ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรานราตรี (สำนักพิมพ์มายดรีม)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 56


    บทที่ ๑

              แน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการเลือกทางนี้ ถ้าเริ่มก้าวจะไม่มีวันได้ถอยกลับ

                หล่อนมองตัวเองในกระจก เฝ้าถามซ้ำ ๆ ด้วยคำถามเดียวกันนี้ คำถามที่เปลี่ยนชีวิตของตัวเองไปตลอดกาลแต่ก็นั่นแหละ จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเริ่มก้าวจะไม่มีวันได้ถอยกลับบัดนี้หล่อนก้าวล่วงคำถามและคำตอบนั้นมาไกลแสนไกลเสียแล้ว

    หญิงสาวมองดูเรือนร่างวัยสาวที่ไม่เคยถูกกาลเวลาทำร้าย มองดูความเปล่งปลั่งของมัน มองอย่างสมเพชเวทนาเหมือนเช่นทุก ๆ ครั้ง หล่อนอยากเป็นยายแก่ อยากมีผมขาว อยากมีรอยตีนกา อยากมีเนื้อหนังที่หย่อนคล้อย และหล่อนเฝ้ารอมันมานาน นานแสนนานจนกลายเป็นความเจ็บปวดรวดร้าว แต่ร่างบางเปลือยเปล่ายืนอยู่หน้ากระจก ความไม่เปลี่ยนแปลงนั้นทรมาน...แต่มนุษย์ก็ปรารถนาจะครอบครองมันเหลือเกิน แล้วหล่อนก็ได้ครอบครองสิ่งที่มนุษย์เพียรพยายามตามหาทั้งเคล็ดวิชา ตัวยานานาชนิด ด้วยไสยศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ มนุษย์พวกนั้นดิ้นรนเพื่อมัน แต่หล่อนกลับได้ครอบครองด้วยคำมั่นสัญญาเพียงคำเดียว!

    หากแล้วเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโต๊ะเครื่องแป้งก็ส่งเสียงกรีดร้องบอกสัญญาณดังสนั่น หล่อนรวบมันขึ้นมากดรับ แม้จะเดาได้ในทันทีว่าปลายสายคือใคร

    “คะพี่ตี้”

    “เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงนะคะคุณนาย” เสียงที่ลอดผ่านปลายสายทำให้ใบหน้าอมทุกข์นั้นคลายรอยยิ้มบางเบา คนรับเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาจวนเจียนจะแปดโมงเช้าเต็มทีข้างฝาผนัง ขณะที่อีกฝ่ายอธิบายอะไรยืดยาว “มาเร็วหน่อยจะดีมาก ยายคนที่จะมาจับผ้านุ่งให้เราเขาทำท่าจะมาไม่ทัน พี่ต้องคืนชุดให้ทางพิพิธภัณฑ์ตอนสิบเอ็ดโมง คุณนายเดือนจับผ้านุ่งโบราณเป็นใช่ไหมเจ้าคะ”

    คนฟังหัวเราะ ระลึกรู้เป็นมโนภาพวิธีการจับอย่างละเอียดในหัว “อาจจะได้ค่ะ ต้องขอดูผ้าก่อน แต่ถ้าทำได้ขอโบนัสเพิ่มจากปกติได้ไหมคะ”

    “หล่อนจะปล้นพี่ให้หมดตัวเลยหรืออย่างไรเจ้าคะคุณนาย รีบเถอะ นางแบบจะพ้นไฟใส่พี่อยู่แล้ว ถ้าไม่ถือว่าวันนี้วันก่อนวันพระพี่จะไล่ตะเพิดกลับบ้านไปนอนดูดนมสามี” หางเสียงสะบัดอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงกระนั้นหล่อนก็รู้ว่าปลายสายไม่ได้คิดอะไรจริงจังนัก

    “จะรีบค่ะ แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าแท็กซี่จะขับเร็วแค่ไหน”

    “ถ้าเราหายตัวมาได้จะดีมาก เอาเถอะพี่จะหาอะไรให้ยายคนนี้แกทำแก้เซ็งไปก่อน ลูกค้าเขาคิดยังไงนะเอานางแบบหน้าลูกครึ่งมาใส่ชุดไทย โอ้ย...พี่ล่ะปวดหัว” บ่นอีกสองสามคำแล้วก็วางไป

    เมื่อนั้นคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกจึงได้หันไปคว้าเสื้อแบบผ้านิ่มมาสวมทับด้วยกางเกงยีนขนาดพอดีตัว สัดส่วนของสตรีที่เดินลงจากคอนโดมิเนียมขนาดกลางจึงยวนตาคนมองผ่านไปมา กระทั่งหล่อนเรียกรถได้คันหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าสู่ที่ทำงานของตัวเอง ครู่เดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนหนทางเบื้องหน้าจะราบรื่น รถแม้จะติดสักแค่ไหนยังพอมีช่องให้เคลื่อนเปลี่ยนไปได้เสมอ ที่สำคัญคือไม่เคยติดไฟแดง หรือหยุดเพื่อรอขยับอย่างที่ควรจะเป็น คนขับแปลกใจแต่ไม่ได้เอะใจจนกระทั่งผู้โดยสารสาวของเขาลงจากรถหยิบเงินออกมาจ่ายอย่างพอดิบพอดี ขาที่กลับออกมาแค่จะเลี้ยวให้พ้นปากซอยก็แทบไม่ได้เสียแล้ว ขามาคงแค่...บังเอิญ

