.........
คราวนี้จะขอนำเอาเรื่องราวของผู้ที่ตายแล้ว กลับฟื้นขึ้นมา มาเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ท่านผู้นี้ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว อ่านหนังสือของท่านมาหลายปี นึกชื่อไม่ออก ท่านเขียนไว้ในหนังสือบอกว่า ท่านอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ที่กรุงเทพฯ ท่านบอกชื่อเสียงเสร็จ ท่านรับรองว่าการพูดของท่านเป็นความจริง ในหนังสือของท่านเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กอายุ ๑๖-๑๗ ปี ท่านเป็นนักล่าสัตว์ แต่ว่าล่าสัตว์ตามท้องนานะ ไม่ใช่ล่าสัตว์ในบ้าน ชอบยิงนกกระจาบ นกกระจาบนี่ยิงมาได้เป็นกระบุงๆ (ไม่ใช่วันเดียว คิดหลายวันรวมกัน) แล้วก็มาคราวหนึ่ง เจ้าไก่ตัวหนึ่งมันเป็นไก่อยู่ที่บ้าน มันซนนัก ท่านก็จับมันเชือดคอจะแกง เมื่อเวลาที่เชือดคอแล้วเข้าใจว่ามันตายก็วางลงไป มันก็วิ่งหนีไปอีก ท่านก็เลยจับมันมาเชือดเป็นวาระที่ ๒ เชือดเสียขาดเลยตาย ต่อมาท่านเกิดปวดฟันไม่สบายตั้งใจว่าจะไปหาหมอถอนฟัน แต่ก็ยังไม่ได้ไป เวลาปวดอยู่นั้น พี่สาวเอายาอะไร กอเอี๊ยะหรืออะไรไม่ทราบ มาแปะให้บรรเทาความปวดท่านก็นอนลงไป ประเดี๋ยวความปวดฟันมันก็คลายตัว หลับไป มีความรู้สึกเคลิ้ม คล้ายๆ กับหลับ แต่ความจริงไม่ได้หลับ พอมีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นตัวที่ ๒ ขึ้นมามองเห็นตัวเดิมนอนอยู่ เห็นตัวที่ ๒ ยืนอยู่ แต่สภาพร่างกายเป็นสภาพเดิม เห็นคนนุ่งแดง ใส่แดง ใส่เสื้อแดง นุ่งกางเกงแดงมีอยู่ ๔ คน บอกว่าไปด้วยกัน ฉันมารับ นี่แสดงว่าตายแล้ว เขาว่าฉันมารับ เธอไปกับฉัน ท่านก็เดินตามไปอย่างคนว่าง่าย พอไปถึงสำนักของพระยายม ปรากฏว่ามีนกฝูงใหญ่บินอยู่ในที่นั้น พอเขานำเข้าไปในสำนักของพระยายม นายบัญชีก็เปิดบัญชีขึ้นมา ประกาศความชั่วของท่านทั้งหมด ที่ทำในสมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ ไอ้ตอนต้นๆ ท่านยอมรับทุกอย่างว่าเป็นความจริง แล้วตอนท้ายท่านบอกว่าไม่จริง พอบอกว่าไม่จริงเท่านั้นแหละ พระยายมก็เอะใจ ถามว่าตรวจดูซิว่าคนที่ให้ไปเอามาน่ะเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงไม่ตรงกับบัญชี เขาก็ถามชื่อท่าน ถามนามสกุลท่าน ท่านบอกชื่อและนามสกุล พระยายมก็บอกว่าผิดตัวแล้ว นามสกุลไม่ใช่อย่างนี้ อายุ ๑๗ ปีเหมือนกัน ชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล ท่านให้นายบัญชีตรวจตำบลบ้านกลายเป็นคนละจังหวัดไป ท่านอยู่จังหวัดเพชรบุรีนะ แต่คนที่ให้ไปเอามานั้น เป็นคนจังหวัดราชบุรี มันลงบุรีๆ เหมือนกัน นี่แสดงว่าผีที่มานำตัวนี่ก็ห่วยๆ เหมือนกัน ไม่แน่นัก อาจจะจับผิดตัวได้ แล้วขณะที่เข้าไปใหม่ๆ ท่านบอกว่า ไอ้นกกระจาบมันก็ไปรายงานเป็นพยาน บอกว่าไอ้เจ้านี่มันโหดร้ายเหลือเกิน มันยิงพวกข้าพเจ้าตายเป็นเบือไปหมด พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว