ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Krisyeol ft. all member of exo

    ลำดับตอนที่ #41 : Krisyeol Miniseries: Chanyeol’s story3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 171
      8
      15 มี.ค. 61

    Krisyeolminiseries:Chanyeol’s story

    Chanyeol at University.3

     


    ****เนื้อหามีถ้อยคำหยาบคาย เตือนแล้วนะจ๊ะJ****

     

     

     

     


    ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อตอนที่โดนพยุงลงมาข้างล่างหอ นี่ไม่ใช่ฟิควัยใสที่จะโดนอุ้มตามที่เคยลงหน้าแผงหนังสือ แต่มันคือเรื่องจริง เรื่องจริงที่ว่าขนาดตัวผมและคนอื่นๆนั้นมันไล่เลี่ยกัน จึงทำได้แค่หิ้วปีกพยุงกันลงมา แต่ด้วยความที่พี่คริสนั้นตัวใหญ่กว่าผมเล็กน้อยและอีกฝั่งคือไอ้เซฮุนที่ตัวเล็กกว่าผม ทำให้ผมต้องทิ้งตัวไปทางของพี่คนโต พี่มันก็สอดแขนประคองเอวผมไว้แล้วพยุงลงมาอย่างทุลักทุเล

     



    เพิ่งรู้สึกว่าชั้นสามมันช่างยาวนานก็วันนี้นี่เอง....

     



    ผมยังคงร้องไห้ต่อเพราะอาการเริ่มกำเริบเมื่อผมได้สติอีกครั้ง เสียงหวีดร้องไปทั่วตึกทำให้หลายๆคนสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     


    ชั้นล่างสุดมีพี่ผู้ชายสองคนตัวใหญ่ยืนอยู่ เห็นพี่คริสพูดอะไรซักอย่าง พี่คนตัวใหญ่ล่ำบึกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม

     



    “สภาพนี้เดินไปขึ้นรถไม่ไหวแน่ว่ะ”  เค้าหันไปพูดกับพี่คริส ก่อนจะมองหน้าผมอีกครั้ง

     


    “พี่ขอโทษนะน้อง”  พูดจบ ร่างของผมก็ลอยหวือขึ้นสู่อ้อมแขนแกร่งของพี่คนนั้น โดยมีพี่คริสช่วยประคองหลังให้ เพราะตัวผมไม่ใช่เล็กๆ ผมที่ปวดหัวก็ทั้งดิ้นทั้งร้องลั่น กว่าจะถึงรถยนต์ของพี่เค้าก็เล่นพี่แกหอบใหญ่อยู่เหมือนกัน

     


    “คริส มึงเข้าไปรับน้องข้างในรถดิ” พี่คนที่อุ้มผมสั่ง แล้วอุ้มผมเข้าไปข้างในรถ โดยมีพี่คริสประคองอยู่ข้างใน มือใหญ่พยายามปัดเส้นผมที่ปรกปิดหน้าของผมให้พ้นๆไปด้านข้าง แล้วช้อนหัวผมให้นอนพิงที่ไหล่กว้างนั้นไว้  แขนยาวอีกข้างตวัดโอบผม แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป โดยพี่ผู้ชายอีกคนขับ แล้วคนที่อุ้มผมนั่งเบาะข้างหน้าคู่คนขับ


     

    ไม่มีเสียงพูดใดๆ แข่งกับเสียงร้องไห้ของผม  ผมได้แต่นั่งสะอื้นจมอยู่ในอ้อมอกของคนที่ตัวโตกว่า พี่มันก็มีหน้าที่ลูบหัวปลอบประโลมไปตลอดทาง



     เมื่อถึงโรงพยาบาล ผมถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินโดยที่คนอื่นๆนั่งรออยู่ด้านนอกเพื่อรอฟังผลอาการของผม


     

    ผมถูกยึดด้วยบุรุษพยาบาลสองคนก่อนที่พยาบาลจะเอาเข็มฉีดยามาฉีดที่หัวไหล่ของผม ผมจึงสงบลงด้วยฤทธิ์ยา  ภาพรอบตัวเริ่มเลือนราง  สิ่งที่ผมเห็นครั้งสุดท้ายคือใบหน้าพี่คริสที่โผล่เข้ามาในห้องฉุกเฉิน แล้วทุกอย่างรอบตัวผมก็ดับมืดไป

     

     

     

     


    “อึก...”