    ท่ามกลางแสงนวลของแดดยามสาย ผมดำขลับที่มัดรวบเป็นหางม้าเอาไว้ปลิวสะบัดตามแรงก้าวของสตรีสาวผู้นั้น ผิวเหลืองน้ำผึ้งไม่ถึงกับคล้ำเพราะยังมีเค้าความนวลผุดผ่องอย่างผู้หญิงเอเชียแท้ ๆ หล่อนอาจไม่ขาวอย่างสมัยนิยมแต่ผิวก็ลออละเอียดเนียนเรียบดังเนื้อแพร ผิวชั้นดีที่ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมปนอิจฉา กระทั่งดวงตากลมโตคมกริบ จมูกที่โค้งได้รูปสวย ริมฝีปากสีเหมือนใบไม้เมื่อแรกผลิ คือแดงอมส้มสวยสดนั่นเอง หล่อนไม่สวยหากงามพร้อมอย่างเยือกเย็น

    แม่คนนี้เขาสวยเหมือนคนโบราณจ๊ะ สวยเย็น ๆ ไม่ร้อนแรงไม่พลาสติกอย่างผู้หญิงสมัยนี้

    ผู้ที่ให้คำนิยามนี้กับหล่อนคือบุรุษหนุ่มร่างสูงเพรียวในเครื่องแต่งกายสุภาพ เสื้อเชิ้ตแขนยาว กับกางเกงผ้าเนื้อดีราคาแพงระยับ หากรัดรูปอย่างที่คนในสภาวะทางเพศเดียวกันพึงนิยม ผมดำ โครงหน้ามีเค้าว่าหล่อเหลาเอาการ ถ้าเพียงแต่ริมฝีปากนั้นไม่เยิ้มไปด้วยลิปสติกสีโอโรสและผิวหน้าขาวผ่องที่แต้มด้วยแป้งผสมรองพื้นบาง ๆ เขาหรือหล่อนผู้นี้คงเป็นที่พึงใจของสาว ๆ ไม่น้อย

    “ต๊ายคุณนาย...มาไวทันใจมาก เอาล่ะวางกระเป๋าแล้วเข้าไปในห้องแต่งตัวได้เลย นางแบบจะเขมือบหัวทีมงานพี่ตายแล้ว” ครั้นหันมาเห็นก็ตรงเข้ามาคว้าแขนคนมาใหม่ ถอดสายกระเป๋าที่สะพายวางบนโต๊ะทำงานประจำตำแหน่งเสร็จสรรพ

    “ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะพี่ตี้ นี่เพิ่งแปดโมงสี่สิบเท่านั้นเอง จับผ้าไม่นานเก้าโมงน่าจะพร้อมถ่าย”

    ใช่แล้ว...สตรีข้ามเพศผู้นี้คือคนเดียวกับที่เสวนากับหล่อนในโทรศัพท์ กีรติเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ และเจ้านายที่ดำรงฐานะบรรณาธิการของนิตยสารสตรีสยาม เพื่อนหนึ่งในไม่กี่คนที่หล่อนเต็มใจยอมรับ และเมื่อมาถึงห้องหญิงสาวก็เข้าใจในทันทีถึงท่าทางร้อนรน เพราะทีมงานคนหนึ่งกำลังถูกต่อว่าด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยของนางแบบสาวลูกครึ่งที่ปรากฏตัวบ่อยครั้งตามหน้าปกนิตยสารและโทรทัศน์

    “พวกคุณนัดฉันตอนแปดโมง ฉันมาก่อนเวลานัดห้านาที นี่แปดโมงสี่สิบ ฉันเป็นนางแบบชื่อดังแต่ต้องมานั่งรอคนแต่งตัวของพวกคุณสี่สิบห้านาที พวกคุณทำงานกันยังไงมิทราบ ฉันให้เวลาคุณอีกสิบนาที ถ้าคนของพวกคุณยังไม่มาฉันจะกลับแล้วก็เตรียมตัวหานางแบบใหม่ได้เลย ฉันเกลียดคนไม่ตรงเวลา” เสียงแว๊ด ๆ นั้นดังลั่นห้องแต่งตัว คนรองรับอารมณ์หน้าซีดตัวลีบชิดกำแพง ครั้นพอเห็นกีรติก้าวเข้ามาก็ทำหน้าราวกับว่าได้เกิดใหม่อีกหน

