คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๓ สวัสดีคุณครู
บทที่ ๓
ภาสกรนั่งทำงานด้วยอาการร้อน
ๆ หนาว ๆ อยู่ในสำนักงานหลังจากผ่านงานวันเกิดไปได้เพียงราตรีเดียว
ความวุ่นวายเมื่อคืนไม่มีแขกคนอื่นสังเกตเห็น
แม้จะมีคนถามไถ่ถึงลูกชายและหลานสาวบ้างก็พอบอกปัดไปได้เพราะนิสัยของเหมภาสแต่เดิมก็ไม่ชอบสมาคมกับใครอยู่แล้ว
แล้ววันนี้เจ้าของสวนก็โดนลูกชายนั่งจ้องหน้ามาร่วมครึ่งชั่วโมง
แม้จะพยายามทำงานไปและไม่แสดงอาการสนใจนักทว่าดูเหมือนไม่ค่อยได้ผล ดวงตาดำโต
แต่กรอบตาคมกริบเหมือนหมีป่าจ้องจะล่าเหยื่อ
ต่อให้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่อาจหาญสู้สายตานั้นได้
“แกจะจ้องอะไรนักหนาวะไอ้เหม”
ในที่สุดความอดทนก็หมดลง เหมภาสคลี่ยิ้มยียวน
เอนหลังพิงเก้าอี้รับรองแล้วกอดอกในท่านั่งประจำตัว
ขาสองข้างยกพาดโต๊ะตัวเตี้ยเบื้องหน้า
“พ่อมีอะไรจะบอกไหมล่ะ”
“แกมันมีปัญหาสารพัด
จะให้พ่อบอกอะไรแกวะ ไม่รู้โว้ยมาจ้องหน้าอย่างเดียวใครจะรู้”
“ก็เรื่องเมื่อคืน”
เหมือนภาสกรจะรู้เพราะนิ่งไปอึดใจก่อนจะเฉไฉ
“อะไรล่ะ เมื่อคืนวุ่นวายจะตาย”
“ผู้หญิงคนนั้นไง
แขกพิเศษของพ่อน่ะ ไม่มีอะไรจะเล่าให้ลูกชายฟังเลยเหรอ”
“ชื่ออินทุภา
รู้จักกันตอนสมัยเรียน ตอนนี้เป็นนักเปียโนระดับโลก
ตระเวนแสดงไปทั่วไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองไทยเท่าไหร่” คำอธิบายจะว่าชัดก็ชัด
จะว่าไม่ชัดก็แทบไม่ได้อะไรที่ต้องการรู้เลย
เพราะฟังจากการสนทนาเมื่อคืนเหมภาสพอจะเดาอาชีพอีกฝ่ายได้แต่แรกแล้ว
ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรไปมากกว่าการเลี่ยงพูดถึงเรื่องบางเรื่องของพ่อ
เห็นว่าพูดกันอย่างนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ คงได้ความ ชายหนุ่มพุ่งเข้าเป้าตรงประเด็นทันที
“ทำไมเขาถึงไม่ถูกกับหลานสาวเขาล่ะ
จะว่าไปแล้วเด็กนั่นอยู่นี่มาเกือบสามปีผมไม่เคยรู้เลยว่าทำไมต้องมา
ทีแรกคิดว่ากำพร้าพ่อแม่ไม่มีญาติ แต่เขาก็ยังมีป้าอยู่นี่
ถึงจะดูเหมือนไม่ค่อยถูกกันก็เถอะ มันเพราะอะไรล่ะพ่อ” คำถามยาวจนคนฟังต้องลำดับความคิดใหม่
ภาสกรผ่อนลมหายใจยาว วางมือจากงานทั้งหมดทันที
“เขาเป็นป้าแท้
ๆ เป็นพี่สาวของแม่หนูอ้อน ชื่ออินทุอร เขารักน้องสาวเขามาก
แล้ว...หนูอ้อนก็เหมือนอินทุอรมาก อาจจะมากเกินไป” คนเล่าหยุดเพียงเท่านั้น
คล้ายรำลึกถึงความหลังอันห่างไกล
“รักแม่ทำไมเกลียดลูกล่ะพ่อ”
“ก็มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น
ไม่เคยได้ยินเหรอว่ารักมากก็เกลียดมาก หวังมากเวลาผิดหวังก็สาหัส
ภาเขาก็เป็นคนแบบนั้น เขาเก่งทุกอย่าง ใคร ๆ ก็ชื่นชม
เขาเลยคาดหวังในความสมบูรณ์แบบ
อินทุอรก็เป็นหนึ่งในความสมบูรณ์แบบที่ภาเขาภาคภูมิใจ พอผิดหวังมันก็เลยเป็นแผลใหญ่...รุนแรง”
รอยเศร้าสลักลึกในดวงตาคู่นั้น แม้ห่างหายแรมร้างไปนานตั้งแต่แม้สิ้นใจ
เหมภาสจึงสงบปากสงบคำเอาไว้
