คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๔ เมื่อโดนผู้หญิงขอเบอร์
บทที่ ๔
เหมภาสตั้งแง่กับตรีจักรผู้เป็นครูพิเศษของเด็กในอุปการะอย่างเด็ดขาด
หากไม่ได้ภาสกรร้องขอเขาคงจะปลดผู้ชายคนนั้นออกจากตำแหน่งนี้ไปจริง ๆ
และเชื่อว่าลูกศิษย์อย่างอธิกานต์จะคัดค้านไม่ได้เสียด้วย
เขาเกลียดสายตาท้าทายที่มองโต้ตอบกลับมา ใช่ว่าไม่เคยมีใครพยายามจะลองดีกับเหมภาส
แต่รูปร่างสูงใหญ่และดวงตาดุกร้าวทำให้คนอยากลองดีหลายคนยังหวั่นเกรงเขาบ้าง
แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ ตรีจักรมั่นใจ มั่นคง และกล้าหาญจนน่าหมั่นไส้
และแม้จะไล่ออกไม่ได้เขาก็ยื่นคำขาดให้การเรียนการสอนดำเนินต่อไปในเขตบ้านหลังใหญ่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
อธิกานต์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็พลอยโดนหางเลขพายุอารมณ์ของเหมภาสไปด้วย
เด็กสาวเลยพยายามหลบหน้า ไม่ให้เขามากระแนะกระแหนเรื่องครูสอนพิเศษให้ปวดหัว
แต่ดูเหมือนเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น
เหมภาสที่ถูกหลบหน้าอยู่สองวันหงุดหงิดมากขึ้นเป็นสองเท่าเหมือนหมีคลั่ง
ใครต่อใครก็เข้าหน้าไม่ติด
จนวันนี้บังเอิญได้เจอคนที่เดินถือจานขนมหลบออกทางหลังบ้าน
ร่างสูงใหญ่ก้าวขวางบังแสงแดดยามบ่ายที่ไล่เลียไปตามพื้นหญ้าเงาดำทาบทับร่างบางเล็กของเด็กสาวจนมิด
อธิกานต์รู้โดยไม่ได้เงยหน้ามองว่าเป็นใคร เธอเงยหน้าขึ้นมองกำแพงยักษ์ที่ตั้งขวางทางเดินด้วยอาการตกใจ
ในระยะประชิดเด็กสาวต้องเงยหน้าคอตั้งเพื่อมองให้เห็นดวงตาดุที่จับจ้องมาจากความสูงราวร้อยเก้าสิบ
“หลบหน้าฉันสนุกไหม”
คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าเขาเลยถามต่อด้วยเสียงต่ำสุดและดังสุด
“ไม่ได้หลบหน้าหรือไม่สนุก คราวนี้ตอบด้วยปาก
ถ้ามีปากแล้วไม่ตอบจะทำให้ใช้ไม่ได้อีก”
คนฟังยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปาก
รู้แน่ว่าเขาเอาจริง “ไม่สนุกค่ะ” เสียงตอบแม้แผ่วแต่ก็ฟังชัด
“ไม่สนุกแล้วจะหลบหน้าทำไม”
“ก็...คุณเหมทำท่าเหมือนโกรธหนูนี่คะ
หนูก็เลยไม่อยากถูกคุณเหมดุ”
“เป็นเด็กประถมหรือไง
จะได้เอาแต่วิ่งหนีคนน่ากลัวตลอดเวลา
ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวฉันดุหรอก หรือว่าไปทำอะไรผิดมา”
เขาว่ายาว เสียงด้วยความโมโห คนโดนดุมองต่ำแล้วกะพริบตาปริบ ๆ
“ที่เงียบน่ะตกลงว่าปากเธอไม่ได้มีไว้พูดสินะ”
“คุณเหมยังไม่ได้ถามอะไรเลยนะคะ”
อธิกานต์ตาโต แค่เงียบก็ผิดแล้ว
“แล้วไอ้ที่ฉันพูดไปยืดยาวไม่คิดจะแสดงอาการรับรู้อะไรหน่อยหรือไง”
“พูดไปคุณเหมก็ดุอีก”
ถ้าขุดดินลงรูได้เธอคงทำไปนานแล้ว
เงาของร่างที่ทาบทับดูคล้ายจะขยายใหญ่มากขึ้นทุกที ราวกับว่าเขาจะขย้ำ
ฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ อย่างไร้ปราณี
“ยังจะเถียงอีก”
เด็กสาวถอยหลังไปหลายก้าว
พยายามไม่ให้จานขนมในมือร่วงจากมือที่สั่นเทา เขาทำให้เธอกลัวอยู่เสมอ
ดวงตาคู่นั้นเคยสักครั้งไหมที่จะไม่มองหาความผิดที่เกิดขึ้นจากเธอไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ดี
เหมภาสก็มีเรื่องดุเธอได้เสมอ ทุกครั้งที่เจอหน้าราวกับว่าไม่เคยทำอะไรถูกในสายตาคู่นั้นเลย
ขอบตาร้อน...เกลียดที่ตัวเองร้องไห้ง่ายแต่ห้ามไม่ได้
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ”
เสียงคนตัวสูงบ่น บางทีเขาอาจรำคาญ แน่ล่ะ...ขนาดอธิกานต์ยังรำคาญตัวเองเลย
“ไม่ได้ด่าอะไรสักหน่อย จะน้ำตาตกทำไม”
“คุณเหมดุนี่คะ
หนูไม่รู้จะทำยังไง อะไร ๆ ก็ไม่ถูกใจ”
“ใช่ว่าจะจับไปฆ่าแกงอะไรที่ไหน
กลืนน้ำตาลงคอเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าร้องต่อฉันจะดุให้ร้องจนกว่าจะไม่มีน้ำตา”
คำขู่ได้ผล แต่ยากที่จะกระทำ เด็กสาวพยายามกลืนทุกอย่างลงคอ
แม้จะอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด แต่ต่อหน้าเหมภาสเธอก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กประถม
“คุณเหมก็อย่าดุสิคะ”
คนบอกกลัว ๆ กล้า ๆ แต่ก็กลั้นใจพูดออกไป
“อย่าหลบหน้ากันสิ”
“ถ้าคุณเหมไม่ดุหนูก็ไม่หลบหน้าหรอกค่ะ”
เด็กสาวอธิบาย แต่เหมภาสมุ่ยหน้ากอดอกแล้วก้มลงจ้อง
“ถ้าเธอไม่หลบหน้าฉันแต่แรกฉันก็ไม่มีเรื่องมาดุเธอหรอกจริงไหม”
“ที่หนูหลบก็เพราะกลัวคุณเหมจะดุนี่คะ
ถ้าคุณเหมไม่ดุ หนูก็ไม่หลบหน้า คุณเหมจะได้ไม่มีเรื่องต้องมาว่าหนูดีไหมคะ”
ข้อเสนอน่าสนใจ แต่คนฟังชักไม่ค่อยชอบใจ เหมภาสนิ่วหน้าขมวดคิ้วแน่น
“นี่เถียง...”
เขาพูดไม่ทันจบประโยคก็โดนเสียงเรียกแทรกขึ้นมาเสียก่อน คนงานรายหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
ปากร้องบอกก่อนตัวจะถึงเสียอีก
“มีโทรศัพท์ที่สำนักงานครับคุณเหม”
“เออ!”
เขาตอบกลับเสียงดัง ก่อนไปยังไม่วายหันมามอง “อย่าทำแบบนี้อีก
ถ้าหลบหน้าฉันเมื่อไหร่โดนดีแน่”
โทรศัพท์ที่เข้าสำนักงาน
ส่วนมากเป็นสายของลูกค้าทั้งนั้น คนที่รักก็คือภาสกรที่อยู่โยงเฝ้าเกือบตลอดเวลา
ดังนั้นเหมภาสที่มักจะหมกตัวอยู่ที่โรงเพาะกับคุมคนงานส่งของจึงไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมมากนัก
นานครั้งเขาถึงจะต้องไปรับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง
วันนี้เองพอเดินเข้ามาในสำนักงานก็แลเห็นว่าพ่อยังคงนั่งประจำโต๊ะเดิม ชายหนุ่มเริ่มเอะใจว่าทำไมต้องเจาะจงเป็นเขาด้วย
กระนั้นก็ยังเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางคว่ำไว้บนโต๊ะขึ้นมารับ
“ขอโทษที่ให้รอสาย
เหมภาสครับ”
“คุณเหมภาสเหรอคะ
นี่ภัทรลดานะคะ” เสียงหวานละมุนคุ้นหู
“ภัทรลดา...”
