คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กรรมที่นำไปสู่นรก(1)
ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ สำหรับต่อไปนี้จะเห็นว่าเป็นการสิ้นปีสำหรับพุทธศักราช คือว่าพุทธศักราชนี้เขาเริ่มเลิกกันกลางเดือนหก เปลี่ยนเป็นระบบใหม่ เรียกว่าขึ้นปีใหม่สำหรับพุทธศาสนา แต่ทว่า พ.ศ. ที่เขาใช้กันนั้นจะเปลี่ยนเดือนมกราคมหรือว่าเมษายนก็ตาม เป็นเรื่องของบ้านเมือง แต่ว่าสำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนานั้นก็มาเปลี่ยนกันกลางเดือนหก เพราะเป็นเขต เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ฉะนั้น เมื่อศักราชเปลี่ยนไปใหม่ถึงปีใหม่ก็ชื่อว่าเป็นการขึ้นถึงปีใหม่ของพระพุทธศาสนา ฉะนั้น บรรดาเรื่องราวของหลวงพ่อปานที่อาตมาได้พูดมากับพุทธบริษัทในตอนต้นๆ หรือตอนก่อนมาแล้ว ก็เป็นอันว่าระงับไป ความจริงเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่จบ ถ้าจะพูดกันให้จบอีกสามปีก็ไม่จบ คราวนี้ถ้าหากบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบว่าไปขมวดจบกันตอนไหน อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าอยากจะทราบ โปรดหาหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอ่าน ซึ่งอาตมาได้เล่าจากการบันทึกและที่บันทึกตุนเข้าไว้ จัดพิมพ์ขึ้น โดยคุณอรอนงค์ คุณะเกษม เป็นเจ้ามือใหญ่ แล้วก็สิบตำรวจพัว ชระเอม จังหวัดสิงห์บุรี ตำบลบางพุทรา อยู่ใกล้ตลาดสิงห์บุรีเป็นผู้ให้ทุนเริ่มต้น แล้วก็คุณสุวัฒน์อีกคนหนึ่ง ลืมนามสกุล ให้ทุนเริ่มต้น ทั้งสองท่านนี้ให้ทุนท่านละ ๔,๐๐๐ บาท หนังสือนี้พิมพ์ ๓,๐๐๐ เล่ม รวมเงินแล้ว ๖๐,๐๐๐ บาท ฉะนั้น หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้ติดต่อที่สิบตำรวจพัว ชระเอม ตำบลบางพุทรา จังหวัดสิงห์บุรีอยู่ใกล้ๆกับจังหวัด อาตมาเองก็ไม่รู้จักบ้านเหมือนกัน ที่บ้านท่านมี แล้วก็ที่อาตมาก็มีอยู่บ้าง แล้วก็ที่คุณสุวัฒน์ เวลานี้ทราบว่าไปเป็นป่าไม้อยู่จังหวัดเชียงใหม่ รายนี้ก็มีอยู่ ๒๕๐ เล่ม ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพผู้ออกเงิน เป็นอันว่าเรื่องราวของหลวงพ่อปาน วันบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ต้องระงับลงเพียงเท่านี้
ต่อจากนี้ไป ก็มาเริ่มเรื่องกันใหม่ เริ่มอะไรดี ยังนึกไม่ออก เอายังงี้ก็แล้วกันนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้น จะไปสู่อบายภูมิหรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไปสู่พระนิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรกหรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น
คราวนี้ มาว่ากันถึงผล
ต่อจากนี้ไปจะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง “ไตรภูมิ”
ไตรภูมิ แปลว่า ภูมิสาม ภูมิก็แปลว่าแผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดีก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ มีอุปมาดุจหนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหม ที่ท้าวผกาพรหมท่านบอกว่าพรหมทั้งนั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาศัยพวกระฆังเล็กๆทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท กรอกหูนานๆมันอดจะเขวไม่ได้หรอกเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านเมาเข้าแล้วท่านก็เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้วก็ประกาศว่าสิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือพระนิพพาน ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหม มีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของท่านผกาพรหมก็เสด็จไปสู่พรหมท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่างๆเพื่อเป็นการทรมาน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตามพระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ปรากฏ ท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฐิเพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่ามารในที่นี้ไม่ได้แปลว่ายักษ์ มารแปลว่า ผู้ฆ่า คือความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด เธอเกิดเป็นพรหมมาหลายรอบหลายจังหวะ เกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำ แล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัป จึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไป เธอจงเป็นผู้เห็นถูก ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่นั่นคือพระนิพพาน
เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษ สูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำราไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณแล้วก็สามารถเจริญวิปัสสนาญาณถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน จะพูดกันได้ตอนไหน ก็ตอนที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ โคตรภูรู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน (อาการจะเป็นยังไง ไม่ใช่มานั่งสอนพระกรรมฐาน, ไม่บอก) ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบายๆ ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด ทีนี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไรได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่าไอ้ “เวลาสมควร” น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้ ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้ นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่ แล้วถ้าหลวงพี่ยังจะมานั่งคอยเวลา “สมควร” น่ะ นี่ถามจริงๆเถอะพ่อคุณ บวชเข้ามาเวลานี้น่ะปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าการบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่างเป็นสำคัญ หนึ่ง อธิศีลสิกขา รักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส สอง อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่าได้ญาณ สาม อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส ทำหรือเปล่า อันนี้ต้องทำตั้งแต่วันบวชนะ เข้าใจว่าไม่รู้เรื่องหรอกหลวงพี่องค์นั้นน่ะ นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเด่น แล้วเวลาพูดก็เห็นอ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะแล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่ากิเลสยังเต็มหัวอยู่ เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธบริษัทควรรู้ ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นี่มันดีหรือหลวงพี่? จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้วจงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย (ไม่ใช่นักปราชญ์) ตัดความสำคัญออก เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชบอกกับอุปัชฌาย์ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ ไปขึ้นเอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริงๆ เราจะมาปรารภลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อประโยชน์อะไร เป็นอันว่าหลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะ ดีไม่ดีผมจะบอกว่าหลวงพี่นั้นแหละเวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็นผู้หญิงหลายคนที่เขาปฎิบัตตนได้ดีกว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ดมีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อ เอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร
ความคิดเห็น