ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรแวมไพร์ VS เจ้าชายอสูร

    ลำดับตอนที่ #11 : Ch 10 (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 177
      0
      17 พ.ย. 57

    Ch 10













    “ตกลงว่าเธอจะเอายังไงกับข้อเสนอของฉันว่ามา ยัยรองเท้าแตะ”

    ทันทีที่ใช้กำลังบังคับพร้อมกระชากลากถูฉันจนมาถึงหลังโรงยิม จนแทบจะเลยเขตข้ามจากฝั่งคลาสเอไปยังคลาสบี หมอนั่นก็จัดการโยน ใช่ฉันพูดไม่ผิดหรอก มันโยนฉันจริงๆ เพราะทันทีที่มาถึง ไอ้บ้าหน้าหล่อนี่ก็จัดการสะบัดมือที่จูงแขนฉันมาพร้อมๆกับเหวี่ยงฉันออกจากวงโคจร ทำเอาฉันที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับเซถลาตั้งตัวแทบไม่ทัน ไอ้บ้านี่มันเห็นฉันเป็นผู้หญิงบ้างไหมเนี่ย!!!

    “นี่เธอหูหนวกหรือไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไงห๊ะยัยซื่อบื้อ”

    ไนนท์เริ่มตะคอกใส่ฉันอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฉันยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามเขาออกไป ไอ้คนบ้าอำนาจพูดจาเพราะๆกับผู้หญิงไม่เป็นรึไงถึงได้เอาแต่ตะคอกแล้วตะคอกอีกเนี่ย มันน่ากลัวนะรู้ไหม

    “ตกลงเธอจะเอายังไง จะมาเป็นคนของฉันไหมรึว่ายังจะอยู่ข้างไอ้แวมไพร์นั่น”

    “ฉันไม่ตกลงอะไรกับใครทั้งนั้น ฉันไม่ได้เป็นผู้หญิงของมาคัสและฉันก็ไม่ไปเป็นคนของนายด้วย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของใครทั้งนั้น ฉันจะเป็นฉันอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้ฉันไปเป็นคนของเขาถ้าฉันไม่ต้องการ”

    ฉันตะโกนใส่หน้าไนนท์ออกไปอย่างเหลืออดเมื่อเห็นว่าเขายังคงยัดเหยียดให้ฉันไปเป็นผู้หญิงของคนนั้นคนนี้ นี่ฉันเป็นคนนะไม่ใช่สิ่งของ แล้วฉันก็มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะจะไม่ยอมไปเป็นคนของใครโดยที่ฉันไม่สมัครใจ ถึงจะกลัวไอ้บ้าหน้าหล่อนี่ขนาดไหน แต่ยังไงซะฉันก็จะไม่ยอมให้เขาทำอะไรได้ตามใจชอบหรอกนะ คิดว่าตัวเองมีอำนาจแล้วบังคับใครต่อใครได้งั้นเหรออย่าฝันไปหน่อยเลย คนอย่างต้นหอมไม่มีวันยอมหรอกนะ

    “เธอว่าไงนะ”

    จู่ๆน้ำเสียงที่แข็งกระด้างของไนนท์ก็เปลี่ยนไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉัน สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดและเอาแต่หงุดหงิดตลอดเวลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสับสนงุนงง และแปลกใจเข้ามาแทนที่ เหมือนกับว่าเขากำลังแปลกใจกับอะไรบางอย่าง

    “ฉันบอกว่าฉันไม่เป็นผู้หญิงของใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นมาร์คัส หรือแม้แต่นาย ไม่มีใครมาบังคับฉันได้ ถ้าฉันไม่ต้องการ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นใคร จะน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม”

    “นี่เธอ.....”

     “ได้ยินที่ยัยนั่นบอกแล้วใช่ไหมไอ้ไนนท์ เพราะงั้นแกเลิกยุ่งกับยัยนี่ไปซะ”

    ยังไม่ทันที่ไนนท์จะได้พูดอะไรต่อ จู่ๆก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เสียงที่ฟังดูแล้วคุ้นหูฉันมาก ใช่แล้วเสียงนี้เป็นเสียงของคนที่ฉันคอยระแวดระวังมาตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่ซานตามาเรีย คนที่ทำให้ฉันใจเต้นแบบแปลกๆคนนั้น นายอีกา

    “มาร์คัส”