ไม่ใช่ชื่อที่คุ้นเคยเลยสักนิด “ขอโทษนะครับ จะติดต่อเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ตายจริง”
ปลายสายอุทาน “ยังไม่เคยแนะนำตัวเลย
ฉันคือเจ้าของบ้านที่ขอเบอร์โทรศัพท์คุณเอาไว้คราวก่อนไงคะ ที่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ”
แล้วความทรงจำก็ย้อนกลับมาอย่างชัดเจน
ภาพสาวสวยกับคฤหาสน์หลังงามที่ต้องเอาต้นไม้ไปลงให้ถึงสองรอบโผล่ขึ้นมา
แต่ชายหนุ่มลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเคยขอเบอร์โทรศัพท์เอาไว้
นี่ก็ผ่านมาหลายวันจนเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโทรศัพท์มาจริง
“จำได้แล้ว
คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“พอดีฉันแวะมาทำธุระแถวนครปฐม
เลยอยากจะไปดูต้นไม้ที่สวนสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณเหมภาสว่างหรือเปล่าคะ
ฉันอยากให้คุณแนะนำต้นไม้ให้สักหน่อย”
“ถ้าไม่ว่างจะไม่มาหรือเปล่าล่ะ”
เขาออกจะแปลกใจที่รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายดูจะติดใจเป็นพิเศษ
ทั้งที่ผู้หญิงคนอื่นพยายามหนีหน้ากันมาตลอด”
“ถ้าไม่ว่างจะแวะไปวันหลังค่ะ”
“ต้องเป็นผมเท่านั้นเหรอ
ลูกน้องผมที่นี่เก่งกันทุกคน
คุณอยากได้ต้นไม้หรืออยากรู้เรื่องอะไรพวกนั้นก็แนะนำได้หมด”
เขาหยั่งเชิงด้วยการต่อรอง
“ไม่หรอกค่ะ
ฉันไม่ค่อยไว้ใจ อยากให้คุณเหมแนะนำมากกว่า ยังไงรบกวนบอกวันเวลาที่ว่างได้ไหมคะ
ฉันจะได้แวะไปดูต้นไม้ให้ถูกเวลา อยากจะขอบคุณเรื่องต้นไม้ที่บ้านด้วย ตอนนี้กำลังงามเลยค่ะ”
เหมภาสนิ่งคิดแค่ครู่เดียวก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“มาวันนี้แหละ
ผมว่าง”
“ดีจังค่ะ
เดี๋ยวอีกประมาณสิบนาทีจะถึงนะคะ”
เขาไม่ได้เอ่ยลาแล้วก็วางสายไปทันที
หันกลับไปมองเห็นว่าภาสกรเหลือบสายตาจ้องมาอยู่บ้างเหมือนกัน
คนเป็นลูกเลยเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกที่จัดเอาไว้
บรรยากาศรอบตัวนิ่งสงบด้วยอารมณ์ครุ่นคิด เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร
และไม่แน่ใจว่าตัวเองจะคิดมากไปหรือเปล่า
“ทำหน้าเหมือนคนปวดหนัก
ไปห้องน้ำไป๊” เจ้าของห้องออกปากไล่
“ไม่ได้ปวดสักหน่อย! แค่กำลังคิดน่ะพ่อ
พ่อเคยโดนผู้หญิงจีบหรือเปล่า”
พอจบคำถามคนฟังก็วางปากกาในมือลงทันที
เงยหน้าขึ้นจ้องลูกชายเต็มสายตา
กระนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มเหมือนกลั้นหัวเราะอยู่ที่มุมปาก
“อย่างแกเนี่ยนะ
มีผู้หญิงมาจีบเหรอวะไอ้ลูกชาย”
