ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรานราตรี (สำนักพิมพ์มายดรีม)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 56


    บทที่ ๒

              รัตติกรยังจำกลิ่นนั้นได้ติดปลายจมูก ไม่ผิดไปจากที่ชายปริศนาคนนั้นว่านัก หล่อนจำกลิ่นของเขาได้อย่างดีแม้แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ตามที ตลอดเวลาที่ทำงานแบบนี้มา หล่อนเจอผู้ก่อกวนมาหลายแบบ บ้างเป็นวิญญาณเร่ร่อน บ้างเป็นภูติพราย บางครั้งเป็นพวกจิตที่หลุดออกจากร่าง แต่ผู้ก่อกวนเหล่านั้นรับมือได้ไม่อยากเท่า...บุรุษปริศนาคนนั้น เขาผิดแผกไม่เหมือนใคร จับต้องได้ราวกับมนุษย์ มีเลือดเนื้อและลมหายใจอันระอุร้อน มีกลิ่นกายพิเศษยิ่งกว่าใคร ถึงกระนั่นก็ยังมิใช่มนุษย์อยู่ดีนั่นเอง ภาพเขายังติดตาหากหล่อนไม่สามารถหาคำตอบในความเป็นชายคนนั้นได้เลย

                หญิงสาวตัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวก่อนจะก้าวเดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงรองพื้นพร้อมปัดแป้งบางเบา การแต่งหน้าของหล่อนมีเท่านี้และพร้อมที่จะออกเดินทางไปทำงานในทันที เรื่องงานกลางคืนของหล่อนต้องละ วางเอาไว้ค่อยกลับมาคิดเมือถึงเวลา ร่างแบบบางระหงเปิดประตูห้องออกไปทิ้งความสงสัยอยู่ในห้องนั่นเอง

                วันนี้ควรเป็นเช่นทุกวันที่ผ่านมา คือเมื่อถึงที่ทำงานหล่อนก็ควรได้พบกับเสียงใส ๆ ที่บีบให้เล็กด้วยความพยายามอันมหาศาลของกีรติร้องทักทาย หากแปลกที่วันนี้จนแม้เข้ามาด้านในแล้วเสียงนั้นก็ยังเงียบ ด้านหน้าบริษัทเหมือนลานโล่ง ๆ เท่านั้น หญิงสาววางกระเป๋าบนโต๊ะทันได้ยินเสียงคุยกันสนุกสนานดังออกมาจากอีกห้องหนึ่ง หล่อนเดินตรงเข้าไปทั้งที่ไม่แน่ใจ...ห้องแต่งตัวนั่นน่ะหรือที่เรียกคนในสำนักพิมพ์ของหล่อนไปรวมกันเอาไว้ โดยเฉพาะเสียงของบรรณาธิการหนุ่มที่ดังแทรกขึ้นมายิ่งกว่าใคร มือบางบิดลูกบิดให้เปิดออก

                วินาทีนั้นบางอย่างตรึงหล่อนเอาไว้แค่ตรงหน้าประตู ขาไม่มีแรงก้าวเข้าไปด้านใน บางอย่างที่กระจายแล้วพุ่งตรงเข้าหาปลายจมูก กลิ่นหอมร้อนแรงที่หล่อนคุ้นเคย กลิ่นเย้ายวนที่ชวนให้ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน กลิ่นนี้หล่อนจำได้...แต่ใคร หรืออะไรที่นำมันเข้ามาด้านใน

                “คุณนายมาแล้วเหรอ รีบเข้ามาสิมานี่เร็ว” กีรติหันมาเห็นหล่อนเข้ามาพอดี รัตติกรไม่ได้แข็งขืนในยามที่ร่างนั้นเดินเข้ามาจับข้อแขนเล็ก ๆ ดึงร่างให้ฝ่าฝูงคนเข้าไป เสียงดัดแหลมตวาดไล่ “ยายพวกนี้ก็ไปทำงานเสียทีเถอะย่ะ ประเดี๋ยวฉันก็หักเงินเดือนเสียให้หมด พวกหล่อนมองมาก ๆ คุณจีของฉันก็จืดพอดี”

                บางคนอาจทำท่าไม่พอใจ แต่ไม่เคยมีใครกล้าขัดใจบรรณาธิการผู้นี้ ฉะนั้นในเวลาเพียงไม่นานรัตติกรจึงเดินฝ่าเข้ามาจนแลเห็นสาเหตุแห่งความวุ่นวายนั้นได้ชัดเจน สำคัญคือ...กลิ่นนั้นยิ่งรุนแรงอย่างชัดเจน แผ่นหลังกว้างของผู้ชายในชุดขาวที่นั่งหันหลังอยู่เบื้องหน้านี้กระตุกหัวใจและความคิดของหล่อน เขาคับคล้าย ผมดกดำรองทรง ต้นคอใหญ่ขาวละเอียด หัวใจของหล่อนเต้นระทึกอย่างที่ไม่ได้เป็นมาแสนนาน

                “เอาล่ะคุณนายเดือน นี่ไงนายแบบที่พี่ว่าจะมาถ่ายกับเรา คุณจีจ้ะ” สิ้นเสียงแนะนำของคนข้างกาย ชายคนนั้นก็หันมามองหล่อนเต็มสายตา ดวงตาคมกริบ ริมฝีปากแดง โครงหน้าเขาประพิมพ์ประพายชายปริศนาคนนั้น กระทั่งกลิ่นที่หอมอย่างรุนแรงของเขาก็ยังเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกัน เพียงประกายในดวงตาที่เคยระริกไหวอย่างแสนเจ้าเล่ห์ กลายเป็นดวงตาอันซื่อตรง เงียบและสงบยิ่ง

                ทุกอย่างล้วนตอกย้ำแม้ในเวลาที่ร่างนั้นยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงที่ก็...ใกล้เคียงกับชายคนนั้น ชั่วครู่หนึ่งรัตติกรเกือบจะแน่ใจอยู่แล้วว่าเขาคือคนเดียวกัน ถ้าไม่ใช่น้ำเสียงอันสุภาพกับแววตาที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย มือเขาสะอ้าน ยื่นมาตรงหน้าขณะที่เจ้าตัวยิ้มแย้มทักทาย