    ทั้งฉันและไนนท์ต่างตะโกนชื่อของคนที่เพิ่งเข้ามาขัดจังหวะการคุยกันของเราทั้งคู่แทบจะพร้อมๆกับหันไปมองที่หน้าหล่อดุแถมยังดูลึกลับนั่นพร้อมกัน

    “แกเข้ามายุ่งอะไรด้วย ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังคุยธุระกับยัยนี่อยู่”

    ไนนท์หันไปตะวาดใส่มาคัสเสียงดุและสายตาของเขาที่กำลังมองมาร์คัสนั้น บ่งบอกได้เลยว่ากำลังไม่พอใจอย่างแรง แต่ว่าคนที่ถูกตะวาดใส่นั้นไม่ได้มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย มาร์คัสยังคงตีสีหน้านิ่งๆในแบบที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดหรือว่าจะทำอะไร ก่อนร่างสูงๆหุ่นเท่ห์ๆนั่นจะค่อยเดินตรงเข้ามาหาฉันพร้อมกับจ้องหน้าฉันนิ่ง

    “ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของแกแน่ ถ้าหากว่าเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับฉัน และยัยนี่โดยตรง แต่นี่เรื่องที่แกกำลังพูดอยู่กับยัยนี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉันเพรางั้นถ้าฉันไม่เข้ามายุ่งเห็นทีว่าคงจะไม่ได้แล้วละ”

    มาร์คัสตอบไนนท์ออกไปเสียงเรียบ ก่อนเขาจะใช้ท่อนแขนเอื้อมเข้ามาล็อคคอ แล้วลากตัวฉันให้ถอยห่างจากไนนท์ จนตอนนี้หลังของฉันชิดติดกับแผงอกของเขา มันชิด ชิดจนฉันสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของเขา

    เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังอยู่ใกล้ๆหูทำเอาฉันที่กำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หัวใจฉันทำไมมันถึงได้เต้นเร็วและแรงจนน่ากลัว กลัวว่ามันจะหลุดออกมากองอยู่ตรงหน้าซะให้ได้

    “ในเมื่อยัยนี่ปฏิเสธข้อเสนอของแกไปแล้ว แกก็ควรที่จะยอมรับแล้วก็เลิกพยายามซะ อย่าพยายามทำในสิ่งที่แกไม่มีทางทำได้เลย”

    “แกว่าไงนะมาร์คัส”

    คำพูดของมาร์คัสทำให้ไนนท์ที่กำลังโมโหอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งทวีความโมโหเข้าไปใหญ่ หน้าใสๆหล่อๆที่เคยเห็นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธ แย่แล้วต้นหอม งานเข้าแล้วแก

    “ก็อย่างที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ เลิกพยายามทำในสิ่งที่แกไม่มีทางทำได้ซะ มันเสียเวลาเปล่า”

    “มาร์คัส แก”

    “โอ๊ะโอ๋ อะไรเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยแฮะว่าข่าวลือที่แพร่ไปทั้งโรงเรียนมันจะเป็นเรื่องจริง”

    ยังไม่ทันที่ไนนท์จะได้โผเข้ามาใส่ฉันและมาร์คัส จู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายคนนึงดังแทรกขึ้นมา ฉันได้แต่หันไปมองเจ้าของน้ำเสียงนั่นด้วยความสงสัยว่าหมอนี่เป็นใคร ทำไมถึงได้กล้าเข้ามาขัดคนน่ากลัวๆอย่างมาร์คัสและไนนท์ได้ และฉันก็ได้เห็นหน้าเขา ผู้ชายตัวสูงโปร่ง ผมสีบรอนด์เทาของเขาดูเข้ากับหน้าตาหล่อเหลาแบบลูกผสมที่จัดไปทางคนยุโรปนั่น แต่ว่าอะไรบางอย่างในรอยยิ้มและแววตาของหมอนี่ดูคุ้นตาฉันมาก เหมือนฉันเคยเห็นแววตาและรอยยิ้มแบบนี้ ที่ไหนนะ ใช่แล้ว แววตาและรอยยิ้มน่าขนลุกแบบนี้มัน เหมือนกับ

    “นี่มันไม่ใช่เรื่องของแกลุคส์ หุบปากแล้วก็เลิกคิดที่จะยุแย่ใครต่อใครได้แล้ว”

    “เอลฟ์”