    คนเป็นเจ้านายหันมากระซิบบอกรุ่นน้องตัวเอง “แว๊ด ๆ เสียงสิบแปดหลอดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว หล่อนบอกจะกลับตั้งแต่สิบห้านาทีแรกโน้น แต่ไม่ยักจะกลับ แหม...ถ้าใจเด็ดเสียหน่อยพี่จะได้หานางแบบใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป” คำบ่นเบา ๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน หล่อนเองก็นิ่งเสีย มองเจ้าของร่างสูงระหง ด้วยทรวดทรงอย่างลูกครึ่งที่อะไรต่อมิอะไรมันมากมานจนล้นทะลัก

    “คนแต่งตัวมาแล้วค่ะคุณอลิส”

    เสียงนั้นทำให้อลิสาหันกลับมามอง นางแบบสาวมองผู้หญิงที่ถูกแนะนำอย่างคร่าว ๆ ว่าจะมาแต่งตัวให้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อแรกนั้นคือความแปลกใจ คนตรงหน้าหล่อนดูจะสวยเกินไปสำหรับตำแหน่งคนแต่งตัวของนิตยสาร ความสูงใกล้เคียง ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไหร่ ผิดกันก็แต่สีผิวที่หล่อนขาวจนเหมือนกระดาษที่ไม่ว่าอาบแดดเท่าใดก็ไม่เคยเข้มเกินไปกว่าสีน้ำตาลอ่อน ๆ ก่อนจะกลับมาขาวอีกครั้งในเวลาสองสามวัน คนตรงหน้าสิมีผิวอย่างที่หล่อนนึกอิจฉาจนเกือบเรียกว่าริษยา

    เจ้าของร่างระหงเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ อาการนั้นหล่อนทำจนชินติดเป็นนิสัย เพราะไม่ว่ายามใดหล่อนต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ “พี่ตี้ควรจะหัดสอนคนของพี่ตี้ให้รู้จักเวลาเสียบ้างนะคะ ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นเขารอกันอย่างนี้มันเสียเวลา อลิสยังมีงานต่ออีก มั่วแต่รอคนอย่างนี้ไม่ได้”

    กีรติหน้าม้านแทนรุ่นน้องสาว ขณะที่คนข้างกายกลับยิ้มหวานเยือกเย็น “ฉันมีเวลาอีกมากค่ะ เลยไม่จำเป็นต้องรีบ” แน่นอนว่าเวลาของหล่อนมีมากมายเสียจนใครก็คาดไม่ถึง ร่างสูงเพรียวในชุดพร้อมทำงานก้าวล้ำหน้าขึ้นมาเผชิญสายตาดูแคลนนั้นอย่างไม่เกรงกลัว กระทั่งวูบหนึ่งอลิสาคิดด้วยซ้ำว่าถูกคนตรงหน้ามองอย่างเยาะหยัน “แต่ไม่ทราบพี่ตี้บอกคุณอลิสาหรือยังว่าฉันไม่ใช่คนที่จะจัดการเสื้อผ้าให้คุณตั้งแต่แรก”

    เมื่อนั้นเองดวงหน้าสวยสดที่แต่งพร้อมจึงเหลือบกลับไปมองกีรติที่ยิ้มรับ “ค่ะ พี่ลืมบอกคุณอลิสไปว่าเดือนเขาไม่ใช่คนมาแต่งตัวให้คุณอลิสหรอกค่ะ แต่พี่ขอให้เขามาช่วยแทนกะทันหันเท่านั้นเอง อ้อ...นี่เดือนค่ะ รัตติกร ความจริงเดือนเขาเป็นตากล้องค่ะ” คำอธิบายเรียบง่าย แต่ถึงกระนั้นคนต่อว่าคราวแรกก็หน้าชาไปบ้างเหมือนกัน

    “เดี๋ยวนะคะ ตากล้องหรือคะ พี่ตี้จะให้ตากล้องมาแต่งตัวให้นางแบบหรือคะ อลิสเพิ่งรู้ว่านิตยสารสตรีสยามของพี่ตี้เขามีระบบใช้คนไม่ถูกกับงาน” เสียงท้ายตวัดเชิงดูแคลน กีรติพยายามห้ามอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ รัตติกรเสียอีกที่เอื้อมมือมาจับเอาไว้ให้ใจเย็น

    “เอาล่ะค่ะ จะใช้คนถูกกับงานหรือเปล่าพี่ว่าคุณอลิสรอดูฝีมือตากล้องของพี่ก่อนดีกว่าค่ะ”

    “อลิสไม่มีเวลามาเล่นขายของนะคะ”

    คนเป็นบรรณาธิการทำท่าจะหมดความอดทนเอา รู้ก็รู้ว่าผิดที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอ แต่หล่อนก็ขอโทษไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทนให้บ่นให้ว่าให้เหวี่ยงใส่ทั้งที่ปกติมีผู้หญิงคนไหนว่าหล่อนอย่างนี้คงได้มีวางมวยฟาดมือกระทบหน้ากันไปนานแล้ว แต่ชั่วขณะนั้นเองที่หญิงสาวข้างกายก้าวเข้าไปประชิด สู้สายตากร้าวจิกของอีกฝ่ายด้วยเสียงเยียบเย็น