                “คุณตี้เพิ่งพูดให้ฟังว่าคุณเดือนเป็นตากล้องที่ถ่ายรูปสวยมาก ผมจิรัฐครับ จะเรียกจีก็ได้ ยินที่อย่างยิ่งที่ได้รู้จักครับ” คำพูดแสนสุภาพกับท่าทางราวกับหลุดออกมาจากนวนิยายนี่คืออะไรกันหนอ หล่อนลังเลกระทั่งจะยื่นมือไปจับกับเขาตามมารยาท จนกระทั่งกีรติต้องเอาศอกกระทุ้งเบา ๆ

                “ขอเรียกคุณจีตามพี่ตี้ก็แล้วกันนะคะ ไม่ทราบ...เราเคยพบกันหรือเปล่า” ทั้งที่เก็บอารมณ์เรียบร้อยแล้วก็ยังอดถามมิได้ คนฟังหัวเราะจนประกายในดวงตาของเขาไหวระริก กลิ่นหอมของเขายังกรุ่นอยู่ใต้จมูก ความเหมือนความต่างแย่งชิงพื้นที่ในความคิดของรัตติกร

                “อาจเคยพบกันก็ได้ครับ แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าผมเคยเจอคุณเดือนมาก่อนคงไม่มีทางลืมแน่นอน ก็คุณเดือนสวยเสียขนาดนี้” เขาอาจจะชมอย่างจริงใจ หรือเพียงชมตามมารยาทหล่อนก็ไม่แน่ใจ แต่หญิงสาวตัดสินใจในวินาทีนั้นเองว่าชายคนนี้มิใช่คนเดียวกันชายคนเมื่อคืน ในความเหมือนด้านรูปลักษณ์หากนิสัยลึกซึ้งภายในของเขานั้นแตกต่างราวกับอยู่คนละโลก

                “คุณจีมีพี่น้องบ้างหรือเปล่าคะ”

                จิรัฐไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ของหล่อน เพราะกีรติก้มลงมองนาฬิกาแล้วก็ร้องเสียงหลงเร่งให้เขาแต่งตัวขณะที่รัตติกรต้องรีบไปเตรียมกล้อง การสนทนาของหญิงสาวกับชายหนุ่มผู้นั้นจึงยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ตลอดการทำงานบุรุษผู้นี้ยิ่งสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน เขาว่าง่าย สุภาพ ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทุกคนเสมอ หญิงสาวนึกภาพผู้ชายคนนี้ทำท่ากรุ่มกริ่มลวนลามคนอื่นอย่างน่าไม่อายแทบไม่ออก

                “คุณจีพักทานน้ำก่อนไหมคะ” เสียงกีรติที่กระวีกระวาดเอาน้ำเย็นมาให้เขาถึงที่ทำให้หลายคนแอบยิ้ม เขาถ้าอยู่แต่ในกล้องที่ไร้เสียง เขาสองคนก็ไม่ต่างอะไรกับนายแบบชั้นดีสองคน รูปร่างสูงโปร่งมิผิดแผกกัน อีกฝ่ายก็ยิ้มรับและขอบคุณ

                “ขอบคุณคุณตี้มากครับ”

                “แหม มากกว่านี้ก็ทำให้ได้ค่ะ คุณจีนี่เก่งจังนะคะรู้มุมหล่อของตัวเอง ถ่ายออกมาดูดีทุกรูปเลย” คนชมแทบละลาย

                “ไม่หรอกครับ ต้องชมคนถ่ายด้วย ถ้าฝีมือคุณเดือนไม่ได้ดีก็คงถ่ายออกมาไม่สวย” เขาหันมามองแล้วยิ้มให้ รัตติกรทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ไม่เชิงจะบึ้งก็ไม่ใช่ มันเป็นอารมณ์อย่างที่หล่อนไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายหัวใจมันรุม ๆ ด้วยความสงสัยและอะไรอีกอย่างที่บอกไม่ถูก

                กีรติเดินไปส่งน้ำเสร็จก็วกกลับมาหาลูกน้องของตัวเองที่กำลังก้มหน้าดูภาพครึ่งแรกที่ถ่ายเสร็จ ขณะนั้นนายแบบกำลังกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาถ่ายเซตที่สอง

                “เขาหล่อเนอะ” คนเป็นบรรณาธิการกระซิบเสียงกระเส่า เหยียดตัวนั่งที่เก้าอี้เล็ก ๆ ทำท่าทางเคลิบเคลิ้มเต็มประดา “คนอะไรหล่ออย่างกับไม่ใช่คน พี่ไปเจอเขามาจากนิตยสารเล่มหนึ่งเมื่อเดือนก่อน หล่อลากเชียวล่ะเลยลองติดต่อดู มีแต่คนบอกว่าเขาเข้าถึงยากมาก ไม่ค่อยยอมถ่ายกับที่ไหนด้วย แต่พอพี่บอกว่าพี่มาจากสตรีสยามเขาก็ตกปากรับคำเอาง่าย ๆ เลยล่ะ เสียดายถ้าเขาขยันออกงานคงดังมาก”

                “ท่าทางเขารวยอยู่แล้ว คงไม่เดือนร้อนเรื่องเงินหรอกค่ะ แม่พวกสาว ๆ ข้างนอกบอกว่าเขาขับรถราคาตั้งเป็นสิบล้าน เหมือนพวกคนรวยที่ไม่มีอะไรจะทำกระมังคะ หางานทำแก้เซ็ง ถ้าเขาไม่เซ็งก็ไม่ทำ” คนที่ยืนวุ่นอยู่กับกล้องตอบยิ้ม ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหนา

                “หล่อ รวย ท่าทางไม่โง่ด้วย เหลือแต่จะโสดไหมเท่านั้น”

