ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวบรรดาศักดิ์ | MarkBam (THAI)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ ๘

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.21K
      299
      5 ก.ค. 59

    ลงครั้งแรก 5 กรกฏาคม 2559

     

    “คุณรวีวิทไม่ต้องมาช่วยที่ร้านทุกวันก็ได้ครับ ผมเกรงใจแย่เลย” หลังจากที่กันต์พิมุกต์แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองไปฝั่งนั้นก็ยังจัดการกับชีวิตไม่เข้าที่เท่าไหร่นัก ทำให้หม่อมหลวงจิณภัทรจำต้องทำงานที่ร้านอยู่เพียงคนเดียว จะว่าว่าทำคนเดียวก็เห็นว่าจะไม่ถูกเท่าไหร่


    เพราะพอลูกมือคนเก่าไม่ว่าง หม่อมจิณก็ได้ลูกมือคนใหม่ที่ดูแล้วหน่วยก้านดีกว่าคนเก่ามาช่วยแทน แถมลูกมือที่ว่ายังมียศถึงเรืออากาศโทเสียด้วย


    “ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยครับ ผมเต็มใจ อีกอย่างก็แค่ช่วยหยิบช่วยจับอะไรนิดหน่อยเองไม่เหนื่อยหรอกครับ ซ้อมบินในกรมเหนื่อยกว่านี้อีก” นายทหารหนุ่มตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม รวีวิทได้มีโอกาสสนิทชิดเชื้อกับคุณหม่อมตัวน้อยขึ้นมามากขึ้นกว่าเก่าก็ช่วงงานแต่งงานของเพื่อนสนิทนั่นแหละ


    อีกฝ่ายเป็นเพื่อนเจ้าสาวส่วนเขาก็เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเลยพอได้คุยกันบ้างตามประสา


    อย่างน้อยมันก็ทำให้รวีวิทไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกค้าประจำของร้านนี้เหมือนเคย


    ขยับสถานะขึ้นมาได้นิดหน่อยหัวใจดวงโตของนายทหารสังกัดกองทัพอากาศก็พองคับอกแล้ว


    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ มานั่งพักสักหน่อยดีกว่าเดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” คนตัวสูงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย มือใหญ่ละจากการเปิดประตูด้านหน้าร้านก่อนจะหมุนตัวไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวหนึ่งไม่ไกลจากบริเวณเดิมที่ตนอยู่มากนัก ดวงตาตี่ๆตามแบบฉบับลูกชายคนจีนมองตามแผ่นหลังบางของคุณหม่อมเจ้าของร้านไปเสียจนลับสายตา ก่อนที่เรียวปากบางจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างขวางในชนิดที่ว่าถ้าหากฆนากรหรือสมชายเห็นจะต้องได้เอ่ยล้อเขาแน่ๆ


    เพียงแค่หายตัวมาที่ร้านขนมชื่อดังแถวราชดำเนินนี่บ่อยๆ พวกทหารผู้น้อยมันก็ล้อเขาเสียลั่นค่ายแล้ว


    ไม่ต้องถามถึงเพื่อนสนิททั้งสองหรอก สองคนนั่นน่ะหัวโจกดีๆนี่เอง


    “จิณ.. อ้าวคุณรวีวิทสวัสดีครับ”


    “สวัสดีครับคุณหม่อม”ยกมือขึ้นรับไหว้คนอายุน้อยกว่าอย่างเพื่อนสะใภ้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ร่างน้อยหันมาเจอเขาที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มหวานๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก เดาได้ไม่ยากนักหรอกว่าพ่อทหารหนุ่มคนนี้มาอยู่ที่ร้านขนมของเพื่อนสนิทเขาทำไม


    ก็คงไม่แคล้วจะมาขายขนมนั่นแหละ


    หากแต่คงไม่ใช่ขนมไทยหรอก


    น่าจะเป็นพวกขนมจีบอะไรอย่างนี้เสียมากกว่า


    “อ้าวมาเมื่อไหร่ นั่งก่อนสิแบม” มือน้อยผายให้เพื่อนสนิทตัวเล็กนั่งลงก่อนจะหยิบยื่นแก้วน้ำที่ถือออกมาให้กับรวีวิทที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่ไกลนัก ดวงหน้าหวานของจิณภัทรประดับไปด้วยรอยยิ้มเชิงล้อเลียน ตลอดหลายวันมานี้อดีตคุณชายตัวน้อยโทรศัพท์มาหาเขาที่วังเกือบจะทุกวันเกี่ยวกับเรื่องของคุณสามีตัวสูง