    เสียงของเอลฟ์ที่ดังขัดขึ้นมา ทำเอาผู้ชายที่ชื่อลุคส์ถึงกับเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ พร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆที่เผยขึ้นบนหน้าของเขา

    “ฉันก็นึกอยู่เชียว ว่าทำไมเห็นไนนท์แล้ว แต่กลับไม่เห็นแก เอลฟ์ ที่แท้ก็เพิ่งจะมานี่เอง”

    “ฉันจะไปอยู่ไหนมามันก็เรื่องของฉันว่าแต่แก เข้ามายุ่งย่ามอะไรแถวนี้”

    “แหมๆ ฉันก็แค่แวะผ่านมาก็แค่นั้นเอง จะระแวดระวังอะไรกันขนาดนั้น”

    “ก็ถ้าไม่ระวังไว้ บางทีอาจจะโดนคนอย่างแกตะปบหลังเข้าให้ก็ได้ ใครจะไปรู้”

    บทสนทนาที่ฟังแล้วน่าขนลุก แถมท่าทีการพูดคุยระหว่างเอลฟ์และลุคส์นั้น มันเหมือนกับฉากตัวร้ายสองคนที่กำลังมาเจอกันในหนังซักเรื่องนั้น มันทำให้เขาสองคนดูแล้วเหมือนจะเป็นคู่หูตัวร้าย ที่ใครก็ไม่อยากจะเข้าใกล้เลยซักนิด จำได้ไหมที่ฉันบอกไปเมื่อกี้ว่า แววตาและรอยยิ้มของลุคส์มันเหมือนกับใครบางคน ใช่แล้วไอ้ใครบางคนที่ฉันหมายถึงนะ มันก็คือ เขา นายเอลฟ์คนนี้ นี่แหละ

    “พูดจาให้ร้ายกันเกินไปรึเปล่าเนี่ย”

    “หุบปากแล้วออกไปจากตรงนี้ซะลุคส์ ก่อนจะจะหมดความอดทนแล้วลากแกออกไปด้วยตัวเอง”

    จู่ๆมาร์คัสที่นิ่งเงียบมานานก็พูดขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ ฉันได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองเซี้ยวหน้าหล่อดุของเขา ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะตึงเครียดและไม่พอใจอยู่มาก ว่าแต่ทำไมหัวใจฉันมันถึงเต้นแรงแปลกๆ หน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวเวลาที่เห็นหน้า นิ่งๆดุๆของมาร์คัสด้วยละ แปลกจริงๆ

    “โอเคๆ ฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ ไล่กันจังเลยนะพวกนาย”

    ลุคส์หยักไหล่อย่างไม่สบอารมณ์กับประโยคไล่แบบดุๆของมาร์คัส แต่ก่อนที่จะเดินจากไป เขากลับหันมาจ้องหน้าฉัน พร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบแปลกๆมาให้ รอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกขนลุก อย่างบอกไม่ถูก

    “ว่าแต่ ผู้หญิงที่ทำให้ไนนท์ กับ มาร์คัส มีปัญหากันได้ถึงขนาดนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆ ”

    “เลิกพล่ามแล้วไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันก็ต่อยเข้าให้ซะนี่”

     “คร้าบๆ ไปแล้วคร้าบ เฮ้อเห็นทีจะต้องไปจริงๆซะแล้วซิ ฉันไปก่อนนะทุกคน ไว้เจอกันใหม่คราวหน้าละกันแต่ว่าบางที เจอกันคราวหน้าอาจจะมีเรื่องอะไรสนุกๆรออยู่ก็ได้นะ แบบนี้ชักจะอดใจรอไม่ไหวแล้วซิ”

    มิวส์นิกที่เหมือนจะทนไม่ไหวกับท่าทีที่ยังพล่ามไม่หยุดของลุคส์ถึงกับออกปากไล่ด้วยความรำคาน ก่อนทำท่าเหมือนจะโผเข้าไปต่อยหน้าหนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อแต่นิสัยประหลาดคนนั้น จนลุคส์ต้องหลับหูหลับตาบอกลาและเดินหนีไปในที่สุด

    “ฉันโคตรเกลียดไอ้หมอนี่เลยว่ะ คนอะไรกวนประสาทเป็นบ้า”

    “แกก็คิดซะว่ามันเป็นคนบ้า แล้วก็อย่าไปถือสามันซะก็สิ้นเรื่อง”

    “ฉันไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับมันเหมือนแกนี่ไอ้เอลฟ์ ถึงจะทนอยู่กับมันได้”

