ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวบรรดาศักดิ์ | MarkBam (THAI)

    ลำดับตอนที่ #21 : ตอนที่ ๑๗

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.68K
      228
      15 ก.ค. 59

    ลงครั้งแรก 15 กรกฏาคม 2559

    ๑๗

     

    ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาชีวิตของกันต์พิมุกต์กลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ตอนกลางวันไปทำงาน ตอนเย็นแวะไปหาหม่อมจิณเพื่อนรักที่ร้านขนมหวานและตอนค่ำก็ขับรถกลับมานอนที่บ้านในกรม ทุกอย่างเหมือนเดิมจนน่าใจหาย ใครบางคนหลุดออกไปจากวงโคจรของชีวิตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา


    ไม่มีโทรศัพท์  ไม่มีจดหมาย


    ไม่มีการติดต่อกลับมาเพื่อยืนยันว่าตนปลอดภัยเลยสักครั้งตั้งแต่ที่ฆนากรก้าวเท้าเดินออกไป


    ข่าวคราวแถบชายแดนที่ได้ยินได้อ่านอยู่ทุกวันก็ทำให้หัวใจดวงน้อยวูบโหวงคิดไม่ตกจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร เป็นอย่างที่ราชนิกุลร่างบางคิดเอาไว้ไม่มีผิด ความสงบในช่องสองสัปดาห์แรกเป็นเพียงแค่ช่วงที่ทะเลสงบก่อนที่คลื่นลูกใหญ่จะซัดเข้าหาฝั่ง


    สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากสงบนิ่งจนทำให้ฝั่งของเราตายใจ กองทัพอากาศได้ทำหน้าที่ของตนตามความรับผิดชอบโดยตรงเมื่อมีเครื่องบินต้องสงสัยลำหนึ่งล่วงล้ำเข้าสู่เขตน่านฟ้าของประเทศไทยเพื่อทิ้งระเบิดสร้างความเสียหายและคร่าชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านอพยพบริเวณใกล้เคียงไปจำนวนมากมาย เหตุการณ์น่าหวาดกลัวทำลายขวัญและกำลังใจจากคนที่นี่ไปจนหมดสิ้น


    รวมถึงแบมแบมด้วย


    เพราะเขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าคนที่คะนึงถึงอยู่ตลอดเวลาจะยังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่


    แม้จะมีเพื่อนฝูงคอยอยู่ข้างๆ คอยชวนคุย ชวนหาเรื่องทำเพื่อให้หยุดคิดถึงเรื่องนั้นไปบ้าง แต่กันต์พิมุกต์ก็ยอมรับได้เต็มปากเลยว่ามันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้เลย จิณภัทรเองก็ห่วงรวีวิทไม่ต่างกันแต่ก็ยังพยายามจะมาคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยมาชวนคุย เห็นแก่ความพยายามของเพื่อน คุณชายตัวน้อยจึงจำต้องแสดงท่าทีว่ามีความสุขไปกับกิจกรรมเหล่านั้น


    หากแต่ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวก็ยังเฝ้าคิดถึงอีกคนที่อยู่ไกลแสนไกลอยู่ดี


    ความรู้สึกของคนรอมันทรมานมากแค่ไหน หากไม่ได้มาประสบพบเจอด้วยตนเองก็คงจะไม่เข้าใจ


    “คุณสร้อยได้ยินข่าวทหารเสียชีวิตที่ชายแดนบ้างไหมคะ??” มือน้อยที่กำลังหยิบจับเอกสารประกอบการสอนอยู่ชะงักงันเพียงเพราะได้ยินเสียงหวานของอาจารย์ร่วมแผนงานเดียวกันเอ่ยถึงเรื่องราวข่าวสารที่เพิ่งจะอัพเดตออกผ่านวิทยุไม่นานมานี้


    กันต์พิมุกต์ไม่ทันได้ฟังเพราะว่าติดสอน


    มีคนมาพูดให้ฟังอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน..


    อย่าถือโทษที่แอบฟังเลยนะครับ..