เจ้าไก่ก็เหมือนกัน มันเข้าไปรายงานว่า เจ้านี่โหดร้ายมาก มันฆ่าข้าพเจ้า ๒ ครั้ง ๒ หน พระยายมก็บอกว่าทราบแล้ว ในขณะที่เขารายงานอยู่ แล้วก็สอบถามกันอยู่ และเจ้าไก่กับนกกระจาบถอยออกไปแล้ว ทีนี้ เมื่อพระยายมถามว่าเจ้าทำแบบนี้ นี่ควรลงโทษอย่างหนัก แล้วความชั่วมีมาก ถึงแม้ว่าจะผิดตัวก็ตาม แต่ก็เป็นการดีแล้วที่ไม่ต้องตามบ่อยๆ ท่านว่ายังงั้น เอาเสียเลยเป็นไง ลงโทษกันตามกฎของกรรมเลยเป็นไง ท่านบอกท่านก็นิ่ง ไม่มีอะไรจะเถียงเขา ในที่สุดนายนิริยบาลก็ทำท่าจะรับตัวท่านจะเอาไปลงนรก นำไปลงนรก แต่ขณะที่เดินก้าวออกมานั่นเอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงเบื้องหลัง บอกช้าก่อนๆ ความดีของเขายังมีอยู่ ยังไม่ควรจะได้รับโทษ ท่านก็เลยเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่ง คลานตุบตับๆ ขึ้นมาทางด้านหลังพระยายมก็เลยเรียกให้กลับมาใหม่ บอกว่าประเดี๋ยวก่อน มีคนเขาประกาศว่าเจ้าเคยทำความดี นี่ความจริงในตอนต้นพระยายมก็ซักถามถึงความดีแล้วตามที่บอกมา แต่ทว่าท่านบอกท่านเองก็นึกไม่ออกว่าเคยทำบุญสุนทานอะไรบ้าง มันนึกไม่ออกจริงๆ ตานี้เมื่อเต่าไปรายงานแบบนี้ท่านก็หันหลังมา พระยายมก็ถามเต่าว่า เขามีความดีอะไรไว้พอที่จะเป็นหลักฐาน เจ้าเต่าก็รายงานว่า คนนี้น่ะเขามีความดี ความชั่วอย่างอื่นเขามีจริงแหล่ แต่ทว่าความดีที่มีสำหรับข้าพเจ้าก็มีอยู่ พระยายมจึงถามว่าเขาดีอะไร เจ้าเต่าก็รายงานบอกว่า เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อปีที่แล้วมีคนขี้เมามันจับข้าพเจ้าจะไปฆ่า เอาไปทำแกงทำกับแกล้มเหล้า คนนี้ได้ไปขอซื้อเข้าไว้ แล้วเอาข้าพเจ้าไปปล่อยไห้รอดจากความตาย พระยายมก็ถามว่าหลักฐานมีไหม เจ้าเต่าก็บอกว่ามีเขายังเขียนชื่อของเขาไว้ที่หน้าอกของข้าพเจ้า พระยายมก็ให้เจ้าหน้าที่พลิกอกขึ้นดู ปรากฏว่าเป็นชื่อของพี่สาว นายบัญชีก็ตรวจบัญชี พบพอดีเหมือนกัน ว่าเต่าตัวนี้รอดตายเพราะชายคนนี้เป็นเวยยาวัจจมัย ช่วยซื้อ แต่ความจริงพี่สาวเป็นคนซื้อ แต่ว่านายคนนี้เป็นคนนำเงินไปให้คนขี้เมา แล้วก็เป็นคนรับเต่าเอามาแล้วเขียนชื่อพี่สาวลงไป ในที่สุดก็นำเต่าไปปล่อยด้วยมือของตนเอง พระยายมก็หันมาถามท่านว่าเป็นความจริงตามนั้นไหม ท่าก็เลยรับ ตอนนี้นึกได้ว่าเป็นความจริงพระยายมก็เลยบอกว่า ความดียังมีอยู่นะ นี่บังเอิญยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าถึงอายุขัยแล้วจะปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่นี่ยังไม่ถึงอายุขัยจงกลับไปที่เดิมก่อน แล้วต่อจากนี้ไปจงอย่าทำกรรมชั่ว ท่านแนะนำมาว่าสัตว์สำคัญจงอย่าฆ่ามี ๑. ช้าง ๒. จระเข้ ๓. เต่า แล้วก็ ๔. อะไรไม่ทราบ เพราะพวกนี้มีกรรมหนัก ไอ้ที่ว่า ๔ นั่นจำไม่ได้นะ อาตมาคนพูดจำไม่ได้ แล้วท่านก็บอกว่า ถึงแม้สัตว์เล็กก็เหมือนกันไม่ควรจะฆ่า