                “ลองถามเขาดูสิคะ” รัตติกรวางมือจากงานที่ตนมั่นใจ แล้วหันไปดูการจัดแสงอื่น ๆ รอบกาย หญิงสาวทำงานคล่องแคล่ว ว่องไวขัดกับภาพลักษณ์อันอ่อนหวานเรียบร้อยนั้นยิ่งกว่าอะไร ทั้งที่ไม่เคยเชื่อเลยสักครั้งว่าตัวเองสวย ผิวของหล่อนเป็นสีน้ำผึ้งมากกว่าจะเป็นสีขาวอย่างสมัยนิยม แต่หลายคนกลับชื่นชมผิวสีน้ำผึ้งของหล่อนเหลือเกิน ผิวที่สวยได้โดยไม่ต้องอาบแดด ขนตาที่งอนได้โดยแทบไม่ต้องดัด

                หญิงสาวหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้นเมื่อนายแบบปรากฏตัว เขาสวมเสื้อสูทอย่างดีทำให้ดูสุขุม คมเข้มมากขึ้น ประกายในดวงตาคู่นั้นสนุกนานรื่นเริง ราวกับผู้ชายที่หลุดออกมาจากภาพวาด กีรติคงอึ้งไปเหมือนกัน จนกระทั่งได้สติก็ลุกพรวดเข้าไปดู ชมไม่ขาดปาก แล้วก็คล้ายนึกอะไรได้บางอย่าง

                “จริงสิคะคุณจี เดือนเขาฝากมาถามว่าคุณจีมีแฟนหรือยัง”

    เท่านั้นเองที่ทำให้คนที่ยืนดูงานของตัวเองชะงักไป หันมองนิ่ง ๆ จิรัฐยิ้มหวานทำท่าราวกับกำลังกลั้นหัวเราะก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบนั้น คนถามดีใจเต็มกำลัง แอบกรี๊ดเบา ๆ แต่คนโดนอ้างชื่อกลับวางหน้าตัวเองไม่ถูก เพราะชายคนนั้นยังมองหล่อนไม่วางตา นี่เขาจะคิดอย่างไรหนอที่มีผู้หญิงใจกล้าไปถามเรื่องแฟนแบบนั้น เลยต้องหันมาดุเจ้านายตัวเอง

    “ไม่งามเลยค่ะ เขาจะมองเดือนยังไงคะ เป็นผู้หญิงแท้ ๆ ไปถามผู้ชายก่อนแบบนั้น”

    กีรติจ้องหน้าหล่อนราวกับโลกจะแตก “แม่คุณ...นี่มันยุคไหนแล้วเจ้าคะ ผู้ชายผู้หญิงเขาเท่าเทียมกันแล้วค่ะ จะผู้ชายจีบผู้หญิงหรือผู้หญิงจีบผู้ชายมันก็มีค่าเท่ากัน แถมผู้ชายยังหายากอย่างกะอะไรดี ยิ่งแบบคุณจีด้วยแล้วลืมเลยค่ะคุณนาย ต้องรีบจีบรีบจับ เดี๋ยวชะนีนางอื่นขโมยไปเสียดายตายชัก ไอ้ความคิดผู้หญิงต้องรอผู้ชายมาทอดสะพานเขียนเพลงยาวจีบก่อนนี่พับเก็บลงกรุได้แล้ว”

    คนเป็นบรรณาธิการร่ายแล้วก็ลุกขึ้นไปดูงานด้านอื่นต่อ ทิ้งให้รัตติกรจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ว่าผู้หญิงสมัยนี้มองเห็นว่าการจีบผู้ชายก่อนเป็นเรื่องดีงามไปแล้วอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เมื่อก่อนหล่อนยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพที่มารดานั่งสอนเรื่องความเหมาะสม โลกหมุนเปลี่ยนเวียนความเชื่อไปตามสมัยนิยม บางเรื่องหล่อนก็ว่าเรารับเอาฝรั่งมามากจนเลือนความดีงามในความเป็นเราลงไป ความงดงามในความเป็นเราถูกมองเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้ว หล่อนยังนึกไม่ออกแม้ในเวลาที่ล่วงผ่านมาจนเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดว่าผู้ชายดี ๆ คนหนึ่งจะเห็นค่าของสิ่งที่เขาได้มาอย่างง่ายดาย ง่ายขนาดที่ไม่แม้แต่จะต้องเอื้อมเอามือคว้า ของสิ่งนั้นก็ยินดีจะลอยมาวางบนมือได้อย่างไร

    อะไรได้มาง่าย...มักไปง่ายเสมอ

    และเมื่อเงยหน้าขึ้นหล่อนก็แลเห็นใบหน้าคมนั้นในระยะใกล้กว่าที่ควรจะเป็น เขายิ้มและบอกอย่างสุภาพ “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณเดือนไม่ได้เป็นคนถาม” แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ขอผมดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปได้ไหมครับ”

    เขาไม่ได้รอให้อนุญาต หากยื่นหน้าเข้ามามองในคราวเดียว ชนิดที่เจ้าของกล้องยังไม่ได้ทันได้ขยับหลบ รัตติกรผงะขยับตัวหลบในวินาทีนั้นเลยไม่ทันได้มองว่าข้างหลังที่ยืนอยู่เป็นสายไฟที่วางเกะกะเอาไว้ กับเก้าอี้ที่สำหรับนั่งรอ ร่างแบบนั้นสะดุดสายไฟไปชนเข้ากับเก้าอี้ หล่อนอุทานสั้น ๆ ได้คำเดียวก่อนจะร่วงลงไป มือหนาข้างหนึ่งจึงเอื้อมคว้าแล้วกระชากร่างของหล่อนกลับเข้ามาในอ้อมแขนท่ามกลางเสียงวี้ดว้ายของทีมงาน

    ยิ่งเมื่ออยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างนี้ความทรงจำเมื่อคืนก็ยิ่งย้อนกลับมาราวกับภาพซ้อนทับ และอีกครั้งที่ผิวแก้มหล่อนมันร้อนจนเจ้าของยังสะท้าน หากเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มปล่อยตัวหล่อนแทบจะในทันทีที่ยืนอยู่อย่างมั่นคง เสียงถามของเขาห่วงใยอย่างจริงใจ

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ขอโทษ...เพราะผมแท้ ๆ ที่ทำให้คุณเดือนตกใจ”