    “ยังไงหรือคะคุณภา”


    “ได้ข่าวว่าวันนี้มีทหารเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกสามรายน่ะค่ะ เหมือนว่าเครื่องบินขับไล่จะโดนลอบยิง” ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้น หัวใจดวงน้อยในอกเต้นช้าลงราวกับกำลังจะหยุดการทำงาน เรือนกายบอบบางลุกขึ้นจนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเท้าไปยังเจ้าของบทสนทนาทั้งสอง


    ดวงตากลมเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา สั่นไหวแตกร้าวยามจับจ้องไปยังใบหน้าของหญิงสาวแล้วเอ่ยถามเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยินหากไม่ตั้งใจฟังดีๆ


    “ขะ ขอโทษครับ”


    “อ้าว อาจารย์หม่อม” ภาวิณีช้อนดวงตาคู่สวยมองอาจารย์หม่อมคนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาเริ่มทำงานในปีการศึกษานี้ก่อนจะยกยิ้มอย่างเป็นมิตรส่งไปให้ แบมแบมหน้าซีดเผือดจนน่าตกใจ ร่างน้อยไม่ได้ส่งยิ้มกลับไปอย่างที่ควรจะเป็นทั้งที่ถ้าเป็นเวลาปกติเธอผู้นั้นคงได้มีโอกาสชื่นชมรอยยิ้มหวานสวยนั้นไปแล้ว มือเรียวที่สั่นไหวแตะเข้าที่พนักพิงของเก้าอี้เพื่อพยุงร่างของตนไม่ให้ทรุดลงไปกับพื้น


    แบมแบมกำลังหวาดกลัว


    กลัวเหลือเกินว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น


    รู้ว่าอาจจะตื่นตูมไปเอง รู้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเหล่าทหารเขาก็มักจะต้องรู้สึกแบบนี้ทุกครั้ง หลายวันมานี้รั้วของชาติสูญสิ้นชีวิตกันเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ทุกครั้งก็จะเป็นเพียงทหารพรานที่อยู่ใกล้จุดระเบิดและโดนลูกหลงเท่านั้น


    หากแต่ในวันนี้กลับเป็นทีของทหารอากาศที่เครื่องบินขับไล่ถูกยิง


    ไม่ให้คิดในแง่ร้ายก็คงจะไม่ได้


    แต่ก็ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่เขาคิดเลย อย่าเป็นเช่นนั้นเลย..


    “เรื่องทหารที่เครื่องบินถูกยิง”


    “...”


    “ช่วยอธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียดหน่อยได้ไหมครับ”


    “ตายจริง ดิฉันก็ลืมไปว่าสามีของอาจารย์หม่อมเป็นหนึ่งในหน่วยที่ต้องไปรบด้วย” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของตนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่สมควรจะพูดถึงเรื่องไม่ดีในสถานที่นี้ สถานที่ที่มีภรรยาของหนึ่งในทหารกล้าที่ลงไปแถบชายแดนนั่งรวมอยู่ด้วย


    แต่ในเมื่ออาจารย์หม่อมอุตส่าห์เดินมาขอให้เล่า เธอจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน


    “ในข่าวบอกว่าวันนี้มีเครื่องบินขับไล่ของทางฝั่งเราโดนยิงจนหายออกไปจากเขตควบคุมน่ะค่ะ เหมือนว่าจะตกแล้วก็ระเบิดทันทีในป่าลึก ทำให้ไม่สามารถทราบชื่อหรือนามสกุลของผู้เสียชีวิตทั้งสามคนได้”


    “...”


    “ในข่าวเหมือนจะบอกว่าเป็นเครื่องบิน เอฟเอฟ แปดแปดอะไรนี่แหละค่ะ ดิฉันก็ฟังไม่ถนัด”


    หวังว่าคงไม่ใช่ F-86F ที่ฆนากรเคยเล่าให้ฟังหรอกนะ


    หวังว่าผู้เป็นสามีคงไม่ใช่ผู้โชคร้ายหนึ่งในนั้นหรอกนะ..


    “ตายแล้วอาจารย์หม่อม!!”