“ไม่แน่ใจ
แต่เขาทำท่าเหมือนอยากจะมาเจอผมให้ได้”
“ไม่หล่อแถมอารมณ์ร้ายแบบแกเนี่ยนะ”
ภาสกรหัวเราะใส่ลูกชาย ก็ไม่ใช่ว่าเหมภาสจะขี้ริ้วขี้เหร่หรอก
ใบหน้าคมเข้มแบบชายไทยคงดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวใส่ใจเพิ่มขึ้น
ที่สำคัญคืออารมณ์ร้อนที่พูดเกือบทุกอย่างที่คิด ผู้หญิงมีแต่จะเมินหน้าหนี
“แล้วลูกสาวบ้านไหนล่ะ”
“ไม่ใช่คนแถวนี้”
เหมภาสส่ายหน้า “ลูกค้าที่กรุงเทพฯ บ้านที่ผมไปลงต้นไม้ให้สองรอบนั่นไง”
“อ๋อ
ที่ว่าบ้านใหญ่อย่างกับคฤหาสน์น่ะเหรอ”
“ใช่
คราวก่อนเขาขอเบอร์ก็เลยให้เบอร์สำนักงานไป
นี่โทรศัพท์มาบอกว่าอีกสิบนาที...เหลือห้าแล้ว เดี๋ยวจะมา” เขาก้มลงมองนาฬิกา
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนเป็นพ่อเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งประจำเดินเข้ามาหาลูกชาย
ดูท่างานนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะรับมือสำหรับคนเก่งอย่างลูกชาย
“เขาน่ารักไหมล่ะ”
“สวยดี”
“ถ้าเขาจีบแกจริง
ๆ ก็ลองดูสิ จะหาผู้หญิงสวย ๆ รวย ๆ ที่ไหนมาจีบแกได้อีก ถ้าไม่บ้าคงตาบอดนั่นแหละ
คนนี้ครบสามสิบสองใช่ไหม โอกาสหนึ่งในล้านเชียวนะ ไม่คว้าเอาไว้เสียดายตายชัก
แกเองอายุปูนนี้แล้วแถมยังโสดสนิท ไม่เห็นจะเสียหายอะไร”
“ทำเป็นเล่นไปพ่อ”
“เล่นบ้าอะไร
พ่อพูดจริงนะโว้ย เอาน่า...แกอย่าเพิ่งคิดมากสิ มันก็ไม่แน่หรอกที่เขาจะจีบแก
บางทีเขาอาจจะแค่ติดใจฝีมือเพาะต้นไม้ของแกก็ได้ คราวที่แล้วแกไปแนะนำเขาดีไง
แต่ถ้าเกิดเขาอยากจะทอดสะพานให้แกจริง ๆ แกก็สร้างท่าเรือรอไปเลย”
ท่าทางทีเล่นทีจริงของพ่อทำให้เหมภาสชักฉุน
รู้สึกเหมือนไม่ควรมาปรึกษาแต่แรก เห็นเรื่องร้อนใจของลูกชายเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมด
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินลงไปจากสำนักงานโดยไม่พูดอะไร
ได้ยินแต่เสียงหัวเราะแว่ว ๆ ของคนเป็นพ่อ เอาเถอะ...มันก็จริงอย่างว่า
ไม่แน่ว่าผู้หญิงที่ชื่อภัทรลดาจะคิดอะไรเสียหน่อย
อาจเป็นเขาเองที่ฟุ้งซ่านและจบลงด้วยวิถีชีวิตแบบปกติ
เจ้าของสวนก้มลงมองดูนาฬิกา
สิบนาทีพอดีตอนที่รถหรูสีขาวคันนั้นแล่นเข้ามา
ทันทีที่หญิงสาวนามภัทรลดาก้าวลงมาจากรถ
รัศมีคุณหนูจัดจ้านหยุดสายตาเกือบทุกคู่ที่กำลังทำงานให้ตะลึงมอง
รอยยิ้มหวานซึ้งพิมพ์ใจมอบให้รายทาง เหมภาสไม่ได้เดินออกไปต้อนรับ
เขายืนรออยู่ในร่มเงาของไม้ใหญ่ ให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักทายถึงที่