    โดยหลักๆก็เรื่องการกระทำอันเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วชวนใจสั่นนั่นแหละ


    “แล้วสรุปว่ายังไง เปิดใจให้คุณเขาบ้างหรือยัง??” ใบหน้าหวานสวยของกันต์พิมุกต์ส่ายไปมาพรืดใหญ่ เรียวปากสีธรรมชาติขบเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตากลมสั่นระริกราวกับคนที่กำลังปกปิดความผิด


    อาการแบบนี้ก็คงไม่แคล้วเปิดใจให้เขาไปแล้วแต่ยังไม่อยากยอมรับก็เท่านั้นแหละ


    “เขามีคนรักอยู่แล้วจิณจะให้เราเปิดใจให้เขาทำไมกัน”


    ” รวีวิทขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ยักรู้ว่าเพื่อนสนิทมีคนรักอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่าคนรักเก่าก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะพิมพ์ดาวคนรักของฆนากรสมัยเรียนนายร้อยก็แต่งงานจนลูกโตไปแล้วด้วยซ้ำ


    มาร์คมีคนรักคนไหนของมันอีกวะ..


    เห็นช่วงนี้รักอยู่แค่คนเดียว ก็คนที่นั่งเม้มปากอยู่ตรงหน้าเขานี่..


    ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณหม่อมจะน้อยใจทำไม??


    คิดแล้วก็ได้แต่พยายามเงี่ยหูฟังคนตัวเล็กทั้งสองพูดกันต่อไป นี่ไม่ได้จะสอดรู้สอดเห็นอะไรหรอกนะ เขาก็แค่อยากจะรู้เฉยๆว่านายทหารที่วันวันสนใจอยู่แต่กับเครื่องบินหรือไม่ก็การออกบินตามหน้าที่มันไปซุกคนรักเอาไว้ที่ไหน


    เห็นวันวันเข้าเวร ทำภารกิจแล้วก็กลับบ้าน ถ้าฆนากรยังจะมีเวลาไปหาคนรักคนอื่นนอกจากคุณหม่อมได้อีก รวีวิทนี่ยอมใจมันเลยนะ เจ้าชู้ได้โล่ห์จริงๆ


    “เฮ้อ.. ถามเขาแล้วหรือยังไง ถึงมาคิดเอาเองว่าเขามีคนรักอยู่แล้วแบบนี้น่ะแบม”


    ”มือเรียวของราชนิกุลหนุ่มจับกันเอาไว้แน่น อยากจะถามออกไปจะตายจิณไม่รู้หรือไง แต่เพราะกลัวหัวใจตัวเองเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามันจะพร้อมรับฟังคำตอบของอีกคนได้หรือไม่ กันต์พิมุกต์เลยเลือกที่จะไม่ถามและพยายามจำกัดความรู้สึกของตนเองเอาไว้เพียงเท่านี้ เขามาทำดีด้วยก็ดีตอบแต่พยายามไม่เอามาเป็นความหวั่นไหวให้หลงรักเขาได้ง่ายๆ การห้ามใจไม่ให้หลงรักสามีของตัวเองนี่มันไม่ง่ายเลยนะ


    มันไม่ง่ายเลยจริงๆ


    น้ำตาเม็ดโตเอ่อคลอขึ้นมาเสียจนกลายเป็นม่านน้ำตาบังคาดดวงตาคู่สวยเอาไว้ หม่อมหลวงจิณภัทรยกมือขึ้นลูบหัวไหล่บางของเพื่อนเบาๆ


    “เรารู้ว่าแบมกลัว”



    “แต่ตอนนี้แบมเป็นภรรยาของคุณฆนากรเขานะ ถามเขาเถอะ อย่างน้อยก็ให้มั่นใจจะได้จัดการกับความรู้สึกของตัวเองถูก”



    “คุณฆนากรอาจจะแค่ซื้อผ้าลายดอกไม้นั่นไปตัดชุดให้คุณนายนวลแม่ของเขาก็ได้” รวีวิทกำลังรู้สึกว่าคนสองคนตรงหน้าของเขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป แถมยังเข้าใจผิดไปไกลชนิดที่อาจทำให้ขาเตียงสั่นคลอนได้ทั้งที่แต่งงานกันไปไม่กี่อาทิตย์แบบนี้ มือใหญ่วางแก้วน้ำที่ดื่มหมดแล้วลงข้างลำตัว