    “คุณหม่อม!!” ร่างสูงโปร่งของอาจารย์หนุ่มพุ่งเข้าหาร่างบอบบางของอดีตหม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์อย่างรวดเร็ว ปล่อยหนังสือเล่มใหญ่ที่ยืมมาลงกับพื้นไม่ได้สนใจว่าเจ้าหนังสือเล่มหนานั่นจะเสียหายจนโดนห้องสมุดปรับหรือไม่เพื่อโอบประครองร่างน้อยไม่ให้ล้มลงไปกระแทกกับกระเบื้องจนอาจจะบาดเจ็บเอาได้ ดวงตากลมปิดลงสนิทไม่รับรู้อะไรอีกแล้วต่อจากนี้


    กายบอบบางถูกยกขึ้นแนบอกกว้างอย่างเร่งรีบ ช่วงขายาวรุดเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลนัก


    “อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับคุณหม่อม”


    อย่าเพิ่งเป็นอะไรเลยนะครับ..



     

     

    แบมแบมไม่สามารถตอบตนเองได้ว่าที่นี่ที่ไหน เขารู้เพียงแค่ว่ามันเป็นป่ารกทึบที่มีแต่ต้นไม้สูงจนเหนือศีรษะ เท้าเปลือยเปล่าก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะเดินไปไหน ดวงตากลมกวาดมองไปรอบกายเพื่อหาใครสักคนที่เขาอาจจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง


    บู้ม!


    เสียงระเบิดก้องกังวาลดังขึ้นที่มุมหนึ่งของป่าใหญ่แห่งนี้ ร่างน้อยๆสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวแต่นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาได้ยินหลังจากที่โผล่มาอยู่ที่นี่ กายบางในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นที่ชอบใส่เป็นประจำพยายามเหลือเกินที่พาตนเองเดินไปตามที่มาของเสียง


    ยิ่งใกล้กลิ่นไหม้ก็ยิ่งชัดเจน


    ‘อย่าไป’ ใครบางคนกำลังตะโกนบอกเขาอย่างนั้น กันต์พิมุกต์กวาดตามองรอบกายอีกครั้งเพื่อหาคนพูด หากแต่ทุกอย่างก็ว่างเปล่าเหมือนเดิม


    ยังคงไม่มีใครเช่นเคย


    ‘พี่บอกอยู่นี่อย่างไรว่าอย่าเข้าไป’


    ‘ฮึก.. พี่ พี่มาร์ค’


    จำได้แล้ว เขาจำเสียงทุ้มต่ำแหบแห้งนั้นได้แล้ว หากแต่มองไม่เห็น และไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าคนพูดอยู่ส่วนไหนของป่าใหญ่แห่งนี้


    ‘คุณหม่อมถอยออกมา ถอยออกมาเชื่อพี่’ ใบหน้าหวานส่ายไปมา น้ำตาเม็ดโตเปรอะไปทั่วแก้มนวล สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าไม่ควรเชื่อฆนากร เขาไม่ควรจะเดินถอยกลับออกมาอย่างที่อีกคนว่า


    ‘เชื่อพี่เถอะคนดี อย่าเดินเข้าไป’ ซากเครื่องบินที่กำลังถูกเผาไหม้ปรากฏแก่สายตาทันทีที่เดินผ่านหญ้ารกครึ้มสูงเท่าอกเข้ามาได้สำเร็จ มือน้อยยกขึ้นปิดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ ดวงตากลมเบิกกว้าง มือใหญ่ของใครบางคนพาดออกจากหน้าต่างที่แตกละเอียด ก้านนิ้วเรียวยาวที่แสนคุ้นเคยยังคงถูกประดับเอาไว้ด้วยแหวนวงหนึ่ง


    แหวนที่กันต์พิมุกต์เป็นคนสวมให้กับเขาด้วยมือของตนเอง


    ‘มะ ไม่!



     

    “พี่มาร์ค!!” เสียงแหบแห้งของคนที่หลับใหลไปหลายชั่วโมงตะโกนขึ้นมาอย่างดังในห้องพักฟื้น ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ความรู้สึกสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิตยังคงไม่จางหายไปไหน มันยังอยู่ที่เดิม อยู่ในหัวใจที่กำลังเต้นช้าลงของเขา


    เพดานสีขาวสะอาดตาบวกกับกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บอกได้เป็นอย่างดีว่าที่นี่คือที่ไหน ร่างบอบบางถูกจัดให้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้นชั่วคราว มือข้างซ้ายถูกเข็มเจาะเอาไว้เพื่อให้น้ำเกลือจากอาการขาดสารอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอที่กำลังเผชิญอยู่