แม้จะแทบไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลยก็ไม่ใช่เวลาควรซักไซ้
ภาสกรเป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่าอีกครั้ง
“ที่พาหนูอ้อนมาอยู่ด้วยเพราะบังเอิญรู้ เขาไม่อยากให้หนูอ้อนเรียนดนตรี
แต่เด็กรักทางนี้ก็เลยจะไม่ส่งเสีย ให้ออกมาหาที่อยู่ที่กินเอาเอง พ่อก็เลยไปหาเขา
ถ้าเขาไม่เลี้ยงพ่อจะขอหนูอ้อนมาดูแลเอง ภาเขาทำแบบนี้มันเป็นบาปติดตัวเขา
พ่อก็...อยากจะผ่อนบาปให้เขาบ้าง” ประกายวูบไหวในดวงตาของพ่อทำให้ลูกชายรู้
“พ่อรักเขาเหรอ”
“ก็รัก
เขาเป็นรักแรก” เขาหันมองลูกชาย ยิ้มเศร้า “แต่พ่อก็รักแม่แกนะ ยังไงดีล่ะ
มันรักกันคนละอย่างเพราะรักแม่แกก็แบบสามีรักภรรยา แต่รักภานี่เหมือนรักรูปภาพ
รักรูปปั้น คือรักอะไรที่รู้ว่าไม่มีทางเอื้อมถึง ไม่มีทางครอบครอง
ต่อให้เขาอยู่ตรงหน้าก็ได้แค่มอง”
“เฮ้อ...”
เหมภาสถอนหายใจ ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้นึกโกรธที่พ่อจะรักใครมากกว่าแม่
เพราะเท่าที่เกิดและเติบโตมาพ่อก็ไม่เคยบกพร่อง ไม่เคยนอกใจ
จนแม่ตายมีผู้หญิงมากมายมาวุ่นวายพ่อก็ไม่มอง
จนผู้หญิงคนนี้ที่ดูจะฝังจำอยู่ในหัวใจ “เขาร้ายออกอย่างนั้น”
“แต่ก่อนเขาดีจะตาย
ตอนนี้พ่อก็เชื่อว่าเขายังมีดีอยู่ในตัวเขา”
“ไล่หลานสาวอายุสิบห้าออกมาอยู่นอกบ้านเนี่ยนะพ่อ” เด็กผู้หญิงอายุสิบห้า
ตัวนิดเดียวต้องออกมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย
โชคดีแค่ไหนที่พ่อเขารับเด็กคนนั้นมาดูแล “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ เขาเลี้ยงดูหันยังไง
คงไม่เหมือนในละครหรอกนะพ่อ ไอ้ประเภทจิกหัวหลานเหมือนคนใช้
แล้วก็ถูกผัวป้าตัวเองลวนลาม”
“บ้าเหรอ”
ภาสกรโวยวาย “ไอ้บ้า เขาก็เลี้ยงดี ๆ นี่แหละ แต่ไม่สนใจ ไม่พูด ไม่คุย
เขาให้แต่เงินกับที่อยู่ แล้วภาเขาก็ยังโสดโว้ย ไม่เคยแต่งงาน”
อย่างน้อยก็ไม่เหมือนในละคร
นั่นทำให้เหมภาสเบาใจลงไปบ้าง เด็กคนนั้นก็ไม่ได้ผ่านประสบการณ์เลวร้ายอะไรมากนัก
กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เขาได้รับรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันมาเกือบสามปี
จากที่เคยคิดว่าจะไม่สน ไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนวันนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว
พอเดินลงจากสำนักคิดว่าจะไปโรงเพาะก็พบเข้ากับคนที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านหลังเล็กของตัวเอง
อธิกานต์ยกมือไหว้สำหรับครั้งแรกที่ได้พบกันในวันใหม่เสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน
เหมภาสแต่พยักหน้ารับ ทำท่าจะเดินผ่านไปเหมือนทุกวัน หากคราวนี้แปลก...เขาหยุดมอง
ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปจนชิดรั้วไม้เตี้ย ๆ
หน้าบ้านที่สร้างแค่พอแบ่งสัดส่วนพื้นที่เท่านั้น
“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”
“คะ?”