กลับไปแล้วควรจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แล้วก็พยายามเจริญภาวนาเข้าไว้ให้จิตน้อมเข้าไปในส่วนของกุศล เอาจิตนึกถึงส่วนกุศลไว้เป็นประจำ เวลาเขาจะนำมา จิตจะได้ระลึกถึงกุศลได้ จิตที่นึกถึงกุศลเป็นประจำน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วอาจจะเข้าใจยาก เราจะไปนั่งนึกถึงสิ่งที่เราทำบุญทำทานทุกอย่างทุกประการ เราก็นึกไม่ออก บางทีเราก็นึกไม่ไหวเพราะมันมากด้วยกัน ก็นึกตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน ในอนุสสติ ๑๐ ประการ มีพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น คือว่านึกถึงความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอะไรอีก ๑๐ ประการ ไปเปิดดูในคู่มือกรรมฐานหรือว่าในวิสุทธิมรรคจึงจะเข้าใจ ในหลักสูตรของนักธรรมโทก็มี เป็นอันว่าพระองค์นั้น สมัยนั้นไม่ใช่เป็นพระ พ้นจากการลงนรกไป เมื่อท่านทราบแล้ว เขาก็ปล่อยกลับที่เดิม กลับที่เดิมแล้วก็กลับเข้าร่างกายใหม่ ท่านบอกว่าอาการที่ปวดฟันมันก็หายไป นี่เป็นอันว่าเวลาที่เขาจะนำไปเขาทำให้ตายได้ คือเอาจิต เอาวิญญาณ ร่างภายในไปเสีย ไอ้ตัวสั่งงานที่ร่างกายไม่มี ร่างกายมันก็เหมือนท่อนไม้
เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่เคารพ นี่เรามานั่งฟังเรื่องราวของพระยายมกัน แล้วท่านทั้งหลายคิดไหมว่าพระยายมมันเป็นพวกของสัตว์นรก เป็นยังงั้นหรือเปล่า? แต่ความจริงไม่ใช่ยังงั้นนะ พระยายมนี่เราฟังกันแล้ว แล้วดูหน้าตาท่านซิ ท่านแสดงความสดชื่นบอกไม่ถูก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ที่เขาบอกว่าพระยายมมีเขา เห็นไหม? เห็นเขาพระยายมไหม? ไม่มี หวีผมออกแปร้ หน้าตาสะสวย แต่นี่ว่ากันตามจิตของพระอรหันต์นะ พระที่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณและพระอรหันต์ด้วย หรือว่าได้อภิญญา และเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านเห็นมาตามนั้น แต่บางคนที่ลงไป อาศัยที่กรรมมีมากความดียังไม่แจ่มใส อาการจิตที่เป็นทิพย์ยังน้อยเกินไป ก็จะเห็นบางคนในสำนักพระยายมนี่น่ากลัว พระยายมบางทีท่านนั่งอ้วนพลุ้ย แล้วนายนิริยบาลก็ดี หรือเทวดาประจำสำนักก็ดี นายบัญชีก็ดี จะรู้สึกว่าไม่สะสวย นั่นเรียกว่าตาหรือใจยังมีกิเลสอยู่มากเหมือนคนตาฝ้าตามัว มองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก ตานี้เรามาว่ากันต่อไป ในเมื่อพระยายมมีหน้าที่อย่างนี้ แล้วก็อยากจะถามว่าพระยายมเป็นพวกนรก หรือเป็นพวกสวรรค์ อันนี้เราก็ดูการแต่งตัว ดูซิ สำนักของพระยายมเป็นวิมานแพรวพราวไปด้วยแก้วและทอง แม้แต่ม่านที่กั้นชั้นในก็เป็นม่านแก้วมณี ม่านที่กั้นรองลงมาก็เป็นม่านทองคำ ม่านที่สามออกมาก็เป็นม่านเส้นเงินและเส้นทอง ม่านภายนอกเป็นม่านสีแดงนี่ แล้วก็ม่านภายนอกสุดเป็นม่านสีดำ เห็นไหม