     

    แสบตา.........

     



    “ตื่นละเหรอมึงอ่ะ ชิบหายหลับเหี้ยไรวันนึงเต็มๆ กูนึกว่าจะต้องไปจับกบจับเขียดมาจุมพิตมึงซะละ” เสียงบ่นของรูมเมทผมดังขึ้น ไอ้จงแดเดินมายืนข้างเตียง ก่อนจะส่งน้ำมาให้ผมจิบอย่างรู้งาน



    “กูจะได้ออกจากโรงบาลเมื่อไหร่”

     



    “ถ้าวันนี้มึงดีขึ้นแล้วน้ำเกลือหมดก็กลับได้แล้ว”

     



    “แล้ว...”

     



    ก๊อกๆ

     



    ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ เสียงเคาะประตูแรกของวันก็ดังขึ้น ผมขมุบขมิบปากแบบไม่มีเสียงถามไอ้จงแดว่าใครมันก็ส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบก่อนจะเดินไปเปิดประตู

     

     


    “อ้าว ฟื้นละเหรอ เป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นนำก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงในชุดสบายๆธรรมดาแต่ดันดูดีเมื่ออยู่บนเรือนร่างสูงสง่านั่น

     



    คนบ้าไรวะแค่เสื้อยืดก็ยังดูดี

     



    “ก็ดีขึ้นแล้วครับ” ตอบปัดๆแล้วหันข้างมาบึนปากอย่างหมั่นไส้

     



    คิดว่าหล่อแล้วจะทำให้คนอื่นใจสั่นเล่นได้ง่ายๆแบบนี้หรือไง บ้าไปแล้ว เฮอะ!

     

     


    “เอ้อ มึงต้องไปเรียนหนิ ยังไงทางนี้กูดูต่อเอง มึงไปเถอะ” คริสหันไปคุยกับจงแดเป็นนัยๆ เพื่อให้อีกคนรู้ตัว ซึ่งอีกคนก็ตอบรับได้ทันควัน

     


    “ครับเฮีย ผมฝากมันด้วยนะ กูไปก่อนนะมึงตอนเย็นๆกูจะเข้ามาพร้อมกับพวกไอ้ฮุนนะ” ไอ้จงแดหันมายิ้มหวายหยดก่อนจะสะบัดตูดชิ่งออกไป

     



    “อ่าวเฮ้ย! เดี๋ยวดิ...”

     


     

    ปึง!

     



     

    ไปแล้ว....

     



    มันทิ้งกูไปแล้ว....

     

     


    แล้วทิ้งให้กูอยู่กับไอ้พี่หน้าหล่อนี่สองคนเนี่ยนะ  มันกำลังคิดอะไรอยู่ ไปไว้ใจเขาได้ไง

     


    “ไงเราอ่ะ คิดอะไรอยู่หน้านิ่วเชียว กินไรหน่อยมั้ย พี่ซื้อข้าวต้มมา” พี่มันเดินเข้ามายืนข้างเตียงพร้อมชูถุงข้าวต้มที่ซื้อติดมาขึ้นให้ดู

     



     

    แต่ขอโทษนะ....

     

     


    “ผมไม่ชอบกินข้าวต้ม”

     


     “ทำไมล่ะ คนป่วยก็ต้องกินข้าวต้มสิ” พี่มันเลิกคิ้วสูงขึ้น

     

     

    “แล้วไงก็ผมไม่ชอบ” เออ คนไม่ชอบกินนี่ก็บังคับจังวะ

     


    “ไม่ชอบเพราะพี่เป็นคนซื้อมาหรือเปล่า...”ใบหน้าหล่อหลาหม่นลงพร้อมกับลดมือที่ถือถุงข้าวต้มนั่นลงด้วย

     

     

    “เฮ้ย! เปล่าพี่ผม...”

     

     


    ชิบหายละไง กูไม่แดกอ่ะเข้าใจป่ะ?

     

     


     กูแดกข้าวต้มไม่เป็นโว้ยยย!!

     



    “เอาเถอะ พี่คงจะวุ่นวายกะเรามากเกินไปพี่ขอโทษนะที่..”

     

     



    ประชัดนักใช่มั้ย..