    ทันทีที่เห็นว่าลุคส์เดินห่างออกไปแล้ว มิวส์นิกที่เหมือนจะอดทนมานาน เริ่มบ่นระบายออกมาเป็นชุด ก่อนจะหันไปเหน็บแนมเอลฟ์เพื่อนสนิทที่มีท่าทีไม่สะทกสะท้านกับการมาของคนไม่น่าไว้ใจอย่างลุค์ ส่วนคนที่ถูกเหน็บแนมนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจอย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ เพราะนายเอลฟ์อะไรนั่น นอกจากจะทำท่าไม่สนใจกับคำพูดของมิวส์นิกแล้ว เขายังคงยืนกอดอกนิ่ง และใช้เพียงมือข้างซ้ายดันแว่นตาให้เข้าที่ก็เท่านั้น คนอะไรพึลึกสุดๆ

    “พวกแกเลิกถียงกันซะทีได้ไหมห่ะ ฉันเริ่มจะรำคานพวกแกอีกคนแล้วนะเว้ย”

    หลังจากตะคอกใส่ลุคส์ที่เดินผละออกไปเมื่อซักครู่นี้ ไนนท์ก็หันมาตะหวาดใส่เพื่อนสนิทสองคนที่กำลังยืนเถียงกันเหมือนเด็กประถมก็ไม่ผิด อย่างอารมณ์เสีย หมอนี่ซักจะพาลไปใหญ่แล้ว แฮะแต่ว่าฉันก็ชักจะเห็นด้วยกับไนนท์ซะแล้วซิ นายหัวน้ำตาลแดง กับนายผมสีเทา สองคนนี่ ซักจะน่ารำคานเกินไปแล้ว

    “เลิกพาลใส่คนอื่นแล้วกลับกันได้แล้ว นี่มันเลยชั่วโมงเรียนคลาสบ่ายมาเกือบชั้วโมงครึ่งแล้ว ฉันไม่อยากมีปัญหาเรื่องเกรดเพราะแกนะไอ้ไนนท์”

    จู่ๆคนที่นิ่งและดูไม่สนใจยัยดีอะไรที่สุดอย่างเอลฟ์ก็หันมาดุไนนท์เอาดื้อๆ ทำเอาคนเจ้าอารมณ์อย่างไนนท์ถึงกับทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา

    “แต่ฉันยังเคลียร์ธุระกับยัยเอ๋อนี่ยังไม่จบนะเว้ย”

    “วันนี้พอแค่นี้ก่อน วันหลังค่อยมาเจรจาใหม่ อีกอย่างต่อให้ดันทุรังเจรจาต่อไป จ้างให้คนอย่างแกก็ทำไม่สำเร็จหรอก มีหวังได้ขายขี้หน้าคนอื่นเขาไปทั่ว ปล่อยให้ฉันจัดการตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องไปแล้ว”

    “แกว่าไงนะไอ้เอลฟ์”

    “ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ เลิกโวยวายแล้วกลับไปเรียนได้แล้วห่วงเรื่องเรียนแกก่อนจะดีกว่า ส่วนเรื่องยัยซินของแกเนี่ยฉันจะจัดการให้เอง ถ้าคนอย่างฉันลงมือเองแล้ว แกไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

    เอลฟ์พูดด้วยท่าทางนิ่งๆสบายๆ ก่อนจะหันมาจ้องที่หน้าฉัน พร้อมๆกับกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ทำไมตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าหน้าตาผู้ชายคนนี้ มันเล้ว เลว มากกว่าเดิมซะอีกละเนี่ย แล้วไอ้ประโยคที่ว่า เขาจะจัดการเจรจากับฉันด้วยตัวเองเนี่ย มันหมายความว่ายังไง ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่คิดจะทำอะไรกันแน่

    และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เอลฟ์ก็ละสายตาจากฉันและหันไปจ้องมาร์คัสเหมือนกับรู้ว่า นายอีกาหน้าดุข้างๆฉันเขากำลังคิดและกำลังจะพูดอะไร

    “นายไม่ต้องห่วงไปหรอกมาร์คัส ยังไงซะนายก็เคยเป็นเพื่อนฉัน เรื่องของยัยซินนี่ ฉันจะหาทางออกที่มันแฟร์กับทั้งสองฝ่ายแน่นอน เพราะฉันเองก็ไม่อยากให้เพื่อน กับอดีตเพื่อนของตัวเอง ทะเลาะกันไปมากกว่านี้อยู่แล้ว”