    “ขอโทษนะครับ” เอ่ยขัดขึ้นไปกลางวงเสียจนคนที่กำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วช้อนตาขึ้นมามอง ในขณะที่จิณภัทรก็ชะงักมือที่กำลังลูบไหล่ปลอบโยนเพื่อนไป คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ารวีวิทมีอะไร


    ซึ่งแน่นอนว่าเขามี มีเยอะเสียด้วยล่ะ


    “ถ้าคุณหมายถึงผ้าลายดอกกุหลาบสีชมพู ผมว่าคุณสองคนกำลังเข้าใจผิดนะครับ” กันต์พิมุกต์เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เท่าที่จำได้ตั้งแต่มาที่นี่เขายังไม่ได้พูดถึงเรื่องลายของผ้าเลย จะว่าจิณภัทรบอกก็คงจะไม่ถูกนักเพราะหม่อมเพื่อนสนิทก็รู้เพียงว่าเป็นผ้าลายดอก หากแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นดอกอะไร


    “ชะ ใช่ครับ ผ้าลายดอกกุหลาบ”


    “งั้นคุณหม่อมสบายใจเถอะครับ เพื่อนของผมมันรักคุณหม่อมแค่เพียงคนเดียว ทั้งก่อนแต่งงานจนถึงตอนนี้”



    “ผ้าที่ว่านั่นน่ะ มาร์คมันเพียงซื้อไปจับของขวัญที่สโมสรก็เท่านั้นเองแหละครับ มันไม่ได้ซื้อไปให้คนรักอะไรอย่างที่คุณหม่อมเข้าใจหรอก”


    บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนี้คุณหม่อมของนายทหารหนุ่มกำลังรู้สึกอย่างไร รอยยิ้มกว้างขวางปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากบางสวยในแบบที่ไม่เกรงกลัวว่าเพื่อนจะเอ่ยล้อ จะล้อก็ล้อไปเถอะในเมื่อตอนนี้เขาดีใจเกินกว่าที่จะมาคิดถึงเรื่องอะไรแบบนั้น


    เรื่องคนรักของฆนากรมันเหมือนตะกอนขุ่นมัวที่อยู่ด้านล่างของแก้วน้ำ ตะกอนที่พร้อมจะทำให้น้ำในแก้วขุ่นขึ้นมาได้อีกเพียงแค่เราเขย่าแก้วนั่นเบาๆ มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ตอนก่อนแต่งงาน จนวันที่เขามาขอแต่งงาน แม้จะปลื้มใจแค่ไหนในห้วงความคิดลึกๆมันก็ย้อนกลับไปถึงเรื่องคนรักของเขาอยู่ดี จวบจนถึงทุกวันนี้


    กันต์พิมุกต์ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เขารู้สึกมีความสุขไม่เต็มที่ จะรักก็รักไม่ได้แต่จะไม่รักก็ไม่ได้เหมือนกัน


    “ขะ ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณรวีวิทนะครับ” คุณหม่อมตัวน้อยยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้นายทหารหนุ่มเพื่อนสนิทของสามีอย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าข้าวของที่หอบมาจากบ้านขึ้นมาในอ้อมแขน ช่วงขายาวก้าวเดินออกไปจากร้านขนมของเพื่อนเพื่อเรียกรถรับจ้างกลับไปที่บ้าน


    การกระทำทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของคนทั้งคู่ที่ยังนั่งเคียงข้างกันอยู่ในร้านขนมเป็นอย่างดี จิณภัทรหันไปมองชายหนุ่มข้างกายพร้อมกับส่งยิ้มไปให้


    “คุณนี่ช่วยคนเก่งจังนะครับ ทั้งช่วยผมเรื่องที่ร้าน แถมยังช่วยแบมเรื่องคุณฆนากรอีก”


    “นั่นสิครับผมถนัดช่วยคน ผมช่วยได้มากกว่านี้อีกนะครับ ถ้าคุณหม่อมจะเต็มใจให้ผมช่วยน่ะ”


    สงสัยว่าวันนี้จิณภัทรคงจะต้องช่วยอุดหนุนขนมจีบที่รวีวิทนำมาขายแทบทุกวันเสียแล้วล่ะ


    “ผมน่ะเต็มใจสิครับมีคนมาช่วยทั้งที คุณรวีวิทเองเถอะครับ..