     



    “เออกินก็ได้วะ!  หลับหูหลับตาตะโกนปัดๆไป  หันมามองหน้าที่ตอนแรกจะเบะปากเป็นเด็กอนุบาลสามขวบเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งในพริบตา

     

     


    ชั่วร้ายจริงๆ

     

     


    “ยิ้มอะไรเล่า เทใส่ถ้วยดิจะให้เอาหลอดเจาะดูดหรือไง” จะยิ้มจะเงิงแห้งหรือไง จะโชว์เหงือกสีชมพูสุขภาพดีให้ดูว่างั้นเถอะ

     


    “ครับๆจะทำให้เดี๋ยวนี้แหละครับ”


     

    พูดเสร็จร่างสูงก็ลุกขึ้นไปจัดแจงเอาข้าวต้มใส่ถ้วย รินน้ำใส่แก้ว พร้อมกับเลื่อนโต๊ะเลื่อนสำหรับวางอาหารมาให้  ผมนั่งชั่งใจนิ่งๆ เกิดมาชีวิตนี้บอกกับตัวเองไว้ว่าจะไม่กินข้าวต้มหรือโจ๊กอีก ผมไม่ชอบกินข้าวแฉะๆหรืออะไรเหลวๆเละๆแบบนี้ ผมกินไม่ได้ กินทีไรผมจะอ้วกออกมาทุกที

     



    “ ต้องป้อนด้วยป่ะ” คงเห็นผมนั่งนิ่งนานเกินไป พี่คริสเลยพูดแซวขึ้นมา ผมสะดุ้งหันมาอีกทีก็เห็นพี่มันนั่งเท้าคางอยู่ข้างเตียง รอผมยื่นมือไปหยิบช้อน

     


    “ตลกละ มือมีกินเองได้เหอะ” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ

     

     



    กูจะอ้วกอีกมั้ยวะ......

     



     

    ขอบคุณข้าวต้มที่พี่มันซื้อมามันยังเป็นรูปเป็นร่างของเมล็ดข้าวที่สวยงาม ผมจึงใช้ช้อนซาวๆเอาแค่เม็ดข้าวตักเข้าปาก...

     

     


    อร่อย....

     

     


    เออ...อร่อยว่ะ

     

     


    “ นิ่งทำไมอ่ะ  ไม่อร่อยเหรอ” พี่คริสหน้าถอดสีเมื่อเห็นผมนิ่งไป

     

     


    “ป่าว ก็อร่อยดีหนิ”

     

     

    “จริงหรอ ฮ้า~~ ชื่นใจจัง ไม่เสียแรงที่ตื่นขึ้นมาทำ” สีหน้ากับคำพูดที่ดูโล่งใจแสดงออกมาอย่างลืมตัว

     



    “ไหนบอกว่าซื้อมา..”

     

     


    มึงโกหกกูเหรอ ไอ้พี่คริส!!!


     

     

    “เฮ้ย อะไรพี่ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะ ถ้าพี่บอกว่าพี่ทำเอง เราจะกล้ากินของพี่เหรอ”

     



     

    ไม่ต้องทำตาปริบๆ!

     

     



    มันไม่แมน!.....

     

     

     

    “รู้งี้แล้วยังจะกินต่อมั้ยอ่ะ”

     

     

     

    “ก็ไม่ได้แย่ซักหน่อย...”

     

     

     

    ใช่... กูเนี่ยแหละ ดูแด๊ดแด๋ไม่แมนเลย!!!

     

     


    ยิ้มทำไม....

     

     

     

    กูเนี่ยจะยิ้มทำไม!!!

                                                                                      

    .



    .



    .


    TBC

     

    Talk: ขอตัดจบเพื่อให้ลูกสาวกลับไปพักหาสติสตังก่อนละกันนะ

     

    ก่อนอื่นเราต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานมากๆๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งช่วงให้นานขนาดนั้น พูดตรงๆเลยคือ เราติดเอฟวิชาหลัก เรามีปัญหาเรื่องการเรียนจนเราต้องตัดสินใจซิ่วเข้าเรียนใหม่ ทำให้อะไรหลายๆอย่างยังไม่ค่อยลงตัว ไม่มีเวลามาอัพฟิคเลย ขอโทษจากใจจริงนะทุกคน เราพยายามที่สุดแล้ว ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวเห็นถึงความพยายามเรื่องเรียนของเรามากขึ้น แต่เราสัญญาเลยว่าจะไม่หายไปนานขนาดนี้อีกแล้ว ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกันนะ ^3^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×