คนรดน้ำต้นไม้แปลกใจ วางสายยางลงกับพื้น ปิดก๊อกน้ำแล้วก็เดินมาหา
“คุณเหมถามว่าอะไรนะคะ”
“ถามว่าเมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”
“อ๋อ
อาหารอร่อยดีนะคะ คุณลุงให้คนยกมาให้ที่บ้านเยอะเลยค่ะ
แล้วก็มีคนฝากเงินรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเล่นเปียโนมาให้ด้วยค่ะ
ตอนนี้อาหารยังเหลืออยู่เยอะแยะเลย เมื่อเช้าก็เลยไม่ได้ไปทานด้วยน่ะค่ะ”
เด็กสาวเข้าใจไปคนละเรื่อง
“เธอจะกินหรือไม่กินอะไรมันใช่เรื่องที่ฉันต้องรู้ด้วยเหรอ”
เขากอดอก ไม่รู้จะขำหรือจะโมโหที่อีกฝ่ายเข้าใจคำถามผิด
“อ้าว...”
อธิกานต์ตกใจ ทำหน้าซื่อตาใส “คุณเหมไม่ได้ถามเรื่องนี้เหรอคะ”
“แล้วปกตินิสัยฉันจะถามอะไรแบบนั้นเหรอ”
เด็กนั่นยิ้ม
แล้วส่ายหน้า “ไม่ค่ะ แล้วคุณเหมถามเรื่องไหนคะ”
“ช่างมันเถอะ
หมดอารมณ์จะรู้แล้ว” เขาว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินจากมา
ทิ้งให้เด็กสาวทำหน้างงอยู่ตรงนั้น
การจะแสดงอาการห่วงใยอะไรสักอย่างของเขาเหมือนของหายาก
ที่โผล่มานานครั้งและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าใครจับความห่วงใยของเขาไม่ทันก็จะไม่มีวันได้รู้ถึงมันเลย
“แล้วคุณเหมล่ะคะ” คำถามดังมาก่อนที่เด็กคนนั้นจะเดินตามมาทันเขาด้วยซ้ำ
พอเหมภาสหยุดหันไปมอง เจ้าตัวก็ถามย้ำ “แล้วเมื่อคืนคุณเหมเป็นยังไงบ้างคะ
ได้กลับไปที่งานอีกหรือเปล่า”
ทีคราวนี้มาถามเขาเรื่องเมื่อคืน
เมื่อครู่ไม่คิดบ้างว่าเขาเองก็ถามเรื่องเมื่อคืนเหมือนกัน “ไม่
ฉันแวะไปอยู่ที่โรงเพาะจนงานเลือกนั่นแหละ ใครจะไปทนผู้หญิงคนนั้นได้”
“ขอโทษนะคะ
งานวันเกิดคุณลุงแท้ ๆ ต้องมาวุ่นวายเพราะหนู”
คำแทนตัวที่ใช้ตั้งแต่เด็กจนบัดนี้โตเป็นสาวทำให้รู้สึกแปลก ๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะน่ารังเกียจอะไร
“คนเริ่มทะเลาะคือฉัน
ไม่ใช่เธอ จะขอโทษอะไร”
“ก็...คุณทะเลาะกันเรื่องหนูนี่คะ”
เขาเกลียดยัยเด็กนี่เวลาที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
ราวกับว่าเขามันเป็นไอ้คนใจทรามรังแกเด็ก “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นได้ไหม”
เสียงเข้มต่ำดังจนเกือบจะเป็นการตะคอก ทั้งนี้ก็เพราะเหมภาสไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร
เขากะระดับเสียงไม่เป็น ถ้ามันจะดังมันก็ดัง “ฉันรำคาญไอ้งานนั่นอยู่แล้ว
ฉะนั้นต่อให้ไม่มีเรื่องก็จะหาจนมีเรื่องให้ออกมาเองนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นที่ฉันไม่ได้อยู่ในงานก็ไม่ใช่เพราะเธอ
เธอไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตฉันขนาดนั้น ไม่ต้องสำคัญตัว”