    “เดินเข้ามาแล้วก็อย่าหายไปง่ายๆก็แล้วกัน”


    หมายถึงเดินเข้ามาในชีวิตของผมแล้ว ก็อย่าหายหน้าหายตาออกไปจากชีวิตของผมง่ายๆก็แล้วกัน

     



    “วันนี้วันสำคัญอะไรหรือเปล่าครับพี่สะใภ้ ทำไมถึงได้ทำอาหารเยอะแยะขนาดนี้” ฆนรุจเอ่ยถามกับคุณหม่อมตัวเล็กที่กำลังลงมือทำอาหารอยู่ในครัวด้วยรอยยิ้มราวกับว่ามีความสุขนักหนาที่ได้ทำอาหารเย็นให้ทุกคนได้ทานกัน กันต์พิมุกต์หันตัวมาเผชิญหน้ากับนักธุรกิจหนุ่มก่อนจะยกมือกระพุ่มไหว้เขาตามประสาคนที่อายุน้อยกว่า


    ช่วงนี้ฆนรุจเกร็งน้อยลงแล้ว อาจจะเพราะเจอหน้ากันทุกวันหรือเพราะอะไรสักอย่าง ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดี มันทำให้อดีตคุณชายรู้สึกว่าเข้ากับทุกคนได้มากขึ้น


    “เปล่าหรอกครับ ก็แค่อยากจะทำก็เท่านั้น” ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแต่กลับทำให้น้องชายของสามีขมวดคิ้วได้หนักว่าเดิม


    วันนี้พี่สะใภ้ดูมีความสุขแปลกๆ แม้จะไม่ได้บอกออกมาว่าดีใจเรื่องอะไร แต่สังเกตจากใบหน้าหวานสวยที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลานั่นก็ได้ ไม่รู้สิ สำหรับฆนรุจแล้วเขารู้สึกเหมือนพี่สะใภ้กำลังเปล่งออร่าแห่งความสุขออกมาอย่างไรก็ไม่รู้


    มีโอกาสพิเศษแน่ๆ เขายืนยันกับตัวเองได้เลย ไม่ใช่แค่เพราะอยากทำอย่างที่อีกคนบอกหรอก


    “ฮ่าๆ อย่างนั้นก็ได้ครับ ผมจะรอดูก็แล้วกันว่าเพราะแค่อยากจะทำจริงๆหรือเปล่า” หลังจากพูดจบน้องชายคนเล็กของบ้านก็ขอตัวเอาของไปเก็บและอาบน้ำอาบท่าเสียหน่อย วันนี้ที่สำนักงานของห้างมีเรื่องตึงเครียดจากการที่ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถอนหุ้นและลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อหลายเดือนก่อน เห็นทีว่าหลังจากอาหารค่ำเขาคงต้องขอพูดคุยเรื่องนี้กับป๊าและพี่ชายเสียแล้ว


    ปล่อยเอาไว้นานก็เกรงว่าปัญหาใหญ่จะตามมาทีหลัง


    ฆนากรกลับถึงบ้านในเวลาใกล้ค่ำจวนจะถึงเวลาของอาหารเย็น ร่างสูงโปร่งดูเหนื่อยอ่อนจากการซ้อมบินประกอบกับที่ช่วงนี้ได้นอนน้อยเหลือเกิน เขาได้หลับแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันด้วยซ้ำ


    ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคุณหม่อมที่กิริยามารยาทเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้แบบนั้นจะนอนได้ไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย ไม่ใช่ไม่เรียบร้อยเพราะนอนดิ้นถีบเขาหรอก นอนดิ้นน่ะดิ้นจริง แต่เวลาดิ้นเนี่ยชุดนอนมันเปิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ กว่าที่เขาจะดึงลงมาปิดและข่มใจนอนหลับได้ก็กินเวลาไปเกือบจะค่อนคืน


    ช่วงนี้ถึงได้อ่อนเพลียขนาดนี้ไง


    “คุณจะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวเลยครับ??” ร่างน้อยที่เพิ่งจะนึกถึงวิ่งออกมาจากหลังประตูบานใหญ่เมื่อได้ยินเสียงของรถที่แล่นเข้ามาจอด ฆนากรขมวดคิ้วเล็กน้อย


    วันนี้คุณหม่อมมาแปลกแฮะ


    ปกติก็มักจะเดินมารับเขาทุกวัน แต่ก็ไม่ได้มาทั้งที่อารมณ์ดีผิดปกติแบบนี้ อยากจะรู้นักว่าใครเอาอะไรให้คุณหม่อมกินเสียจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่า


    “ครับ??”