    “ลองดูเถอะค่ะ” เท่านั้นเหมือนประกาศิตสั่ง

    เพราะคนที่เหวี่ยงวีนมาตั้งแต่เช้าเย็นสันหลังวูบจนร้าวเข้ามาถึงกระดูกข้างใน แค่คำเพียงไม่กี่คำ หากอลิสากลับรู้สึกว่าหล่อนควรจะเชื่อ ควรจะฟังผู้หญิงคนนี้แต่โดยดี ร่างนั้นแข็งนิ่งยืนเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาจัดการสวมเสื้อผ้าบนเรือนร่างให้ ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างเหยียดหยาม หล่อนไม่คิดว่าคนที่เป็นแค่ตากล้องจะนุ่งชุดไทยโบราณเช่นนี้ได้สวยหรอก คงออกมาเหมือนขยุ้มผ้านั่นเอง แต่ครู่เดียวเท่านั้นเองที่ผ้าผืนหนึ่งถูกจับตวัดรัดรอบตัว คนจับผ้าขยับนู่นนี่จนในที่สุดอลิสาก็ได้เห็นร่างของตัวเองในชุดไทยที่วิจิตรกระทั่งจีบผ้าด้านหน้าที่ทิ้งตัวสวย หล่อนหาที่ติในฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จริง ๆ หากภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็คือรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยชัยชนะของกีรติกับรัตติกร

    “ก็พอใช้ได้นี่คะ แต่คราวหลังใช้คนที่นุ่งเป็นจริง ๆ จะดีกว่า” ว่าอย่างนั้นเพราะไม่อยากเสียหน้ามากกว่านี้ กีรติหันกลับมายิ้มให้ลูกน้องของตัวเอง กระซิบเสียงแผ่ว

    “ฝีมือเด็ดขาดค่ะคุณนายเดือน ประเดี๋ยวพี่เชิญเสด็จก่อนนะ ไม่รู้ต้องปูพรหมแดงไหม” เสียงนั้นหมั่นไส้เต็มกำลัง หากเมื่อลูกค้าบัญชาว่าต้องเป็นคนนี้ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้

    รัตติกรมองตามแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ หล่อนเจอนางแบบมามาก ตั้งแต่มืออาชีพจนถึงมือใหม่ แต่ไม่เคยมีใครที่เหยียดหยามคนอื่นทางสายตาเช่นนี้มาก่อน ความสวยสดอันเป็นเครื่องมือของอลิสาทำให้หญิงสาวคะนอง ลุ่มหลงตัวเอง ความสวยที่วันหนึ่งจะลบเลือนหายไป จะภูมิใจได้นานสักเท่าใดกันหนอ

     

    งานวันนี้ผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะถึงจะเป็นคนเอาแต่ใจอย่างไรอลิสาก็มีความเป็นมืออาชีพสูง หล่อนจัดท่าทางตัวเองได้อย่างเหมาะสมลงตัว ตากล้องเองก็เถอะสามารถจะจัดมุมถ่าย บังคับแสงได้ดีเยี่ยม ภาพที่ออกมาจึงสวยสมราคาค่างวดที่ลูกค้าจัดจ้างกันมา พอเสร็จกิจนางแบบสาวก็เปลี่ยนเสื้อหายไปทันที ส่วนคนทำงานก็ยังต้องทำงานกันต่อไปจนเย็นนั่นเอง

    “วุ่นวายจริง ๆ ชีวิต” กีรติทำท่าจะลมจับ “เหนื่อยจนอยากลงไปแดดิ้นอยู่ที่พื้น เอาล่ะเย็นนี้ไปเที่ยวกันไหม ไปไหม” คำถามข้อหลังสุดหันมาหาคนที่นั่งจ้องคอมพิวเตอร์โต๊ะข้างกาย รัตติกรเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มหวานก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ ไม่ต้องตอบอีกฝ่ายตอบให้เสียก่อน

    “เดือนจะกลับไปทำงานค่ะ” เสียงกีรติบีบเล็กเชิงล้อเลียน ก่อนจะทำหน้าซังกะตาย “ต๊ายคุณนาย นี่คุณนายเดือนของอิฉันมีธุรกิจพันล้านอะไรมากมายนักหนาหรือคะ ชวนไปไหนไม่ไป มุ่งมั่นแต่จะกลับบ้านจำศีลท่าเดียว ทำงานเก็บเงินมาก ๆ ระวังเงินมันจะท่วมทับตายนะจ๊ะ”

    คนฟังยิ้ม “ก็ดีสิคะ” หากไม่ได้ขยายความว่าดีอย่างไร ดีตรงที่มีเงินมากหรือดีตรงที่คำสุดท้าย...