ยิ่งพูดเหมือนยิ่งแย่
แต่เขาควรทำอย่างไร มันยากเหลือเกิน
ให้เขาหาทางปลูกต้นไม้ในทะเลทรายอาจง่ายกว่านี้
เหมภาสรู้ดีว่ายิ่งพยายามพูดมากเท่าไรมันก็จะยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น
ชายหนุ่มเลยเลือกที่จะเดินหนีไปอีกทาง ไม่หันกลับมามองคนที่ยืนจ้องตาแป๋วอีกเลย
วันนี้เธอโดนคุณเหมภาสดุแต่หัววัน
บางทีเขาอาจจะหงุดหงิดมาจากเรื่องเมื่อคืนก็เป็นได้
เพราะถึงเขาจะพูดแบบนั้นเธอก็เป็นคนทำให้เขาพลาดงานวันเกิดของพ่อตัวเอง
คุณลุงอาจไม่โกรธ แต่คุณเหมภาสต้องโกรธแน่อยู่แล้ว เขาโกรธเธออยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
ไม่เคยมีการพบกันครั้งไหนที่เขาจะไม่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
และจ้องมองด้วยดวงตาดดุเหมือนสัตว์ร้าย
กระนั้นตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาอธิกานต์ก็ได้รู้ว่าเหมภาสไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
เขาเป็นที่รักของคนที่นี่ทุกคน
อธิกานต์เดินกลับมายืนรดน้ำต้นไม้จนเสร็จ
แล้วกลับเข้าไปในบ้านหลังน้อยที่ภาสกรปลูกให้เป็นส่วนตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย
ด้วยความเหมาะสมแม้เวลานั้นจะอายุเพียงสิบห้าปี
แต่หญิงชยจะอยู่ร่วมชายคากันอย่างไรทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวพันธ์กันทางสายเลือด อีกอย่างที่นี่ก็สะดวกสบาย
เธอสามารถซ้อมเปียโนได้ทุกครั้งที่ต้องการ มันเงียบสงบ และเป็นส่วนตัวมาก
ตารางชีวิตในวันนี้ต้องเริ่มจากซ้อมเปียโนหนึ่งชั่วโมง
แล้วก็ทบทวนภาษาเยอรมันเล็กน้อย ก่อนที่ครูสอนพิเศษจะมาในช่วงบ่าย
เขาจะมาสอนสัปดาห์ละสองวัน คือวันอังคารช่วงเช้าและวันศุกร์ช่วงบ่าย
ค่าเรียนไม่แพงมากนักสำหรับการสอนแบบตัวต่อตัวสัปดาห์ละหกชั่วโมง
และเพื่อนที่แนะนำมาก็เป็นญาติสนิทของเขาด้วย
อธิกานต์จึงได้อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันตกรูปงามมาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว
เด็กสาวสลัดความคิดวุ่นวายในหัวทิ้งเสีย
แล้วนั่งลงที่แกรนด์เปียโนตัวนั่นอย่างใจเย็น
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเริ่มบรรเลงตามโน้ตที่วางเอาไว้ เธอไม่ถนัดเพลงในทำนองรุกเร้า
รุนแรง ดังนั้นที่ผ่านมาจึงเล่นแต่เพลงแนวโรแทนติกเสมอ หรือไม่ก็เพลงเศร้า...บาดลึกถึงอารมณ์
จากเพลงนั้นสู่เพลงนี้แล้วทวนซ้ำ
เล่นย้ำหลายรอบเพื่อให้จำขึ้นใจ ไม่อยากให้ใครเขามาว่า...เล่นเพลงไม่ตรงจังหวะ
หรือคุมโน้ตไม่เป็นอีกแล้ว ถ้าความใฝ่ฝันอันสุดคือการเป็นนักเปียโนระดับโลก
ก็ต้องเล่นให้สมบูรณ์พร้อมจนคนหาที่ติไม่ได้ โดยเฉพาะป้า...