    หล่อนส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ตกใจไม่เข้าเรื่อง เชิญดูรูปต่อเถอะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอาไว้ถ้าไม่อย่างนั้นคงเจ็บตัว” คำขอบคุณนั้นแสนสุภาพ เรียบง่ายก่อนเจ้าตัวจะก้าวถอยออกมาให้เขาได้ดูรูปอย่างที่เขาต้องการ ตลอดเวลาที่ผ่านมารัตติกรไม่เคยยอมให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้มากขนาดนี้มาก่อน กีรติเองก็ยังไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวหล่อนได้มากมายเท่าผู้ชายคนเมื่อคืนหรือจิรัฐในเวลานี้

    หญิงสาวเดินเลี่ยงออกมาเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าแก้มหล่อนร้อนแค่ไหน หัวใจเต้นแรงเท่าใด หรือหน้าแต้มสีแดงบ้างหรือเปล่า เกิดมาก็นานอยู่มาก็มาก มาตกม้าตายเอาตอนนี้ถูกตัวผู้ชายนี่เอง คนนึกทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจตัวเอง ผู้ชายคนเดียว...หล่อนจะอะไรนักหนา

    “เดือน เมื่อครู่เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงกีรติอาทรห่วงใย คนฟังส่ายหน้า

    “เปล่าค่ะ โชคดีที่คุณจีเธอช่วยเอาไว้”

    “ทำไมล้มอย่างนั้นล่ะ สะดุดสายไฟใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะดุพวกช่างไฟให้ ทำระเกะระกะ” สีหน้าคนพูดจริงจังเสียจนหล่อนต้องเอามือรั้งแขนเอาไว้ หญิงสาวยิ้มแล้วส่ายหน้า

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ ทุกทีมันก็วางอย่างนั้น พอดีวันนี้เดือนตกใจเลยถอยหลังไปชนมันเอง” หล่อนแก้ตัวให้เพราะไม่อยากให้โดนดุกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    “เดือนไปตกใจเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าตกใจเรื่องที่คุณจีไปขอดูรูป”

    “เปล่าค่ะ เดือนแค่ตกใจตอนเขาเข้ามาใกล้ ๆ เท่านั้นเอง”

    “ทำเป็นผู้หญิงโบราณไปได้ ผู้ชายเข้าใกล้แล้วจะเสียผี” คนพูดหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกไป ก่อนจะเดินแยกออกไปดูงานด้านอื่นต่อ และกว่าที่หญิงสาวจะตั้งสติเอาความมั่นใจของตัวเองกลับมาได้ก็นานพอดู หล่อนกลับเข้าไปด้านในที่เตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มงานอีกครั้ง และไม่รู้ว่าคิดเองหรือเปล่าที่ว่ากลิ่นหอมของเขามันติดอยู่กับกล้องที่เขามายืนดูเมื่อครู่...

    งานช่วงครึ่งหลังผ่านไปได้อย่างราบรื่น จนเมื่องานเสร็จก็พอดีกับเวลาทานอาหารกลางวัน กีรติที่นั่งตรวจต้นฉบับอยู่ในห้องทำงานวานให้คนมาชวนจิรัฐไปร่วมทานข้าวด้วยกันที่ห้องประชุม แต่ปรากฏว่าตอนที่ไปถึงมีเพียงแค่หล่อนกับนายแบบหนุ่มแค่สองคน เพราะบางส่วนแยกออกไปทานข้างนอก ข้างในจึงมีแค่รัตติกร จิรัฐแล้วก็กีรติที่ยังทำงานไม่เสร็จเท่านั้นเอง คนมาก่อนเลยต้องนั่งรอให้บรรณาธิการบริหารทำงานของตัวเองเสร็จเสียก่อน

    ความเงียบในห้องนั้นน่าอึดอัด รัตติกรพยายามทำลายความเงียบด้วยคำถามง่าย ๆ “คุณจียังไม่ได้ตอบเลยนะคะ ว่าตกลงคุณจีมีพี่น้องหรือเปล่า”

    ชายหนุ่มเดินเข้ามาขยับเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ กับหล่อนแล้วหย่อยกายลงนั่ง “ไม่มีหรอกครับ หรือที่คุณว่าเราเคยเจอกันมาก่อนเพราะแบบนี้ ทำไมหรือครับ เคยเจอคนที่หน้าเหมือนผมหรือครับ” ประกายในดวงตาของเขาสงสัยใคร่รู้

    “ก็...คล้าย ๆ แบบนั้นค่ะ เพียงแต่เขาไม่เหมือนคุณจีเท่าไหร่ อย่าใส่ใจเลยค่ะ”

    “ไม่เหมือนตรงไหนหรือครับ” ท่าทางเขาสนใจจริงจัง รัตติกรหลบสายตาใคร่รู้นั้นมาได้ หล่อนตอบกลับอย่างเรียบง่ายที่สุด

    “ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจ” หล่อนคิดว่านี่เป็นการตัดบทที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวหล่อนเองจะทำได้แล้ว หากไม่นึกว่าวิธีนี้กลับเป็นการสร้างบทสนทนาอย่างใหม่ขึ้นมา  บทสนทนาที่ไม่ได้ทันได้รู้ว่าร่างสูงนั้นขยับเก้าอี้เข้ามาชิด กว่าหล่อนจะไหวตัวก็เมื่อกลิ่นลมหายใจหอม ๆ นั้นมารดอยู่ที่ต้นคอแล้วนั่นเอง หญิงผงะหันไปแล้วก็ชะงัก แววตาของจิรัฐวูบไหวแล้วเปลี่ยนไปคล้ายมีประกายกล้าบางอย่างปะทุขึ้นกลางดวงตาคู่นั้น รอยยักยิ้มมุมปากชวนให้ขนลุก

    “ทำไมหรือ ผมในตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันยังไง” เขาทวงถาม ไม่ยอมขยับไปไหน

    “ไม่ค่ะคือ...เอ๊ะ!” คล้ายนึกบางอย่างออกจากคำพูดนั้น ชายหนุ่มแสนสุภาพของหล่อนหัวเราะขันอย่างอารมณ์ดี