ชุดหรูหราสีชมพูอ่อนดูจะไม่เหมาะกับดินชื้นและกองปุ๋ยรอบตัว
มันเป็นภาพขัดตาจนบอกไม่ถูก
แต่ความคิดอยากจะอุ้มเจ้าหล่อนไปไว้ที่อื่นหยุดลงเมื่อลูกค้าสาวกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะ
ภัทรลดาค่ะ”
“ผมทราบ
วันนี้อยากจะได้ต้นไม้แบบไหนผมจะได้แนะนำได้ถูก” เขาเข้าเรื่อง ไม่มีรอเวลา
“ยังไม่แน่ใจค่ะ”
หญิงสาวยิ้มหวานหยด มองสภาพรอบตัว “ไปหาที่นั่งคุยดีไหมคะ
จะได้สะดวกขึ้นพอดีฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วยเยอะทีเดียว อาจใช้เวลาสักหน่อย
แล้วตอนนี้แดดก็ร้อนมาก ฉันไม่ค่อยถูกโรคกับแดดเท่าไหร่น่ะค่ะ” จะบอกปัดไปก็ใช่ที่
เพราะยามนี้แค่โดดแดดนิดหน่อยระหว่างเดินจากรถมาหาเขาใบหน้าขาวนวลนั่นก็ขึ้นสีระเรื่อเสียแล้ว
วันนี้อากาศก็ร้อนจัดจริง ๆ เสียด้วย
“เชิญ”
เขาผายมือให้เดินตามไปที่สำนักงาน
ทันทีที่เปิดประตูคนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องก็เงยหน้าขึ้นมอง
เหมภาสขยับตาเป็นสัญญาณให้รู้ว่าหญิงสาวที่เดินตามหลังมาคือคนที่เขาหมายถึง
ภาสกรจับจ้องสาวสวยที่เข้ามาแล้วเบิกตากว้างด้วยอารมณ์ตกใจ
พ่อคงไม่คิดว่าผู้หญิงในคำบอกเล่าจะสวยจัดถึงขนาดนี้
“นั่นพ่อผม
เป็นเจ้าของสวน” คำแนะนำทำให้ภัทรลดายกมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
ภาสกรเองก็ยิ้มรับไมตรีนั้นด้วยความยินดียิ่ง
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ
เออเจ้าเหม มานี่หน่อยสิพ่อมีอะไรจะถาม”
เหมภาสขอตัวแยกออกไปหาบิดาที่ก้มหน้ามองเอกสาร
แม้สายตาจะไม่ได้ละจากหน้ากระดาษประหนึ่งว่าเรื่องที่จะถามอยู่ในแฟ้มงาน
หากคำถามที่สื่อออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“คนนี้เหรอที่แกเล่า”
“ใช่
พ่อว่ามันแปลก ๆ ไหม”
“แปลกสิวะ”
ภาสกรพยายามพูดด้วยเสียงเบาที่สุด “สวยขนาดนี้ ชาตินี้ทั้งชาติแกหาไม่ได้แล้วนะ
เอาเลยสิ ท่าทางนอบน้อมดีด้วย ลองคุย ๆ ดูถ้านิสัยดีจริงก็แกก็จัดการซะ”
“จัดการยังไง”
“เขาทอดสะพานมา
แกก็รับสิ”
คนฟังถอนหายใจยาว
“พ่อนี่ไร้สาระจริง ๆ เลย” ท่าทางเหมือนลูกชายจะยังไม่ได้คิดอะไร
ทั้งที่มีสาวสวยมาอยู่ตรงหน้า ภาสกรเลยอุทิศตนเป็นผู้สังเกตการณ์
ถ้าแม่หนูคนนี้ใช้ได้เขาอาจจะช่วยกระตุ้นลูกชายอีกแรง
เหมภาสในตอนนี้ก็เกือบจะสามสิบเข้าไปทุกที แฟนไม่เคยมี อาจจะรับมือกับผู้หญิงไม่เป็นเลยก็ได้
เหมภาสเดินกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับลูกค้าสาวสวย
บางทีเขาไม่ควรกังวลเกินไป
ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รุกล้ำแสดงท่าทีอะไรก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง
ณ ตอนนี้ก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งเท่านั้น ดวงหน้าขรึมเข้มจึงเป็นเช่นที่มันเคยเป็น
เสียงต่ำใหญ่เอ่ยถาม
“อยากได้ต้นไม้แบบไหน”
“ไม่มีน้ำให้สักแก้วเหรอคะ”
นั่นสิ
แขกมาถึงที่เขาก็คิดถึงแต่งานอย่างเดียว “ที่นี่มีแค่น้ำเปล่ากับกาแฟ
ไม่มีน้ำแร่น้ำอัดลมหรอกนะ คุณอยากจะได้อะไรไหมล่ะ”
“น้ำเปล่าก็แล้วกันค่ะ
ขอแบบไม่เย็นนะคะ”
จากคำขอผิดกับที่คิดเอาไว้นิดหน่อย
ธรรมดาพวกคุณหนูน่าจะเรื่องมาก ต้องเป็นน้ำแร่ยี่ห้อนี้ยี่ห้อโน้นเท่านั้น
แต่หญิงสาวดูจะไม่ใช่คนเรื่องมาก ชายหนุ่มเดินไปหยิบน้ำดื่มแบบขวดพร้อมแก้วมาให้ วันนี้เขาใจดีขึ้นอีกนิดด้วยการแกะฝาเปิดให้
เผื่อท่อนแขนเล็ก ๆ นั่นจะไม่มีกระทั่งแรงจะหมุนฝา
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวค่อย
ๆ เปิด รินลงแก้วอย่างเชื่องช้าราวกับไม่อยากให้น้ำจะกระเฉาะออกไปสักหยด
จากนั้นจึงยกขึ้นจิบทีละนิด ลำพังแค่เวลาในการกินน้ำไม่กี่อึกก็นานร่วมนาที ทันทีที่แก้วน้ำวางลงบนโต๊ะ
เสียงกระทบของแก้วกับกระจกโต๊ะช่างไพเราะหูสำหรับคนรอเหลือเกิน
ชายหนุ่มยิ้มด้วยความดีใจที่จะได้เข้าเรื่องงานเสียที
“ตกลงเราจะเริ่มคุยกันได้แล้วใช่ไหม”
คนฟังหัวเราะน้อย
ๆ อย่างน่ารัก “ได้สิคะ ท่าทางคุณเหมภาสใจร้อนอยากคุยงานจะแย่แล้วนะคะ
ฉันมารบกวนคุณหรือเปล่าคะวันนี้”
“เปล่า
ผมแค่อยากทำงานให้มันเสร็จเร็ว ๆ”
“ขยันนะคะ
ท่าทางคุณเหมภาสจะชอบทำงานออกแรง”
ดวงตามองไล่ไปที่กล้ามแขนแน่นเป็นมัดที่เสื้อแทบไม่อาจปกปิดไว้ได้
“วันนี้อยากจะได้ไม้ดอกมีกลิ่นน่ะค่ะ อยากได้กลิ่นหอม ๆ โดยเฉพาะกลางคืน
จะเอาไว้ปลูกใต้หน้าต่างห้องนอน พอจะมีแนะนำได้ไหมคะ”
“ถ้าหอมแรงหน่อยจะเป็นดอกไม้ไทย
คุณอยากจัดสวนแบบอังกฤษไม่ใช่เหรอ”
“ไม่แล้วล่ะค่ะ
ฉันคงไม่เหมาะกับไม้เมืองหนาวเท่าไหร่” แม้ปากยิ้ม แต่ดวงตาเจือรอยประหลาด วูบไหว
ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกตว่าเร้นสิ่งใดเอาไว้ในส่วนลึก “ดอกไม้ไทย หอมแรง
อาจจะเหมาะมากกว่า ส่วนต้นไม้ที่คุณไปลงให้คราวก่อนจะปลูกเอาไว้ดู...เตือนใจ ว่าสวยแต่ไร้อารมณ์”
“ผมมีไม้หอมอยู่หลายพันธุ์
คุณเดินไปดูก่อนก็ได้ จะได้เลือกกลิ่นเลือกดอกที่ชอบ แต่แดดยังร้อนนั่งพักก่อน
แล้วผมจะให้คนเอาร่มมาให้ เรื่องอื่นที่คุณอยากจะคุยกับผมมีอีกไหม”
คนฟังยิ้มรับแล้วพยักหน้า
“มีค่ะ คุณเหมภาสมีภรรยาหรือแฟนหรือเปล่าคะ” เหมภาสชะงัก