    “จ้าแม่คนรวย พรุ่งนี้มาแต่เช้านะ จะมีนายแบบมาถ่ายแบบอีกคน คนนี้พี่ค่อนข้างจะปลื้ม” เสียงท้ายยานคาง แสดงว่าผู้พูดเพ้อถึงอย่างจริงจัง รัตติกรยิ้มก่อนก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป จวนถึงเวลากลับบ้านหล่อนจึงละมือรวบของใส่กระเป๋าเดินออกไปโบกรถ รถที่หล่อนโดยสารไม่เคยต้องหยุดจอดนาน ๆ เลยสักครั้ง ครู่เดียวจึงถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

    เมื่อหล่อนกลับจากงานหนึ่ง ก็ต้องเริ่ม...อีกงานหนึ่งทันทีที่ตะวันตกดิน รัตติกรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดดำตลอดทั้งตัว กางเกงผ้ารัดรูปนั้นโปร่ง สบายในการขยับตัว กระทั่งเมื่อพร้อม ร่างแบบบาง สูงระหงจึงเดินไปที่ระเบียงกว้างบนชั้นสิบสี่ของคอนโดมิเนียมสูง ข้างนอกท่ามกลางความวุ่นวายนั้น สีดำกลืนรัตติกาลอ้างว้างวุ่นวายแฝงกายซ่อนเร้นกับราตรี ดวงตากลมโตหากคมกริบสอดส่าย หน้าที่เริ่มต้นและรอเพียงเวลา ครู่เดียวเท่านั้นร่างสวยสง่าของอิสตรีเจ้าของห้องก็วับวูบหายเหมือนกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ ควันอันไม่ได้ลอยไปตามทิศทางลมหากบังคับทิศทางอย่างชำนิชำนาญ ปราดเดียวก็มาถึงซอกตึกเล็ก ๆ ลับสายตาผู้คน

    ถ้ากลางวันเป็นเวลาของเหล่ามวลมนุษย์เดินดินทั้งหลาย กลางคืนก็อาจเป็นเวลาของเหล่าภูติพรายที่จะร่ายระบำ งานชุมนุมนี้ควรมีผู้ควบคุมมิใช่หรือ รัตติกรเฝ้ามองอยู่เหนือยอดตึกสูง สายตาแลลงมายังทางเดินเล็ก ๆ ในความมืดที่มนุษย์เมียงมองว่าอ้างว้าง ว่างเปล่า กำลังมีงานรื่นเริงที่สนุกสนานครื้นเครง บ้างเป็นเพียงเงาดำวูบวาบ บ้างเป็นรูปร่างโปร่งใส บ้างแจ่มชัดราวกับมีกายเนื้อ หากทุกร่างเหล่านั้นกำลังสนทนา พูดคุยกึ่งเจรจา ร่างบางเงียบสงบ...ตั้งใจฟัง

    “ต้องหามาเพิ่ม” เสียงหนึ่งห้าวลึกกระซิบกระซาบ อีกเสียงที่แยกมิออกว่าชายหรือหญิงจึงตอบรับ

    “เดี๋ยวก็มีมา มากกว่าหนึ่งคงได้ พอมันเข้ามาใกล้ ๆ เอาหมาวิ่งตัดหน้าก็เสร็จ”

    อีกเสียงหัวเราะกังวานแหลมสูง “เอาผู้ชายนะ เบื่อผู้หญิงแล้ว แถวนี้เด็กผู้ชายมันชอบมาเที่ยว ออกจากผับก็เมาไม่รู้เรื่องแล้ว เอาที่ขับรถแพง ๆ ก็แล้วกัน พ่อแม่มันคงมีปัญญาทำบุญอยู่อักโข” การสนทนานั้นหากผู้อื่นฟังคงไม่เข้าใจ แต่สตรีร่างบางบนดาดฟ้าตึกสูงอีกฝั่งเข้าใจถึงความนัยทุกถ้อยคำ

    “เอาล่ะ คอยเดี๋ยวมันคงมา นี่ผับยังไม่ทันเปิดแต่มันก็หาเรื่องเมากันมาแล้ว รถเก๋งแล้วกัน” เสียงแรกย้ำ เพราะยังเพิ่งหัวค่ำเท่านั้นเอง “แต่คงต้องเอาหมาพันธุ์ เพราะหมาไทยตัวเล็ก ประเดี๋ยวมันมองไม่เห็นจะแย่เอา เปลืองแรงเปล่า ๆ เท่านั้นเอง”

    “ถ้ามันเห็นเป็นหมาแล้วขับรถทับไปเลยล่ะ” เสียงกึ่งชายกึ่งหญิงนั้นร้องเตือน

    “ก็เป็นคนไปเสียสิ มันคงไม่กล้าชนคนหรอก ยากอะไร” เจ้าของเสียงห้าวลึกเสนอ ผู้ร่วมวงสนทนานั้นตอบรับด้วยเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนเงาร่างเหล่านั้นจะไปกระจุกอยู่ที่หน้าปากซอย และเฝ้าวนเวียนอยู่แถวนั้นก่อนจะไปสงบเมื่อเสียงรถแล่นเข้ามาจากที่ใกล้ ๆ จนเห็นแสงไฟสว่างสาดเข้าตา