    “ผมเคยบอกคุณแล้วว่าคุณจะจำหน้าผมไม่ได้ แต่ควรจะจำกลิ่นผมเอาไว้ เพราะกลิ่นเป็นรูปแบบเฉพาะตัวที่เลียนแบบกันไม่ได้ ต่อให้เป็นพี่น้องหรือว่าพ่อแม่กันก็ใช่ว่าจะมีกลิ่นที่เหมือนกัน คุณโดนภาพลักษณ์ภายนอกหลอกเอาได้ง่าย ๆ” ท่าทางของเขาเหมือนเยาะหยัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ารัตติกรจะเข้าใจได้ในทันที

    “คุณจี...ก็ไหน?” คำถามนั้นรัตติกรตอบได้ด้วยตัวของหล่อนเอง เขา...กับเขาเป็นคน ๆ เดียวกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เหมือนหรือคล้ายอย่างที่พยายามนึก หากเขาสร้างภาพหลอกใครต่อใครว่าตัวเขาเป็นอย่างไร มโนภาพของจิรัฐที่แสนดีคนนั้นมลายไปพร้อมอาการขนลุกขนชัน โธ่...หล่อนไม่เคยเห็นใครหลอกคนอื่นได้แนบเนียนเท่านี้

    “คุณรู้แล้ว เอาล่ะคราวนี้คงไม่ลืมอีกใช่ไหมว่าผมเป็นใคร”

    “ช่วยกรุณาบอกด้วยว่าจิรัฐใช่ชื่อจริงของคุณหรือเปล่า หรือกระทั่งชื่อคุณก็ต้องสร้างขึ้นมาหลอกคนอื่น” สายตาหล่อนท้าทาย ทั้งเสียหน้าและเสียความรู้สึกชื่นชมในผู้ชายที่ชื่อจิรัฐคนนั้นไป แต่ดูท่าคนที่ทำให้ผิดหวังจะไม่ได้รู้สึกอะไรนักหนา

    “ชื่อจีนั่นผมตั้งเพราะมนุษย์คิดว่าการมีชื่อเล่นเป็นเรื่องที่ควรทำ ทั้งที่เราก็มีชื่อจริงของเราอยู่แล้ว มีชื่อทีละสองชื่อทำไมถ้าชื่อจริงมันเรียกไม่สนิทปากก็มีแต่ชื่อเล่นเท่านั้นก็พอ...ผมก็เลยต้องเอาชื่อต้นตัวเองมาตั้งเท่านั้น จี ฟังดูดีไม่หยอกมิใช่หรือ ส่วนชื่อจริง ๆ คือจิรัฐ นามสกุลอัมรา ผมว่าคุณรู้ความหมายดี” ดวงตาเขาแพรวพราว เสมือนแปลงร่างกลับไปเป็นคนเมื่อคืน มือข้างหนึ่งเท้าโต๊ะเอาไว้เพราะใช้เป็นหลักยึดระหว่างที่โน้มท่อนบนลงมาจนเกือบชิดคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

    ใช่...จิรัฐ อัมรา ชื่อกับนามสกุลของเขาบ่งบอกอะไรได้ดีเหลือเกิน

    “อ้าว คุยอะไรกันคะ ขอโทษนะคะที่ต้องให้รอ ตรวจงานเพลินไปหน่อย” เสียงกีรติแทรกเข้ามาก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่เข้ามาเสียอีก วูบเดียวเท่านั้นที่ร่างของชายหนุ่มออกห่างจากรัตติกรแล้วกลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเอง วูบเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนผู้ชายร้อยเล่ห์ให้กลายเป็นสุภาพบุรุษแสนอ่อนโยน ไม่รู้เพราะอะไรรัตติกรถึงนึกกลัวความเปลี่ยนแปลงของเขาขึ้นมาอยู่ครามครัน

    จิรัฐหันกลับไปยิ้ม ตอบอย่างสุภาพด้วยเสียงนุ่มชวนให้คนรู้ความจริงขนลุก

    “เราคุยกันเรื่องนามสกุลของผมอยู่น่ะครับ ให้คุณเดือนเธอทายว่าชื่อกับนามสกุลของผมแปลว่าอะไร” แล้วยังมีหน้าหันมายิ้มให้หล่อนเสียอีก “ใช่ไหมครับคุณเดือน”

    หล่อนไม่ทันต้องตอบ กีรติก็แล่นมานั่งข้าง ๆ นายแบบหนุ่มเสียแล้ว “เอ...ชื่อจริงคุณจี คือจิรัฐใช่ไหมคะ นามกุลสั้น ๆ ขอโทษนะคะพี่จำไม่ได้จริง ๆ”

    “อมราครับ จิรัฐ อมรา ลองถามคุณเดือนสิครับว่าแปลว่าอะไร ความหมายมันค่อนข้างจะเข้ากับผมทีเดียว” ประกายในดวงตาของเขาท้าทายยามที่หันมามองแล้วจ้องราวกับบังคับให้หล่อนแปลความหมายนั้น รัตติกรเมินหน้าออกไปทางอื่นแล้วก็ยอมแปลแต่โดยดี

    “จิรัฐแปลว่าตลอดกาลหรือนิรันดร ส่วนอมรา...” หล่อนเว้นช่วง สบตาเขานิ่งก่อนจะสรรหาความหมายที่เหมาะสม “อมราแปลว่าเทวดาค่ะ แปลรวม ๆ คงหมายถึงเทวดาผู้เป็นนิรันดรกระมังคะ” แล้วหล่อนก็สะบัดหน้าไปเสียอีกทาง ขณะที่ได้ยินเสียงเจ้าของชื่อหัวเราะเบา ๆ

    ใช่...จิรัฐ แปลว่าตลอดกาลหรือนิรันดร หากอมราคำนี้แท้จริงความหมายคือผู้ไม่ตาย จะแปลว่าเทวดา หรือ ภูติ ผี ปีศาจ ซาตานสิ่งใดก็ย่อมได้!