ไม่เหมือนกันที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าข้างนอกก็ปล่อยให้มัวๆ ไป ถ้าหากว่าเราจะมองๆ ดูพวกนายนิริยบาลที่มาคอยรับคน คนที่แต่งตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาไม่สะสวย หาความสวยไม่ได้เลย มีแต่ความน่ากลัว แกพูดก็ไม่ค่อยเป็น น่ากลัวจะไม่ได้เรียนภาษามนุษย์ เข้าไปถามอะไรแก แกยืนเฉย มองตาปริบๆ บางทีก็มองตาเป๋งแกไม่พูด ตาพวกนี้น่ากลัวจะไม่ได้หัดพูดมา พวกนี้แต่งตัวไม่สวย นุ่งผ้าหยักรั้ง เสื้อแกก็ไม่ใส่ ถืออาวุธ ผมก็หยิก หน้าตาก็ดุ น่าเกลียด น่ากลัว ทีนี้มาดูพวกของพระยายมบ้าง ตั้งแต่พระยายมลงมา พระยายมมีเครื่องประดับเป็นพื้นสีทอง เป็นทองคำก็แล้วกัน แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ เต็มไปทั้งเสื้อทั้งผ้านุ่ง หน้าตาอิ่มเอิบ ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยสดงดงาม สีเหลืองๆ เนื้อท่านน่ะ ขาวเนื้อละเอียดผิวเหลือง สวยมาก ทีนี้หันไปทางขวา ถ้าเราหันหน้าไปทางพระยายม จะเห็นนายบัญชีใหญ่มีพื้นสีทองเหมือนกัน เครื่องแต่งกายจะมีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี หน้าตาอิ่มเอิบสวยสดงดงามเหมือนกัน มองดูไปทางซ้ายหัวหน้าเทวดาใหญ่ หัวหน้าเทวดาใหญ่มีเครื่องประดับแต่งกายเป็นพื้นสีแดง แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ หน้าตาสวยสดงดงามยิ้มแย้มแจ่มใส นี่ ท่านจึงกล่าวว่าพระยายมไม่ใช่พวกนรก เป็นพวกของพรหม เรียกว่าเป็นพวกของสวรรค์ อาการที่ท่านแสดงออกมีอาการของพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน คือ มีเมตตาเขานำสัตว์นรกลงไปแล้ว แทนที่ท่านจะโหดร้าย กลับแสดงความเมตตาปรานี มีความรักมีความสงสาร เมื่อสัตว์นรกตอบรับความผิดทุกอย่างแล้ว แทนที่จะลงโทษกลับหันมาถามถึงความดีให้คิดให้ตอบ ถ้าตอบถึงกฎของความดีได้เพียงคำเดียว ท่านบอกว่าผลของความดียังมีอยู่ ปล่อยไปรับผลของความดีก่อน ตานี้ เมื่อสัตว์ทั้งหลายทบทวนความดีให้ฟังถึง ๓ ครั้งแล้ว สัตว์ทั้งหลายนึกไม่ออก ท่านก็ต้องปลงอุเบกขา บอกว่าเมื่อเราทบทวนถึงความดีแล้ว ท่านนึกไม่ได้ก็จำใจต้องปล่อยให้ไปตามกฎของกรรม นี่ละบรรดาท่านผู้รับฟัง และท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจรลงมาเมืองนรก นี่ก็เป็นชุดที่สาม ชุดที่สามแล้ว จงจำไว้และเข้าใจด้วยว่า พระยายมไม่ใช่พวกของสัตว์นรก พระยายมเป็นชาวสวรรค์ คอยกีดกันคนไม่ให้ลงนรก เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง เวลานี้ก็ครบเวลาพอดี ๓ นาที หรือจะเลยไปนิดก็ไม่ทราบ ก็ต้องขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทพักผ่อน ไม่ใช่กลับ คือนอนกันอยู่เมืองนรกนี่แหละ ท่านทั้งหลายที่ติดตามก็เหมือนกัน ยังกลับไม่ได้ นอนอยู่ในเมืองนรกด้วยกันก่อน เอาละ วันนี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่ติดตามชมนรกทุกท่าน สวัสดี.
ความคิดเห็น