    ครู่เดียวเท่านั้นที่คนในรถกำลังเพลิดเพลินกับโปรแกรมการท่องเที่ยวแสนสนุก วินาทีเดียวที่เขาละสายตาจากทางเบื้องหน้าด้วยคะนองเพราะฤทธิ์สุรา พอเงยหน้าก็เอ็ดลั่นกันทั้งคันรถ เพราะเงาขาว ๆ วูบ ๆ ข้างทางในหางตาบัดนี้ปรากฏชัดเป็นผู้หญิงเดินตรงดิ่งข้ามถนนไม่มองทาง คนโดยสารมือยังถือขวดเหล่าสั่นเป็นเจ้าเข้า ขณะที่คนขับเหยียบเบรกจนตัวโก่งก่อนร้องลั่น

    “เบรกไม่ได้ เหยียบไม่ลง ทำไมแข็งอย่างงี้วะ” อีกไม่กี่อึดใจจะถึงร่างนั้น มือหมุนพวงมาลัยอัตโนมัติ จะหักรถหลบลงข้างทางซึ่งแม้แต่กำแพงปูนหนาของตึก ทางตายทั้งนั้น แต่ในวินาทีที่มือหมุนบางอย่างอันเยือกเย็นเอื้อมจับมือให้ขับตรงไป สู่ร่างลางเลือนของสตรีผู้นั้น

    “เบรกสิ!” เสียงเพื่อนก๊วนตะโกนลั่น แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อรถยังพุ่งตรงไปข้างหน้า รู้สึกวูบเพราะแน่ใจว่าชนร่างขาว ๆ นั้นอย่างจัง พอชนเท่านั้นขาที่เหยียบเบรกแข็ง ๆ ค้างเอาไว้ก็ลื่นพรืดลงไป รถเซปัดแต่นิ่งสนิทอย่างดี คนในรถใจหายใจคว่ำ หันมองเพื่อนร่วมทาง คนขับนิ่งก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง ภาพในกระจกว่างเปล่า ถนนโล่งก่อนที่ใครคนหนึ่งในรถจะโพลงออกมา

    “ลากมาอยู่ใต้รถล่ะมั้ง เอาไงดีวะ”

    อะไรสักอย่างดลใจให้คนขับเปิดประตูก้าวลงไป ถนนนั้นไม่มีกระทั่งเลือดจะกระเซ็น ก่อนทำใจกล้าย่อตัวลงนั่งมองลอดใต้ท้องรถ แล้วก็เงยหน้าบอกเพื่อนในรถ

    “ไม่มีอะไรเลย หน้ารถก็ไม่ยุบ เหมือนไม่ได้ชนอะไร”

    เท่านั้นเองอีกสองคนในรถจึงเดินตามลงมา เดินหากันจนทั่วทั้งถนน “ได้ไง เมื่อครู่ก็เห็นว่าชน กระเด็นตกข้างทางไปรึเปล่า”

    คนขับยังท้วง “ชนก็ต้องมีรอยสิวะ บอกแล้วว่าหน้ารถไม่ยุบ เอ็งเห็นเลือดสักหยดไหมล่ะ” คำอธิบายนั้นทำให้อีกสองคนยอมจำนนแต่โดยดี ครุ่นคิดกันอีกสักพัก ช่วยกันเดินหาอยู่นานสองนานก็ไม่เจอกระทั่งเลือดสักหยดอย่างว่า ก่อนที่รถตำรวจคันหนึ่งจะบังเอิญผ่านมา เห็นคนจอดรถอยู่ข้างถนนท่าทางเหมือนมองหาของก็จอดรถเรียกถาม

    “หาอะไรน้อง”

    “เปล่าครับ พอดีเพื่อนทำของหล่นเลยมาจอดรถหา แต่...หาไม่เจอเดี๋ยวจะกลับแล้วครับ”

    พอหาไม่เจอก็ทำท่าจะเดินขึ้นรถ หากคนในเครื่องแบบเดินลงมาตบไหล่ “กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนี่หว่า เดี๋ยวขับรถตามไปที่โรงพักนะ ไปวัดแอลกอฮอล์”

    คนขับพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถแล้วยินยอมขับตามไปแต่โดยดี เพราะไม่มีแรงจะดื้อหลังจากเจอเรื่องระทึกขวัญไปเมื่อครู่ เพื่อนร่วมทางบ่นเรื่องโดนจับสองสามคำ แต่ใครคนหนึ่งก็พ่นความคิดออกมา “เอาน่า โดนจับข้อหาเมาแล้วขับ ดีกว่าชนคนตาย แต่แหม...ข้าเห็นจริง ๆ นะว่าชน หายไปได้ยังไงวะ จะว่ากินเหล้าแล้วตามันหลอกก็คงไม่หลอกกันสามคนหรอก ดีแต่เอ็งไม่หักหลบ ถ้าหลบก็กำแพงล่ะวะ ตายแบบไม่ต้องตรวจ”