    หากกีรติตบมือเปะ “เหมาะจริงด้วยค่ะ เทวดาจริง ๆ ด้วย เอาล่ะแต่เทวดาคุณจีคงไม่อิ่มทิพย์นะคะ เพราะมีแม่นางไม้รัตติกรนี่ชอบอิ่มทิพย์ไปคนหนึ่งแล้ว กินข้าวอย่างกับแมวดม วันนี้พี่สั่งอาหารมาเยอะเลย ช่วยกันกินนะคะ” เสียงคนพูดรื่นเริง คนสองหน้าของหล่อนก็รับคำตามน้ำอย่างลื่นไหล

    คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนางไม้นั่งลูบแขนตัวเอง...ขนหล่อนลุกชันเพราะความสองหน้าของเขานั่นเอง

     

    กว่างานจะเสร็จรัตติกรก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกอย่างจะหนีหน้าผู้ชายคนนั้นอยู่เนือง ๆ พอถ่ายเสร็จหล่อนก็เอางานกลับมาทำที่บ้าน เพราะกีรติทำท่าจะชวนผู้ชายคนนั้นอยู่คุยกันต่อที่ทำงาน หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองคงทนไม่ได้นานนักเลยแจ้นกลับมาที่บ้านเสียก่อน พอเอางานวางกองตรงหน้าเริ่มทำสติก็เริ่มกลับมาจากความฟุ้งซ่าน กว่าหล่อนจะจัดการเรียงแล้วก็คัดรูปที่ถ่ายมาวันนี้ทั้งหมดเสร็จแสงก็ลาหายจากท้องฟ้าเสียแล้ว และต้องยอมรับความจริงอีกหนึ่งประการคือผู้ชายคนนั้นเหมาะกับการเป็นนายแบบอย่างยิ่ง ทั้งโครงหน้าและรูปร่างของเขามันโดดเด่นไม่เสียหมด หากพอหักลบตบหนี้กับนิสัยแล้วก็ยังต้องขอบอกลาอยู่ดี

    ก่อนที่งานหลักยาวราตรีของหล่อนจะเริ่ม รัตติกรต้องพยายามอย่างมากที่จะดึงความเยือกเย็นสุขุมของตัวเองกลับมาอีกครั้ง ตลอดเวลา...ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้ผู้หญิงเยือกเย็นเช่นรัตติกรคนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าผู้ชายที่ชื่อจิรัฐมาก่อน ในอดีต...อาจเคยมีบ้างที่หัวใจไปหวั่นไหวกับใครบางคน คนที่อาจพิเศษยิ่งกว่าใครทั้งหมด แต่คนเหล่านั้นไม่ว่ากี่รายต่อกี่รายลงท้ายหัวใจต้องบอกปัดอยู่เรื่อยไป เพราะตัวหล่อนนั่นเองที่ ไม่เหมือนใครถ้ารักแล้วต้องพรากจาก รัตติกรไม่รู้หัวใจที่ตายด้านดวงนี้จะทนรับได้อีกไหม

    หล่อนเห็นมาตลอด ตั้งแต่หล่อนเริ่มไม่เหมือนคนอื่น ความยืนยงทำให้ต้องทนมองดวงใจล้มหาย ถูกพระยมท่านเอื้อมหัตถ์คว้าหลุดลอยไปทีละดวง ทีละดวงอย่างเยือกเย็นและโหดร้าย จนวันหนึ่งหญิงสาวก็ตระหนักได้ว่า การไม่รักนั้นดีที่สุด...

    แล้วคำถามเดิมก็ย้อนกลับมา “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอที่หล่อนไม่เหมือนคนอื่น?”

     

    ถนนเส้นนั้นเป็นทางเดินดินเรียบ ๆ สองข้างคือแนวต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้ให้ร่มเงา พื้นนั้นแฉะเพราะฝนเพิ่งหยุดตกไป มีแอ่งน้ำเป็นย่อมเล็ก ๆ กระจัดกระจาย ร่างแบบบางในชุดสไบสีส้มนวลจับชายผ้าก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินนั้น ผมยาวสีดำสนิทสะบัดไปตามแรงก้าวของเจ้าของ ขณะที่ผู้ติดตามในชุดคล้ายกันหากสไบนั้นสีน้ำตาลหม่นอันเป็นเครื่องบอกฐานะประการหนึ่ง หล่อนไม่ได้สนใจตะกร้าสานที่ตัวเองถือเอาไว้ หากมุ่งหน้าเข้าหาบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เบื้องหน้า หน้าบันไดเรือนสตรีที่นั่งเฝ้าตักน้ำล้างเท้าให้ไม่ทันเช็ดให้แห้งเจ้าหล่อนก็ก้าวพรวดขึ้นไปด้วยอาการร้อนรน มือบางผลักประตูเข้าไป

                “เดือน...เบา ๆ ก่อนน้องเพิ่งจะหลับ” เสียงเตือนมาจากสตรีแก่วัยกว่าที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของเตียงนั้น เจ้าของชื่อสมรวมทั้งที่ใจร้อนรนเดินมานั่งที่อีกฝั่ง ดวงหน้าซีดเผือดของคนป่วยกรีดใจ มือเอื้อมจะจับยังไม่กล้า น้องสาวของหล่อนบอบบางเหลือเกิน บอบบางราวกับกลีบดอกไม้ที่แค่หนักมือไปคงช้ำสลายคามือนั่นเอง

                “เพิ่งถวายเพลเสร็จ พอคนไปตามลูกก็รีบกลับ หมอเขาว่าอย่างไรจ๊ะ”

                สีหน้าคนฟังหนักใจ “ไม่ดีขึ้นเลย เมื่อเช้าก็ยังดี อันใดไม่รู้ไข้ขึ้นมาอีกเสียได้ เล่นเอาแม่ใจแทบขาดทีเดียว นี่แม่ยังไม่ได้บอกพ่อ แม่ว่าพรุ่งนี้จะหาหมอที่ท้ายตลาดมาดู เขาว่าฤทธิ์มาก อย่างไรเผื่อน้องโดนผีเข้าอย่างเขาว่ากันจะหาย แม่รอไม่ไหวแล้วเดือนเอ้ย”