    มาร์คัสไม่ได้ตอบอะไรเอลฟ์ออกไป เขายังคงตีสีหน้านิ่งเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแววตานิ่งๆแข็งดุของเขา ที่ตอนนี้มันดูอ่อนโยนลงมากกว่าเดิม ส่วนไนนท์หลังจากที่โดนเอลฟ์ขู่เตือน ก็ได้แต่ทำสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ ก่อนจะโวยวายออกมา พร้อมกับหันมาชี้หน้าฉันกับมาร์คัสราวกับจะเตือนเอาไว้

    “ฝากไว้ก่อนนะมาร์คัสฉันไม่สนอะไรที่แกกับไอ้เอลฟ์พูดกันทั้งนั้น เจอกันคราวหน้าฉันได้จัดการแกแน่ ส่วนเธอยัยรองเท้าแตะ ถ้ายังไม่ยอมทำตามข้อเสนอของฉันดีๆละก็เราได้เห็นดีกันแน่จำไว้”

    ทันทีที่ประกาศเตือนจบ ไอ้คนบ้าอำนาจบ้ากำลังก็รีบเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างอารมณ์เสียออกไป ก่อนจะตามไปด้วยเอลฟ์ และมิวส์นิคที่หันหน้ากลับมาจ้องหน้ามาร์คัส เหมือนมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด แต่สุดท้ายเขากือกที่จะเก็บมันไว้ แล้วเดินผละออกไปเงียบๆ

    “เกือบซวยไปแล้วไหมละต้นหอมเอ้ย”

    ฉันถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความรู้สึกโล่งใจทันทีที่กลุ่มคนอันตรายทั้งหมดเดินห่างออกไปจนลับตา แต่ว่าเมื่อก้มมองดูที่มือตัวเองกลับพบว่า ฉันกำลังกุมมือของใครบางคนอยู่ ใครบางคนที่ยังคงยืนกอดคอฉันไว้ตั้งแต่เขามาถึง จนตอนนี้ทุกคนที่เคยรวมตัวอยู่ตรงนี้ ต่างกระจัดกระจายกันไปหมด และเหลือเพียงเขา กับฉัน เพียงลำพัง!!! คิดได้แค่นั้นฉันก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมาซะให้ได้ ทำไมทำไมพระเจ้าไล่ไอ้คนพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่ทำไมถึงยังให้นายหน้าดุคนนี้ยังอยู่กับลูกอีก แถมเรายังอยู่ในสภาพที่ใครเห็นก็ต้องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น

    มาร์คัสเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่า ฉันกับเขาเราอยู่ใกล้กันมากเกินไป เขาจึงรีบปล่อยแขนที่โอบรอบคอฉันไว้ ก่อนจะถอยห่างฉันออกไปสองสามก้าวก่อนเราทั้งคู่จะรีบหันหน้าหนีกันไปคนลฝั่ง ฉันกับมาร์คัสเราสองคนยืนเงียบกันอยู่เกือบๆห้านาที จนในที่สุดฉันก็เริ่มที่จะทนกับบรรยากาศน่าอึดอัดนี่ไม่ไหว จนต้องรีบหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการกลับหลังหันแล้ววิ่งหนีออกมา แต่วิ่งออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าวฉันก็ต้องหยุดเท้าที่กำลังก้าววิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองหน้านายอีกาหน้าหล่อด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ

    “ขอบคุณนะที่เข้ามาช่วยฉันไว้”

    พูดได้แค่นั้นฉันก็รีบโค้งขอบคุณเขาแบบส่งๆก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมา พูดออกไปแล้ว ฉันพูดมันออกไปแล้ว โอ้ยทำไมถึงได้รู้สึกโล่งแบบนี้นะ ฉันได้แต่บ่นกับตัวเองด้วยความรู้สึกโล่งใจหลังจากที่พูดขอบคุณมาร์คัสออกไปแบบนั้น ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำมันจะใช่การช่วยฉันไว้หรือไม่ก็ตามอย่างน้อยๆ ฉันก็ควรที่จะขอบคุณเขาออกไปตามความรู้สึกนี่ แทนที่จะวิ่งหนีเขามาดื้อๆโดยรู้สึกผิดที่ไม่ได้ขอบคุณเขาแน่ๆ


















     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×