    ร่างกายที่แสนอ่อนล้าไม่อาจจะพยุงร่างของตนให้ลุกขึ้นนั่งได้ คนตัวเล็กจึงทำได้แค่นอนนิ่งอยู่บนเตียงและปล่อยให้น้ำตาเม็ดโตไหลลงอาบแก้ม


    ความหวาดผวาและความหวาดกลัวทำให้แบมแบมไม่กล้าจะกวาดตามองรอบห้องแห่งนี้ เขากลัวว่าจะมีนายทหารสักคนอยู่ที่นี่ กลัวเหลือเกินว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถูกส่งมาเพื่อแจ้งข่าวการสูญเสีย


    รับไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นหัวใจดวงนี้คงยอมรับไม่ได้


    “พี่ชาย..” เสียงหวานของน้องปลุกให้แบมแบมกลับเข้าสู่โลกของความจริง  มือน้อยกอบกุมมือเรียวสวยของผู้เป็นพี่เอาไว้ ลูบเบาๆให้อีกคนผ่อนคลายลง ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดพี่จึงเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้ เธอบังเอิญเจอกับอาจารย์ญาณภัทรเข้าพอดีระหว่างจะนำรายงานมาส่งที่ห้องพักอาจารย์เลยได้ติดรถมาด้วยเนื่องจากเห็นว่าคนที่อาจารย์หนุ่มอุ้มมาคือพี่ชายของตนเอง


    เวลานั้นหม่อมราชวงศ์กานต์นพิศคิดไม่ออกหรอกว่าควรจะทำอะไรบ้าง เธอทำได้แต่โอบประครองร่างของพี่เอาไว้จนถึงที่นี่ รู้สึกตัวอีกทีอาจารย์หนุ่มก็ช้อนอุ้มร่างของพี่ใส่เตียงให้พยาบาลเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินและพาทุกคนมารอที่นี่ ที่ห้องพักฟื้นชั่วคราวนี่เสียแล้ว


    หมอบอกว่าพี่ชายร่างกายอ่อนเพลียมาก ต้องให้น้ำเกลือสักขวด ถ้าอาการดีขึ้นก็คงจะกลับบ้านได้


    “หญิง..”


    “ค่ะ หญิงเอง” ตอบไปด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ พี่ชายเรียกเธอหากแต่ดวงตาคู่สวยคู่นั้นกลับเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ราวกับพี่ชายอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว อยู่ในโลกส่วนตัวที่กั้นเธอออกจากโลกของเขาโดยสมบูรณ์ หญิงสาวได้แต่มองผู้เป็นพี่ชายของตนอยู่อย่างนั้น


    หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดไม่ต่างกันเมื่อต้องมาเห็นคนที่ตนรักเจ็บปวดเช่นนี้


    พี่ชายไม่เคยอ่อนแอ พี่ชายไม่เคยร้องไห้ให้เธอเห็น


    แต่วันนี้พี่ชายกำลังเจ็บปวด เจ็บจนไม่สามารถใช้ความเข้มแข็งเย็นชาปิดบังความอ่อนแอนั้นเอาไว้ได้อีก


    นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เธอได้เห็นน้ำตาของพี่ชาย


    น้ำตาที่ราวกับเป็นน้ำกรดราดรดใส่ใจของผู้ที่ได้พบเห็น


    เรียวปากสีซีดพึมพำอยู่กับตนเองด้วยคำพูดเพียงไม่กี่พยางค์ มีแค่คำว่าคุณฆนากร และพี่มาร์คเท่านั้นที่หลุดออกมา น้ำเสียงอ้อนวอนนั้นช่างน่าสงสารนัก อ้อนวอนขอร้องใครสักคน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะยอมรับและทำตามที่เราต้องการหรือไม่


    “พี่มาร์ค.. พะ พี่”



     

    ญาณภัทรนั่งรอสองพี่น้องอยู่ที่หน้าห้องพักฟื้นมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ชายหนุ่มกระดกกาแฟเข้าไปสองแก้วเต็มๆด้วยความเป็นห่วงร่างบางของคนที่อยู่ในห้อง อยากจะเดินเข้าไปดู อยากจะเดินเข้าไปถามว่าเป็นเช่นไรบ้าง หากแต่ก็ทำเยี่ยงนั้นไม่ได้