    “จะอาบน้ำก่อนหรือจะกินข้าวเย็นก่อนครับ ผมทำอาหารไว้ให้แล้ว” เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่ได้โมโหแต่อย่างใดที่อีกคนฟังเขาไม่รู้เรื่องเสียจนต้องถามซ้ำขึ้นมาอีกรอบ


    “กะ กินข้าวก่อนเลยก็ได้ครับ”


    “งั้นมาครับเดี๋ยวผมเอาหมวกกับกระเป๋าไปเก็บให้บนห้อง”


    “มะ ไม่เป็นไรครับ”


    ผึ่บ!!


    ไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธอะไรมือน้อยก็คว้าหมวกและกระเป๋าที่ฆนากรถือเอาไว้ไปไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งขึ้นไปบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว ทหารหนุ่มได้แต่งงงวยแต่เพราะเหนื่อยล้าจากการทำงานจนไม่มีแรงจะคิดอะไร  ช่วงขายาวภายใต้ชุดเครื่องแบบทหารอากาศจึงก้าวเดินไปยังห้องอาหารแทน อีกสักพักเดี๋ยวคุณหม่อมก็ลงมาจากข้างบนเองนั่นแหละ


    “ทำไมดูเพลียขนาดนั้นล่ะลูก เรื่องหลานแม่ก็แซวไปอย่างนั้นไม่ได้รีบร้อนอะไรนะ” ทันทีที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร คุณนายนวลผู้ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วก็อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ ช่วงนี้ฆนากรดูขอบตาช้ำๆเหมือนคนไม่ได้นอน ไปทำงานกลับมาที่บ้านก็ดูเพลียกว่าปกตินัก


    เพราะเป็นห่วงเธอถึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป แม้มันจะดูเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงไปหน่อยก็เถอะ


    ด้วยความที่เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นพ่อค้าชาวอเมริกาทำให้คุณนายนวลค่อนข้างจะเป็นคนเปิดเผยกว่าหญิงสาวชาวไทยปกติในพระนครนัก นั่นทำให้ทุกคนในโต๊ะพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมนายหญิงของบ้านถึงเลือกจะถามออกมาตรงๆแทนที่จะใช้คำพูดอ้อมค้อมสักหน่อย


    “เรื่องงานที่กรมน่ะครับ ช่วงนี้เหมือนจะมีข่าวเรื่องการบุกรุกแถบชายแดน”



    “ผมล่ะกลัวนักว่าจะกลายมาเป็นสงคราม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องหลานของคุณแม่หรอกครับ”


    ใช่สิ.. จะเกี่ยวกับเรื่องหลานของคุณแม่ได้ยังไง แค่เขยิบเข้าไปนอนกอด ฆนากรยังไม่กล้าจะทำเลย


    “สงครามเลยหรอลูก!” เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ประเทศไทยค่อนข้างจะเป็นเมืองที่รักสงบ ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะสร้างสงครามกับใคร ส่วนมากจะใช้วิธีถอยคนละก้าวหรือไม่ก็ประนีประนอมกันแทน และถ้าหากว่าจะกลายมาเป็นสงครามจริงๆ คุณนายนวลก็อดจะห่วงลูกชายคนโตไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าฆนากรจะต้องอาสาไปเป็นทหารชุดรบกับอีกฝ่ายแน่ๆ บุตรชายของเธอเป็นพวกยึดมั่นใจคำปฏิญาณ เป็นชายชาติทหารที่เกิดมาเพื่อเป็นทหารจริงๆ เรื่องรักชาติยิ่งชีพอะไรพวกนี้ต้องยกให้เขาเลย


    “พูดถึงเรื่องสงครามอะไรกันหรือครับ”


    “ไม่มีอะไรหรอกครั..