    “เอ็งว่ามันเป็นอะไร”

    คนขับสะบัดหัวเกือบสร่างเมาทันที “ช่างมันเหอะ พรุ่งนี้ไปวัดกันไหมวะ ไปแต่เช้าทำบุญเช้าแล้วค่อยไปเรียน” คำชวนแปลกประหลาดนั้นถ้าเพียงเกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์นี้สักนิดเพื่อนร่วมทางอีกสองคนคงหัวเราะท้องแข็ง แต่ตอนนี้แม้แต่แรงจะพยักหน้ารับยังแทบไม่มี

     

    “ไหนว่ามันจะหักหลบ” เสียงแหลมสูงสะบัดอย่างหัวเสีย ไม่มีใครตอบได้ว่าเหตุใดแผนการที่วางมาอย่างดีจึงล้มเหลว ร่างเหมือนเงาดำใหญ่นั้นวูบสะท้านไปมา ผู้ร่วมวงสนทนาอีกสองคนก็อาการไม่ต่างกัน คือหัวเสียรุนแรง ควรได้อีกสามดวงวิญญาณมาสังเวย ตอนนี้พลาด ก็ต้องรอต่อไปอีก

    “รู้ไหมว่าที่ทำมันบาปหนัก” เสียงหวานกังวานก่อนปรากฏตัวชัดเป็นรูปร่าง สามดวงวิญญาณผงะถอย เพราะรัศมีบางเบาที่เรืองรองอยู่รอบร่างนั้นดังคำบอกเล่า สตรีสาวสวยยิ่งจะปรากฏตัวในยามรัตติกาลเยือนฟ้า คอยสอดส่องดูแลความสงบ “ฆ่าคนยังไม่ถึงฆาต บาปหนา”

    เมื่อครู่รัตติกรช่วยรั้งมือนั้นมิให้หักหลบ เกือบพลาดแต่ก็ยังรอดมาได้ เสียงที่แยกมิออกว่าหญิงชายถาม “ผู้คุมหรือ ผู้คุมใช่หรือเปล่า มายุ่งอะไร”

    กระแสเสียงนั้นไม่พอใจคนตอบยังใจเย็น “ก็คุมไม่ให้ทำผิด กฎคือปล่อยมนุษย์ไปตามกรรม วิญญาณ ผี ภูติพรายไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายกรรมมนุษย์” นั่นคือหน้าที่ของหล่อนในยามรัตติกาล คือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น เช่นวันนี้...

    “ยุ่งจริง” เสียงแหลมนั้นสะบัด แต่ถึงกระนั้นยังมีรอยยำเกรง

    “ไป ไปเสียก่อนแล้วอย่าให้รู้ว่าทำ คราวหน้าจะจับส่งคุกมืด” ผีชินกับความมืด เป็นดั่งมิตรอันสนิทสนม หาก คุกมืดที่รัตติกรกล่าวถึงย่อมน่ากลัวกว่าความมืดใด ๆ ทั้งมวลเพราะผู้ฟังสะท้านไปทั้งร่าง เงาจิตวูบเพราะหวาดกลัวทั้งไปดวงจิต ครู่เดียวเท่านั้นสามเงาร่างวูบวับลับหายไปในพริบตา

    ความเงียบสงบที่มาเยือนนั้นเยือกเย็น หญิงสาวยืนนิ่งอย่างหมดภาระไปอีกหนึ่ง ผีพวกนี้บางครั้งต้องการตัวตายตัวแทนเพราะยึดติด ทั้งโลก ทั้งห่วงอาลัย ต้องหาคนมาติดในบ่วงในกรรมนั้นแทนจึงจะไปได้ แต่ไปที่ใดยังสุดแต่กรรมจะบัญชา เมื่อยามไปพระยมท่านจะเอื้อมหัตถ์แกร่งมารับ ฉะนั้นภาระทั้งปวงบนโลกผู้คุมต้องจัดการให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยหน้าที่...คนนึกทิ้งห่วงหมดอาลัย มองเพียงผืนฟ้าสว่างด้วยแสงไฟ กระทั่งดาวสักดวงก็มองไม่เห็น

    ครู่เดียวที่จะขยับเปลี่ยนทิศทางก็ค้างเติ่ง เพราะกลิ่นหอมบางอย่างรุนแรง หอม...ร้อน ๆ อย่างประหลาดก่อนได้พบเจ้าของกลิ่นหอมนั้น บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่สุดปลายของสายตา ร่างสูงในชุดสูทดำตระหง่าน ยิ่งเดินเข้ามาใกล้กลิ่นนั้นยิ่งรุนแรง ไม่ใช่ฉุน...แต่เย้ายวนอย่างรุนแรงต่างหาก รัตติกรเตรียมตัวเพราะรับรู้ได้ในทันทีว่าบุรุษผู้นี้มิใช่...มนุษย์