เธออยากให้ป้าชมดังนั้นก็จะเล่นจนกว่าป้าจะชม
เพลงจบก็ได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากด้านหลัง
อธิกานต์วางมือในใจคิดว่าเป็นคนขี้โมโห แต่กลับไม่ใช่
ร่างที่ยืนอยู่ตรงประสูงผอมกว่า เตี้ยกว่าเล็กน้อย ผิวขาว
และอยู่ในชุดเชิ้ตขาวกับกางเกงผ้าสีดำขายาวที่ดูดีเสมอ
ครู...ของเธอมาก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง
“สวัสดีค่ะครู”
เด็กสาวยกมือไหว้ครูผู้มาเยือน
“เล่นเพราะดีนะ
ครูมากวนหรือเปล่า” แม้จะเอ่ยปากถามอย่างนั้น ขายาวก็ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน
ก่อนหน้านั้นก็หันไปหยิบถุงใบใหญ่ที่วางไว้ด้านนอกเข้ามาด้วย
“ไม่หรอกค่ะครู
หนูซ้อมเสร็จพอดี”
“ดีเลย
พอดีครูไปธุระมาแล้วก็เลยซื้ออาหารมาฝาก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ
แล้วเรามาทานข้าวเที่ยงด้วยกันเลยดีกว่า
ระหว่างทางจะได้คุยเรื่องหนังที่ครูให้ดูวันก่อน ได้ดูรึยังล่ะ” เจ้าของบ้านหยักหน้ารับคำ
เดินหายไปในครัวแล้วหยิบจานชามมาหลายใบ
แม้จะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
แต่ความสนิทสนมก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีของอีกฝ่ายก็เป็นได้
เขาเหมือนผู้ใหญ่ที่เข้าใกล้แล้วอบอุ่น ในความเป็นครู...อาจารย์ มีความเป็นพี่
เป็นเพื่อนที่แฝงเร้นให้รู้สึกว่าปลอดภัยที่จะพูดคุย
“ตอนดูได้อ่านซับไหม”
ระหว่างมื้ออาหาร ชายหนุ่มเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง
“อ่านบ้างค่ะ
บางคำที่ฟังไม่เข้าใจ” หนังภาษาเยอรมันแต่เป็นซับภาษาอังกฤษ อธิกานต์ยอมรับว่าบางครั้งก็ต้องเหลือบสายตาลงมาอ่านซับด้านล่างอยู่บ้าง
แม้จะเป็นการเริ่มเรียนสัปดาห์ที่สอง
แต่เด็กสาวก็เคยมีพื้นฐานภาษานี้มาตั้งแต่เด็กอยู่บ้าง
ครูสอนพิเศษหนุ่มเลยให้ทดลองดูหนังเด็กภาษาเยอรมันง่าย ๆ เรื่องหนึ่ง
“ไม่เป็นอะไร
วันนี้มาเร็ว เดี๋ยวทานข้าวเสร็จมาเปิดดูพร้อมกันอีกรอบ แล้วครูจะอธิบายร่วมด้วย”
ทันทีที่ทานอาหารเสร็จ
พื้นที่เล็ก ๆ หน้าโทรทัศน์ก็ถูกจับจองเอาไว้สำหรับสองคน
อธิกานต์เดินไปหยิบแผ่นจากในห้องนอนมาเปิดที่โทรทัศน์ด้านนอก
ภาพเริ่มเคลื่อนไหวดำเนินเรื่องราวที่เคยผ่านตามาแล้ว
หากคราวนี้ซับภาษาอังกฤษถูกปิดเอาไว้ เพราะมีคนใกล้ตัวคอยอธิบายโครงสร้าง
และศัพท์ที่เธอไม่เข้าใจอยู่ข้างตัว
“เข้าใจขึ้นบ้างไหม
หรืองงกว่าเดิม” เขาหันมาถาม
“เข้าใจดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะครู”
เด็กสาวยิ้มให้เห็นฟันขาวเรียงซี่สวย ดวงตากลมโตพราวระยับ
คุณครูหนุ่มหล่ออดหัวเราะไม่ได้
“เธอนี่เหมือนลูกหมาเลยนะ”
“เหมือนในความหมายที่ไม่ดีหรือเปล่าคะ”
“ไม่
หมายถึงน่ารักดี เวลาดีใจ ตกใจ สงสัย แสดงออกชัดเจนไปหมด” บางทีนั่นคงเป็นคำชม
เด็กสาวเลยยิ้มหวานให้อีกครั้ง
หลังจากดูหนังก็กลับมานั่งที่โต๊ะ