หันกลับไปสนตาพ่อที่แอบฟังอยู่ห่าง ๆ ก่อนส่ายหน้า เริ่มเข้าเค้าที่ตัวเองหวาดกลัว
แต่ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก
“ไม่มี”
“ดีค่ะ
ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์โทรศัพท์มือถือได้ไหมคะ” ภัทรลดาไม่พูดเปล่า
แต่ล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนโต๊ะ
แล้วเลื่อนไปตรงหน้าชายหนุ่ม
“อยากจะขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของคุณเหมภาสจะได้ไหมคะ”
หญิงสาวกล่าวซ้ำ
เหมภาสมั่นใจแน่นอนว่าเรื่องราวเป็นไปตามที่เขาคิด
พอหันไปหาพ่อก็เห็นภาสกรยิ้มยิงฟันขาวเรียงซี่ให้พร้อมพยักหน้าในเชิงสนับสนุนเต็มที่
“มีอะไรคุณโทรศัพท์เข้ามาในสำนักงานแบบวันนี้ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ
วันนี้เรื่องงานเพราะฉันมาซื้อต้นไม้ วันหน้าคงไม่ใช่ในฐานะลูกค้าอีกแล้ว
รบกวนคนที่สำนักงานเปล่า ๆ
ไม่ได้คุยเรื่องงานแล้วใช้โทรศัพท์มือถือน่าจะสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอคะ”
ภัทรลดายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกายระยับ “หวังว่าคุณเหมภาสจะไม่รังเกียจ
ถ้าฉันจะขอโทรศัพท์มาหาบ้าง...ในเวลาส่วนตัว”
“ผมไม่ค่อยเปิดโทรศัพท์เวลาทำงานเท่าไหร่”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ
ฉันสะดวกคุยกับคุณตลอดเวลา คุณเปิดเมื่อไหร่เราค่อยคุยกัน”
เกิดมาเหมภาสไม่เคยเจอผู้หญิงรุกใส่มาก่อน
โดยเฉพาะผู้หญิงสวยท่าทางเรียบร้อยอย่างภัทรลดาเขาแทบนึกภาพไม่ออก
หญิงสาวไม่ใช่คนที่ดูจัดจ้าน เจนสนาม ออกจะเรียบร้อยตามขนบหญิงไทยเสียด้วยซ้ำ
และแม้การรุกของเธอจะไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรมากนัก ไม่มีการถึงเนื้อถึงตัว
แค่ผ่านการพูดคุย แต่ก็เป็นเรื่องที่รับมือยากสำหรับเหมภาส
เขาไม่รู้ว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธ
ระหว่างนั้นภาสกรที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นเดินมาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะกดหมายเลขให้เรียบร้อย
“นี่เบอร์เจ้าเหมมัน
หนูโทรศัพท์มาหามันหลังหกโมงเย็นก็แล้วกันนะ
ตอนกลางวันมันอยู่ที่โรงเพาะไม่ค่อยรับโทรศัพท์หรอก อ้อ...เจ้าเหมมันขี้อายไม่ยอมโทรศัพท์ไปหาผู้หญิงก่อนหรอก
หนูต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหามันเองล่ะนะ แต่ถ้ามีอะไรด่วนโทร.มาที่สำนักงานก็ได้
ลุงอยู่ที่นี่ตลอดเวลาราชการ”
“ทำอะไรพ่อ!”