    ความรู้สึกส่วนหนึ่งบอกว่านั่นไม่ใช่ที่ของเขา


    เขาไม่ใช่คนที่สมควรจะเข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้น


    เพราะเช่นนั้นเขาจึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งรออยู่เงียบๆหน้าห้องพักฟื้นเพื่อรอให้คนทั้งสองออกมาพร้อมกับบอกเขาว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีแล้ว คุณหม่อมไม่ได้เป็นอะไรมาก อาจจะแค่อ่อนเพลียแต่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ


    “ขอโทษนะคะ คุณใช่ญาติของคุณกันต์พิมุกต์หรือเปล่าคะ??” พยาบาลสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเขาด้วยรอยยิ้ม ญาณภัทรชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลือกส่ายหน้าตอบกลับไป


    “ผมแค่เป็นคนพาเขามาส่งโรงพยาบาลน่ะครับ คุณพยาบาลมีอะไรหรือเปล่าครับ”


    “พอดีคุณหมอจะแจ้งข่าวดีกับคนไข้น่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณเป็นเอ่อ.. สามี เลยอยากให้เข้าไปฟังข่าวดีด้วยกัน” ญาณภัทรยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง ชายหนุ่มยืนยันว่าจะขอนั่งรออยู่ตรงนี้ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำดีๆของคุณหม่อม ดวงตาคู่สวยราวกับรัตติกาลอันมืดมิดจับจ้องบานประตูของห้องพักฟื้นนิ่ง


    ถึงไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน


    แต่ผมก็อยากให้คำว่าคุณพ่อของแกเป็นของคุณแค่คนเดียวนะคุณฆนากร


    รีบๆกลับมาหาลูกของคุณได้แล้ว

     



    “ทานน้ำสักหน่อยนะคะพี่ชาย” หลอดพลาสติกถูกจับใส่ลงไปในแก้วน้ำก่อนที่คนเป็นน้องจะประครองไปจ่อให้ถึงริมฝีปากสีซีดราวกับกระดาษนั่น คนตัวเล็กอ้าปากงับหลอดตามความต้องการของน้อง ดูดน้ำเข้าสู่ร่างกายได้ไม่กี่อึกก็เบี่ยงหน้าหนี มือเรียวยกขึ้นโบกปัดเล็กน้อยเป็นเชิงว่าพอแล้ว เขาไม่อยากกินอะไรในตอนนี้


    คุณหญิงจำใจต้องวางแก้วน้ำในมือลงกับโต๊ะข้างเตียงก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของเธอ


    “โธ่..พี่ชาย”


    “พี่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เอ่ยบอกว่าตนไม่เป็นอะไรทั้งที่ยังปล่อยให้น้ำตาไหลรินอยู่อย่างนั้น คุณหญิงจับมือบอบบางของพี่เอาไว้ มันเป็นสิ่งเดียวที่จะยืนยันกับพี่ได้ว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ที่เดิมเสมอและไม่เคยทิ้งพี่ไปไหนเลย ชายหนุ่มสัมผัสกับความรู้สึกเป็นห่วงของน้องได้ และเขาก็ขอบคุณน้องหญิงเหลือเกินที่อุตส่าห์มานั่งเฝ้าเขาอยู่แบบนี้


    แต่หัวใจดวงน้อยมันเจ็บปวดเกินกว่าจะเยียวยาได้ในตอนนี้ มันไม่พร้อมรับการรักษาจากใครหรืออะไรทั้งนั้น


    กันต์พิมุกต์ไม่อาจหาหนทางที่จะทำให้ใจดวงน้อยเจ็บปวดน้อยลงไปกว่านี้ได้เลย


    แม้จะยังไม่มีคนยืนยันแน่ชัด แต่จากข้อมูลก็สามารถสรุปว่าเป็นฆนากรได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์


    70เปอร์เซ็นต์ที่ทหารผู้เสียชีวิตคนนั้นจะเป็นเรืออากาศโทฆนากร วิรุฬห์ธนกิจ


    แล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้บ้าง จะให้เขายังยิ้มและทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่หัวใจมันร้าวไปแล้วทั้งดวงแบบนี้ได้อย่างไร