ฟังอาจารย์สอนอีกหลายเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้จะเหลือเวลาไม่มากนักก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่ครูก็เน้นความเข้าใจในรากของภาษามากกว่าจะอัดศัพท์จำนวนมากลงไป
แต่เพื่อความรวดเร็วหลังจากนี้เขาจะให้ดูหนังสัปดาห์ละหนึ่งเรื่องเป็นอย่างต่ำ
แล้วเน้นศัพท์เฉพาะทางดนตรีให้เป็นพิเศษ
“ครูเล่นดนตรีเป็นด้วยเหรอคะ”
เด็กสาวถามขึ้นหลังจากที่ได้ทราบว่าเขารู้ศัพท์ทางดนตรีอยู่มากมาย
“ก็เล่นได้นะ
แต่ไม่ได้เป็นนักดนตรีหรอก ศัพท์พวกนี้ครูถามเพื่อนแล้วก็ค้นมาอีกที
ยังไงนี่ก็เป็นการติวเข้มก่อนไปเรียนดนตรีที่เวียนนานี่ เวลาเราน้อยก็เรียนเจาะจงไปเลยดีกว่า”
คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะอธิบาย
“ครูเล่นอะไรเหรอคะ”
“หลายอย่างนะ
แต่ไม่ได้เก่งสักอย่างหรอก ครูเล่นเพราะอยากรู้อยากลองก็เลยลองเรียนอะไรหลาย ๆ
อย่าง ไวโอลิน ฮาร์ฟ แซค แต่ดีที่สุดคงเป็นเปียโน
ตอนเรียนอยู่เยอรมันครูเล่นเป็นบ้าเป็นหลังเลย
เล่นเอาไว้จีบสาวน่ะอยากโชว์ให้สาวประทับใจเลยเก่งอันนี้ที่สุด”
เขาหัวเราะไปกับความหลังที่ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำอันสดใส
“แล้วตอนนี้ครูยังเล่นอยู่ไหมคะ”
เขาส่ายหน้า
“ไม่แล้ว พอเลิกกับแฟนก็หยุดไป เดี๋ยวครูหาแฟนใหม่จะให้ผู้หญิงมาเล่นดนตรีจีบบ้าง”
คำพูดติดตลกทำให้อธิกานต์ผ่อนคลาย
เพราะนึกว่าจะไปสะกิดแผลใจอีกฝ่ายเข้าให้เสียแล้ว “แต่ก็อยากลองนะ ลองหน่อยไหม ครูเล่น
Just the way you are ของ Bruono
mars ตอนจีบแฟน เล่นคล่องสุดก็เพลงนี้”
“หนูเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ
ฟังอย่างเดียวได้ไหมคะ”
“ก็ได้
แต่ไม่เพราะหรอกนะ ไม่ได้เล่นมาสองสามปีแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้น
เดินไปนั่งที่เปียโนสีขาวหลังใหญ่ เขาเริ่มจากการไล่โน้ตดนตรี
ลองเล่นแท่นแรกสองสามครั้ง ก่อนจะหลับตา วางนิ้วแล้วก็เริ่มจากจังหวะช้าไปตามทำนองเพลงค่อยเร็วขึ้นจนกลายเป็นเพลงสนุกที่มีทำนองรวดเร็ว
ลื่นไหล ถึงปากจะบอกว่าร้างไปหลายปี
แต่เล่นยังไม่ทันจบเพลงดีอธิกานต์ก็รับรู้ถึงผู้มาเยือนที่บัดนี้ยืนกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่หน้าประตู
เด็กสาวแทบกลั้นหายใจ เธอไปทำอะไรให้เขาโกรธอีกแล้วหรือ
กระนั้นเหมภาสก็ยังยืนนิ่งอยู่จนกระทั่งเพลงนั้นจบลง แต่เพราะครูของเธอหันหลังให้เลยไม่เห็นผู้มาเยือน
“ครูเล่นเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี
ว่าแต่มาสอนภาษากันไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงขรึม เข้ม ต่ำสุดลอดริมฝีปากหนาออกมา
แต่ดูเหมือนคุณครูจะไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมานัก
เด็กสาวไม่อยากให้มีเรื่องเลยลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผู้มาใหม่
หวังว่าเขาจะไม่โมโหกับเรื่องที่เธอยังไม่รู้ว่าคืออะไรจนทำอะไรไม่ดีต่อหน้าครู
“เรากำลังพักกันน่ะคะคุณเหม”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่
แค่ถาม” เพราะส่วนสูงที่มากกว่า ทำให้ต้องแหงนคอมอง