เขาเสียงพ่อเสียงเครียด แต่อีกฝ่ายยิ้มเหมือนไม่รู้เรื่อง
ภัทรลดายกมือไหว้ขอบคุณแล้วจึงรับโทรศัพท์มากดโทรออก
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงชายหนุ่มสั่นครืดสองครั้งคนโทร.ก็วางสาย
“นี่เบอร์โทรศัพท์ฉันนะคะ เมมเอาไว้ด้วย
คุณจะได้ไม่เผลอตัดสายเพราะคิดว่าเป็นเบอร์แปลก ตอนนี้พักพอแล้วค่ะ
ไปเดินดูต้นไม้กันดีไหมคะ”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าอยากจะให้เลยนะ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ
ยังไงฉันก็ได้มาแล้ว เราจะไปกันได้หรือยังคะ” คนพูดลุกขึ้นยืนรอให้เขาพาออกไป
ครั้นจะปฏิเสธหรือทำเฉไฉก็ไม่ได้อีก ชายหนุ่มจำยอมลุกขึ้นไปเปิดประตูสำนักงาน
เรียกขอร่มขากคนงานแถวนั้น ครู่เดียวเขาก็ได้ร่มสีน้ำเงินตุ่น ๆ มาไว้ในมือ
แล้วส่งไปให้คนข้างกาย
ภัทรลดาขอบคุณแล้วสะบัดร่มสองสามครั้งให้ฝุ่นที่เกาะอยู่ด้านบนร่วงลงไปแล้วจึงกางออก
ไม่ใช่ให้ร่มแค่ตัวเอง แต่ขยับเข้าไปใกล้แล้วถือไว้ให้ชายหนุ่มด้วย
แต่เพราะส่วนส่วนที่ต่างกันพอสมควรทำให้ภาพที่เกิดขึ้นค่อนข้างตลก
เหมภาสพยายามเบี่ยงตัวออก
“ผมไม่ร้อน
คุณกางให้ตัวเองเถอะ”
“ฉันร้อน
แล้วคุณจะไม่ร้อนได้ยังไงคะ” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ พอเขาเดินหนี เธอก็เดินตาม
จนเหมภาสอดรนทนไม่ไหวแย่งร่มจากมือนั้นมาถือให้ เขาสูงพอจะถือร่มให้พอสำหรับสองคน
จะได้ไม่เป็นปัญหาและกลายเป็นภาพตลกแบบเมื่อครู่ มาเดินให้ผู้หญิงกางร่มให้
ต่อให้เป็นคนดิบ ๆ อย่างเขาก็รู้ว่าไม่ควร
ระหว่างทางเขาก็เดินสวนกับอธิกานต์ที่หอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือ
ทั้งถุงและกล่องใส่เอกสาร เหมภาสหยุดนิ่งยืนมองพลอยให้ภัทรลดาต้องหยุดเดินไปด้วย
หญิงสาวพินิจเด็กสาวคนนั้นทีละนิด แม้จะไม่สวยแต่ก็น่ารักสมวัยอายุคงราว ๆ
สิบเจ็ดหรือสิบแปด เค้าโครงหน้าบอกชัดว่าคงไม่ใช่น้องสาวของชายหนุ่มแน่นอน
และกว่าจะรู้ตัวชายหนุ่มก็ยื่นร่มมาให้ถือ
“คุณรอใต้ต้นไม้ตรงนั้นก่อน
ผมไปธุระครู่เดียวเดี๋ยวมา”เขาไม่รอคำยืนยัน แต่เดินตรงเข้าไปหาเด็กสาวคนนั้น
ดวงตาใสซื่อฉายรอยฉงน สงสัย และตระหนกเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้แย่งเอากล่องใบใหญ่ที่อุ้มเอาไว้มาถือให้
ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ
“จะไปไหน”
“เอาของไปให้คุณลุงค่ะ
แต่หนูไม่รู้ว่าเป็นอันไหนเลยยกไปทั้งหมด”
“โง่จริง”
เขาบ่นไม่เชิงด่าจริงจัง “หนักจะตายชักเดี๋ยวแขนก็หักลำบากคนดูแลอีก
ไปเดี๋ยวจะช่วยยก”
แม้ปากจะสนทนาอยู่กับเหมภาส
แต่สายตาเหลือบมองมาเป็นพัก ๆ ภัทรลดาจึงยิ้มให้
อีกฝ่ายยิ้มตอบแล้วเดินตามคนที่แทบจะแย่งของทั้งหมดไปถือเอาไว้เอง
หญิงสาวมองถามสองคนที่เดินคู่กันไป
หญิงสาวมองตามแล้วปล่อยให้ความสงสัยตกตะกอนอยู่ในใจลึก ๆ
เอาคุณเหมมาส่งนะคะ
เปิดเผยอีกหนึ่งตัวละคร แต่ไม่รู้ว่าภัทรลดาจะเป็นตัวดีหรือร้าย
รู้แต่ชอบผู้หญิงรุกผู้ชายคนนี้จัง เก็บเอาไว้เขียนเรื่องอื่นด้วยดีกว่า 555 ยังไงก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุข ติดตามกันต่อ ๆ ไปนะคะ
แอบแจ้งข่าวคนเคยอ่าน
“ซ่านเสน่หา” นะคะ มีคิววางแผงเร็ว ๆ นี้กับสำนักพิมพ์สถาพรค่ะ ถ้าได้ปก
ได้คิวออกเมื่อไหร่จะรีบมาแจ้งทันทีเลยค่ะ
ความคิดเห็น