    “ก็สามีของหนูน่ะสิลูก กลัวว่าจะเกิดสงครามแถบชายแดน”


    “หือ สงครามหรือครับ” คนตัวเล็กเอียงคอมองสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน ฆนากรที่ตอนแรกว่าจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรแต่โดนแม่ขัดเล่าไปเสียหมดจำต้องยอมรับความจริงโดยการพยักหน้าตอบกลับไป


    “คุณต้องไปรบกับเขาไหมครับ??” ถามออกไปเสียงแผ่ว ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตากลมสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ฆนากรเห็นแบบนั้นเลยวางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆ


    “ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆผมก็คงต้องไป ผมเป็นทหารนี่ครับหน้าที่ของผมคือรักษาเอกราชและความปลอดภัยให้กับคนในชาติ”


    หัวใจดวงน้อยไหววูบ พอให้นึกภาพฆนากรต้องไปออกรบจริงๆมือไม้มันก็สั่นไปหมด แค่ไปบินลาดตระเวนตอนนั้นเขายังอดเป็นห่วงไม่ได้เลย แล้วถ้าไม่ใช่แค่การลาดตระเวนแต่คือการไปรบจริงๆ กันต์พิมุกต์จะอดทนและยอมรับได้ไหม ชีวิตของฆนากรไม่ได้ต่างอะไรจากการถูกแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายเลย


    เราไม่อาจรู้ได้ว่าเส้นด้ายเส้นนั้นมันจะขาดลงเมื่อไหร่


    หรือขาดลง ด้วยฝีมือของใคร..


    “คุณโอเคไหม เสียใจหรือเปล่าที่ต้องแต่งงานกับนายทหารที่แม้แต่ชีวิตก็ยังยืนยันไม่ได้ว่าจะปลอดภัยกลับมาแบบนี้”


    ราวกับคนทุกคนบนโต๊ะหายไป


    ราวกับมีเพียงฆนากรและภรรยาของเขา ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น


    กันต์พิมุกต์ส่ายหน้าแม้จะหวาดกลัวเท่าไหร่ก็ตาม แต่ในเมื่อเลือกแล้ว เขาก็คงจะต้องเดินไปตามที่เลือกเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


    “จะเสียใจทำไมครับ คุณไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย”


    ” ฆนากรยกยิ้ม อย่างน้อยคุณหม่อมก็ไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับเขา


    “ทานข้าวเถอะครับ ผมอุตส่าห์ตั้งใจทำไว้รอคุณกลับบ้านเลยนะ” ดวงหน้าหวานผินไปมองเด็กรับใช้ในบ้านก่อนจะพยักหน้าให้เธอเบาๆเพื่อบอกให้ตักข้าวให้ทุกคนได้แล้ว


    มือน้อยวางลงบนมือใหญ่ของอีกคนข้างที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวอย่างแผ่นเบา ก่อนจะช้อนดวงตาที่ยังคงสั่นระริกมองใบหน้าคร้ามแดดของสามี


    เขาตัดสินใจแล้ว


    “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเป็นภรรยาทหารนะ จะเข้มแข็งน้อยกว่าทหารอย่างคุณได้ยังไง”




    TALK

    ใครที่กลัวดราม่าเรื่องมือที่สามไม่ต้องกลัวกันไปนะคะ คุณฆนากรเค้ามั่นคงมากจริงๆ 555

    เจอคอมเม้นตอนที่แล้วมันช่างตรงอะไรกับบทนี้ซะจริง 55555 ถือว่าเดาเก่งมากค่ะ หรือคุณมีญาณบอกเรามานะ!! ใครรอคุณญาณภัทรอยู่รอก่อนนะคะ ค่าตัวพี่เค้าแพงมากจริงๆ ส่วนใครคิดถึงคู่หม่อมจิณตอนนี้เราเอามาฝากแล้วววว 

    ตอนนี้จริงๆชื่อตอนคือ "การกลับมาของผ้าลายดอกในตำนาน" 5555

    ติดสกรีมฟิคได้ที่เดิมใน #จสบดศ นะคะ (มีความอ่านและRTเพลินมากจริงๆ ขอบคุณทุกคนค่ะ)

    ปล.เราจะอัพเรื่องนี้ตอนกลางวันแต่เอาไปฝากรีในทวิตตอนกลางคืนนะคะ ไม่ต้องตกใจกันไปนาา ^^

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×