“คุณเหมโกรธอะไรหรือเปล่าคะ”
กลั้นใจถามออกไป แล้วก็ต้องหลบสายตาที่เหลือบลงมามองเหมือนเป็นแค่เพียงเสียงจากแมลงสาบตัวหนึ่ง
โธ่...ใจคอคุณเหมจะบี้เธอให้ตายตรงนี้เลยเหรอ
“บอกว่าไม่ได้โกรธ
แค่ถาม ไม่เข้าใจหรือยังไง” การที่เขาไม่ได้ตะคอกแต่พูดด้วยเสียงเรียบ ๆ
นั้นน่ากลัวกว่ามาก แต่ในระหว่างที่เด็กสาวกำลังตัดสินใจไม่ถูกชายอีกคนในห้องก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่ง
เดินตรงเข้ามาเผชิญหน้า ส่วนสูงไม่ต่างกันมากนักทำให้สู้สายตากันได้
“ผมชื่อตรีจักรครับ
เป็นครูสอนภาษาเยอรมันของอธิกานต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เหมภาส
เจ้าของสวน เจ้าของบ้าน เจ้าของ...ผู้ปกครองของยัยเด็กนี่”
“อ้าว...”
ตรีจักรยิ้ม “ไม่ใช่คุณภาสกรเหรอครับ”
“ผู้ปกครองร่วมไง
คุณภาสกรนั่นก็พ่อผม พ่อเป็นทำไมลูกจะเป็นไม่ได้”
“ครับ
ผมก็แค่ถามเอง ว่าแต่คุณเหมภาสมีปัญหาอะไรกับการพักระหว่างเรียนของผมกับลูกศิษย์หรือเปล่าครับ”
คำถามเหมือนหาเรื่องเล่นเอาอธิกานต์ใจหาย
คุณครูคงไม่รู้เสียแล้วว่าไปยั่วโมโหคนแบบไหนอยู่
“แค่สงสัยว่ามาเรียนภาษา
ทำไมต้องมีการเล่นเปียโนอะไรนั่นด้วย มันเป็นหลักสูตรพิเศษหรือยังไง ไม่เคยได้ยิน”
เสียงเหมภาสค่อยดังขึ้นทีละนิด และตรีจักรก็ไม่ได้ยอมแพ้
“การผ่อนคลายเป็นเรื่องที่ดีระหว่างการเรียนนะครับ
ก่อนหน้านี้เราเรียนด้วยวิธีดูหนังกัน ต่อไปอาจจะเรียนด้วยเพลง
หรือหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อให้การเรียนรู้ทั้งสนุก ทั้งได้ประโยชน์
แล้วก็เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างครูกับลูกศิษย์ให้สนิทสนมกันมากขึ้น”
เด็กสาวสาบานว่าเห็นคิ้วหนาเข้มของเหมภาสกระตุกยิก
หน้าเขาเปลี่ยนจากสีคล้ำเป็นเข้มขึ้น “ดีเหมือนกัน
ต่อจากนี้ไปเวลาจะเรียนให้ไปเรียนที่บ้านใหญ่ หรือจะให้ดีไปเรียนที่สำนักงานเลยก็ได้
ผมติดกระจกสี่ด้านไว้ให้แล้ว อยากทำอะไรกันก็ตามสบาย”
“ทำไมล่ะคะคุณเหม”
อธิกานต์ยังไม่เข้าใจ ปกติเขาชอบให้ใครไปวุ่นวายที่บ้านเมื่อไร
นี่จะให้เอาคนนอกเข้าไป
“อายุเท่าไหร่แล้วอธิกานต์”
คนฟังอึ้งเพราะเหมภาสไม่เคยเอ่ยชื่อจริง คราวนี้เขาคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน “เรียนจะจบม.ปลายแล้ว
ให้มาอยู่ในบ้านกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้สองต่อสอง อยากเป็นขี้ปากชาวบ้านนักหรือไง
ไม่อายตัวเองก็อายแทนพ่อเสียบ้าง เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าพ่อฉันเลี้ยงคนไม่เป็น”
“ต้องพูดกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
เสียงตรีจักรนิ่ง ไร้แววขี้เล่นในดวงตา “ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ
ผมกับอธิกานต์รู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร อธิกานต์ให้เกียรติตัวเอง
ผมก็ให้เกียรติเขาในฐานะลูกศิษย์ แต่ถ้าคนอื่นมาคิดชั่วกับเรา ผมจะรับผิดชอบเอง”
“รับผิดชอบ?