    ก๊อก ก๊อก


    ประตูห้องพักฟื้นถูกเคาะส่งสัญญาณขออนุญาตอยู่สองสามครั้งก่อนจะถูกเปิดออกด้วยฝีมือของพยาบาลสาวคนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก ร่างสูงโปร่งของนายแพทย์เฉพาะทางคนหนึ่งเดินตามเข้ามา เขาเองก็มีสีหน้าแจ่มใสไม่แพ้กัน


    ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง สำรวจอาการเบื้องต้นของคนไข้อีกครั้งว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าคนไข้ดูโอเคขึ้นกว่าตอนที่มามากแล้ว ชายหนุ่มจึงเปิดประเด็นขึ้นมา


    “จากที่หมอตรวจร่างกายของคุณ หมอว่าช่วงนี้คุณคงได้รับสารอาหารไม่เพียงพอใช่ไหมครับ” ร่างน้อยพยักหน้าตอบรับคำนั้นอย่างจำยอม ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีอารมณ์อยากอาหารเท่าไหร่นัก นั่งกินข้าวไปได้คำสองคำก็รู้สึกอิ่มเลยวานให้ชื่นช่วยนำไปเก็บที


    “พักผ่อนก็น้อยด้วยถูกไหมครับ”


    “ครับ..” จะข่มตาหลับลงได้ยังไง เจ้าของดวงใจเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครรู้


    “จากนี้ไปหมอขอให้คุณเลิกทำแบบนั้นนะครับ ข้าวน่ะถึงจะไม่อยากกินก็พยายามกินหน่อย เรื่องที่เครียดอยู่ก็พยายามคิดให้น้อยลงบ้าง”


    “...”


    “นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ”


    “...” กันต์พิมุกต์นอนฟังคำของนายแพทย์หนุ่มเงียบๆ รับฟังแต่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะทำได้หรือไม่


    แต่เขาจะพยายามก็แล้วกัน


    “จากนี้ไปคุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะครับ น้องในครรภ์ของคุณแม่อายุได้ 9 สัปดาห์แล้ว” มือเรียวที่วางอยู่ข้างตัวชะงักไปด้วยความตกใจ ดวงตาคู่สวยช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าลงอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าผลที่ออกมาไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน


    “ทำอะไรนึกถึงลูกในท้องด้วยนะครับ”


    กันต์พิมุกต์กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ


    ตั้งครรภ์กับคนที่ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้อยู่ที่ชายแดน


    สัมผัสแสนอบอุ่นที่แตะผ่านหน้าท้องบอบบางในวันนั้นชัดเจนขึ้นอีกครั้งในความรู้สึก หยาดน้ำใสไร้สีกลิ้งผ่านแก้มนวลลงมาเมื่อคนเป็นแม่ไม่อาจหักห้ามความอิ่มเอมและเจ็บปวดไปพร้อมกันในหัวใจของตนได้ มือเรียวยกขึ้นแตะที่หน้าท้องบาง


    หนูมาเกิดแล้วอย่างนั้นหรือครับลูก..


    ลูกที่คุณเฝ้ารอ แกมาหาพวกเราแล้วนะครับคุณฆนากร..


    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวเลยนะครับ ส่วนเรื่องนอนโรงพยาบาลหมอว่าคุณแม่นอนพักที่นี่อีกสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านจะดีกว่า”


    “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” เป็นหม่อมราชวงศ์กานต์นพิศที่เอ่ยขอบคุณนายแพทย์เจ้าของไข้เพราะดูเหมือนว่าพี่ชายของเธอจะปิดการรับรู้ทุกอย่างไปตั้งแต่ที่รู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในร่างกายของตนแล้ว


    คนที่รอมานานเขามาเกิดแล้ว


    คุณพ่อของหนูจะกลับมาหาหนูใช่ไหมครับคนดีของแม่


    เขาจะกลับมาหาแม่กับหนูใช่ไหม..


    “ฮึก.. ตาหนูของแม่”


    กลับมานะพี่มาร์ค


    กลับมาหาลูกของเรานะครับ..

     



     

     

     

     

     

    TALK

    หลานมาแล้ววววว ไหนใครรอหลานอยู่บ้างเอ่ย

    เจอกันได้ที่ #จสบดศ เหมือนเดิมนะครับผมมม J

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×