณก็คงต้องพิจารณาตัวเองบ้างว่าทำไมถึงคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขานัก”

                “ไอ้เหม...” ภาสกรครางเรียกลูกชาย ปรามให้เงียบทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่อินทุภาไม่ได้โกรธ เธอยิ้มอย่างเยือกเย็นราวกับไม่มีอะไรจะกระทบความเชื่อมั่นนั้นได้

                “เราฟังเพลงคนละฐานะ ฉันฟังในฐานะนักดนตรี ส่วนเธอฟัง...แค่ให้หูได้ยินทำนอง”

                “แล้วคุณไม่คิดจะฟังในฐานะป้าคนหนึ่งบ้างหรือ” เขาสวนกลับ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้กระทบทุกคนบนโต๊ะ โดยเฉพาะร่างเล็กข้างกายที่แทบจะก้มหน้ามุดลงไปใต้โต๊ะ ผิวแก้วซีด มือเย็นจัดและสั่นเทา แต่คู่สนทนายังนิ่งสงบ รอยยิ้มและแววตาในครั้งนี้บาดลึกยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา

                “ไม่เคย และจะไม่ทำ”

                ความอดทนของเหมภาสสิ้นสุด เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่อีกฝ่ายต้องแหงนมองคนคอตั้ง ภาสกรลุกขึ้นมาแทรกกลาง แต่แทนที่จะทำอะไรแขกของพ่อเขากลับหันไปฉุดมือเล็กของคนที่นั่งหน้าซีดข้างกายให้ลุกขึ้นยืน ฉุดให้เดินตามออกจากโต๊ะไปท่ามกลางความงุนงงตกใจของผู้ร่วมโต๊ะ

                “จะไปไหนคะคุณเหม”

                “ไปที่อื่น นั่งตรงนี้แล้วกินอะไรไม่ลง!” ชายหนุ่มเพิ่งตระหนัก ว่าเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอธิกานต์เลย ไม่รู้เหตุผลที่เด็กสาวต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของสองป้าหลานคู่นี้ถึงได้แปลกประหลาดผิดเพี้ยนนัก มือเล็ก ๆ ที่เขาจับไว้เย็นจัด สั่นเทาและชื้นไปด้วยเหงื่อ เขารู้ว่าเด็กคนนี้กำลังตกใจ สับสน และเสียใจ และมันเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องดูแลไม่ให้ใครไปบ่อน้ำตาแตกกลางงานวันเกิดของพ่อ

                “ขอบคุณนะคะ” อยู่ ๆ อธิกานต์ก็พูดขึ้นมาระหว่างทางที่จะเดินไปส่งบ้าน

                “อะไร” ชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยความโมโห เขาจะเรียกผู้หญิงคนนั้นว่ามนุษย์ป้า...ถ้าเป็นผู้ชายคงวางมวยกันไปแล้ว แม้จะไม่ได้ห่วงใยอะไรเด็กคนนี้นักแต่ก็มั่นใจว่าคำพูดเกือบทั้งหมดน่าจะมาจากอคติมากกว่าความจริงใจ ทั้งที่เป็นป้า แล้วนี่ก็เป็นหลาน ที่สำคัญคือในงานวันเกิดของพ่อเขา กล้าทำแบบนี้ได้ยังไง

                “ก็...ขอบคุณที่ชมว่าเพลงเพราะน่ะค่ะ”

                เขาชะงัก หยุดเดินกะทันหันเพื่อทบทวนว่าพูดประโยคนั้นออกไปจริง ๆ หรือเปล่า สงผลให้ร่างที่เดินตามแรงฉุดชนเข้าให้อย่างจัง เขาเหมือนกับกำแพงสูงที่ไม่มีวันสั่นสะเทือน แต่คนชนโดนแรงกระแทกผลักให้หงายหลัง โชคยังดีที่เหมภาสมีสติพอจะฉุดแขนเอาไว้ เขาจึงได้พิศดวงหน้านวลของเด็กวัยเกือบสิบแปดในแสงไฟสลัว และตอนนี้ก็ไม่มีแดดแต่หน้าเขายังแดงเหมือนเดิม...

                “เออน่า พูดไปตามมารยาท” เขาหันหลังเดินหนี ยังไงก็ยังไม่ชอบเด็กคนนี้อยู่ดี เข้าใกล้ทีไรเหมือนสติจะแตกทุกที!

     

     

                มาแล้วค่ะ เปิดตัวละครใหม่ด้วย หลาย ๆ คนน่าจะเริ่มเดากันแล้วเนอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับอธิกานต์กันแน่ ส่วนพระเอกที่หลายคนว่าเหมือนหมี ถ้าเอาจากขนาดตัวอาจจะเป็นหมีจริง ๆ ก็ได้ เป็นหมีป่าดุร้ายซะด้วย ไม่ชอบให้ใครขัดใจ ยังไงก็ขอให้ติดตามกันต่อไปนะคะ อย่าลืมติชมให้กำลังใจกันบ้างเน้อ...^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×