                บุตรสาวคนโตถลันลงมาจากเตียง รวบมือมารดาเอาไว้แนบแก้ม ยิ้มอย่างปลอบโยน “แม่อย่าเพิ่งใจร้อนไปก่อนเท่านั้นจ้ะ ขอให้เดือนได้คุยกับพ่อดูก่อน ถ้าอย่างไรเดือนจะให้พ่อขอร้องหาหมอหลวงในวังเขาออกมาดูจันทร์ให้ หมอหลวงเขามีสารพัดยา มันต้องมีสักตัวสิจ๊ะที่ช่วยได้ เดือนไม่ปล่อยให้จันทร์มันไม่เป็นอันใดไปดอกจ้ะ”

                ผู้เป็นแม่ดึงตัวบุตรสาวขึ้นมากอดไว้แนบอก ก่อนที่ออกไปดูบ่าวไพร่ข้างนอก คนเป็นพี่สาวถึงได้กลับขึ้นมานั่งดูน้องสาวของตัวเอง เดือนกับจันทร์ ชื่อนี้บิดาหล่อนตั้งให้พี่น้องคล้องกัน เพราะเกิดห่างกันเพียงหัวปีท้ายปีเท่านั้น ฉะนั้นสองพี่น้องจึงสนิทสนมกันมากมาแต่ไหนแต่ไร ผิดกันก็แต่ว่าฝ่ายน้องสาวนั้นอ่อนแอด้วยโรคประจำตัวมากมาย สามวันดีสี่วันไข้มาตั้งแต่เกิด บรรดาคนในบ้านรวมถึงตัวหล่อนเองถึงได้ทะนุถนอมนักหนา จันทร์เป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งบ้าน เป็นยอดดวงใจของพี่สาวด้วยเช่นกัน

                แล้วคนที่เพิ่งหลับก็ปรือตาลืมตื่นขึ้นมา จ้องพี่สาวตัวเองที่นั่งอยู่ข้างเตียง “พี่จ๋า...” เสียงหล่อนแห้ง ระโหยโรยแรงอย่างคนป่วยหนัก จะว่าไปแล้วถ้าไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ยากจะบอกว่าเป็นพี่น้อง หน้าตาเดือนนั้นไปประพิมพ์ประพายบิดา ผิวสีน้ำผึ้งเหลืองผุดผ่อง กิริยาคล่องแคล่วว่องไว ไหวพริบหัวคิดดีจนบางคราวช่วยปรึกษาราชการบิดาได้บ้างตามโอกาส ขณะที่จันทร์ถอดแบบมารดาออกมา และเพราะอาการป่วยจึงไม่ค่อยโดนแดดเท่าใด ผิวฝ่ายน้องสาวนั้นขาวผุดผ่อง กิริยาอาการเรียบร้อยอย่างแม่บ้านแม่เรือน หล่อนมักเงียบและก้มหน้าอยู่กับงานที่ตัวเองทำเหมือนมารดา ไม่ออกความคิดเห็นต่อเรื่องอะไรทั้งสิ้น

                “พี่อยู่ตรงนี้ หนาวไหม” คนป่วยหยักหน้ารับ พี่สาวก็ฉวยเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมทับผ้าแพรเนื้อบางอีกชั้นหนึ่ง

                “หมอเขาว่าอาการฉันหนักกว่าคราวก่อน ๆ”

                “แม่ไม่เห็นบอกพี่เรื่องนี้ หรือจันทร์ห้ามไม่ให้หมอบอกแม่” ทักราวกับรู้ทัน น้องสาวจึงรับความนั้นว่าจริง

                “พี่เดือนดูแม่สิ ฉันป่วยคราวใดแม่ก็จะป่วยตามทุกทีไป ฉันไม่อยากให้แม่เป็นกังวลอันใดไปมากกว่านี้อีกแล้ว นี่หมอเขาเพียงแค่บอกว่าไข้สูงแม่ก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้เสียให้ได้ เป็นลูกแต่ทำพ่อแม่ทุกข์ใจนี่บาปหนาไม่ใช่หรือจ๊ะ” คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง

                “จันทร์ บาปนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าผู้กระทำตั้งใจหรือไม่ จันทร์ป่วยอย่างนี้ไม่มีใครห้ามได้ ตัวจันทร์ก็ห้ามมิได้ ถึงอย่างนี้แล้วอย่ากลัวไป จันทร์น้องพี่มีหน้าที่ประการเดียวเท่านั้นคือนอนแล้วพักผ่อนให้มากเข้าไว้ ยิ่งจันทร์แข็งแรงเร็วเท่าใดก็คลายทุกข์ให้แม่มากเท่านั้น ประเดี๋ยวพี่จะขอให้พ่อพาหมอหลวงออกมาเสียคนสองคนเขาคงไม่ว่า ยาในวังมีอยู่อักโข จะเผื่อมารักษาน้องพี่ไม่ได้เชียวรึ”

                มือเย็นชื้นนั้นกระชับมือพี่สาวแน่นขึ้นไป ประกายในดวงตาอ่อนล้าสะท้อนวาววับ “ถ้าจันทร์ตายไปเสียมันคงสิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาคอยหาหยูกยาหาหมอมาอีก แต่มันไม่ตาย สังขารมันยังฝืนอยู่ให้คนอื่นเขาพลอยทรมาน” คำตัดพ้อนั้นได้ยินหลายคราว จนรู้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือนิ่งเงียบเอาไว้

                “อย่าพูด อย่าคิด นอนเสียให้สบายก่อน เรื่องทางนี้พี่กับพ่อจะหาทางจัดการเอง แล้วถ้าจันทร์ห่วงแม่จริง ๆ อย่าได้พูดอย่างที่พูดกับพี่เมื่อครู่นี้อีกเป็นเด็ดขาด เอาล่ะนอนเสีย” พี่สาวกำชับ กดไหล่น้องสาวให้นอนลง ก่อนตัวเองจะก้าวพ้นออกมาจากห้อง สีหน้าราบเรียบนั้นเปี่ยมความทุกข์ขึ้นมาโดยฉับพลัน ก่อนจะหันไปหาคนข้างตัว