    “ผมแค่มาทักทาย” เสียงเขากังวาน ลุ่มลึก ดวงหน้านั้นยังอยู่ในเงามืด กระนั้นมือที่ยืนออกมาก็แลเห็นได้ชัดว่าขาวสะอ้าน เรืองรองด้วยรัศมีบางอย่าง “เราจะไม่จับมือทักทายก่อนหน่อยหรือ เอ๊ะ...หรือคุณชอบจูบทักทายอย่างฝรั่ง” อะไรบางอย่างในนั้นเสียงนั้นบ่งทีเล่นทีจริง รัตติกรเย็นวาบแต่ควบคุมสติตัวเองได้ดี

    “เรายังไม่รู้จักกัน”

    เขาหัวเราะอย่างน่าฟัง ก่อนจะก้าวออกมาให้พ้นเงามืด หญิงสาวตะลึงมองผู้ชายตรงหน้า เขายังหนุ่มแน่นด้วยเครื่องหน้าเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา ผมดกดำตัดรองทรงสมัยนิยม ริมฝีปากแดง สันจมูกโด่งเข้ารูป ดวงตาเรียวคมกริบ ตาดำของเขาสนิทจนมีประกายเจิดจ้าเล็ก ๆ จุดกึ่งกลางสร้างให้ผู้ชายคนนี้ทั้งสง่างามและทรงอำนาจอย่างประหลาด

    “คุณรู้จักผมแล้ว ด้วยกลิ่น”

    เขาอาจหมายถึงกลิ่นหอมร้อน ๆ ที่กรุ่นอยู่โดยรอบ “คุณแนะนำตัวเองด้วยกลิ่น แต่ฉันไม่นิยมรู้จักหรือทักทายใครด้วยกลิ่น”

    “คนเราแต่ละคนมีกลิ่นเฉพาะตัว เชื่อผมสิ...คุณรู้จักกลิ่นของผมแล้ว คราวนี้ตามมารยาทที่ดีผมก็ควรได้รู้จักกลิ่นของคุณบ้าง” ไม่พูดเปล่า ผู้ชายคนนั้นวูบเข้ามาใกล้แล้วรั้งตัวหล่อนเข้าไป หญิงสาวแข็งขืน แต่บางอย่างในความเป็นผู้ชายคนนี้ทรงอำนาจมากมายเหลือเกิน รัตติกรถูกเขาเอาจมูกยื่นเข้ามาใกล้ จนเกือบจะชิดผิวแก้มที่แดงเข้มขึ้น ไอร้อนจากลมหายใจของเขารดอยู่ข้างแก้ม และถึงไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับว่าเขาหอมกระทั้งกลิ่นลมหายใจ!

    เสียงทุ้มแผ่วราวกับกระซิบ “กลิ่นคุณเหมือนดอกไม้ คล้าย ๆ ดอกราตรี หอมเย็น ๆ ผมชอบนะดูเหมาะกับคุณ” เขาปล่อยให้จมูกแตะที่แก้มอันร้อนผ่าว ก่อนที่หญิงสาวจะสะบัดตัวหลุดออกมา เขาเป็นใครมาจากไหนหล่อนไม่รู้ รู้แต่เพียงเขาไม่ธรรมดาเท่านั้นเอง

    “คุณต้องการอะไร”

    “ผมหรือ” ชายคนนั้นสอดมือของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง ท่าทางราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากหน้าปกนิตยสาร ดวงตายามครุ่นคิดของเขาเป็นประกายวับวาว “ตอนแรกผมคิดว่ารู้ แต่พอเจอหน้าคุณ ได้ดมกลิ่นของคุณผมเลยชักไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรกันแน่”

    “ประหลาด” หล่อนว่าคำเดียวเรียบ ๆ

    “เราต่างก็ประหลาด ประหลาดสำหรับมนุษย์พวกนี้ทั้งนั้น เอาเถิดขอเวลาให้ผมได้คิดอีกนิดว่าความต้องการของผมในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่ผมรู้คือเราจะได้พบกันอีก คุณจำกลิ่นผมเอาไว้ ผมก็จะจำกลิ่นของคุณเอาไว้ แต่แหม...ผมอยากเอาตัวคุณกลับไปนอนดมที่บ้านจริง”

    “หยาบคาย” เสียงรัตติกรเย็น ทั้งขู่ทั้งอาย ผู้ชายปริศนาคนนั้นเสียอีกที่หัวเราะกังวานอย่างรื่นเริง เขาก้าวถอยหลังไปในเงามืด ครู่เดียวทั้งร่างนั้นก็หายลับไปจากสายตา เหลือแต่กลิ่นที่กรุ่นอยู่ใต้จมูก หญิงสาวทอดลมหายใจยืดยาวอย่างที่ไม่ได้ทำมาแสนนาน มือแบบบางสัมผัสแก้มที่ปลายจมูกผู้ชายคนนั้นสัมผัสเบา ๆ แล้วก่นด่าตัวเองที่แก้มร้อนระริกระรี้ไม่เข้าเรื่อง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×