ยังไง”
คุณครูหนุ่มฉีกยิ้มหวาน
“ต้องแล้วแต่ว่าไอ้ที่...ชั่ว นี่คืออะไร
ถ้าเขาคิดแบบผู้ชายทำอะไรผู้หญิงเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
ผมก็จะรับผิดชอบตามความคิดเขา ส่วนเรื่องประวัติคุณเหมภาสไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผม
ครั้งหน้าผมจะทำประวัติตั้งแต่คุณทวดผมมาให้” แล้วเขาก็หันมาหาลูกศิษย์ตัวเอง
ยกมือขึ้นลูบหัว “วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ
เดี๋ยวครั้งหน้าครูจะเอาหนังเรื่องใหม่มาให้ ไว้เรามาดูด้วยกันอีกนะ”
“ค่ะครู”
อธิกานต์รับคำ ยกมือไหว้ลาคนที่เดินกลับเข้าไปหยิบกระเป๋า
ก่อนกลับยังไม่วายจ้องตา
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งยิ้ม อีกฝ่ายกลับบึ้งตึงเต็มไปด้วยอารมณ์ “ครั้งหน้าไปสอนพิเศษที่บ้านใหญ่
ไม่ต้องมาที่นี่อีก ผมจะต้อนรับคุณเอง อย่าลืมประวัติด้วยล่ะ เผื่อของหายจะได้ตามถูกตระกูล”
“แน่นอนครับ
แต่เรื่องของหายคงไม่ต้องห่วง ตระกูลผมค่อนข้างรวย คุณเหมภาสห่วงคนหายน่าจะดีกว่า
ลานะครับ” แล้วร่างสูงขาวก็เดินผ่านหน้าออกจากบ้านไป
เหมภาสมองตามด้วยอาการหลากหลาย มือหนาใหญ่กำแน่นจนสั่น ริมฝีปากเม้มสนิท
ดวงตาวาวโรจน์ก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็กกว่า
“อยากเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงไหม
เดี๋ยวจะหาครูคนใหม่ให้!”
ลงฉลองวันเกิดค่ะ
มาเสิร์ฟกันแต่เช้า เพิ่งลงอิมเมจพระนางมาให้ ใจจริงนึกพระเอกไม่ออกว่าควรเป็นใคร
แต่จากลักษณะคงประมาณเวียร์ แต่ภาพในหัวคุณเหมจะดูเถื่อนกว่านั้นอีก 555 ส่วนนางเอกนี่หนูโบว์
เมลดา เป็นต้นแบบแรงบันดาลใจให้เขียนหนูอ้อนเลยทีเดียว
เพิ่งเคยเขียนแบบนี้ก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน
หลังจากหายไปเป็นปีกลับมาคอมเม้นท์หดไปเพียบเลย
ยังไงวันนี้ขอกำลังใจฉลองวันเกิดหน่อยนะคะ ใครชอบ ไม่ชอบยังไงขอเสียงหน่อยค่ะ
คนเขียนจะได้มีกำลังใจเนอะ ^^
ความคิดเห็น