                “แช่ม รู้จักบ้านหมอคนที่มารักษาให้จันทร์เมื่อครู่นี้ไหม ถ้าไม่รู้ไปหามาให้ได้ ฉันอยากคุยกับหมอคนนั้น” บ่าวสาวพยักหน้าหงิกหงักแล้วก็แล่นหายไป ครู่เดียวเท่านั้นจึงได้ความ หญิงสาวก้าวลงเรือนสั่งคนให้เตรียมเรือ สั่งกำชับบ่าวที่มาเตรียมเรือให้ “ถ้านายแม่ถาม บอกว่าฉันไปดูคนงานในสวน อย่าให้มากกว่านี้ ถ้านายแม่ถามอันใดเพิ่มตอบว่าไม่รู้ไปเท่านั้นพอ”

                เรือลำเล็กจึงล่องทวนแม่น้ำขึ้นไป ด้วยความกังวลเต็มเปี่ยมของผู้โดยสารสาว หล่อนเสียอะไรก็ได้เท่าที่จะเสียได้ ขอเพียงน้องสาวคนนี้เอาไว้เท่านั้นพอ ครู่ใหญ่เรือก็มาจอดติดฝั่งท่าน้ำของบ้านหลังเล็กที่อยู่ในละแวกชุมชน บ่าวสาวเป็นผู้ไปเรียกหาคนด้านใน ขณะที่ผู้เป็นนายก้าวลงมองพื้นที่โดยรอบ ไม่กี่อึดใจชายวัยกลางคนท่าทางสงบเสงี่ยมก็เดินลงมาจากเรือน หล่อนจำได้ในทีเดียวว่าคือหมอที่เคยมารักษาน้องสาวหลายครั้งหลายครา

                “กระผมไม่ทราบว่าจะมาเลยไม่ได้เตรียมอันใดไว้เลย”

                “ไม่ต้องหรอกหมอ เราขึ้นไปว่ากันบนเรือนจะดีกว่า ฉันอยากรู้เรื่องแม่จันทร์”

                เรือนนั้นเป็นเรือนไม้ ข้างในอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพร ผู้มาเยือนเลือกที่นั่งเหมาะ ๆ แล้วก็นั่งลงขณะที่เจ้าบ้านเว้นระยะออกไปอย่างพองาม เพราะรู้ดีว่าสตรีตรงหน้าเป็นถึงลูกพระน้ำพระยา จะรุ่มร่ามไม่เหมาะสมคงได้มีเฆี่ยนกันเสียให้หลังขาด ทุกคราวเขาจึงนอบน้อม

                “เรื่องอาการหรือขอรับ”

                “ว่ากันมาตามตรง หนักเบาเท่าใด รักษาได้หรือไม่ หมอไม่ต้องเกรงใจ ฉันอยากรู้ความจริง”

                “อาการไม่สู้ดีขอรับ ไข้ขึ้นสูงมากกว่าคราวก่อน ๆ ลมหายใจไม่ค่อยสม่ำเสมอ อวัยวะข้างในทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร” แค่คำรายงานอาการเท่านั้นคนเป็นพี่ก็แทบทนฟังไม่ไหว แสดงว่าทั้งจันทร์และแม่ไม่ได้รู้ความทั้งหมดอย่างที่หล่อนรู้เป็นแน่

                “รักษาได้ไหม” คำตอบนั้นคืออาการส่ายหน้าอย่างช้า ๆ หมอที่รับกล่าวขานว่ารักษาใครก็หายขาดผู้นี้ยังรักษาน้องสาวของหล่อนไม่ได้เชียวหรือ “เวลาจะยืดได้นานสักเท่าใด”

                “สุดจะรู้ขอรับ เวลาของเราตอนนี้สุดแล้วแต่พระยมท่านจะเมตตา”

                สิ้นคำนั้นคนฟังนั่งนิ่งไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปทางใด หัวใจปลิดปลิวด้วยความจริงที่กรีดลึกร้าว ก่อนจะหันมาตั้งสติมั่นในคำนั้น แล้วก็ลุกขึ้นยืนบอกเสียงเรียบ “หมออย่าบอกใคร ให้รู้แต่เราเท่านั้นพอ ระหว่างนี้ขอให้หมอยื้อกับพระยมท่านให้สุดกำลังของหมอก่อน”

                “กระผมไม่รู้จะสู้มือพระยมท่านได้อย่างไร”

                “หมอก็ต้องหาทางรู้ให้ได้ เพราะฉันเองก็จะไม่ยอมให้มือพระยมท่านเอื้อมถึงแม่จันทร์เช่นกัน ยังไม่ถึงเวลาดอกหมอ เร็วเกินไปสำหรับแม่จันทร์ สำหรับแม่ พ่อ สำหรับเรา ยังไม่มีใครพร้อมทั้งนั้น!” หล่อนย้ำคำหนักก่อนจะย่างเท้าลงจากเรือนไม้เล็ก ๆ หลังนั้น ความจริงที่ได้รู้ก่อกวนหัวใจมิใช่น้อย ควรเชื่อหรือไม่เดือนตัดสินใจไม่ได้ในทีเดียว บางทีอาจมีหมอที่เก่งกว่า อาจมียาที่ยังค้นไม่พบ ถ้ามีหล่อนต้องการเพียงเวลาเท่านั้น เวลาที่จะรั้งน้องอันเป็นที่รักยิ่งให้นานที่สุด

                ดูเหมือนฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไปไม่นานก่อนหน้านี้จะยังไม่หมดเค้าเมฆ เพราะฟ้าเริ่มดำทะมึน คนเป็นนายเร่งบ่าวผู้บังคับเรือให้รีบกลับถึงบ้านให้ทันก่อนที่ฝนจะเทลงมาอีกรอบ เรือลำเล็กนั้นนำร่างสามชีวิตสู่กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ลมจากพายุฝนนั้นเริ่มรุนแรง หากอันตรายที่ทั้งสามควรกลัวมิใช่ลมฝนอันนั้น...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×